Article Interview

เพราะพวกเราเล่นด้วยหัวใจเสมอมา : Cocktail

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Chavit Mayot

17 พฤษภาคม 2561

“คอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตที่ไม่บอกอะไรคนดูเลย เราอยากให้พวกคุณมารับรู้เอง”

ประโยคนี้คือ 1 ในประโยคเด็ดที่เกิดขึ้นจากการสัมภาษณ์ครั้งนี้ของผมและวง Cocktail ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์วงดนตรีวงนี้ครั้งแรกของผมซะด้วย แน่นอนความตื่นเต้นยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งกับการเจอวงดนตรีวงใดสักวงนึงที่เราชื่นชอบ ครั้งนี้ผมได้รับหมายสารมาว่า อยากถามอะไรวงนี้ก็สามารถถามได้เลย ซึ่ง ณ ขณะที่ได้เจอกัน ตัวผมเองยังไม่ทราบรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับงานคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเขาเลย ทราบแค่เพียงผมต้องการเจอพวกเขาเพื่อถามคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของพวกเขา ทั้งภาพดำ ๆ บนเพจวงก็ดี ทั้งตัวเลขมากมายที่ต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับแฟนเพลง และทันใดที่สมาชิกทั้ง 4 คนมาครบ บทสนทนานี้จึงเกิดขึ้นและเรื่องราวทั้งหมดของคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้จะเป็นเช่นไร มาลุ้นไปพร้อม ๆ กันครับ

ภาพสีดำในเพจ Cocktail ทั้งหมด สิ่งนี้มันคืออะไร

โอม: มันเป็นการสื่อสารจากพวกเราให้แฟนเพลงเห็น เป็นการปิดการรับรู้รวมไปสู่การรับรู้เรื่องเดียว คือ คอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 3 ปีของ Cocktail ครับ โดยเราจะจัดที่ IMPACT Arena เมืองทองธานีครับ

ทำไมถึงเลือกจัดที่ IMPACT Arena

โอม: มันว่างพอดีครับ (หัวเราะ) ตอบตามความจริงเลยนะครับ เราคิดว่า ถ้าเราทำคอนเสิร์ตอีกรอบนึงมันจะต้องเป็นคอนเสิร์ตสเกลคนดูประมาณ 10,000 คนขึ้นไป แล้วสถานที่ที่มันสามารถจุคนดูขนาดนั้นได้และทำงานง่ายที่สุดก็คือ IMPACT Arena ซึ่งมันบังเอิญมาก ๆ ที่คิวคอนเสิร์ตที่เขาจะจัดก่อนหน้านี้มันหลุดพอดี ทำให้เราได้จัดในช่วงเดือนกรกฏาคมครับ จริง ๆ ตอนแรกพวกเราตั้งใจไว้ว่าจะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ช่วงปลายปี แต่มันกลายเป็นว่าทุกอย่างถูกดีดกลับมาที่กลางปี อีกอย่างคอนเสิร์ตวง Cocktail ไม่เหมาะกับสถานที่ Outdoor ด้วย แต่หากถามว่าอยากเล่นสถานที่ Outdoor ไหมก็อยากนะครับ แต่มันไม่ได้กลางปีฝนมันตก ทีนี้เราก็ต้องจัดใน Indoor ซึ่งฮอลล์ส่วนใหญ่เขาก็จะจัดแสดงสินค้า จัดงานสัมมนาต่าง ๆ แล้วฮอลล์พวกนี้มันค่อนข้างเปลืองต้นทุนในการทำโครงสร้าง ทำเวทีใหม่ ทำหลาย ๆ ใหม่ หรือจะพูดง่าย ๆ ว่าที่พูดมาทั้งหมด IMPACT Arena มันมีทั้งหมดแล้วนั่นละครับ เราเลยเลือกที่นี่ เราทำงานได้ง่ายที่สุดครับ

กดดันกับสถานที่แห่งนี้มากน้อยขนาดไหน คิดว่าจะโดน IMPACT Arena ปราบรึเปล่า  

โอม: เพราะเราไม่ใช่เซียน เราก็คงไม่โดนปราบนะ

เชา: เครียดเหมือนกันนะ คือผมจะสบายใจ ถ้าหากสถานที่ไม่เกิน 8,000 – 10,000 คน แต่อันนี้มันใหญ่ขึ้นกว่าครั้งที่แล้วเยอะมาก เทียบจากคอนเสิร์ต 3 ปีที่แล้ว คนมันเพิ่มขึ้นมา 3 เท่าเลยนะ จาก 3,000 คนมาตอนนี้มันเป็นหลักหมื่นเลย อีกอย่างผมว่า 3 ปีมันเหมือนวงเราเองก็โตขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าโตขึ้นมากน้อยขนาดไหน เพราะฉะนั้นตรงนี้มันก็เป็นเรื่องที่ต้องวัดกัน ถ้าเราทำได้มันก็เหมือนกับได้ตอกหลักไมล์ให้กับวงพวกเราด้วยครับ

การทำคอนเสิร์ตของ Cocktail ในครั้งนี้ โครงสร้างต่าง ๆ ตอนนี้ได้วางอะไรไว้บ้าง

เชา: เราเพิ่งประชุมไปครับ มีทีมงานเสนอมาเหมือนกันว่า คอนเสิร์ตครั้งแรกของ Cocktail เมื่อ 3 ปีที่แล้วมันเป็นคอนเสิร์ตที่สมบูรณ์ที่สุด เขามานั่งดูเราเล่นสดตอนนี้มันก็เหมือนว่า Cocktail จะทำอะไรได้มากไปกว่าเดิมรึเปล่า เพราะเหมือนครั้งแรกมันสมบูรณ์แล้ว ตอนแรกผมก็มานั่งคิดเหมือนกันว่าจะทำยังไง แต่พอมานึกย้อนกลับไปเคยมีคนพูดมาแบบนี้เมื่อตอนที่เราออกอัลบั้มแรกเหมือนกันว่า อัลบั้มนั้นเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดแล้ว ไม่รู้จะทำได้มากกว่านั้นรึเปล่า แต่ความจริงมันก็มีทางไปของมันนะ ทุกอย่างมันไม่มีทางตันหรอก ถ้าเรายังมีไอเดีย เรายังมีไฟอยู่ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ มันต้องมีอะไรใหม่ ๆ และมันต้องไม่เหมือนเดิมแน่นอน

คอนเสิร์ตครั้งนี้กับชื่อคอนเสิร์ต ‘เล่นด้วยหัวใจเสมอมา’

โอม: เราต้องการชื่อที่สื่อสารกับคนดูได้ ก่อนหน้านี้เราเคยพูดกันในที่ประชุม เราคิดชื่ออื่นมาก่อน คิดมาเยอะพอสมควรเลย เดิมทีมันต้องมีอัลบั้มออกแล้วค่อยมีคอนเสิร์ต ทีนี้พออัลบั้มมันยังไม่ออกแล้วมีคอนเสิร์ตเลยเนี่ย เราก็ไม่สามารถใช้ชื่ออัลบั้มได้ ถ้ามันมีชื่ออัลบั้มทุกคนก็เข้าใจได้ แต่เราอยากจะพูดถึงชื่ออะไรสักอย่างที่มันเข้าใจได้โดยคนทั่วไป ยิ่งทุกวันนี้เวลาเรารันสถิติมา analytics แฟนเพลงดูว่าคนที่ฟังเราเป็นใครบ้าง มันค่อนข้างกระจาย เรามีคนฟังตั้งแต่ 13-35 ปี หลายคนเป็นคนชนชั้นกลาง ชนชั้นแรงงาน คนเมือง มันมีแฟนเพลงในกลุ่มที่ค่อนข้างกว้าง เราอยากได้ชื่อที่มันไม่ต้องรับการแปลซ้ำ แล้วก็เข้าถึงคนทุกคนได้โดยที่ไม่เกี่ยงฐานะ ไม่เกี่ยงการศึกษา ดังนั้นชื่อนี้มันก็เข้าใจง่ายที่สุดไม่ต้องแปลซ้ำเยอะ ซึ่งคำว่า เล่นด้วยหัวใจเสมอ มันมีความหมายในตัวมัน เสมอมา แปลว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เพราะฉะนั้นมันก็มีการสรุปรวบยอดอยู่ในตัวโดยที่ไม่ต้องมาบอกว่า ครบรอบกี่ปี อันนั้นมันฟังดูเหมือนกับว่าจะเลิกเล่นสำหรับผมนะ

โชว์ของวงในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้จะแตกต่างจากงานทั่วไปอย่างไร

โอม: ซาวด์ดีกว่าครับ (ยิ้ม) อีกอย่างนึงผมว่าวงมาถึงจุดที่ใช้ชื่อคอนเสิร์ตเป็นภาษาไทยแล้วดูไม่ขัด มันจะมีบางวงแบบว่า ณ จุดนึงถ้าใช้ชื่อภาษาไทยมันจะไม่ได้ พอถึงจุดนึงที่เราใช้แล้วรู้สึกว่ามันไม่แย่เกินไป ทุกอย่างเราคิดไว้หมดแล้วครับ อยากรู้ว่าเป็นอะไรไปดูกันในคอนเสิร์ตครับ  

ณ ตอนนี้ความตื่นเต้นของสมาชิกวงแต่ละคนเป็นเช่นไร

เชา: ตื่นเต้นอยู่แล้วครับ ยิ่งมันอยู่ในช่วงที่เตรียมการด้วย เราต้องเตรียมตัวกันให้มากขึ้น คงมีอะไรให้ได้คุยกันอีกสักพักเลยช่วงนี้

คาดหวังว่าอยากให้บัตรคอนเสิร์ต Sold Out ตั้งแต่วันแรกไหม

โอม: ไม่คาดเลยครับ

เชา: ผมคาดว่าวันที่ 2 ครับ

โอม: ผมไม่ได้มองว่ามันสำคัญสำหรับเรา แค่ได้เล่นให้คนดูได้ดูก็แฮปปี้แล้ว

จำนวนคนดู 15,000 คนใน IMPACT Arena สร้างกดดันให้กับ Cockail บ้างไหม

โอม: สิ่งที่กดดันมากมันไม่ใช่จำนวนคนหรอกครับ ผมเคยคุยกับพี่ปั๊ป Potato เหมือนกันนะเรื่องนี้ คอนเสิร์ตใหญ่มันจะมีความกดดันสูงได้อย่างไรในเมื่อเขาตั้งใจมาดูเรา เทียบกันกับไปเล่นที่ที่คนเขาไม่ตั้งใจมาดู มันต่างกันเยอะนะ เขาตั้งใจมาดูเรา เขาก็เอาใจช่วยเรา สมมติว่าถ้าไปเล่นผับบาร์ที่เขามาเที่ยวกันหมดเลย เขาไม่ตั้งใจดูเราอันนั้นกดดันนะ ความกดดันไม่ได้มาจากคน มันมาจากสภาพการเล่นที่ไม่คุ้นเคยมากกว่า สมมติเราเล่นที่ขนาดคนดู 400-500 คน เรารู้อยู่แล้วว่าการสะท้อนเสียง การคุมคนมันเป็นยังไง แต่พอมันเป็นหมื่นคน ระยะขนาดการสะท้อนเสียง การเดินบนเวทีสิ่งเหล่านี้มันใหม่หมด ความกดดันเป็นเรื่องวิธีการครับไม่ใช่คน

ย้อนกลับไปในยุคสมัยที่วง Cocktail ยังไม่มีคนดู รู้สึกยังไงกับวันเหล่านั้นบ้าง

โอม: ง่ายดีครับ (หัวเราะ) เรารู้สึกว่าเขาไม่ได้คาดหวัง เราก็สามารถทำอะไรก็ได้ ยิ่งสมัยก่อนเป็นงานอินดี้ ทุกคนเขาตั้งใจมาดูเราอยู่แล้ว มันคือคนเสพย์ดนตรีร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเราก็เล่นไปด้วยความรู้สึกที่มีของเรา ผมว่าตอนที่มันเป็นก้ำกึ่งดีกว่าตอนที่แบบขานึงเป็นอินดี้ ขานึงเป็นวงแมส อันนั้นเป็นช่วงที่เล่นยากที่สุด กว่าจะผ่านมาได้ก็หนักเหมือนกัน

ฟิลิป: โดนฝึกจิตเยอะครับ มันจะมีบางงานที่ผมเคยเห็นคนนึง เขาไม่ได้ฟังเพลงที่เขาต้องการ เหมือนเขามองขึ้นมาแล้วกวาดสายตาแบบแรงมาก มองหาพวกพี่ ๆ ข้างหน้า น่าจะเป็นสักจังหวัดนึงเนี่ยละครับ เหมือนแบบยืนหน้าเวทีแล้วมองแย่เลย ซึ่งเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้ฟังเพลงที่เขาอยากฟัง เพลงในยุคสมัยก่อน

เชา: ใช่ จากเหตุการณ์นั้นทำให้เข้าใจได้เลยนะ ถ้าเขามาบีบกับพวกเราว่าทำไม Cocktail ทำเพลงเอาใจแต่แฟนเพลงคนอื่น งั้นก็หมายความว่าถ้าผมทำเพลงเอาใจพี่ พี่ก็จะรู้สึกถูกใจใช่ไหม แล้วคนอื่น ๆ ละ ของแบบนี้มันอยู่ที่คนหลาย ๆ แบบด้วย

โอม: เรามองว่า ณ เวลานั้น เขาคงสายตายาวไม่พอ สิ่งที่เรามองคือเราจะอยู่ที่นี่ให้นานที่สุดอย่างไร บางครั้ง เราไม่ได้ตามใจตัวเองทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ มันต้องดูหลาย ๆ เรื่องด้วย โอเคอย่างทำเพลงแน่นอนเราตามใจตัวเอง แต่ทำยังไงให้เพลงไปสู่คนฟังได้ อันนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องไม่ตามใจตัวเอง คือถ้าตามใจตัวเองทั้งหมด บางทีมันก็ไปไม่ถึงคนฟัง เพราะฉะนั้นแล้วการทำเพลงที่เราถูกใจไปถูกใจเขาด้วยมันจึงเป็นอีกวิธีที่น่าสนใจ วิธีการกับสารตั้งต้นมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคิดผิดหลาย ๆ อย่างมันก็จะผิดไปเลยนะ ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งมี mv บางตัวผมไม่ได้ชอบ แต่มันก็มีบางเพลงดังเพราะ mv ก็มี อะไรแบบนี้อ่ะครับ หรือบางครั้งมีคนบอกพวกเราว่าเล่นเพลง cover ทำไม ถามจริง ๆ มีใครอยากเล่นเพลง cover บ้าง มันไม่มีใครอยากเล่นหรอก แต่ทำไมต้องเล่น เพราะถ้าไม่มีคนมาจ้างพวกเราอีก มึงก็ไม่ได้เจอกูอีกเลยนะ ร้านเขาไม่สนหรอกว่าคุณจะเล่นเพลงอะไรยังไง แต่ร้านเขาสนว่ามีคนมาดูกี่คนและวงนี้เล่นแล้วคนในร้านเอาด้วยไหม ผมพยายามมองไว้ว่าสักวันนึงฉันจะเล่นเพลงตัวเองทั้งลิสต์ และผมก็จะยืนอยู่แบบนี้ จนอายุ 45 ปีผมก็จะเล่นแบบนี้อยู่ เราใช้เวลากับเรื่องบางเรื่อง แต่บางคนเขาอาจจะมองไม่เห็นไกลขนาดนั้น

เชา: วันนั้นมันยากนะ เพราะว่าเพลงดังเราเองก็มีไม่มาก

ฟิลิป: วันนั้นเพลงฮิต คือ คุกเข่า กับ เธอทำให้ฉันเสียใจ ที่เหลือคือผสมกันระหว่างเพลง cover กับเพลงวงเรา ผมจำได้ดี

เชา: ยุคนั้นต้องใช้สมาธิเยอะมาก

โอม: จริงๆ กว่าจะผ่านมาได้ก็ใช้เวลาเกือบประมาณ 2-3 ปี มันลดลงทีละนิดนะ ลดไปเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ถ้าไม่นับว่าหน้ากากหอยนางรมทำให้ต้องเล่นเพลง cover มันก็แทบไม่มีแล้ว อันนี้มันช่วยไม่ได้ ความคาดหวังของคน เราไม่อยากไปทำลายตรงนี้ของเขา แล้วบางทีคนก็คิดว่าเป็นเพลงของผมไปด้วย (หัวเราะ) มันก็ต้องเล่น ตามหลักความเป็นจริง ๆ ก่อนหน้าหอยนางรมมันเหลือเพลงเดียวเอง

แขกรับเชิญในคอนเสิร์ตครั้งนี้

โอม: บอกไม่ได้ครับ บอกไม่ได้จริง ๆ (หัวเราะ) ต้องมีด้วยเหรอครับ กลัวผมเอาคอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่อยู่เหรอ

สิ่งที่ไม่เคยทำจะมีไหมในคอนเสิร์ตนี้

เชา: อาจจะมีครับ แต่คงไม่ได้ถึงขั้นเลยเถิดไปไกล มาเต้นมาอะไรแบบนี้ พวกเราคงไม่ถึงขนาดนั้น

โอม: ผมเป็นวงแกรมมี่ละ ผมเป็นผู้บริหารในแกรมมี่ด้วย แต่เราไม่ได้เป็นศิลปินแกรมมี่ขนาดนั้นตั้งแต่เริ่ม เอาจริง ๆ คน genie records ก็ไม่ใช่คนแกรมมี่เท่าไร เรามีวัฒนธรรมองค์กรของเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราจะทำอะไรบนเวทีเดี๋ยวก็รู้ครับ

ทำไมถึงต้องซื้อบัตรไปดูคอนเสิร์ต Cocktail

ฟิลิป: เป็นการเล่าเรื่องที่ผ่านมาของพวกเราครับ (หัวเราะ)

โอม: ตอบโคตรเชยเลย ใครเขาสอนมาแบบนี้ (หัวเราะ) ตอบที่มันตรงกว่านั้นหน่อย ซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ

ปาร์ค: คอนเสิร์ตครั้งที่แล้วมันก็เป็นเหมือนหลักหมุดหลักนึงที่เรามาถึงครับ อย่างวันนี้มันก็เป็นการเดินทางที่ต่อเนื่องมาจากวันนั้นละครับ เราก็อยากให้ทุกคนได้มาสนุกร่วมกันในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ครับ

เชา: อยากให้ทุกคนได้มาร่วมในประสบการณ์เดียวกันครับ

โอม: ผมเชื่อว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด หลาย ๆ คนรู้จักวงเราเพิ่มขึ้นใน 2-3 ปีหลัง ซึ่งมันเลยจากคอนเสิร์ตครั้งที่แล้วมา มันมีคนหลายคนที่ไม่เคยได้ดูคอนเสิร์ตของพวกเราเลยสักครั้ง มันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะสรุปในรอบ 16 ปีที่ผ่านมาและสำหรับคนที่ไม่เคยดูมาก่อนด้วย นี่ถือว่าเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกที่เป็นออฟฟิเชียลจริง ๆ ถามว่าถ้าให้พูดแบบทั่ว ๆ ไป เขาจะบอกว่ามาดูสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน มันไม่จริงหรอก คุณเคยเห็นทุกอย่างมาแล้ว คุณจะเห็นวงเล่นดนตรีมีแสงสีเสียง เห็นจอ เห็นไฟ ทุกอย่างมันซ้ำกับที่โลกนี้มีมา แต่สิ่งที่คุณจะเห็นคือ เห็นเราไม่เหมือนกัน ผมว่าการทำอะไรเหมือนกัน การส่งความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน คุณจะไม่ได้เจอแบบนี้ที่ไหนแน่ ๆ ยกเว้นจากที่นี่

ทุกวันนี้ Cocktail เล่นดนตรีไปเพื่ออะไร

โอม: เงิน ครับ (หัวเราะ)

ฟิลิป: เรามีจุดหมายของเราครับ

เชา: เงินล่ะ แรก ๆ เราอาจมีเป้าหมายว่าเล่นดนตรีเพื่อต้องการอะไรสักอย่าง อาจจะมีความฝันหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ทุกวันนี้มันคืออาชีพแล้ว ทุกวันนี้ขอให้ผมได้ทำอาชีพที่ผมรักและอาชีพที่ผมรักสามารถหาเลี้ยงคนที่ผมรักได้มันก็พอแล้ว  

ฟิลิป: ผมว่าการเดินทางของ Cocktail มันไม่ได้เดินทางสุดโต่งแล้วห่างหายไปเลย มันเป็นแบบค่อย ๆ มา มากกว่า อย่างคนอื่น ๆ บางทีเขาโผล่มาแล้วก็ไป เราจะค่อย ๆ มา เห็นมาตลอดว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง อย่างวงเรามันค่อย ๆ โตขึ้นทีละนิด ผมรู้สึกว่าเราคิดในแบบเดียวกัน วิธีการเล่นทั้งหมดตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้มันก็ยังเหมือนเดิม เป้าหมายก็คือเล่นด้วยหัวใจเสมอมาครับ

ปาร์ค: จะสังเกตเห็นว่าในพวกอินสตาแกรมหรือในเฟสบุ๊กของเราจะมี hashtag

โอม: เขาไม่ได้ถามเรื่องนี้

ปาร์ค: จะวนเข้ามาเรื่องนี้คือ ‘เล่นด้วยหัวใจเสมอมา’ ที่เป็นชื่อคอนเสิร์ต พี่ ๆ เขาก็ตอบกันหมดแล้ว เรามีอาชีพคือ นักดนตรี เราเล่นทำไม เพราะมันก็คืออาชีพของเรา คราวนี้เล่นดนตรีของเรานอกจากที่มันเป็นอาชีพแล้ว มันก็เยียวยาสนองความสุขในใจเราด้วย ตามชื่อคอนเสิร์ตเลย เราอยากเล่นให้คนได้ดู ได้สนุกกัน ประทับใจและมีความสุขไปด้วยกัน

เชา: เล่นด้วยหัวใจตัวเองเพื่อหัวใจคนอื่น

ตอนทำวงช่วงแรกคิดว่าจะมาถึงตรงนี้ไหม

เชา: เคยคิดนะ สมมติถ้า 100 เปอร์เซ็นต์ก็คิดไว้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์อะไรแบบนี้ ที่เราคิดแบบนั้น คือเราเองก็เผื่อใจไว้ทำอาชีพอื่นด้วย เผื่อมันไม่รอด แต่ก็มีฝันเหมือนกันว่าวันนึงเราจะมีคอนเสิร์ตของตัวเอง เราจะได้ทัวร์ เราจะได้ไปเล่นต่างประเทศ ก็มีคิดไว้เยอะ

ฟิลิป: แต่ตอนนี้ทัวร์ไปทั้งหมดแล้วกี่ประเทศ

เชา: ทั้งหมดคือ ลาว สิงค์โปร์ (หัวเราะ)

ปาร์ค: แล้วประเทศที่คิดว่าเกือบจะได้แล้ว

เชา: อังกฤษแน่ ๆ ไม่เคยได้ไปเลย ออสเตรเลียยังไม่เคย Cocktail ยังไม่เคยไปไหนไกลเกินสิงค์โปร์เลยครับ

ถ้าย้อนกลับไปในปีแรกของวง ถ้าวันนั้นมันเจ๊งคิดว่าจะทำอะไรบ้างไหม

โอม: ไม่ได้คิดเลยครับ ไม่ได้คิดเพราะว่ามันไม่เกิดขึ้น

เชา: แสดงว่าเรา

โอม: ดัง (หัวเราะ)

ฟิลิป: ผยองเสมอมา (หัวเราะ)

โอม: ไม่คิด คิดทำไม มันไม่เกิดขึ้น เพราะว่าเราดัง ล้อเล่นนะครับ ดังไม่ดังมันไม่สำคัญหรอก ผมไม่ได้ตอบคำถามเมื่อสักครู่นี้กับคำถามว่า เล่นดนตรีไปเพื่ออะไร คือเงินอ่ะสำคัญ ไม่มีเงินมันทำหลายอย่างไม่ได้ ส่วนนึงมันก็ต้องเลี้ยงชีพ จริง ๆ มันถึงจุดนึง จุดที่คำว่า ความฝันมันไม่มีความหมายมาก ความจริงมันมีความหมายมากกว่า เราอยู่กับความจริงอย่างไรให้ได้ดี ผมเลยแทนคำว่าฝันด้วยคำว่า แผน เราวางแผนอะไรให้ตัวเองบ้าง แล้วเราจะทำยังไงให้มันเป็นจริง ฝันบางทีมันฟังดูแปลก ๆ เราจะต้องทำอย่างนั้น เราจะต้องทำอย่างนี้ มันไม่ใช่ ถ้ามัวแต่คิดว่าเราจะต้องอะไร คิดไปเลยดีกว่าว่ากูอยากได้แบบนี้ ประเด็นต่อมามันไม่ใช่เรื่องว่าเราจะต้องไปให้ถึงความฝันยังไง มันคือการวางแผน มันจึงกลายเป็นว่าสิ่งนี้มันไม่ได้แค่หล่อเลี้ยงความเป็นจริงนะ มันหล่อเลี้ยงความรู้สึกด้วย มันทำให้ผมรักงานที่ทำเพราะว่ามันทำให้สมองถูกใช้งานทุกด้านตลอดเวลา วงดนตรีไม่เคยประสบความสำเร็จด้วยเพลง ๆ นึง มันมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ สุดท้ายแล้วมันหล่อเลี้ยงใจให้มันมีที่อยู่ของมัน เงินก็ส่วนนึง ไม่อยากปฏิเสธ ไม่เกี่ยวกับเงินก็บ้าแล้ว เอาอะไรซื้อกีตาร์ เอาอะไรอยู่ ส่วนมาเล่นดนตรีถึงตรงนี้แล้วเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนี้มันจะเป็นยังไง ความเป็นจริงเราไม่ค่อยได้คิด พอถามแล้วก็หยุดคิด มันก็ไม่มีคำตอบไว้ก่อนนะครับ เพราะมันไม่เกิด อดีตมันเปลี่ยนไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันคือเกิดไปแล้ว

ถ้าตอนนี้วง Cocktail เจ๊งต้องเลิกเล่นดนตรีแล้วจะทำอะไรดี

โอม: ผมก็คงต้องอยู่ออฟฟิศเนี่ยละครับ (หัวเราะ) จะเลิกเล่นเหรอ ไม่ยากเลย เดี๋ยวจบให้  

ปาร์ค: ก็คงต้องหาอาชีพเลี้ยงชีพครับ

โอม: เขาก็ตอบแบบนี้ทุกคน ถ้ามึงรู้อยู่แล้ว มึงยังจะตอบอยู่เหรอ

ปาร์ค: ผมก็คงทำธุรกิจของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ก็มีคิดไว้ในหัวอยู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มทำ อย่างพี่ ๆ คนอื่นเขาจะเริ่มทำกันแล้ว ดนตรีก็คงยังอยู่ในชีวิตไปตลอดครับ

ฟิลิปส์: พูดเหมือนมึงจะไปแล้วอ่ะ

โอม: อดีตเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด แต่อนาคตคือสิ่งที่ต้องวางแผน วงล้มเมื่อไหร่ก็ได้ วงเราถึงมีกองทุนส่วนกลาง มีการลงทุนดูแลชีวิตหลังเกษียณให้ทุกคนได้ หลักทรัพย์ประกันทั้งหมดพวกเรามี  

คิดว่าจะเล่นดนตรีไปถึงอายุเท่าไร

โอม: เท่าที่เล่นได้ คิดว่าจะเลิกอยู่ตลอดเหมือนกัน คิดว่าถ้าต้องเลิกตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ว่าหน้างานมันเหมาะสม ไม่เหมาะสม เราต้องวางแผนไว้หลายแบบเช่นอายุ 40 ปีเลิก อายุ 50 ปีเลิก แต่ละช่วงมันเกิดขึ้นตรงนี้มันมีอะไรรองรับรึยัง ถ้าตรงหน้างานมันอยู่ต่อได้ มันก็ต้องอยู่

ช่วงเวลาที่ทำวงแล้วไม่เข้าใจกัน มีวิธีแก้ปัญหากันยังไง

เชา: บ่อยนะที่ผ่านมาเยอะเลย ทะเลาะเบา ทะเลาะหนัก มีร้องไห้ก็มี (หัวเราะ) แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ อาจจะด้วยเพราะว่าเหนือไปกว่าเพื่อนร่วมงาน มันคือเพื่อน ความเป็นเพื่อนจริง ๆ  

ฟิลิป: ผมว่ามันโชคดีตรงที่อายุเราไม่ได้เท่ากัน สมมติถ้าอายุเท่ากัน ผมว่าอาจจะมีปัญหามากกว่า ตรงนี้มันจะมีความเป็นพี่น้อง

โอม: ผมว่าจริง ๆ  4 คนในวงเราจะเป็นคนไม่แบก คือเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องที่มันจบแล้ว มันก็เลยไม่ค่อยมีปัญหากัน บางครั้งปัญหามันเกิดขึ้นและจบตรงนั้นไปเลย หรือบางคนก็เลือกที่จะไม่พูดตรงนั้นไปเลยให้มันจบเองก็มี มันมีหลายแบบครับ

เชา: แล้วแต่ว่า แต่ละคนจะรับมือยังไง ถ้าสำหรับผมเองก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวางบ้าง ถ้าเราลดทิฐิไปบ้างก็ปล่อยวางได้

โอม: เรื่องบางเรื่องไม่พอใจควรเคลียร์ เรื่องบางเรื่องไม่พอใจก็ปล่อยให้มันดับไปเอง

เวลาเห็นเด็กเล่นเพลง cover Cocktail รู้สึกยังไงบ้าง

โอม: เล่นดีจังเลย

เชา: เผลอๆ บางทีเราแกะจากเขาก็มีนะ (หัวเราะ) ทุกวันนี้เพลงที่เล่นบางเพลงอาจจะเล่นไม่เหมือนในแผ่น เพราะผมแกะมาจากโน้ตของเด็ก ๆ พวกนี้อีกทีครับ เพราะจำไม่ได้ว่าตัวเองอัดอะไรไปบ้าง

โอม: ไม่น่าบอกเลย เขารู้กันหมดเลย เราทำงานตามฟีลนะ เวลาอัดโซโล่ก็อัดตามฟีล อัด 10 เทคก็ไม่เหมือนกันอะไรแบบนี้ อัดไว้ตอนที่เราชอบ สมมติอัดไว้ปีนึงแล้ว เพลงเพิ่งออกก็ต้องมานั่งแกะกัน (หัวเราะ)

ฟิลิป: เวลาเข้าห้องอัดผมยังไม่ค่อยชอบจดโน้ตเข้าไปเลย เหมือนเวลาอยู่ห้องสอบก็คือ ทำไปเลย แล้วมาดูบนเวทีจริง ๆ อีกทีว่าเราเล่นได้รึเปล่า ไม่งั้นความรู้สึกในตอนอัดมันจะแข็งไปหมดเลย

โอม: แต่กูไม่เคยจดเนื้อจากคลิป cover นะ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่เวลาผมไปยืนดูเขา เขาไม่กล้าเล่นเพลงเรา มีบางทีไปยืนแล้วเขามาบอกว่า ผมเตรียมเพลงพี่มาเล่น เห็นพี่อยู่ตรงนี้ไม่เล่น แต่ก็ดีใจครับ มีคนรักเพลงเรา เพลงมันมีชีวิตต่อไปในที่อื่น มันดีครับ

วงการเพลงในสายตา Cocktail

ฟิลิป: เราเคยคุยกันนะเรื่องนี้ เราไม่รู้ว่าอะไรคือสูตรสำเร็จของการปล่อยเพลง เมื่อก่อนยังพอเดาได้ ถ้าเพลงประมาณนี้มันจะดังแน่ ๆ เดี๋ยวนี้มันไม่รู้เลยว่า ต้องปล่อยแบบไหนดี จะเอ็มวีหรือจะเป็นกระแสยังไงให้มันดังมันยาก

ปาร์ค: อาจจะเป็นเพราะแวดวงมันกว้างขึ้นด้วย ใครๆ ก็ผลิตผลงานได้เอง

โอม: มันกว้างขึ้นและแคบลงในขณะเดียวกัน กว้างขึ้นในจำนวนปริมาณ แต่มันแคบลงในวิธีคิด

เชา: ด้วยความรู้ที่เรามี สูตรสำเร็จที่ทำกันมาเนี่ย มันจะใช้ได้แค่ช่วงนึง อาจจะเป็นช่วงประมาณปีสองปีที่แล้ว เหมือนสูตรมันต้องเปลี่ยนอีกแล้ว แล้วเราไม่ได้ใช้เวลาเรียนรู้กับมัน เท่าที่ผมเห็นตอนนี้มันยังไม่เกิดอะไรที่จับต้องได้จริง ๆ ฉะนั้นตอนนี้ทุกอย่างมันเหมือนการโยนหินไปเรื่อยมากกว่า

โอม: จริง ๆ มันมีวัฒนธรรมใหญ่อยู่ มันเกิดเทคโนโลยีขึ้น ทุกคนสามารถมีพื้นที่ของตัวเอง พอเกิดพื้นที่ของตัวเองมันก็จะเกิดการนำเสนอตัวเองออกไปเป็นจำนวนมาก ทีนี้เราก็จะมีของในตลาดจำนวนมาก ใช่ ทุกคนมีแนวทางของตัวเอง แต่ว่าวัฒนธรรมหลัก ๆ มันยังรวมศูนย์กลางอยู่ประมาณนึง เพราะฉะนั้นงานจำนวนมากที่ออกสู่ตลาดมันก็มีลักษณะเดียวกันเยอะ คนที่โดดเด่นจากความคิดเขาเองก็มีส่วนนึง

มันไม่เคยมีศิลปินคนไหนในระยะ 5 ปีหลังที่รวมศูนย์กลางแฟนเพลง ตอนนี้มันกลายเป็นคนที่ดังมาก ๆ ยอดวิว 200-300 ล้านวิวคือดัง วง TT ยอดวิว 300 ล้านวิว ดังไหม คนที่อยู่ในเมืองก็ไม่รู้จัก แต่คนที่อยู่ต่างจังหวัดก็ดังมาก ดิวิชั่นมันเกิดครับ ในขณะที่ The Toys ดังมากไหม ในความรู้สึกเรา แต่ไม่มีเพลงไหนของเขาทะลุ 50 ล้านวิวเลย แล้วตกลงยอดวิวชี้อะไร เพราะฉะนั้นดิวิชั่นของแต่ละอย่างมันก็มีการพิจารณาต่างกัน พิจารณาจากยอดจ้างงานไหม การติดตามไหม การถูกพูดถึง การติด hashtag หรือจากยอดเพลงอย่างเดียว BNK48 ก็มีเพลง 100 ล้านวิว 1 เพลง ที่เหลือไม่ถึงเลย แต่ว่าทำเงินไป 140 ล้านบาทในปีที่แล้ว นับเฉพาะ merchandise sale อย่างเดียว เพราะฉะนั้นแต่ละคนมันมีวิธีแตกต่างกันไป ด้วยบริบทนี้เองที่เปลี่ยนไป ทำให้ไม่มีใครอยากรวมศูนย์ภายใต้สิ่งใดสิ่งนึง

สุดท้ายอยากบอกอะไรแฟนเพลงที่เขาติดตามมาบ้าง

โอม: เขารู้ล่ะ

เชา: คอนเสิร์ตใหญ่วันที่ 14 กรกฏาคม 2561 มากันด้วยนะ ขอบคุณละกันครับที่ยังเชื่อในพวกเรา ยังฟังพวกเรา สนับสนุนพวกเราและติดตามพวกเราไปนาน ๆ ละกันครับ

โอม: เราก็มาถึงจุดหมายของเราแล้ว ศิลปินกับคนฟังเป็นสิ่งที่ผูกพันกันอยู่เสมอ เหมือน hashtag ไม่มีทุกคนไม่มี Bodyslam’ มันไม่ใช่ไม่มีทุกคนไม่มี Bodyslam อย่างเดียวนะ แต่มันไม่มีทุกคน มันก็ไม่มีอะไรสักอย่าง ประเทศนี้ก็อยู่ได้ด้วยทุกคน โลกนี้ก็อยู่ด้วยได้ทุกคน พี่ตูนก็เปรียบเปรยได้ดี เหมือนกัน ไม่มีทุกคนก็ไม่มีเรา ถ้าพูดเชิงปรัชญาหน่อย คือเราเกิดขึ้นเพราะว่าเรามีอยู่ แต่การมีอยู่มันเกิดขึ้นจากการรับรู้ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าคนฟังเพลงกับตัวเพลงมันแยกออกจากกันไม่ได้หรอก ผมเชื่อว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เพลงมันเข้าไปอยู่ในใจของคุณ มันไม่ใช่เพราะเพลงดี แต่มันเป็นเพราะมีเรื่องราวบางอย่างที่มันร่วมอยู่ในใจของคุณอยู่ เหมือนเราเป็นคนดนตรีมาก ๆ ฟังอะไรก็ฟัง มันก็มีคนที่ฟังเพราะเขารู้สึกแบบนั้น ฉันอกหักตอนนั้น ฉันจำเพลงนี้ได้ Cocktail อยู่มานานพอสมควร ผมเชื่อว่ามันมีหลายเพลงที่ไปอยู่ในบางช่วงเวลาของชีวิต ผมคิดว่าเราสร้างคอนเสิร์ตขึ้นมาเพราะอยากใช้เวลาร่วมกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ ดีกว่า การเจอตามผับบาร์มันไม่ได้สมบูรณ์ที่จะเล่าเรื่องบางเรื่องได้ครบถ้วน เพราะฉะนั้นก็อยากจะเจอ ถึงแม้ว่าบนเวทีผมจะพูดอยู่คนเดียว แต่สิ่งที่คุณตอบกลับมามันเป็นสิ่งที่ผมฟัง การตอบรับของพวกคุณทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหลังดูคอนเสิร์ตหรืออะไรก็ตาม มันก็เป็นสิ่งที่เล่าได้ว่าเราสัมพันธ์กันยังไง มาใช้เวลาในวันนั้นด้วยกันดีกว่า บัตรราคา 1,000 / 1,200/ 1,500 / 2,000 / 2,500/ 3,000 แล้วเจอกันครับ

 

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง