Feature Guru

Skinhead แฟชันหัวเกรียนที่กำลังมา มีอะไรมากกว่าแค่ความแซ่บ

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Illustrator: Tuna Dunn

ก่อนหน้านี้เราเคยพูดเรื่อง ต่างหูห่วง ซึ่งเป็นไอเท็ม unisex ที่ฮิตมากในช่วงนึง แต่สำหรับสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่รู้ว่าเพราะอากาศร้อนเกินไปหรือเปล่า สาว  คนดังใจกล้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Jessie J, Agyness Deyn (ที่ตัดนานแล้ว), Kristen Stewart, Cara Delevigne, Amandla Stenberg (สองคนหลังนี่ตัดเพื่อเล่นหนัง) ก็ตัดกัน มีบางคนก็แซวว่าผู้ที่ทำให้เทรนด์สกินเฮดกลับมากระพือในช่วงนี้คือน้อง Millie Bobby Brown ผู้รับบท Eleven จากซีรีส์สัตว์ประหลาด 80s อันโด่งดัง Stranger Things นั่นเอง

แต่ไม่ใช่แค่ในแวดวงแฟชันบันเทิงตะวันตกนะ สาว บ้านเราหลายคนก็ตัดทรงนี้ เหมือนเป็นการบอกกลาย ว่านี่ไม่ใช่ทรงผมที่สงวนไว้ให้แค่ผู้ชาย ซึ่งเราคิดว่านี่เป็นอีกเทรนด์ที่น่าสนใจและน่าหยิบมาพูดถึง เพราะเบื้องหลังความเปรี้ยว ซ่า ไม่แคร์ใคร (และสบายหัว) จริง แล้วมีบริบททางวัฒนธรรมและการเมืองรุนแรงซ่อนอยู่เหมือนกัน

v1bjsxndm0njcyo2o7mtcznde7mtiwmdszmdawoze1mda

El หรือ Eleven ใน Stranger Things from RottenTomatoes.com

Skinheads VS Two Tone Ska

เดิมทีสกินเฮดเป็นวัฒนธรรมย่อยของหนุ่มสาวที่เป็นที่ถูกกล่าวถึงมากที่อังกฤษในช่วงปลายยุค 60s ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจาก rude boy (1) และใกล้เคียงกับ hard mod (2) โดยเด็ก ส่วนมากจะมาจากครอบครัวชนชั้นกรรมาชีพมักจะอยู่กันเป็นกลุ่ม มีทั้งผิวขาวและผิวสี การแสดงออกทางสไตล์ของพวกเขาคือการถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชนชั้นแรงงานออกมา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวแบบไม่พิถีพิถัน เรียบง่าย แต่ติดแบรนด์อย่างกางเกงยีน Levi’s รองเท้า Dr.Martens แจ๊กแก็ตคอปกพอดีตัว (donkey jacket) และที่สำคัญคือทุกคนจะตัดผมเกรียน ไปจนถึงฟังเพลงสกา โซล และ blue beat เพราะเป็นวัฒนธรรมที่แชร์มาจากผู้อพยพชาวจาไมก้าแบบเดียวกับรู้ดบอย แล้วเวลาไปปาร์ตี้ก็จะแต่งตัวด้วยชุดวิบวับ สีฉูดฉาดจัดเต็ม ดูเป็นอะไรที่สนุกสนานมากในช่วงนั้น

The Specials วง 2-tone ska ที่ฉายภาพ skinheads ยุคแรก

The Specials วง 2-tone ska ที่ฉายภาพ skinheads ยุคแรก from BragVintage.co.uk

พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนเลยแปลกใจว่าทำไมเด็กสกินถึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรง และพวกเหยียดผิวในสมัยรัฐบาลของ Margaret Thatcher ได้ ทั้งที่รับวัฒนธรรมของคนผิวสีมาแบบเต็ม ขนาดนั้น

Skinheads VS White Supremacist

จุดกำเนิดของเรื่องนี้น่าจะเกิดมาจากช่วงยุค 70s ตอนนั้นดนตรีพังก์ร็อกก็เริ่มมีความนิยมมากขึ้น เลยมีเด็กสกินบางกลุ่มรวมตัวกันในชื่อ Oi! ทำเพลงร็อกดุดันที่พูดเรื่องอำนาจรัฐ การถูกคุมขังโดยไม่ชอบธรรม และการว่างงานของชนชั้นแรงงาน ถ้าลองนึกภาพจากที่เล่ามาข้างบนก็พอเดาได้ว่าซีนปาร์ตี้ของเด็กสกินมักจะสนุกสุดเหวี่ยงจนบางทีก็นำไปสู่ความชุลมุน ที่พอหลาย ครั้งเข้ามันก็เลยกลายเป็นภาพจำของคนนอกกลุ่มว่าเด็กพวกนี้ต้องตีกันตลอด สื่อทั่วไปมักจะนำเสนอแต่ภาพความรุนแรง สื่อดนตรีเองก็เขียนเชียร์วงสกินเฮดที่สนับสนุนพรรคฝ่ายขวา ไม่รับฟังความเห็นต่างของวงฝ่ายซ้ายที่เรียกร้องความชอบธรรมให้กับหนุ่มสาวพวกพ้อง แถมยังป้อนข้อมูลทำให้เด็กสกินอีกฝั่งดูแย่กว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น การงอกเงยของพรรคฟาสซิสต์ ชาตินิยม ก็ทำให้เกิดนีโอนาซี (Neo-Nazi) และถือโอกาสแทรกซึมเข้ามาในคราบของเด็กสกินหัวรุนแรง จะเห็นว่าเด็กสกินบางคนจะมีเครื่องหมายสวัสดิกะอยู่บนส่วนใดส่วนหนึ่งของเสื้อผ้าหรือร่างกาย เช่น รอยสัก เมื่อคนพวกนี้พูดถึงอัตราการว่างงานหรือเศรษฐกิจถดถอยในประเทศ ก็จะโยนขี้ให้กับคนผิวสี ผู้อพยพต่าง ทั้งที่ปัญหาเหล่านั้นเกิดจากการบริหารของพรรคอนุรักษ์นิยมทั้งสิ้น บางทีก็ลามไปถึงการเกลียดชังเพศทางเลือก มุสลิม หรือยิวด้วยซ้ำ

ac3664b0786c48f5f0f5978fe55d4ba4

ดังนั้นแล้ว เด็กสกินดั้งเดิม (บางคนเป็นเด็ก mod) ที่มีรากเหง้ามาจากวัฒนธรรมผสมก็ร่วมกันก่อตั้งกลุ่ม Skinheads Against Racial Prejudice (SHARP) ช่วงยุค 80s และเรียกพวกนีโอนาซีว่าเป็น ‘bonehead’ ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ก็มีวงดนตรีของตัวเอง

เรื่องที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเห็นจะเป็นอัลบั้ม compilation ที่ปล่อยออกมาจากฝั่งนีโอนาซีชื่อ Strength Thru Oi! ที่เป็นการเล่นคำกับสโลแกนของพรรคนาซีว่า ‘Strength Through Joy’ ยิ่งทำให้กลุ่ม SHARP หงุดหงิดมาก และไม่หยุดที่จะต่อต้านกลุ่มเหยียดผิวนี้ด้วยการจัดคอนเสิร์ต Oi! ทำให้เกิดการปะทะกันกลางเมืองอยู่บ่อยครั้ง

a538789a931a9459c9e4bf5bd9f57fbc

ความอีรุงตุงนังมันยังไม่หมดแค่นี้ คือในเวลาต่อมากลุ่ม SHARP ยุคหลังก็ยังติดใช้ความรุนแรงมาจากยุคก่อน เพราะพวกเขามีภาพจำถึงความสมัครสมานสามัคคีและความสัมพันธ์เพื่อนพ้องในฐานะลูกผู้ชาย ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าพวกเขาไม่ได้มีความเชื่อฝังหัวว่าพวกนาซีต้องหมดไป คนผิวขาวชอบกดขี่คนดำและชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย พวกมันต้องชดใช้ ซึ่งเรื่องที่ Eric Banks นักร้องของวง Bound of Glory ที่เป็นวงสนับสนุน white supremacist ถูกสังหาร ก็เป็นหนึ่งในผลงานของพวกเขาเหมือนกัน

เรื่องนี้ถูกกล่าวไว้ในบทความของ Jim Goad นักเขียนรับเชิญของ Vice ที่เล่าเรื่องของเขาโดนแก๊งเด็ก SHARP รุมทำร้ายในเมืองพอร์ตแลนด์ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งของเด็กสกิน ข้อหาที่เขาใส่สร้อย iron cross อันเป็นสัญลักษณ์ของทหารเยอรมัน ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของพวกนาซีไม่ต่างไปจากสวัสดิกะ และมันก็ทำให้เขากลายเป็นนาซีโดยอัตโนมัติ แต่ความตลกคือ แฟนสาวของเขาเป็นยิว! เขาอ้างอิงถึงข่าวการเสียชีวิตของ Eric Banks เมื่อปี 1993 ในพอร์ตแลนด์ว่ามันไม่ได้ถูกพูดถึงมากไปกว่าข่าวของผู้อพยพชาวเอธิโอเปียที่โดนพวกเหยียดผิวเอาไม้เบสบอลฟาดจนถึงแก่ความตาย Goad พูดแบบตลกร้ายไว้ว่าแน่ล่ะ อย่างที่เรารู้กันว่าชีวิตของทุกคนมันไม่มีความเท่าเทียม ชีวิตของชายนาซีผิวขาวที่พอร์ตแลนด์ไม่ได้มีค่าเท่ากับชายเอธิโอเปียนอพยพหรอกเขาคงตั้งข้อสงสัยว่าทำไมคนเราจะต้องเข่นฆ่ากันเพียงเพราะสัญญะเหล่านี้ด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องความละเอียดอ่อนทางชาติพันธุ์และประวัติศาสตร์ บางคนเชื่อว่าการกระทำในอดีตย่อมส่งผลถึงปัจจุบัน หลายคนเกลียดคนเยอรมันเพราะคิดว่าเขาเป็นผลผลิตของความชั่วร้ายเหล่านั้น และคนเยอรมันมักถูกตั้งคำถามว่า คุณรู้สึกยังไงกับนาซี? (อย่าได้ถามเชียว นอกจากจะเป็นการเสียมารยาทแล้วพวกเขาจะรู้สึกว่ามันเป็นตราบาปที่พวกเขาไม่ได้ก่อ แต่ต้องรู้สึกผิดบาปอยู่ทุกชั่วขณะเนี่ยแหละ เลยกลายเป็นคนขาวเหยียดคนขาวกันเองไปโดยปริยาย

This is England from TNTMagazine

This is England from TNTMagazine

ถ้าใครยังไม่เก็ตคอนเซปต์ของสกินเฮด อยากให้ลองไปดูหนังเรื่อง ‘This is England’ ที่ช่วยตีความเรื่องราวเหล่านี้ออกมาได้อย่างสะเทือนใจสุด

Skinhead VS Feminism

จากที่เล่ามาข้างบนทั้งหมดเราอาจจะคิดว่า เด็กสกินต้องมีแต่พวกผู้ชายแน่นอน แต่ความจริงแล้วเด็กสกินผู้หญิงก็มีนะ เราเรียกเธอว่า skingirl หรือ skinchick แล้วพวกเธอเหล่านี้ก็เป็นต้นแบบของ rebel girl บางคนด้วย

ในยุค 70s อาจจะไม่ค่อยเห็นภาพชัดเท่าไหร่เพราะยังเป็นสาวบ็อบ พิกซี่คัตกันอยู่ แต่ในปี 80s ที่เป็นยุค skinhead revial มีดนตรีพังก์อะไรมาแล้วเนี่ย พวกหล่อนก็กล้าจะ fierce มากขึ้นด้วยการตัดสกินเฮด แต่บางคนก็ไว้ผมแบบเด็กพังก์ คือมีหน้าม้า หรือเป็นปอยข้างหน้า ข้างหลัง หรือรากไทรข้าง เรียกว่า Chelsea cut เสริมความเฉี่ยวกันไป ส่วนเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ต่างจากหนุ่ม เท่าไหร่นัก อาจจะเปลี่ยนไปใส่กระโปรงสั้น มี accessory อย่างสต็อกกิ้ง หรือถุงน่องตาข่าย ที่ก็ได้อิทธิพลมาจากพังก์เหมือนกัน

Skingirls นั่นไง ใส่ Fred Perry from OC Weekly

Skingirls สวมเสื้อ Fred Perry กับ braces และรองเท้าคอมแบต from OC Weekly

ทว่าภาพของสาว สกินเฮด ไม่ได้เป็นเรื่องที่ดูเท่อย่างที่ภาพลักษณ์ของเธอแสดงออกมา เพราะลึก แล้วการที่ถูกแปะป้ายว่าเป็นเด็กสกินทำให้พวกเธอสนุกกับการใช้ความรุนแรง เพราะการได้ทำร้ายคนที่ด้อยกว่าทำให้พวกเธอรู้สึกดุดันและแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน พวกเธอหารู้ไม่ว่านี่เป็นการใช้เครื่องมือของกลุ่มอำนาจที่ต้องการดึงผู้หญิงมาเสริมกำลัง เพราะผู้หญิงจะถูกตำรวจเพ่งเล็งหรือตั้งข้อหายากกว่า และในบางครั้ง หากชักชวนผู้หญิงเข้ากลุ่มได้สำเร็จ ก็อาจจะได้สมาชิกเป็นลูกและสามีของเธออีกต่างหาก เพราะแกนนำกลุ่มจะใส่ความเชื่อเชิดชูพวกเธอแบบฝังหัวว่า หล่อนจะกลายมาเป็นรากเหง้าที่ให้กำเนิดนักรบเลือดบริสุทธิ์รุ่นต่อไป ว่ากันแบบเรียบง่ายที่สุดเลยก็คือ ถ้าพวกเขาทำให้คนสวย มาเข้ากลุ่มได้ ก็จะใช้เธอมาเป็นเหยื่อล่อให้พวกผู้ชายเข้ามารวมกลุ่มอีกที

Shannon Martinez from Marie Claire

Shannon Martinez from Marie Claire

นิตยสาร Marie Clare ได้พูดถึงผู้หญิงในกลุ่มสกินเฮดว่า ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เลือกจะเดินเข้าสู่เส้นทางความรุนแรงนี้หากไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงบางอย่างต่อชีวิตของพวกเธอ ในกรณีของ Shannon Martinez เธอเคยถูกผู้ชายผิวขาวสองคนข่มขืนตอนเธออายุเพียง 14 ปี เหตุการณ์นั้นทำให้เธอโกรธและเกลียดตัวเอง และเลือกที่จะให้ความรุนแรงเป็นการปลดปล่อยความรู้สึกนั้น เธอเคยใช้ชีวิตกับพวกเด็กพังก์ และ scene kids แต่นั่นเทียบไม่ได้กับความเกรี้ยวกราดที่เด็กสกินมอบให้เธอได้เลย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการโอนถ่ายความเกลียดชังตัวเองไปสู่ผู้อื่นอย่างน่าเศร้าของ Martinez แต่เมื่อเธอเข้ามาอยู่ในกลุ่มนั้นแล้วเธอจึงพบว่า คนที่เป็นแกนหลักก็ยังเป็นผู้ชาย และเธอยังต้องเล่นเป็นฝ่ายสนับสนุนอยู่ดี

จากที่ตกอยู่ในวังวนความรุนแรงเช่นนี้มานาน ภายหลังเธอก็ตระหนักได้ว่าการสร้างความเกลียดชังไม่ได้ช่วยทำให้เธอรู้สึกมีค่าหรือรู้สึกดีขึ้นมาเลย แต่ด้วยหน้าที่ทำให้เธอไม่สามารถหยุดการกระทำเหล่านี้ได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็มีผู้หญิงอีกคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอ นั่นคือแม่ของแฟนหนุ่มที่เป็นเด็กสกินเหมือนกัน หลังจากย้ายเมือง เธอปฏิบัติต่อ Martinez อย่างอบอุ่นเยี่ยงคนในครอบครัว ชวนกันทำกิจกรรมแบบคนทั่วไปอย่างเรียบง่ายและทำให้เธอหวนคืนสู่ความปกติสุขของชีวิต และพบว่า นี่ต่างหากคือสิ่งที่เธอโหยหามานาน

Alex Sonley a modern day skingirl

Alex Sonley a modern day skingirl from Merc.com

จนถึงตอนนี้ รูปแบบชีวิตของเด็กสกินเฮดดั้งเดิมจะแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว กลายเป็นเพียงวัฒนธรรมย่อยที่ถูกพูดถึงและผันมาเป็นแฟชันที่ใครหลายคนใช้เป็นแรงบันดาลใจ โดยส่วนมากก็เป็นการหวนกลับสู่จุดกำเนิดอันสนุกสนานเสรีดั้งเดิม มองข้ามพาร์ตที่เป็นประวัติศาสตร์อันเลวร้าย ซึ่งก็มีทั้งคนที่ยอมรับ ก้าวผ่านได้ และเกิดการต่อต้านจากบางกลุ่มเป็นปกติเพราะยังไงความคิดของคนก็หลากหลาย อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีพวกเด็กสกินรังแกคนกลุ่มน้อยอีกต่อไป แต่ความรุนแรง ลัทธิคลั่งชาติ และการเหยียดผิวในรูปแบบอื่นยังคงพบเห็นได้ทั่วโลก ดังนั้นแล้วการไม่เกลียดชัง ไม่ใช้ความรุนแรง และถกเถียงด้วยเหตุผล น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดไม่ใช่หรอ

Life After Hate

Life After Hate

และที่น่าดีใจที่สุดก็คือ Chris Picciolini อดีตสกินเฮดอเมริกัน ได้ก่อตั้ง Life After Hate กลุ่มองค์กรที่ช่วยให้เหล่าสกินเฮดกลับใจได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยน และเสริมสร้างกำลังใจให้กลับไปใช้ชีวิตดังเดิมได้ รวมถึงสร้างคุณประโยชน์ช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการถูกทำร้ายและเหยียดผิว เพื่อเป็นการชดใช้ไถ่โทษในสิ่งที่พวกเขาเคยล่วงกระทำลงไป และเท่าที่เห็นก็มีเด็กสกินรุ่นใหม่ ๆ ออกไปเดินรณรงค์ความหลากหลายทางเพศและชาติพันธุ์ด้วยซ้ำ

อ่านเรื่องเครียดมาเต็มหน้ากระดาษขนาดนี้ มาพักฟังเพลงของเด็ก Oi! กันบ้างดีกว่า

อ้างอิงจาก
The Truth About Skinheads
Skinheads Against White People
Inside the Lives of White Supremacist Women
Merc Scenes – A Skinhead Girl 

(1) Rude boy บางทีก็จะเรียกว่า rude girl สำหรับผู้หญิง ถ้าเรียกรวม ด้วยชื่อคิ้วท์ ก็เป็น rudys เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 60s แต่บูมมาก ในช่วง 70s ซึ่งคนส่วนใหญ่จะอยู่ในแวดวง 2-tone ska หรือวงสกาที่มีสมาชิกเป็นคนผิวขาวกับผิวสี ซึ่งคนพวกนี้รับวัฒนธรรมย่อยสืบมาจากชาวจาไมก้าชนชั้นล่างที่อพยพเข้ามาในอังกฤษพร้อมกับเพลงสกาและ rocksteady โดยพวกเขาปรับวิธีการแต่งตัวเลียนมาจากแก๊งมาเฟียช่วงหลังสงครามโลกในอเมริกา แล้วมันเป็นอะไรที่ดูมีเอกลักษณ์มาก เพราะพวกเขามักจะใส่เน็กไทเส้นเล็ก เชิ้ตขาวติดกระดุยทับด้วยเบลเซอร์ดำ หมวกปีกสีดำที่อาจจะคาดแถบขาว แว่นกันแดด กับบูทสั้นหรือโลฟเฟอร์ ยิ่งถ้าฟังเพลงสกาด้วยแล้วก็จะรู้เลยว่าพวกนี้เป็น rudys แน่นอน

(2) Hard mod เป็นวัฒนธรรมย่อยของย่อยอีกที พวกเขาคือกลุ่มที่แตกย่อยออกมาจากเด็ก mod (นางเรียกตัวเองว่าเป็น modernists เพราะเชื่อว่าตัวเป็นคนฟัง modern jazz แล้วคูลมากจ้า) ที่ส่วนมากจะเป็นเด็กชนชั้นแรงงานในปลายยุค 50s ชอบดูหนังฝรั่งเศสและอิตาเลียน รวมถึงอ่านนิตยสารจากประเทศเหล่านั้นเป็นพิเศษเพื่อซึมซับรสนิยมเก๋ มา จนภายหลังในยุค 60s mod ก็แทรกซึมมายังเรียนนักเรียนโรงเรียนศิลปะที่มีความสนใจดนตรีและแฟชันเป็นพิเศษ และเริ่มมีพฤตกรรมและอัตลักษณ์ร่วมมากขึ้นคือพวกสูทสั่งตัด หนุ่ม บางคนใส่สเวตเตอร์คอวี เสื้อคอเต่า เชลซีบูธ ส่วนสาว ใส่มินิสเกิร์ต มินิเดรส อายไลนเนอร์คม อายแชโดวสีสด ขี่สกู๊ตเตอร์ หรือฟังเพลง soul, r&b เป็นต้น แต่พวก hard mod นี่แทบจะตรงข้ามกันเลย คือแทบจะอิงมาจาก rude boy มากกว่า คือยึดสไตล์ความเป็นชนชั้นกรรมาชีพแต่ติดแบรนด์ คือมักจะใส่แจ็กเก็ตหนา (parkas) เสื้อถักไหมพรม Fred Perry สายเอี๊ยม กางเกง Levi’s รองเท้า Dr.Martens และตัดผมทรงนักเรียน หันมาฟังเร้กเก้ สกา แต่ก็ยังฟัง r&b อยู่ ซึ่งต่อมาสไตล์นี้ก็เป็นที่นิยมมากในช่วง 80s ในช่วง punk revival ซะงั้น

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้