Article Interview

Hope the Flowers ความหวังครั้งใหม่ของวง instrumental ไทย

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Neungburuj

แม้เขาจะมีหลักไมล์เดินทางเก็บเกี่ยวความฝันบนเส้นทางสายดนตรีมาเป็นระยะเวลานานอาจจะทำให้ท้อบ้าง หมดแรงบ้าง แต่ตลอดสองปีของ ฮอน ณรงค์ฤทธิ์ อิทธิพลนาวากุล ที่เปลี่ยนเส้นทางเดินหลักมายังทางเลือกใหม่ในนาม Hope The Flowers พร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีกสามคน ก็ทำให้เขาได้พบกับความหวังครั้งใหม่จากการทำในสิ่งที่เขาเชื่อมาโดยตลอด วันนี้เรามาแวะจิบกาแฟยามบ่ายพร้อมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาจนมาสู่ความสำเร็จในทุกวันนี้

ต้นไม้มันตายแล้วก็กลับมาฟื้นได้เหมือนเดิม ออกดอกได้เหมือนเดิม เนี่ย ขนาดดอกไม้มันยังมีความหวังเลย ทำไมมนุษย์เราไม่มีความหวังบ้าง

ทำไมต้องเป็น Hope The Flowers

ฮอน: จุดเริ่มต้นมันงงมาก เราเดินดอกไม้อยู่ต้นนึง มันก็มีชีวิตปกติของมันแหละ เราก็ชอบมองมัน เดินผ่านทุกวัน ๆ มีอยู่วันนึงมันตายก็สงสัยว่า มันตายได้ยังไงวะ ตอนมันมา มันมาได้ยังไงก็ยังไม่รู้ ประกอบกับช่วงนั้นเราดาร์คมาก แบบ เชี่ย เหงาว่ะ ไม่มีแฟนด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปกับดนตรียังไงต่อ เพราะก็รู้สึกว่ายังหาตัวเองไม่เจอ พอเรามีความคิดนี้ขึ้นมาปุ๊บ มันก็เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกันนะ ที่ดอกไม้ต้นนี้มันกลับมาโตอีกครั้ง เราก็ตกใจมากเลยกลับไป Google ดูว่า ไอ้ดอกไม้มันตายแล้วมันฟื้นได้หรอวะ ปรากฏว่ามีคนทำคลิปให้เห็นว่าต้นไม้มันตายแล้วก็กลับมาฟื้นได้เหมือนเดิม ออกดอกได้เหมือนเดิม เนี่ย ขนาดดอกไม้มันยังมีความหวังเลย ทำไมมนุษย์เราไม่มีความหวังบ้างวะ แล้วเราก็เชื่อด้วยว่าทุกอย่างมันมีความหวังหมดแหละ

เจอสมาชิกแต่ละคนได้ยังไง

ฮอน: ผมไม่คิดจะเล่นงานอะไร แต่พอผ่านไปปีกว่า พี่ปูม ปาริณาม ชวนเล่นงานที่ ณ นคร มินิบาร์ ก็หาสมาชิกไปเล่นแล้วกัน สุดท้ายได้มือกลองเป็นน้องมายด์จาก Run With Puppy มือกีตาร์ก็เป็นพี่อ้น Away The Ways มือเบสจาก Partyshake ส่วนอาร์มก็มากับเราอยู่แล้ว มีกัน 5 คน เล่นกันไปประมาณเกือบปีจนมีโอกาสได้เล่นที่ Stone Free หลังจากนั้นเหมือนกับแต่ละคนก็เริ่มมีภาระแล้ว พี่อ้นก็ขอออกก่อน ไปทำงานส่วนตัว ทีนี้เล่น ๆ กันไปก็ได้สมาชิกชุดที่สองมา ได้พี่เบอร์ดี้เป็นมือกีตาร์จาก Weeping Pillow กับมือเบสวงเดียวกันกับเขา เล่นไปเล่นมา แต่ละคนก็มีภาระ มีหน้าที่อีกเหมือนกัน เราก็เข้าใจ ก็เปลี่ยนอีก แล้วได้มาเจอไกด์ ไกด์เล่นอยู่ Gorilla Telegram เป็นวงที่อยู่ใน New Light Production เราเหมือนกัน แต่ไกด์ยุบวงพอดี

ไกด์: แยกกันด้วยเหตุผลเดิม ๆ ทุกคนมีทางที่ต้องไป ตามสูตรครับ สัจธรรมเลย

สิ: เป็นปกติครับถ้าวงที่มาอยู่นี่วันนึงก็ต้องแยกกัน พวกวงดนตรีถ้าเป็นอาชีพเขาก็จะทำเพื่อให้มีรายได้ ต้องกินข้าว แต่ถ้าวงอินดี้เขาทำเพราะความหลงใหล คือเราชอบเราเลยทำ แล้วเงินที่เอามากินข้าวเราก็ต้องทำงานอย่างอื่น ก็จะมีปัญหาแบบ ไม่สะดวก ติดงานประจำ ก็เป็นธรรมดา แต่ถ้าจัดการเวลากันได้ก็อาจจะอยู่กันยาวหน่อย แต่ถ้าช่วงไหนงานเยอะ พร้อมกับออกอัลบั้มใหม่ ต้องเล่นบ่อย ก็อาจจะจัดการไม่ได้ ตลอดที่อยู่วงการก็จะมีปัญหานี้แหละ พอมีงาน ถ้าไม่เบรควงกันไปก็อาจจะหมดไฟกันไปก่อน

ฮอน: นั่นแหละครับ ก็ได้ไกด์มา ก็เลยลองถามว่า มือเบสเอายังไงดี ก็เลยพาอาร์ทมาด้วย มือกลองก็ออกพอดี เลยชวนพี่สิ เป็นอดีตมือกลอง Inspirative ซึ่งเป็นวงที่ผมชอบมาก เอาแผ่นไปตามขอลายเซ็นตลอด ตอนนั้นยังไม่ได้ทำ post rock ด้วย แต่ชอบ แล้วรุ่นพี่คนนึงก็แนะนำว่าไม่ลองชวนพี่สิดูล่ะ เขาไม่ได้ตีวงไหนแล้ว กับการที่ก็เล่นเพลงแนวนี้มาก่อนแล้วก็น่าจะปรับเข้ากันได้ง่าย ก็เลยกลายเป็น 5 คนนี้ครับ น่าจะถาวรแล้ว

ทำไมถึงเลือกทำ Hope The Flowers

ฮอน: ตั้งแต่ตอนนั้นเกิดจากที่ผมทำวง post rock ชื่อ Willshare ทำกับอาร์ม เป็นสมาชิกที่ยังอยู่ แล้วเหมือนมันทำไปเรื่อย ๆ แล้วพอหลายความคิด หลายความรู้สึกปน ๆ กันมันกลายเป็นว่าคนฟังแล้วไม่เก็ท ไม่อินกับม้น เหมือนไม่ได้ฟังการเล่าเรื่องอะไรเลย ผมเลยรู้สึกว่าออกมาทำคนเดียวดีกว่า แล้วทำให้มันเป็นเรื่องเราของเราทั้งหมด เราอยากจะเล่าอะไรก็เล่าไปเลย ก็เลยเกิดโปรเจค Hope The Flowers ขึ้นมา แล้วอีกอย่างมันเป็นความฝันของผมตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ที่ผมชอบดูหนังเอเชีย ญี่ปุ่น ว่าถ้าวันนึงเราได้ไปญี่ปุ่น เราอยากไปดูซากุระ อยากดูหิมะ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปนะ ก็รู้สึกว่าโชคดีจังที่ยังไม่ได้ไป ก็เลยได้ดนตรีที่เรามโนขึ้นมาเหมือนว่าได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น

hope-02

ถ้าได้ไปแล้วกลับมาเขียนมันจะยังเหมือนภาพที่เราจินตนาการไว้ไหม

ฮอน: มันจะมีสองแบบที่เราคิด คือเราอาจจะอินกับมันมากขึ้น แบบที่ผ่านมาเรายังเล่าเรื่องมันได้ไม่สุด กับอีกแบบนึงคือ มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดไว้เลยว่ะ คนละเรื่องกันเลย

อะไรคือความเป็นญี่ปุ่นที่อยู่ในเพลงของเรา

ฮอน: เราฟัง post rock สายญี่ปุ่น อย่าง Mono, Miaou เราชอบโน้ตมันที่มันมีความหวาน ความน่ารักของมันอยู่ พวก synth เราก็รู้สึกว่าเราอินโมเม้นท์นี้เหมือนกันนะ รู้สึกว่าเราชอบอะไรใส ๆ วิ้ง ๆ แต่เราเคยไปชอบอะไรหนัก ๆ อย่าง metal มาก่อน เราก็รู้สึกว่า นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของ Hope The Flowers อีกทางนึงที่มันค่อนข้างจะชัด คือ เมโลดี้ที่หวาน ฟรุ้งฟริ้ง แต่มี rhythm ที่หนักแบบทางฝั่งอเมริกา

Post rock ญี่ปุ่นต่างจากงานทางฝั่งยุโรป อเมริกา ยังไง

ฮอน: ฝั่งยุโรป อเมริกา เรารู้สึกว่าเขาไม่ได้เน้น riff ที่หวือหวา ไม่ได้เน้นโน้ตที่มีขึ้นมาเด่น ๆ ไม่ใช่การไล่สเกลเท่าไหร่ เหมือนเป็นริฟที่ปั่นมาแล้วก็ใส่ rhythm หนัก ๆ เบสหนา ๆ แต่ทางญี่ปุ่น เอเชีย หรือช่วงนี้ผมฟังไต้หวัน rhythm มันเบาบางมากเลย มันเหมือนเพลงร็อคไทยอะ ที่เป็นฉากหลัง ไม่ได้เป็นฉากหน้าแบบยุโรป แต่เมโลดี้มันเล่นเป็นการเล่าเรื่อง เอามาแทนเนื้อร้อง ถ้าคนมาฟัง Hope The Flowers ก็จะเห็นว่าเมโลดี้กีตาร์ที่ผมเล่นมันเป็นการเล่าเรื่อง เป็นเหมือนการร้องเพลงครับ

นอกจากความมุ้งมิ้งในเพลงเราที่โดดเด่นแล้ว อะไรทำให้ Hope The Flowers ต่างจาก post rock ไทยวงอื่น ๆ

ฮอน: อย่าง Hope The Flowers เราไม่ได้ฟันธงตั้งแต่แรกว่าตัวเองเป็น post rock มันเหมือน instrumental มากกว่า อย่างตอนเราทำเราก็ไม่แน่ใจว่ามันคือ post rock หรือเปล่า เพราะว่าเราฟัง post rock แล้วรู้สึกว่าเพลงเรามันก้ำกึ่งนะ อาจจะเป็น instrumental rock มากกว่า ส่วนความต่างคือ เราฟังมาหลาย ๆ วงมันจะไม่ได้มีเมโลดี้ที่เล่าเรื่องแบบเรา จะไม่ได้เป็นท่วงทำนองที่เหมือนเป็นเนื้อร้อง ส่วนใหญ่จะเป็นซาวด์ที่เล่นตามบรรยากาศ มีการเล่าเรื่องที่เริ่มจากข้างล่าง แล้วค่อย ๆ พีคขึ้น ในสิ่งที่เราขาดเรายังขาดพวกบรรยากาศที่ค่อย ๆ ปูขึ้นมา เพราะเพลงเราส่วนใหญ่เดี๋ยวมันก็ขึ้นมา เดี๋ยวมันก็ลง เดี๋ยวก็ขึ้น ไม่ใช่จากลงแล้วก็ขึ้นแบบหลาย ๆ วง

สิ: สำหรับผม ผมว่าเรื่องเมโลดี้ การนำเสนอครับ จริง ๆ มันรู้สึกว่าจะเอเชียกว่าวงอื่น ๆ ประเทศไทยส่วนใหญ่จะทำเพลงแบบมี reference ของแต่ละวง ก็อาจจะออกมาคล้ายวงที่ชอบ บางคนอาจจะมี reference เป็นวงอเมริกัน แต่ Hope The Flowers ก็จะเป็นสำเนียงเอเชียเพราะว่าฮอนฟังเยอะช่วงนั้น มันก็จะเป็นอย่างที่ได้ยิน จะเป็น key major สดใสหน่อย วงอื่นก็จะเป็นไปตามทางของเขา อาจจะหดหู่นิดนึง คอร์ดก็จะเป็นไปตามทางของเขา ถ้านับเราว่าเป็นวง post rock ด้วยกัน นี่ก็น่าจะเป็น post rock ที่ออกแนวพ็อพ ๆ หน่อย ๆ

มันจะได้เงินไหมก็ไปหาเอาข้างหน้าละกัน อย่างทำ Hope The Flowers มันก็เป็นไปได้นะที่จะทำแบบนั้น เงินที่เข้ามาจากการขายซีดี ขายเสื้อ มันก็ช่วยเลี้ยงผมได้อยู่ตอนนี้

ช่วยแนะนำวงที่ควรจะฟังของแต่ละประเทศหรือวงที่ชอบให้หน่อย

ฮอน: จริง ๆ เราไม่ได้ฟังหรือศึกษามันมากว่ามันอยู่ประเทศอะไร แต่แรงบันดาลใจเราได้มาจากวงแรกที่เราอยากทำสไตล์ post rock เลยคือ Miaou ที่สุดของเราแล้ว ของญี่ปุ่น ต่อมาก็น่าจะเป็น Mono ส่วนทางยุโรปผมว่าน่าจะเป็น This Will Destroy You ก็ได้มานิดหน่อย มี Signal To Vega ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมาก ไต้หวันก็มี 2HR ที่ได้ฟัง แลกเปลี่ยนเพลงกัน ก็ชอบสไตล์เขาด้วย

การทำวงอินดี้เป็นอุปสรรคเรื่องรายได้บ้างไหม

ฮอน: ผมไม่มีงานประจำ ก็ทำฟรีแลนซ์ไป แต่เรื่องเพลง ถ้าเรามีเวลา เราก็ทำไปเถอะ มันจะได้เงินไหมก็ไปหาเอาข้างหน้าละกัน อย่างทำ Hope The Flowers มันก็เป็นไปได้นะที่จะทำแบบนั้น เงินที่เข้ามาจากการขายซีดี ขายเสื้อ มันก็ช่วยเลี้ยงผมได้อยู่ตอนนี้ ก็ไม่ได้เยอะมาก แต่ก็รู้สึกว่าอยู่ได้เหมือนกันว่ะ มันมีเวลา เงินไม่ค่อยมี แต่มันก็โอเคนะ มีความสุขดี

ช่วยเล่าตั้งแต่ช่วงที่ทำเพลงเมทัลให้ฟังคร่าว ๆ หน่อยสิ

ฮอน: มันเหมือนตอนนั้นเราหาตัวเองด้วย วัยรุ่นอะนะ ตอนนั้นอายุ 15 ใคร ๆ ก็ฟังวงนี้ก็อยากเล่นวงนี้ ฟัง Slipknot ก็อยากเล่น Slipknot มันเหมือนการค้นหา ฉายาผมเมื่อก่อน ฮอน 100 วง อะ คือเปลี่ยนเยอะมาก ผมก็พยายามหาวงเล่น มันก็เหมือนกำลังเปิดหนังสื่ออ่านอะ เฮ้ย เล่มนี้อ่านไปกลางเล่มแล้วมันไม่สนุกแล้วว่ะ ก็ไปอ่านเล่มอื่น เป็นแบบนั้นตลอด ตั้งแต่ metal มา hardcore มา death metal แล้วก็มาจบที่ black metal สุดท้ายเรารู้สึกว่าพอแล้วแหละ ไม่ต้องไป brutal ไป grind core ละ มันไม่ไหว มันเหนือเกิน ก็เลยไปทำวงร็อคธรรมดา ชื่อวง Hold Me มันก็เป็นวงบริทร็อคทั่วไป แต่พอเล่นไปเล่นมาแล้วเพื่อนในวงก็เริ่มด่า ๆ ว่า กูว่ามึงโซโล่กีตาร์นานจังวะ แล้วมีน้องคนนึงส่ง Forgot Your Case มาให้ฟังแล้วเราก็ว่า เฮ้ย เจ๋งว่ะ ก็เลยได้ฟัง post rock Forgot Your Case เนี่ยวงแรกเลย ความแตกต่างก็คือ เล่นอันนี้แล้วมันซีเรียส มันเครียดนะ แต่เล่นเมทัลแล้วเราอยาก entertain คนอยู่ อยากให้มันกับเรา โยกกับเรา ก็เลยแตกต่างกันในเรื่องอารมณ์ ซึ่งเรื่องชอบนี่เราพูดยากเหมือนกัน เพราะจริง ๆ เราชอบกว้างมาก เราชอบในเอกลักษณ์ของดนตรีทุก ๆ สายเหมือนกันนะ เพราะมันมีความโดดเด่นของมัน อย่าง J Rock เราก็ชอบวัฒนธรรมการแต่งตัวของเขาเหมือนกัน มันก็เลยพูดยากว่าชอบอะไรที่สุด ถ้าถามว่า post rock นี่เราชอบที่สุดไหม ก็อาจจะยังไม่ใช่คำตอบ แต่ว่าสิ่งที่เราชอบ post rock มาก ๆ คือเรารู้สึกว่า ถ้าเราทำหนังสักเรื่องนึง เราอยากเอาเพลง post rock ไปประกอบ นี่เลยทำให้เราหลงสเน่ห์ post rock

ก็เลยทำเพลงประกอบ Marry Is Happy, Marry Is Happy

ฮอน: ใช่ครับ ตอนแรกเราไม่มีความคิดจะทำเลย เพราะถ้าทำคนเดียวมันยากนะ แล้วตอนนั้นเราทำมา หนังยังไม่ออกมาเลย เราแค่รู้สึกว่าทุกคนมันทำแล้วก็โอเคนะ ดูสนุกดี แล้วเรารู้สึกว่าเต๋อเป็นคนแรกที่เอาความเป็นเอเชีย เอาความเป็นญี่ปุ่นมาใส่ในหนัง เราก็คิดว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะเข้าแก๊ปเราหน่อยนะ เพราะอย่างน้อยก็มีความเป็นญี่ปุ่นมาแล้ว ก็มาตีโจทย์ว่า I’m sorry to say มันคือยังไงวะ ก็รู้สึกว่า ถ้าเราคุยกันอยู่ดี ๆ แล้วเราพูดอะไรไม่ดีออกไป เราจะรู้ตัวมั้ยว่าเราพูดไม่ดีกับเขา แล้วเขาจะยังรับฟังเราอยู่รึเปล่า ก็คิดว่า ไม่เป็นไรอะ ทุกสิ่งทุกอย่างขอแค่เราขอโทษไปก่อนมันก็คงเป็นเรื่องที่ดี เราก็เลยเล่าเรื่องแบบให้ครึ่งเพลงแรกสนุก เหมือนเราเดินไปด้วยกัน เที่ยวด้วยกันสนุกสนาน แต่พอครึ่งหลังมันเหมือน เฮ้ย เราพูดอะไรผิดไปวะ ขอโทษว่ะ เศร้าว่ะ มันดาร์ค ก็เลยเป็นประมาณนี้

ตอนนี้หาตัวเองเจอหรือยัง

ฮอน: มันไม่สิ้นสุดจริง ๆ นะ ปัจจุบันผมก็พยายามถามตัวเองอยู่ว่าชอบอะไรกันแน่ เพราะว่าทำหลายอย่างมาก จะทำโปรเจคเพิ่ม จะทำอะไรขึ้นมาอีก ก็ยังหาตัวเองไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้วที่สุดของความชอบมันอยู่ตรงไหน แต่ตอนนี้ความชอบมันมีไหม มี ก็คือตรงนี้แหละครับ ดนตรี

การทำ Hope The Flowers มาตลอด 2 ปี ได้รับผลตอบรับยังไงบ้าง

ฮอน: ผมว่า feedback มันขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกันนะ ตอนแรกที่ออกมามันก็ไม่ค่อยบูมเท่าไหร่ มีคนฟังบ้าง มีคนติดตามบ้าง แต่พอ Noise Market ครั้งที่ 2 ผมทำแผ่น EP DIY วาดมือครับ ก็ กระแสดีมาก เพราะผมทำแผ่นไผแค่ 50 เอง แต่คนมารอซื้อเยอะมาก ก็เลยต้องไปซื้อมาทำเพิ่ม เพราะมันเกินเป้าหมายเรามาก ๆ คือเราขายไปได้ทั้งหมด 200 แผ่นได้ คือทุกคนก็แฮปปี้ดี คือก็กลับไปฟังแล้วก็แชร์ ก็เห็นว่ามันดีนะ เราก็คิดจะทำต่อ ทีนี้ โปรเจค Retweet มาใหม่ ๆ ก็ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พอหนังมา คนก็รู้จักเราเยอะมากจริง ๆ ถ้ามันมาขนาดนี้แล้วก็ขายอัลบั้มดีกว่า ก็เลยพยายามเร่งให้อัลบั้มทันกับช่วงที่กระแสกำลังมา เพื่อที่จะได้มีคนพูดถึงมากขึ้น มีอัลบั้มให้จับต้องด้วย ก็ได้พี่ที่ร้านน้อง ท่าพระจันทร์ ช่วยด้วยอีกแรงตอนการกลับมาของเขาที่เอาวงมาเล่นสดอีกครั้ง เราก็เป็นวงแรกที่ได้จัดคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มที่นั่น มันก็เป็นการหนุน ๆ กัน ก็พอใจกับ feedback ตอนนี้มาก

ความรู้สึกที่ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงคมชัดลึกอวอร์ด

มันไม่คิดว่าเราจะไปไกลด้วยตัวคนเดียวได้ขนาดนี้ มันก็ค่อนข้างตกใจที่เขาฟังเพลงเราจากไหน รู้จักเราได้ยังไง การไปอยู่ตรงนั้นแล้วเห็นศิลปินคนอื่นนั่งอยู่กันเต็มเลย Bodyslam งี้ นี่เรามาทำอะไรตรงนี้วะเนี่ย มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ตอนลุ้นมันก็ลุ้นมากจริง ๆ แต่พอไม่ได้ก็ไม่เสียใจนะ ได้นั่งข้าง ๆ พี่ตูนเราก็ว่าสุดแล้ว ไม่คิดว่าจะได้ใกล้ขนาดนี้ ส่วนคนที่ได้ก็ใกล้ตัวเรา Sugar Analog อยู่ใน New Light เหมือนกัน เราก็รู้สึกว่าเนี่ยแหละที่สุดแล้วสำหรับเรา อย่างน้อยเราทำ New Light ก็ยังมีอะไรกลับมาบ้าง

ทำไมถึงคิดจะทำ New Light Project

ผมพยายามชวนคนที่มีใจเล่นดนตรีแต่ไม่มีเวลามา ก็คือเป็นเหมือนชุมชน ครอบครัวที่ใครอยากเล่นดนตรีก็มาทำเพลงด้วยกันมั้ย เดี๋ยวเราช่วยโปรโมทให้ เพราะผมก็จบการตลาดมา ตอนจบมามันเฟลมากว่า เล่นดนตรีแล้วเรียนการตลาดมาทำไมวะ เพื่อนก็ไม่มี connection ก็ไม่มี ก็มาเอาดีด้านการวางแผนให้วงอื่น ๆ ก็แล้วกัน ก็เหมือนเป็นที่ที่ชวนคนที่หมดไฟให้กลับมามีไฟอีกครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องเล่นจริงจังเป็นมืออาชีพขนาดนั้น รู้แค่ชอบมัน รักมัน อยากกลับมาเล่น New Light ก็เป็นทางเลือกสำหรับตรงนั้น

hope-03

เห็นว่าชอบจัดงานดนตรีอยู่บ่อย ๆ

ฮอน: แต่ก่อนทำงาน Thai Post Rock Scenery ก็เอาวงทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าที่รู้สึกว่าอยากมีพื้นที่ในการแสดงสดก็มาเล่นกันในงานนี้ ก็มีที่ Harmonica จัดอยู่สองสามครั้ง ก็เป็นคนใน Thai Post Rock Scenery นั่นแหละ ครั้งแรกคนเยอะมาก มันเป็นการแจมสดกันด้วย ผมชอบนะ ครั้งแรกมี Two Million Thanks แล้วก็ The Postman มี Willshare มาแลกเปลี่ยน ทำความรู้จักกัน ครั้งที่สองเป็น Gorilla Telegram กับ Two Million Thanks เจี่ยป้าบ่อสื่อ ครั้งที่สามเริ่มเห็นแล้วว่ามันไม่มีคน คนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้ฟังกันแล้ว คนรุ่นเก่า ๆ ก็รู้จักกันหมดแล้ว คนที่มาแรก ๆ ก็เป็นศิลปินกันไปหมดก็คงไม่ได้มาแล้ว เพราะก็ไปทำงานส่วนตัวของเขา กลายเป็นกลุ่มย่อยไปแล้ว แต่ที่รู้สึกได้คือคนฟัง post rock จะไม่ชอบออกไปไหน เขาจะไม่ออกมาดูคอนเสิร์ตนะ อยากดูเฉพาะวงที่อยากดูจริง ๆ วงอะไรที่มาไทยไปดูหมดยกเว้นวงไทย กลั

วดูสดแล้วผิดหวัง อยู่บ้านฟังดีกว่า บรรยากาศไม่ได้ ซาวด์ไม่ไป ก็เข้าใจว่าเล่นสดเพลงแบบนี้บางทีมันไม่ได้ซาวด์อย่างที่ต้องการ Hope The Flowers ในเพลงมันเพราะ มันเบา แต่พอเล่นสดแล้วหนัก หลายคนบอกเลย เป็นร็อคเกินไป แล้วก็ทำ Instrumental Night Live ครับ แยกย่อยมาจาก Thai Post Rock Scenery เพราะบางทีเราไม่กล้าเรียกว่าเขาเป็น post rock หรือเปล่า เลยคิดว่าอะไรที่มันเป็นเพลงบรรเลง เป็นวงหรือเดี่ยว มันก็คือ instrumental งานนี้จะเอาวง instrumental ทั้งหมดมาเล่นกัน จัดง่าย ๆ ปาร์ตี้ เอา connection กัน ด้วยตัวผมก็ทุนน้อยก็พยายามหาร้านจัดฟรี ชวน ๆ คนมาเล่น ครั้งแรก ณ นครมินิบาร์ ก็มี Withyouathome, Hope The Flowers, Gorilla Telegram มี special guest เป็น Celebrity Owl จริง ๆ จะมี Kinetics ด้วยแต่เขาติดงานเลยไม่ได้มา แต่พอครั้งที่สองมันน้อยจริงเพราะร้านจัดไกลแล้วก็ชนหลายงานด้วย เอาวิมุตติ จากโคราช PC 0832/676 จากเชียงใหม่ แล้วก็ W Map มี Hope The Flowers, Flow จากนนทบุรี บอกเลยว่าเป็นวงที่ดีมากทุกวงจริง ๆ จนเราอยากเสียค่ารถให้เขา ตอนนั้นขายบัตรได้แค่ 30 ใบเอง ก็เอาที่ได้ตรงนี้ให้เขาไปหมดเลยเพราะเขามากันไกลมาก เขาเล่นกันสุดมากเลยนะ เราก็จะจัด Instrumental Night Live ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่มีวงเล่นแล้ว (หัวเราะ) แล้วก็จะมี Ambient Day Live จัดไปแล้วที่ Coffee Model เป็นเพลงแอมเบียนท์เหมาะกับคนนั่งกินกาแฟ ชิว ๆ ที่นี่ตอบโจทย์เราละ จัดกัน outdoor มี 17September1981 มี Cloque มี  ณัฐธีร์ จินตะ ประมาณนี้ครับ

โปรเจคต่อไปที่จะทำมีอะไรบ้าง

ฮอน: คือผมเป็นคนที่เวลาเห็นเพื่อนหมดไฟแล้วอยากให้เพื่อนมีไฟ อันที่จริงวงใน New Light ส่วนใหญ่ก็หมดไฟกันหมดแล้วที่ชวน ๆ มา ก็ไม่ค่อยทำงาน ไฟที่ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักดนตรี แต่ว่าเขาต้องทำงาน ผมไม่ได้ทำงาน ก็เลยสามารถเอาเวลาตรงนี้ไปปลุกคนที่ทำงานมาเล่นได้

สิ: เป็นสายบิ๊ว ยุแยงเพื่อน (หัวเราะ)

ฮอน: เออ แบบ มาดิ มาอยู่กับกู เดี๋ยวกูช่วยหางานเล่นให้ อย่าง Honey Money มันเกิดจากการที่ผมเห็นเพื่อนคนนึงมันทำวงมานานกว่าผม แต่ตอนเราทำอันนี้เราก็ถามมันนะว่าเคยเล่นงานไหนมาก่อนไหม มันก็บอกกันว่า เนี่ย งานนี้งานแรก เราก็ เฮ้ย จริงปะเนี่ย แบบ เล่นดนตรีกันมันตั้งนานแต่นี่คืองานแรกของทุกคน เราก็เลยรู้สึกว่า เออ ก็ดีแล้วแหละ คือเราเจอมือกีตาร์คนนี้มันทำงาน แล้วมันล้มเหลวมากับวงดนตรีเยอะมาก จนมันจะหมดไฟแล้วแหละ แต่เราก็บิ๊วมันตลอด จนเราเห็นความชอบของมันว่ามันชอบฟังเพลง 80s นี่หว่า hairband อะไรแบบนี้ ก็เลยชวนมันมาทำ เราก็บอกให้มันเล่นกีตาร์ไปเลย เดี๋ยวเราร้องอย่างเดียว ก็เลยรู้สึกว่าดีเหมือนกันที่ได้ช่วยเพื่อนปลุกไฟ เราก็ชวนคนอื่นมา อย่างมือกลองนี่เขาขายกลองทิ้งหมดแล้ว เคยตีอยู่ Shoecare แล้วก็กลับมาเล่น แบบ รู้สึกมีพลัง อยากเล่นดนตรีอีกครั้ง

ได้อยู่ใน community ของ Facebook ที่ชื่อ Thai Post Rock Scenery กันรึเปล่า

ฮอน: ใช่ ๆ เมื่อก่อนสนุกตอนที่เขาเอาเอฟเฟค pedal มาแชร์กัน แล้วก็มีช่วงที่นัดเจอ มาแจมกันสนุก ๆ คุยกันง่ายกว่านี้เพราะคนไม่ถึง 300 คนก่อตั้งก็ไม่ได้ฟัง post rock แต่แรก เขาฟังไกรนด์คอร์มา แต่ก็ชอบดนตรีตรงนี้แหละก็เลยตั้งขึ้นมา แล้วตอนนั้นคนไม่รู้จักแนวนี้กันด้วย ก็อยากทำความรู้จักกัน ก็แชร์เพลง แล้วก็คุยกันบ่อยมาก ยังมีงาน Thai Post Rock อีกที่จัดขึ้นมา พอคนเริ่มเยอะก็งง ๆ กัน ต่างประเทศก็ join เข้ามาได้ ก็มาฝากเพลงกัน มันก็เลยกลายเป็น ใครมีเพลงใหม่ก็มาแชร์เพลงกัน ไม่ได้โพสต์อย่างอื่นแล้ว เทียบง่าย ๆ ก็แชร์ Caspian ก็ 50 likes ถ้าแชร์อะไรที่ไม่รู้จักก็เอาไป like เดียว

สิ: ช่วงแรกก็ตื่นเต้นกันเพราะมันใหม่ ก็สนใจตรงนี้ แต่รสนิยมคนไทยเป็นแบบ มาเร็ว ไปเร็ว มีไม่กี่คนหรอกที่จะค้นหาเพลงใหม่ ๆ แนวนี้มาฟัง แล้วก็จะแชร์กันอยู่ไม่กี่วง แรก ๆ เข้าไปก็เพื่อการศึกษา แต่หลัง ๆ ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่แล้ว แชร์อยู่ไม่กี่วง คนก็เป็นกลุ่มย่อยของตัวเองมากขึ้น

เคยรู้สึกท้อกับการทำเพลงไหม

ฮอน: จริง ๆ ก็ท้อนะ เกือบทุกวัน คือแต่ละคนมันอาจจะไม่เข้าใจ moment เรา เพราะเราอยู่ตรงนี้ก็เหมือนจะดีแล้ว แต่เราจะรู้เองว่าลึก ๆ เรารู้สึก ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าเป็นอะไรเหมือนกัน พอตกกลางคืนเวลาอยู่คนเดียวจะมานั่งทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วจะมาคิดว่า เราทำมันต่อได้จริง ๆ หรอ จะอยู่กับมันได้นานเท่าไหร่ จะอยู่กับวงนี้ได้นานแค่ไหน ก็คิดอยู่ตลอด แต่คนอื่นที่มองเราเข้ามาก็บอกว่านี่มึงก็มาไกลมากแล้วนะ เราก็มองว่า จริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้หนีคนอื่นมาเท่าไหร่ แต่ดวงด้วย โชคชะตามันให้เรามา อยู่ที่ว่าเราจะรักษามันไว้ได้นานแค่ไหน ก็มีท้อบ้าง ฮึดบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมหายท้อก็คือ ผมแคปหน้าจอว่าใครแชร์อะไรบ้าง ใครไปถ่ายเราเล่นงานไหนบ้าง ฝรั่งเอาไปรีวิวที่ไหนบ้าง เราก็แคปเป็นอัลบั้มไว้ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นี่

hope-04

มีแฟนเพลงต่างประเทศด้วย

ฮอน: มีคนญี่ปุ่นเคยฟังบอกว่าเหมือนวง Moonlit sailor เลย แต่ก็มีความเป็นไทย เออ ก็ใกล้ ๆ เหมือนกันนะอาจจะเป็นฝรั่งที่ชอบมุ้งมิ้งเหมือนกัน

ไกด์: ส่วนมากมันจะมีความเป็น pentatonic scale ก็จะออกสำเนียงบ้าน ๆ หน่อย

สิ: จริง ๆ ก็ไม่เหมือนหรอก แต่ก็เป็นแนวทางเดียวกัน ถ้าไม่ได้พูดในฐานะเป็นคนทำดนตรี แต่เป็นคนฟังเพลง การที่วง ๆ นึงทั้งอัลบั้มเขามี sound แบบเดียวกันมันจะดีกว่ามีแนวเพลงที่หลากหลาย เหมือนมีลายเซ็นที่คนฟังฟังแล้วก็จะนึกออกว่าเป็นวงไหน ส่วนตัวที่เล่นดนตรีกับฮอนก็คิดว่าทำมาดีแล้ว แต่อย่างบางเพลงดาร์ค บางเพลงใส แต่ก็มีความชัด

ฮอน: มันมีวงต่างประเทศที่ฟังแล้วมีความแตกต่างกันมาก อย่าง Caspian ล่าสุดนี่ก็ถือว่าแต่ละเพลงนี่จับทางไม่ถูกเลยว่า feel ไหนวะ

อยากทดลองแบบเขาไหม

สิ: เราก็ทดลองเล่นกันเอง แต่ถ้ามันดูประหลาดเกินไปก็จะไม่ทำออกมา

ฮอน: เดี๋ยวมันจะเหมือนตอน Willshare คือไม่ได้ไม่ดีนะ มันดีแล้วที่ไม่เหมือนใครเลย เพราะมือกีตาร์ชอบอันนี้ คีย์บอร์ดชอบเปียโนคลาสสิค มือกลองชอบเล่นร็อค แล้วพอทุกอย่างมารวมกันมันกลายเป็นแบบที่ฟังยากเหมือนกันนะ สำหรับเรามันฟังได้เพราะเราก็เป็นคนฟังเพลง แต่คนอื่นเขามาฟังแล้วก็ไม่อิน

สิ: วงดนตรีจะอยู่ได้ไม่ได้คือคนในวงมันต้องยอมกันด้วยนะ ถ้าคนในวงชอบไม่เหมือนกันแล้วต่างคนต่างงจะเอาแบบนี้ มันก็ไม่ได้ ถ้าเรายกให้ฮอนเป็นหัวหน้าวง ไอเดียมันต้องมาก่อน ถ้าของเราไปทำให้ไอเดียของมันดรอปลงไป เราต้องยอมที่จะไม่ใช้ แล้วบางวงที่เป็นแบบนี้น่ะ ถ้าวงไม่เละ ก็โกรธกัน วงดนตรีอยู่ได้ต้องพยายามปรับ หรือถ้าวงอยู่กันมานานแล้วยังไม่ได้งาน EP ยังไม่มีเลย ก็เลิกกันไปก็มี ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว

ฮอน: รู้สึกเหมือนกัน เพราะวงดนตรีหลาย ๆ วงที่ทำมา พอมันไม่มีหัวหน้ามันประคองยากแล้วนะ พอมีหัวหน้าสองคนแล้วมันก็ยังทะเลาะกัน คนตรงกลางก็ทำอะไรไม่ได้ บางคนที่เป็นหัวหน้าวง คิดเองทุกอย่างคนเดียวแล้วคนอื่นไม่ตาม ก็หมดไฟ ไม่ทำละ จะไปไล่ออกก็ไม่ใช่เรื่อง

สิ: อย่างฮอนคิดเดโมมา เราก็ไปฟัง ไปต่อยอด แต่ถ้าเราอีโก้จัด ๆ ไม่ชอบ มันจะช้าละ

วงดนตรีจะอยู่ได้ไม่ได้คือคนในวงมันต้องยอมกันด้วยนะ ถ้าคนในวงชอบไม่เหมือนกันแล้วต่างคนต่างงจะเอาแบบนี้ มันก็ไม่ได้ ถ้าเรายกให้ฮอนเป็นหัวหน้าวง ไอเดียมันต้องมาก่อน ถ้าของเราไปทำให้ไอเดียของมันดรอปลงไป เราต้องยอมที่จะไม่ใช้ แล้วบางวงที่เป็นแบบนี้น่ะ ถ้าวงไม่เละ ก็โกรธกัน วงดนตรีอยู่ได้ต้องพยายามปรับ หรือถ้าวงอยู่กันมานานแล้วยังไม่ได้งาน EP ยังไม่มีเลย ก็เลิกกันไปก็มี ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว

hope-05

มองภาพของวงการ instrumental band ในไทยไว้อย่างไรบ้าง

ฮอน: เราว่ามันมาตามช่วง ต้องรอจังหวะ มันเหมือนยุคสกา เร้กเก้ ที่มันมาก็มาหนัก เล่นงงานนั้น งานนี้ คนก็ดูกันหนัก ตอนอีโมมาคนก็ดูอีโมอย่างเดียวเลยนะ แต่พอ post rock มา มันก็มีมาเรื่อย ๆ เงียบ ๆ Sigur Ros มา Mono, Mogwai ก็มา แต่ทีนี้มันเหมือนกับพอผ่านช่วงนั้นมาก็มี electronic อย่างตอนนี้ psychedelic ก็กลับมาทั้งที่มันหลายผีมาแล้ว ฮิปป้ง ฮิปปี้งี้ มันเหมือนลูปที่คนทำเพลงก็ไม่รู้จังหวะเหมือนกัน ถ้า instrumental มา เราก็จะทำขาย ไม่ใช่หัวใสนะ แต่บางทีก็ต้องคิดบ้าง แต่ instrumental ไทยที่ทำ ๆ ปล่อย ๆ กันมา คนมันก็ยังไม่ได้อินขนาดนั้น คนก็ไม่ค่อยฟัง ถ้าเราไม่อินเร้กเก้ สกา เราก็ไม่กดฟัง แต่พอศรีราชาร๊อคเกอร์มางี้ เมื่อก่อนเราไม่อินเราก็ไม่ฟัง แต่ตอนนี้มาฟังแล้วเราชอบมาก ถ้าตอนนั้นอินในยุคนั้นก็คงจะมันมาก บางทีเราไม่ได้เปิดใจอะ

สิ: ตอนแรกก็ไม่ชอบเลยนะ เพลงบรรเลง post rock แรก ๆ ก็ฟังตามสูตร พอมาเล่นแล้วมันก็ชอบ แล้วแต่โอกาส จังหวะ เข้ามาได้ถูกทาง สำหรับคนเล่นอาจจะแฮปปี้นะ เพราะมันเหมือนศิลปะ abstract เวลาเล่นมันไม่ได้เจาะจงอะไร เพราะคิดอะไรก็คิดไปเรื่องของมึง ตอนเล่น instrumental ตอนนั้นมันค่อนข้างประหลาด คนฟังน้อยมาก ถ้ามาถึงตอนนี้ดนตรีบรรเลงมันไม่ค่อยแปลกแล้วถ้าคนฟังอินดี้หน่อย ฟังค่ายอิสระ แต่มันไม่น่าจะไปถึง mainstream คงยาก ขนาดวงดัง ๆ อย่าง Mono ใน YouTube ยังมีแค่แสนวิวเลย นั่นคือ world class แล้วนะ Sigur Ros จริง ๆ เป็นเพลงร้องนะ ก็จับใจคนฟัง

ฮอน: เรื่องภูมิประเทศก็เกี่ยวนะ บรรยากาศอะไรหลาย ๆ อย่างมันต่างกันมาก Mono ฟังตอนแรกมันจะรู้สึกเหน็บหนาว ดาร์ค Sigur Ros ฟังแล้วเหมือนอยู่ประเทศเขาจริง ๆ แบบน่ารักว่ะ มันค่อนข้างมีผลมาก สำเนียงแต่ละวงในประเทศนั้น ๆ ก็จะคล้ายกันหมด เกาหลีก็เกาหลีจริง ๆ วงการ instrumental ไทยก็อาจจะยากหน่อย อากาศร้อน เพลงก็จะดุเดือด เหรอ (หัวเราะ)

ไกด์: แต่การเล่นมันจะต่างกับเพลงที่มีเนื้อร้องปกติทั่วไป ตัวผมเองผมบอกได้เลยว่าจะอินมาเวลาเล่นเพลงแบบนี้ อย่างถ้าเล่นเพลงที่มีเนื้อร้องมันก็จะโดนบล็อคไว้จากที่เขาร้องว่า ฉันรักเธอนะ ก็จะมีความรู้สึกแบบนั้นตามเพลง แต่อันนี้เราสามารถสร้างได้ บางทีจะเอาเรื่องราวที่อยู่ในใจเราออกมาหมดเลย แล้วแต่ละโชว์คิดไม่เหมือนกันเลย (หัวเราะ)

แต่ละคนทำงานอะไรกัน

ไกด์: ปกติเล่นดนตรีกลางคืนอยู่แล้วครับ กลางวันนอน (หัวเราะ) แล้วก็มีอีกวงชื่อ เจอหมีร็อคแบนด์ เพลงอยู่ในฟังใจ กับเรียน เหลืออีกตัวเดียว รอเรียนให้จบ แล้วก็คงทำเพลงต่อครับ

อาร์ท: กำลังคนหาตัวเองอยู่ครับ เรียน ถ่ายรูป รับงานออกแบบทั่วไปครับฟรีแลนซ์ แต่ที่ทำ ๆ อยู่ก็เป็นงานเกษตรครับ

สิ: ทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งครับ เรื่องการงานก็คงหาทางไปในตำแหน่งที่ดีขึ้นไป แต่เรื่องเพลงก็มาร่วมงานกับฮอนก่อนครับ ก็คงเล่นดนตรีต่อไปเพราะเป็นความชอบส่วนตัว แต่พยายามจะไม่ให้มันกระทบกับชีวิตเรื่องอื่น ๆ เพราะไม่ว่าชีวิตจะเป็นยังไงก็จะหาเวลามาเล่นดนตรีครับ

ช่วงนี้เห็นฮอนให้ความสนใจกับการวิ่ง ทำไมอยู่ดี ๆ มาชอบวิ่ง แล้วเพลย์ลิสต์วิ่งฟังเพลงอะไรบ้าง

สิ: มันอ้วนมันก็เลยวิ่งไง (หัวเราะ)

ฮอน: เรารู้สึกว่าเรานอนดึกมาก ทำงานก็นอนยันเช้า สุขภาพแย่มาก เริ่มบันทอนชีวิตละ หลัง พุง ทำอะไรเริ่มยากละ แล้วผมเป็นคนที่โลกส่วนตัวเยอะ ไม่ค่อยออกสังคมเท่าไหร่ อยู่คนเดียวซะเยอะ ก็เลยหาอะไรที่ทำคนเดียวได้โดยไม่ต้องเล่นกับคนอื่น เลยรู้สึกว่าวิ่งน่าจะเป็นคำตอบ คือส่วนใหญ่ที่ชวนเพื่อนวิ่งมันก็จะไม่วิ่งกัน ผมก็เลยจะไปวิ่งคนเดียว คนก็ชอบถามว่า มึงไปวิ่งคนเดียวได้ไงทุกงาน เขาวิ่งกันเป็นหมู่คณะ เป็นเพื่อนกัน แต่คนวิ่งคนเดียวก็เยอะไง เราก็งงว่ามันแปลกตรงไหน เราก็ว่าสนุกดี แรก ๆ เราวิ่งแล้วไม่ฟังเพลงเพราะหูฟังจะหลุดตลอดเวลา ก็เลยลงทุนไปซื้อ bluetooth in ear มาเลย แต่เพลงก็ฟังน้อยเพราะฟังจาก bandcamp เพราะมันไม่ต้องใช้เน็ตมาก ก็มี Dispatch Of Sky, มี Pierce จากไต้หวัน มี Hope The Flowers ด้วย (หัวเราะ) แล้วก็ Signal To Vega, Pray For Sound ประมาณนี้ครับ

ฝากอะไรกับผู้อ่านหน่อย

ขอฝาก Hope The Flowers นะครับ อัลบั้มใกล้จะ Sold Out แล้ว ไปซื้อกันได้ที Happening Shop ร้านน้อง ท่าพระจันทร์ Minimal Gallery, 8Musique กับที่ 1979 Vinyl and Unknown Pleasures ส่วนอัลบั้มสองก็เร็ว ๆ นี้ครับ น่าจะกลางปีหน้า กำลังทำเดโมอยู่ครับ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้