Between the Lines

ชิงหมาเกิด โดย Buddha Bless

  • Writer: Montipa Virojpan

ชิงหมาเกิด ‘Buddha Bless

มนุสโสสิ ?

“ตั้งแต่ตอนบวชแล้วครับ ได้ยินเณรเขาซ้อมบวชพระอยู่กุฏิเดียวกัน เขาก็ถามว่า มนุสโสสิ เป็นคำถามพระน่ะครับ อามะภันเต แปลว่า ใช่ครับ ส่วนนัตถิภันเต นัตถิ ก็เหมือน not ภาษาบาลี แปลว่า ไม่ใช่ครับ แล้วเณรก็ตอบว่า นัตถิภันเต หลวงพี่ที่ซ้อมบวชอยู่ก็บอกว่า ไม่ใช่คนรึไง! คนส่วนใหญ่จะไม่ฟังคำแปล ก็จะไม่รู้คำแปลเวลาท่อง ก็จำแค่ว่า อามะภันเตกี่ครั้ง นัตถิภันเตกี่ครั้ง คือไม่ได้สนใจว่าคำถามแปลว่าอะไร แต่ผมอยากรู้ว่าคำถามแปลว่าอะไรบ้าง เขาถามอะไรแล้วทำไมต้องตอบ แล้วมารู้ว่า มนุสโสสิ เนี่ย แปลว่า เป็นคนหรือเปล่า ก็ขำดี ตอนนั้นทำอัลบั้ม underground อยู่กับเพื่อน แต่ผมทำเสร็จแล้ว ตอน AYM ผมอัดเสียงร้องคนเดียวก่อนผมไปบวชพระ เพื่อน ๆ ก็มาอัดทีหลังตอนผมบวช ก็ออกมา ระหว่างเป็นพระก็ยังมีความคิดว่ายังอยากทำเพลงอยู่ แต่ก็ไม่ได้คิดถึงเพลงใต้ดินแล้ว แค่เป็นข้อมูลเก็บไว้ในใจว่าวันข้างหน้าถ้าเราจะทำอีกก็เอามุมนี้มาเล่น

ที่ถามว่าเป็นคนหรือเปล่า ในทางศาสนาเขาถามเพราะสมัยนั้นมีนาคปลอมตัวมาเป็นมนุษย์เพราะอยากบวช ส่วนตัวแล้วที่เคยศึกษามาก็ไม่ใช่พญานาคแบบที่ทุกคนเชื่อกัน จะเป็นกลุ่มชนกลุ่มนึงที่ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาบวชไม่ได้ แต่ถ้าเอาเท่าที่เข้าใจการที่จะบวชพระได้ก็ต้องเป็นมนุษย์ กลัวคนนอกรีต เลยต้องถามก่อน”

 

นรกมี สวรรค์ล่ะครับหลวงตา สวรรค์ก็มี

แล้วทำดีล่ะครับ ทำดีก็ต้องได้ดี

ทำชั่วล่ะครับ ทำชั่วมันจะได้ดีได้ยังไงเล่า

เหมือน intro เพลง hip hop dancehall ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยการพูด ๆ ไม่ปล่อยให้ intro โล่ง ๆ ก็ไม่รู้จะเล่นอะไร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผมเนี่ยแหละที่พูดทั้งหมดใน intro ก็เข้าไปทำสองเสียงคนเดียว (หัวเราะ) ถามเองตอบเอง เหมือนสนทนาธรรม

 

เกิดเป็นคนนี่มันลำบากลำบน

สารพันปัญหาไม่ว่ารวยหรือว่าจน

ใช้สติปัญญาบวกกับความอดทน

ขยันปฏิบัติทำวัตรสวดมนต์

จริง ๆ แล้วสมัยทำเพลงใต้ดินผมจะชอบพูดเนื้อหาซีเรียสจริงจังเหมือนกับเพลงเพื่อชีวิต เพราะเป็นคนสุดโต่งสองด้าน คือถ้าไม่ซีเรียสไปเลยก็จะโคตรไร้สาระไปเลย แล้วก็รู้สึกว่าทำนองเพลงนี้สนุก คอนเซปต์มันก็เฮฮาแล้ว ก็เลยคิดว่า ใส่เนื้อเรื่องที่เราอยากพูดได้เต็มที่ ไม่ต้องเฮฮาก็ได้ ตอนนั้นผมก็อินกับศาสนาพุทธมากเพราะเพิ่งสึกออกมาก็เลยเขียนอย่างนี้แหละครับ เกิดมาเป็นคนก็ลำบากทุกคนไม่ว่าจะคนรวยคนจนมันก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ความสุขมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรวยหรือจน ผมก็เจอคนรวยที่ทุกข์มากกว่าคนจนเยอะแยะ ก็เชื่อว่ามันเป็นคำรวบสั้น ๆ ง่าย ๆ ให้ขยันปฏิบัติทำวัตรสวดมนต์ เพราะพอศึกษาศาสนาพุทธก็จะรู้ว่าของอย่างนี้มันช่วยผ่อนคลายความทุกข์ที่มีอยู่ในใจได้

 

คนเราสมัยนี้ไม่รู้จักดีชั่ว

ก็อยากได้อยากมีจนหน้ามืดตามัว

ทำแต่เรื่องชั่วๆ ไม่ได้กลัวเวรกรรม

ดีเลวไม่สนใจ ได้เงินก็รีบทำ

รู้สึกว่าการทำมาหากินสมัยนี้ ยิ่งทำธุรกิจแบบไม่เลี่ยงภาษี ไม่ตุกติก หรือโฆษณาไม่โกหกเลยมันหายากมาก มันจะเป็นไปได้หรอวะ คือมันมี แต่มันน้อย แล้วคนพวกนี้จะรวยเลยมันก็ยาก ถามว่าทำแบบนี้แล้วรวยไหม ก็มีนะ แต่ถ้าเทียบเปอร์เซ็นต์กับคนที่เลี่ยงภาษีหรือขายของมึนเมา โกงกิน อะไรที่รวย ๆ ส่วนใหญ่ก็อาบอบนวด ผับ เลาจน์ ขายเหล้า ฆ่าสัตว์ บริษัทขายเนื้อสัตว์ยักษ์ใหญ่เงี้ย อะไรที่ฝืนศีล 5 โฆษณาบิดเบือนเกินจริงนี่รวยหมด คนไม่สนแล้วว่าจะบาป มันนิดหน่อยเอง เขาไม่สนอะไรแล้ว ขอกูรวยก่อน พอรวยแล้วจะได้การยอมรับเอง แล้วอื่น ๆ จะตามมา ศีลธรรมเป็นเรื่องตลก ทุกวันนี้ยังมาพูดล้อกันเลยว่ามึงเป็นคนดี กลายเป็นว่าคนดีโดนล้อ ผมว่ามันอยู่ในยุคที่เพี้ยนไปแล้ว

 

เกิดมาทั้งที

รีบทำกันหน่อยความดี

รอจนพรุ่งนี้มันจะสาย

อยู่ไม่นานก็ตาย

หากไม่เคยทำดีเอาไว้

ก็โชคดีนะบ๊ายบาย

ถ้ามองตามแนวพุทธก็คือมรณานุสติ คือคนเราตายได้ตลอดครับ ถ้านึกถึงตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างมีชีวิตอยู่ถ้าเรายังประมาทกับการใช้ชีวิตอยู่ก็ไม่รู้จะตายวันไหน อาจจะตายพรุ่งนี้ เย็นนี้เลยก็ได้ รีบทำบุญเอาไว้ คนไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้าก็ไม่เป็นไร ก็โชคดีนะบ๊ายบาย (หัวเราะ) จะเจออะไรก็เจอ ไปพิสูจน์กันเอาเอง

 

มนุสโสสิ อามะภันเต

เป็นคนรึเปล่า ใช่ครับโอ้เย

มนุสโสสิ อามะภันเต

เกิดเป็นคนทั้งทีก็ทำดีกันหน่อยเซ่

ก็ถามว่า เป็นคนหรือเปล่า ก็ตอบว่าใช่ครับ คือถ้าเป็นคนก็ทำดีกันซะสิ

 

พระพยอมท่านก็สั่งก็สอน

วัยรุ่นสาวๆ อย่าหากินแนวนอน

วัยรุ่นหนุ่มๆ อย่ามัวแต่พนันบอล

ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน

ผมฟังเทศน์พระพยอมแล้วท่านพูดเรื่องนี้พอดี เป็นผู้หญิงก็อย่าขายบริการ ผู้ชายก็อย่าไปติดพนัน มาจากที่ท่านเทศน์แหละครับ จริง ๆ เพลงผมไม่ต้องแปลความอะไรเลย (หัวเราะ)

 

เกิดเป็นคนอย่าทำตัวหนักแผ่นดิน

เกิดมาทั้งทีอย่าให้เสียชาติเกิด

อย่าให้คนเขาด่าว่าชิงหมามาเกิด

ห๊ะ อะไรนะ ไอ้ชิงหมาเกิด

พระพยอมก็พูดที่ท่านเทศน์ว่าเกิดเป็นคนทั้งทีถ้าไม่ทำความดีก็เหมือนชิงหมามาเกิด ก็นำสู่ท่อนต่อไปว่าหมาจะเกิด ชิงหมาเกิด

 

เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดา

ยากดีมีจนก็แล้วแต่กรรมที่ทำมา

คนเราต่างจากสัตว์มีสมองใช้ปัญญา

หมั่นทำแต่ความดีหลังอาหารสามเวลา

อันนี้เป็นส่วนที่ โต้ง เขียนครับ ก็คงตามนั้นเลยครับ บรรทัดสุดท้ายนี่แค่ใส่มาให้มันคล้องจองกันเป็น rhyme

 

คนเราสุขสบายเกิดจากความเคยชิน

วัดกันที่ลาภยศเงินทองและทรัพย์สิน

เป็นคนดีของสังคมไม่คดไม่โกงกิน

ก้มหน้าไม่อายฟ้าเงยหน้าไม่อายดิน

ท่อนสุดท้ายเหมือนกวนตีนแบบ ถ้าก้มหน้าไม่อายฟ้า เงยหน้าไม่อายดิน แล้วจะไปอายอะไร

 

 

มาเป็นชิงหมาเกิดได้ยังไง

มาจากการได้ฟังพระพยอมท่านเทศน์ด้วยว่า เกิดมาเป็นคนทั้งที ถ้าเอาดีไม่ได้ เกิดมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เหมือนชิงหมามาเกิด ฟังแล้วก็ขำดี relate กันได้กับ เป็นคนหรือเปล่า

รู้สึกว่าแรงไหมที่ตั้งชื่อเพลงว่าชิงหมาเกิด

ไม่รู้สึกว่าแรงนะครับ ตอนนั้นกลัวจะโดนอย่างเดียวเรื่องภาษาบาลีว่าเดี๋ยวผู้ใหญ่จะเอามาติเป็นประเด็นว่าเอาภาษาบาลีมาล้อเล่นกัน แต่ก่อนผมจะทำผมก็ไปถามมาแล้วว่าภาษาบาลีเอามาใช้อย่างนี้ได้ไหม พระท่านก็บอกว่าภาษาบาลีเหมือนภาษาที่ตายแล้ว ไม่มีการพัฒนาแล้ว อย่างภาษาไทยอาจจะมีคำว่าเฟี้ยวฟ้าวเพิ่มขึ้นมา แต่ภาษาบาลีมีแค่ไหนก็แค่นั้น คำแปลออกมาก็ไม่ได้ไปลบหลู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะก็แค่ถามว่าเป็นคนรึเปล่า แล้วตอบว่าอามะภันเต ที่แปลว่าใช่ แค่นี้เอง สมัยสมเด็จพระสังฆราชมาจากศรีลังกาเสด็จมาที่วัดธรรมมงคล เจอหลวงพ่อวิริยังค์ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ต้องใช้ภาษาบาลีสื่อสารกันเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ทั้งคู่ แล้วท่านก็เรียนบาลีมาก็รู้พื้นฐาน บางคนอาจจะคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของบทสวดมนต์หรือเปล่า

เป็นคนธรรมะธัมโมหรือเปล่า

อย่าเรียกว่าธรรมะธัมโมเลยครับ เป็นแค่คนสนใจศึกษาศาสนาพุทธ แค่รู้ธรรมะ แต่ไม่ได้เป็นขนาดคนมีธรรมะเต็มเปี่ยมขนาดนั้น พยายามจะเป็นอย่างนั้น แต่ยังไม่ได้ (หัวเราะ) คนมีธรรมะเขาจะควบคุมอารมณ์ได้ดี ใจเย็น

พระพยอมนี่ก็ฟังตอนเด็ก ๆ ครับ สมัยนั้นจะมีคนเดินขายเทปตามสี่แยก แม่ก็ซื้อมาเปิดให้ฟัง พอโตมาก็เริ่มศึกษาพุทธแบบแก่นมากขึ้น ก็อ่านท่านพุทธทาส ตอนเด็ก ๆ อ่านก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ พอโตมา ไปปฏิบัติธรรมด้วย ไปบวชด้วย ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าแก่นศาสนาพุทธคืออะไร เพราะตอนเด็ก ๆ โดนสอนมาผิด ๆ ว่าตระเวนไหว้พระ 9 วัดคือการได้บุญ จุดธูปจุดเทียนแล้วขอพร มันก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย

ทำไมเอาทำนองเพลง Happy Birthday มาใส่ในท่อน หมาจะเกิด ชิงหมาเกิด

ตอนนั้นเป็นไอเดียใครผมก็จำไม่ได้ คือในเพลงมีท่อน breakdown พอนึกถึงคำว่าชิงหมาเกิดก็เป็นคำที่ร้องเล่น ๆ ตอนเด็ก ๆ ในงานวันเกิดเพื่อน เวลามีใครแกล้งก็จะเคยได้ยินอยู่แล้วก็เลยเอามาใส่ แต่ไม่รู้ว่ามีลิขสิทธิ์ด้วย ก็โดนค่าลิขสิทธิ์ไป (หัวเราะ)

ได้ไอเดียการเขียนพาร์ตดนตรีมาจากอะไร

ก็เป็น reggae dancehall ครับเพลงนี้ จะเป็นจังหวะ caribbean หน่อย ๆ มันจะไม่ electronic dance แล้วก็จะไม่ hip hop ถ้าถามว่าในอัลบั้มแรกเพลงไหนใกล้ reggae dancehall ที่สุด สำหรับผมก็เพลงนี้แหละครับ ถ้าเปรียบเทียบ hip hop เหมือนลูกทุ่ง dancehall ก็เหมือนหมอลำน่ะครับ โป๊งชึ่ง ๆ บ้าน ๆ หน่อย

ตั้งใจจะเอาเรื่องศาสนามาเชื่อมโยงกับวงและเพลงหรือเปล่า

ไม่เลยครับ ชื่อวงก็ไม่เกี่ยวเลย พี่โจ้บอกให้ไปตั้งชื่อวงมาก่อนค่อยทำเพลงแล้วกัน นอกจาก AYM ที่ทำใต้ดินแล้วก็มาทำ Buddha Bless นี่แหละครับ อันนี้ โต้ง เป็นคนตั้ง ผมก็ไม่สนใจเรื่องชื่อวงด้วย ผมคิดว่าการประสบความสำเร็จมันมาจากเพลง ไม่เกี่ยวกับชื่อวง ชื่อไม้ตียุงอะไรก็ได้ตั้งไปเถอะ แต่ผมก็ไม่เอา มันทุเรศ (หัวเราะ) โต้ง เขาก็เลยไปตั้งเป็น Buddha Bless ก็ดูเอเชียดีนะ ผมก็เออ ฟังดูสิริมงคลดี เหมือน God bless you น่ะครับ แต่ โต้ง ก็ไม่ได้อินกับศาสนาพุทธอะไร เขานับถือพระพิฆเนศวรด้วยซ้ำ ผมก็เขียนเนื้อเพลงเป็นหลักของวง ช่วงนั้นผมก็อินกับศาสนามันก็เลยประจวบเหมาะ ก็เลยเขียนออกมาให้มีอะไรแบบนี้ เพราะผมคิดว่าการเขียนเพลงมันน่าจะได้ให้อะไรกับคนฟัง เหมือนฟังเพลง ความเชื่อ ของ Bodyslam แล้วได้แรงบันดาลใจมาก นี่แหละที่เรียกว่าศิลปะที่ไม่ได้ให้แค่ความเพลิดเพลิน มันให้ข้อคิดกับคนด้วย สำหรับผมแล้วเพลงมันเพอร์เฟ็กต์

เพลง ชิงหมาเกิด เป็นหนึ่งในนั้น

ผมพยายามทำให้เป็นแบบนั้น แต่คิดว่ามันคงไม่ได้ขนาดนั้น ผมเชื่อว่าคนฟังเขากะสนุกสนานเฮฮาอย่างเดียว น้อยคนที่จะเอาข้อความที่เราเขียนลงไปมานั่งคิด อาจจะมีบ้าง แต่ผมคิดว่ามีแค่คนเดียวผมก็ประสบความสำเร็จแล้วล่ะ

แล้วทำไมคอนเซปต์วงต้องเป็นเร็กเก้ เขียว เหลือง แดง

เขียว เหลือง แดง มันเริ่มกลายเป็นภาพจำของคนแล้ว พอเริ่มไม่ใส่ คนจ้างงานไปก็ถามว่า ทำไมไม่ใส่มา เราก็แบบ อะไรวะ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นกันขนาดนี้ ส่วนเรื่องเพลงผมก็ยังคิดอยู่เสมอว่ามันน่าจะให้อะไรกับคนฟังได้ ไม่ว่าจะหนังหรือเพลง ถ้าทำออกมาแล้วคนเถียงไม่ได้ เราลองพูดออกไป ถ้ายังมีข้อขัดแย้งอยู่มันจะไม่ complete อย่างเอาหลักศาสนามาพูด มันไม่ได้อยู่แค่ที่ศาสนาหรอก หรืออย่างเพลง Live and Learn หรือ ฤดูที่แตกต่าง ของพี่บอย โกสิยพงษ์ เขาเป็นคนคริสต์ที่เคร่งมาก แต่เพลงออกมาก็เหมือนปรัชญาพุทธด้วยซ้ำ จริง ๆ มันไม่ใช่ศาสนาหรอก มันเป็นสัจธรรมของโลกด้วยซ้ำ ถ้าทำแล้วเอามาพูดมันก็โดนใจทุกคนแหละ เพราะคนเห็นด้วยในความที่มันเป็นความจริง ไม่มีใครแย้งได้

ช่วงหลังได้ทำเพลงบ้างไหม Buddha Bless หายไปไหน

ก็ทำเพลงอยู่ ความที่ผมเขียนเพลงจากชีวิตจริงตามอารมณ์ผมในเวลานั้น ๆ แต่คนจะติดภาพ Buddha Bless ที่มีแต่ความสนุกสนาน ไม่รู้ว่าเพราะอายุด้วย หรือชีวิตที่เจออะไรหลาย ๆ อย่าง เพลงหลัง ๆ ที่ทำมามีแต่เพลงช้าแบบเยอะมาก ทำเสร็จก็ไม่ได้ออก แล้วเก็บไว้เยอะมาก ทุกวันนี้เพลงมันไม่ได้เป็นอัลบั้มแล้ว ปล่อยเป็นซิงเกิล ยิ่งมันเป็นเพลงช้าก็คิดว่าคนจะเอาหรอ อย่างตอนนั้นมี ลืมไปก่อน เป็นความรู้สึกเราที่เขียนจากชีวิตจริง แล้วก็ไม่ได้สนว่าจะโดนหรือไม่โดน เราอยากออกเพราะก็อยากออก มันเป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ แต่ตอนนี้ปัจจัยมันก็หลายอย่าง ลงทุนเอง ทำอะไรเองกันหมด จริง ๆ แล้วนิสัยทั้งสามคน ยิ่งผมนี่ไม่มีหัวการค้า การจัดการเลย หน้าที่ผมผมทำเพลงอย่างเดียว แค่วิธีโปรโมต จะทำยังไงให้เป็นกระแสเนี่ย ผมยังนึกจั๊กจี้เลยว่าทำไมกูต้องสร้างกระแสให้ตัวเองวะ เป็นคนไม่ชอบทำอะไรแบบนั้นเลย ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะครับ ทำงานศิลปะแล้วจะค้าขายให้หากินได้มันก็ต้องโปรโมต แล้ววิธีโปรโมตของแต่ละคนก็ต่างกัน ปรากฏว่าสุดท้ายเพลงก็สำคัญที่สุด โอเค ถึงเพลงมันจะดีจริง ๆ แต่ว่ามันไม่ดัง ก็อาจจะออกมาผิดเวลาหรือโปรโมตไม่ถึงคนฟัง ยุคนี้มันเดาอะไรกันไม่ได้ ตอนแรกคิดว่าจะออกเป็นอัลบั้มก็เก็บ ๆ ไว้ก่อน ตอนนี้มีหลายเพลงมาก แล้วรู้สึกว่าเป็นเพลงช้าทั้งหมดก็จะทยอยออก แล้วตอนนี้เหมือนผมเป็นหัวเรือหลัก เวลาจะทำอะไรเพื่อนก็จะรอผมว่าจะเอายังไง ซึ่งผมก็ไม่ชอบเป็นหัวหน้าใครหรือรับผิดชอบอะไร ก็บอกในวงว่าไม่มีใครเป็นหัวหน้านะ ทุกคนเหมือน ๆ กันหมด เพื่อนเขาก็มีกิจกรรมงานการอย่างอื่นไปทำ ก็เลยกลายเป็นว่าพอผมไม่กระตุ้น ทุกคนก็ไปทำโน่นทำนี่รอผม ผมก็รู้สึกว่าทำไมไม่มีใครสนใจ ก็เลยไปทำอย่างอื่นบ้าง คือผมค้าขายไม่เก่ง ถ้าทำอะไรโดยการเอาเงินเป็นตัวตั้งคือเจ๊งตลอด แต่ถ้าเลือกทำด้วย passion ด้วยความอินกับมัน ผมว่าผมทำมันได้ ผมก็ไปลองเล่นหนัง เล่นละคร สุดท้ายก็ชอบทำเพลงที่สุด ก็พยายามกลับมาทำให้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ก็ทำของตัวเองด้วย ก็บอกเพื่อน ๆ ว่าจะทำเพลงก็บอกนะ แต่ให้ไปกระตุ้นไปตามผมก็ว่าไม่ใช่แล้วแหละ ต้องมีไฟในตัวเอง ก็เลยจะทยอยออกเพลงพวกนี้ ทำมา 2-3 ปีแล้วครับเพลงช้าที่ทำไว้ ก็ไม่ได้คิดแล้วว่าจะโดนหรือไม่โดน สมัยอยู่ค่ายใหญ่เขาก็มองเรื่องยอดขาย ผมรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเดาได้ ตอนผมเองเมื่อก่อนก็เขียนมากลัวจะไม่ฮิตไม่โดน ยึดติดกับความสำเร็จเก่า ๆ คือทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าถ้าเราเขียนเพลงจากชีวิตเรา มันก็คือไดอารี่ที่บันทึกว่าตอนนั้นเรารู้สึกยังไง ไม่รู้จะเป็นเรื่องที่โดนคนหมู่มากหรือเปล่าก็ช่วยไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เพราะผมไม่ได้เป็นพวกสายตลาดเก่ง ๆ ที่เขียนได้โดยไม่ได้รู้สึกกับมัน ผมพอทำได้นะ แต่คิดว่าทำได้ไม่ดี ยิ่งเป็นเพลงที่เราต้องร้องเองด้วยเรายิ่งไม่อินเลยถ้าเราไม่ได้รู้สึกกับมัน เราไม่เคยผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาก็จะไม่ภูมิใจ มีหลายเพลงของผมที่ผมชอบเนื้อเพลงมันมาก แม้กระทั่งออกไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จเลยเมื่อมันออกไป แต่ผมโคตรมีความสุขเลยเวลากลับมาฟังมัน หรือกลับไปดู music video ที่เราชอบเนื้อเพลงมันมาก ๆ แต่ว่ามันไม่ดัง

เพลงต่อไปที่จะทำจะเป็นแนวใกล้ ๆ กับเมื่อก่อนไหม

ผมว่าก็ต่างนะ เพราะผมก็ไม่ได้จะต้องเร็กเก้จ๋า มันจะมีสายพวกเร็กเก้มาก ๆ ผมรู้สึกว่าคนไทยเวลาทำอะไรก็จะต้องอิงกับของเดิมของต่างประเทศ แต่ผมไม่ได้มาขายหน้าตาหรือมาขายท่าเต้น ผมขายอะไรไม่ได้สักอย่างเพราะเสียงก็ไม่ดี แล้วเราขายอะไรวะ ก็คงเป็นความเป็นตัวของตัวเอง ผมเป็นแร็พเปอร์ แร็พเปอร์ก็คงขายความคิดเนี่ยแหละ ขายเนื้อเพลง เนื้อเพลงมันจะไปอยู่ดนตรีแนวอะไรก็ได้ ไม่ต้องจำกัดตัวเองจ๋าว่าจะต้องฮิปฮอป เร็กเก้ แดนซ์ฮอลล์ ดนตรีหมอลำสนุก ผมอยากแร็พกับดนตรีหมอลำ ผมก็ทำมันได้ แจ๊ซ ฮิปฮอป R&B ผมก็ฟังตั้งแต่เด็ก ทุกอย่างมันก็ผสมกันได้ ผสมกับดนตรีสด ผมอยากทำ brass band วงเครื่องเป่าเยอะ ๆ ผมก็หาคนมาทำด้วยอยู่ แต่ว่าอะไรที่ทำให้เราตื่นเต้นระหว่างทำงาน มีภาพในหัวว่าปลายทางเราอยากให้เป็นอย่างนี้ ถ้าเราตื่นเต้นที่จะทำมัน ผมว่าอันนี้เป็นการกระตุ้นไฟในตัวในการทำงาน ไม่งั้นก็จะยึดติดกับ pattern เดิม ๆ

ทำไมถึงชอบแร็พ

ผมคิดว่าตัวเองเสียงไม่ดี ร้องเพลงไม่เพราะ แล้วตอนเด็ก ๆ ก็เล่นดนตรีไม่เป็น พอฟังเพลงแร็พ เพลงฮิปฮอปก็ไม่รู้ทำไมถึงชอบ รู้สึกสนุก แล้วที่โรงเรียนเขาก็มีให้ผลัดกันขึ้นมายืนอ่าน เวลาครูให้ลุกขึ้นมายืนอ่านก็เหมือนเขิน ทุกวันนี้ใส่แว่นดำร้องเพลงก็เพราะเป็นคนขี้อายนะ ฝึกอยู่นานมากกว่าจะกล้าแสดงออกเหมือนทุกวันนี้ แล้วก็รีบอ่านเร็ว ๆ ให้มันจบไป ก็เลยติด แล้วเหมือนแข่งกับเพื่อนว่าใครอ่านเร็วกว่า ผมก็อ่านหนังสือคล่อง อ่านเร็วมาก พอหลังจากนั้นที่โรงเรียนก็มีสอนเขียนกลอน เวลาเขียนกลอนผมไม่ได้เขียนเพราะ เหมือนเขียนด่า แซวเพื่อนในห้อง ตั้งแต่สมัยประถมน่ะครับ แล้วเพื่อนก็หัวเราะกัน รู้สึกว่ามันสนุกว่ะ ผมว่าผมได้จากตรงนั้นมาแล้วก็เอามาผสมกัน พอเล่นดนตรีไม่เป็นตอนมัธยม พอเจอฮิปฮอปแล้วผมก็ฝึกแร็พตาม เหมือนคนอื่นเขาเล่นกีตาร์แล้วเราเล่นไม่ได้ เห็นเขาเล่นเก่งจัง หรืออย่างคนแร็พได้ก็ดูเก่งว่ะ ผมก็รู้สึกสนุกเวลาผมร้องตามได้ในจังหวะเร็ว ๆ ก็ไปหาเนื้อเพลงมา สมัยนั้นเพลงฮิปฮอปยังไม่มีเนื้อเพลงในเน็ตเลย พอหามาได้ก็ฝึกร้อง เปิดวนร้องเป็นร้อย ๆ รอบ สนุกมาก เหมือนการเล่นดนตรีอย่างนึง เหมือนจับจังหวะ ก็เลยยิ่งอินกับมัน พอถึงเวลาเราฟังมาก ๆ มันก็จะอยากทำเองแล้ว เวลาเขียนลอยได้ ร้องเร็ว ๆ ได้ ทุกอย่างมันรวมกันโดยบังเอิญพอดี

คิดว่าการใส่บริบทไทย ๆ ลงในแร็พมันดูมีเสน่ห์หรือเปล่า

ผมไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลยครับ คือเราโตมายังไง เราก็เขียนออกมาจากใจเรา มันก็เลยเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้คิดว่ามันไทยหรือไม่ไทย ถ้าจะให้ผมเขียนในมุมมองของอเมริกันผมก็เขียนไม่ได้เพราะผมไม่ได้โตต่างประเทศมา ผมก็โตมากับเพลงซูซู คาราบาว คาราวาน ให้เขียนมาเป็นแก๊ง east coast, west coast, motherfucker มันก็จั๊กจี้ มันไม่ใช่เรา

อยากลองแต่งเพลงการเมืองไหม

ผมเป็นคนอินเรื่องการเมืองมาก ๆ คนนึงเลยนะ ถ้าเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กผมอาจจะรำคาญว่ามึงจะอะไรนักหนา เป็นงี้ตั้งแต่เด็กแล้วครับ ถ้าถามว่าตอนเด็ก ๆ อยากเป็นอะไรก็จะบอกว่าอยากเป็นนายกครับ แต่โตมารู้เลยว่าไม่ไหวแน่นอน มันสกปรกมาก ผมว่าวงการนี้มันสาดโคลนกันแบบ ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งจริง ๆ นี่อยู่ไม่ได้ มันนรกมากอะ เพลงมุมมองการเมืองถ้าเขียนไปมันก็เท่านั้นน่ะ ไม่ว่าคาราบาวเขาจะเขียน ๆ กันมา สุดท้ายแล้ว ท่านพุทธทาสพูด ระบอบมันไม่ได้สำคัญเท่าจริยธรรมในใจคน ผมยังไม่เข้าใจ ท่านบอกว่าถ้าประชาธิปไตยผู้นำไม่ดีก็พาไปลงนรกอยู่ดี ถ้าคนหมู่มากเลือกอะไรที่ผิดแล้วมั่นใจว่าการเดินลงนรกเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนระบอบเผด็จการถ้าผู้นำดียังสามารถนำประเทศเจริญก้าวหน้าได้ถ้าผู้นำมีคุณธรรม ผมก็สงสัยว่ามันจะจริงหรอ ยุคนั้นผมก็คลั่งไคล้ในประชาธิปไตย ผมจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ผมคิดว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่เลือกยังไงก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่สนอะไรทั้งนั้น แต่พอโตมาศึกษาศาสนาพุทธ ผมว่าผมเห็นด้วยกับท่าน จริง ๆ คนเราเลือกมาผิดพลาดกันได้ เพราะในตอนนั้นผู้นำฉากหน้าเขาอาจจะหาเสียงมาเป็นคนดี หรือเขาอาจจะเป็นคนดีจริง ๆ มาโดยตลอด แต่พอคนเราได้รับอำนาจมาแล้วมันก็เหมือนแหวนใน ‘The Lord of the Rings’ มันก็เปลี่ยนความคิดจากคนเดิมที่เป็นคนดีให้เป็นคนเลว คราวนี้มันก็พินาศเลย อะไรก็เกิดขึ้นได้ งั้นผมเชื่อว่าระบอบมันไม่ได้สำคัญเท่าการตรวจสอบ จริยธรรม หรือคุณธรรมของผู้นำ เลยคิดว่าเขียนกันไปเท่านี้มันก็ไม่ใช่ระบอบ ไม่ใช่การเมืองแล้ว ย้อนกลับมามันก็เรื่องศาสนาแหละ เหมือนพูดไปก็เท่านั้น จะให้มาสามัคคีกันเนี่ย ไม่มีใครสนคำนี้หรอก เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ก็เห็น ๆ อยู่ว่าสังคมไทยทุกวันนี้มันเป็นยังไง มันเป็นสังคมที่ชอบเสพดราม่า คือถ้าหวังว่าจะได้ดราม่าแล้วเป็นกระแสก็คงทำไปแล้ว เดี๋ยวนี้คนในสังคมใช้ความเชื่อมากกว่าเหตุผลแล้ว แล้วมันก็ไม่มีใครถูกใครผิดเสมอ มันเปลี่ยนตามระยะเวลา ใครจะคิดว่าวันนึง จีนที่คอมมิวนิสต์จ๋า จะพาสหายทั้งประเทศมามี McDonald’s, Louis Vuitton เอาทุนนิยมเข้าไปอยู่ด้วย ยุคสมัยมันก็เปลี่ยนไป โลกก็เปลี่ยนตาม อย่างที่ผมบอก เพลงพวกนี้มันไม่ใช่สัจธรรม มันไม่ได้หยุดได้ตลอดไป ก็เป็นแค่เหตุการณ์นึงเท่านั้นเอง ไม่ได้น่าเอามาเขียนขนาดนั้น มีแค่เรื่องมนุษย์เนี่ยแหละ สัจธรรมทุกศาสนาเหมือนกันหมด น่าเขียนที่สุด

คนมองว่า Buddha Bless เป็นวงตลก

มันก็เป็นอย่างนั้นนะ เวลาคิด mv ทีไร ทำเพลงช้า เพลงซีเรียสจริงจัง พอคิด mv แม่งก็พาไปตลกงี่เง่าแบบทุกครั้ง เรียกว่าเป็นสันดานละมั้ง พยายามทำเท่แล้วก็ไม่เวิร์ก ผมรู้สึกว่าคนเรามันจะเท่ บางคนก็เท่ด้วยตัวมันเอง บางคนพยายามทำเท่ด้วยการสร้างภาพแต่งตัว เวลาเราลองทำอะไรแบบนั้นก็รู้สึกจั๊กจี้ที่มาทำเก๊ก ทำอะไรเท่ ๆ แม่งขนลุกอะ มันไม่ใช่เรา ตอนมีค่ายเขาก็ไม่ได้บังคับอะไรหรอก ปล่อยอิสระมากในระดับนึง แต่จะมีคนมาเบรกนิดนึงว่า เฮ้ย ๆ มึงตลกไปละ รักษาลุคหน่อย แต่ยิ่งตอนนี้ไม่มีค่าย ไม่มีใครมาปราม มันก็เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ยิ่งเวลาเล่นโชว์บนเวที การที่เราสร้างอารมณ์ขันให้คนดูได้ มันทลายกำแพงคนดูกับศิลปินได้ เพราะบางคนเขาก็ไม่ได้ชอบเพลงฮิปฮอป ตามห้าง ตามงานอีเวนต์ ผู้ใหญ่บางคนเขาก็ไม่รู้จักวงเรา จูงลูกจูงหลานมาดู เขาไม่รู้จักเพลงเรา ร้องตามไม่ได้ เพลงแม่งร้องเร็วฉิบหาย ฟังยังฟังไม่รู้เรื่องเลย อันนี้แหละทำให้คนสนุกไปกับเราได้

เพลงของ Buddha Bless ที่ชอบมาก แต่คนไม่ค่อยได้ฟัง

เดือด กับ จ๊น จน ครับ ผมชอบมาก ๆ

แต่ละคนทำอะไรกันอยู่

เอ็ม ก็ช่วยหมาช่วยแมวครับ ทุ่มเทชีวิตช่วยสัตว์โลก โต้ง ก็ขายเสื้อผ้า แล้วก็มี production house ที่รับถ่ายงานโน่นนี่นั่น ทำหลายอย่างครับ ส่วนผมไม่ทำอะไรครับ ทำเพลงอย่างเดียว อยากจะไปลองทำอย่างอื่น พอไปลองทำเพราะอยากหาเงินเพิ่ม พยายามปรับใจแล้วนะว่าอยากได้เงิน แต่ไม่ใช่คนอย่างนั้นแล้วจริง ๆ ลองแล้วทำไม่ได้ ถามว่าทำอะไรแล้วอินแล้วมีความสุขกับมันก็เพลงเนี่ยแหละ ทำคนเดียวทั้งวัน ถามว่าเบื่อมั้ย ก็เบื่อนะ เครียดเหมือนกันเวลาทำไม่ได้ ก็บอกตัวเองว่าอย่าไปเครียด เพราะถ้าตัวเองเครียดตั้งแต่ตอนทำ ฟังแล้วยังไม่สนุกเลยคนฟังจะไปสนุกได้ยังไง เพลงส่วนใหญ่ที่เวิร์กคือเขียนไปนั่งขำไป จะเป็นอย่างนั้นมากกว่า

เร็ว ๆ นี้จะมีเพลงใหม่ไหม

ก็มี mv กำลังถ่ายอยู่ ทำไว้นานแล้ว featuring กับพี่เจนนิเฟอร์ คิ้ม ครับ เป็นเพลงช้า แต่เป็นสัจธรรมชีวิตครับ คุยกับเพื่อนว่าเพลงนี้ฟังแล้วไม่ตลาดเลยว่ะ มันไม่ได้ขายแน่ แต่ก็ช่างแม่งอะ ถ้าจะทำเพลงอย่างที่เราไม่อินกับมันร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วคิดว่ามันจะขาย แต่มันไม่ขายเนี่ย ผมทุเรศตัวเองมาก ๆ เลยสมัยอยู่ค่ายใหญ่ ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้วในชีวิตนี้ เพราะตอนทำอัลบั้มแรกผมไม่ได้คิดเรื่องขาย ขอแค่ออกอัลบั้ม มันดูไม่มีวี่แววว่าจะขายได้เลยเพลงแนวนี้ ผมก็จะกลับไปทำงานออฟฟิศที่ผมโคตรเกลียดเหมือนเดิม เพราะว่าแค่นี้ก็เหมือนลองทำตามความฝัน ถ้ามันประสบความสำเร็จก็เหมือนเออ เนี่ยแหละ ถ้าเราลองทำตามที่เราเชื่อ มันคือสิ่งที่ถูกต้อง อย่าไปนั่งเอาใจตลาด มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น เพลงนี้ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ก็ออก เสียดายอย่างเดียวคือพอตั้งใจทำเพลงอะไรแทบตาย ถ้าการโปรโมตมันไม่ได้เข้าถึงคนหมู่มากก็เสียของ ก็ยังไม่มีแพลนว่าจะโปรโมตยังไง ก็ไม่รอแล้วครับ กลัวตายก่อน เพลงที่ดอง ๆ ก็ทยอยออกมาให้หมด เพลงช้าก็ไม่สนแล้ว ขอแค่มีอะไรออกมาเรื่อย ๆ ก็พอ

ฝากผลงานของวงหน่อย

ซิงเกิลล่าสุด เรื่องธรรมดา featuring กับพี่เจนนิเฟอร์ คิ้ม ครับ น่าจะได้ฟังกัน คงไม่รอ mv เสร็จ ผมปล่อยเพลงไปก่อน ลองติดตามกันดูครับ

 

อยากรู้ว่าจะมีอะไรอัพเดทเกี่ยวกับ Buddha Bless ตามเข้าไปดูได้ที่ https://www.facebook.com/buddhablessband

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้