Article Import

คุยกับ Mike Shinoda ถึง ‘Post Traumatic’ โซโล่คอนเสิร์ตครั้งแรกของเขา

  • Writer: Kunchanit Liengudom
  • Photographer: Jiratchaya Pattarathumrong

หลังการสูญเสียครั้งใหญ่กับการจากไปของ Chester Bennington ที่ช็อกวงการเพลงทั่วโลก Mike Shinoda หนึ่งในสมาชิกและผู้ก่อตั้งวงร็อกระดับตำนาน Linkin Park กลับมาอีกครั้งพร้อมกับผลงานเดี่ยวและอัลบั้มที่ชื่อว่า Post Traumatic ที่พูดถึงการเดินทางออกจากความโศกเศร้าและความเจ็บปวดจากเรื่องราวในอดีตไปสู่แสงสว่างและความหวัง

เมื่อวานนี้ไมค์ได้ออกมาพูดคุยทักทายแฟน ๆ รวมทั้งให้สัมภาษณ์กับสื่อที่ Grand Hyatt Erawan Bangkok หลังเดินทางมาถึงประเทศไทยในวันพุธที่ผ่านมา และก่อนที่จะไปร่วมมันในคอนเสิร์ต Mike Shinoda of Linkin Park Post Traumatic Tour ที่จะถูกจัดขึ้นที่ GMM Live House @ Central World คืนนี้ตอนสองทุ่ม เรามาอ่านบทสัมภาษณ์ที่พูดถึงอัลบั้ม การทำเพลง และทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้กันก่อนดีกว่า

 

 

นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่คุณมาเยือนกรุงเทพ ฯ

ผมมาที่นี่กับ Linkin Park สามครั้ง แล้วก็เคยมาแสดงในฐานะ Fort Minor ด้วย รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาอีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยวครับ

แสดงว่านี่ก็เป็นครั้งแรกของคุณในเมืองไทยกับการแสดงโซโล่ในปีนี้น่ะสิ

ใช่เลยครับ

ตื่นเต้นไหม

ตื่นเต้นมากครับ โชว์ในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ขอบคุณแฟน ๆ สำหรับกำลังใจและการสนับสนุนที่ให้ผมมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะช่วงปีที่ผ่านมาครับ

แล้วทัวร์คอนเสิร์ตเป็นอย่างไรบ้าง

นี่เป็นแค่วันที่สองของทัวร์เองครับ ยังเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นอยู่เลย ผมไปแสดงมาสองสามที่เองจนถึงตอนนี้ แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้ค่อนข้างใหม่นะผมว่า ทั้งโปรดักชันที่อลังการขึ้นและศิลปินหน้าใหม่ที่จะมาร่วมแจมบนเวที ผมเลยค่อนข้างตื่นเต้นที่จะได้ส่งทอดประสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่านโชว์ที่สดใหม่กับให้แฟน ๆ

แฟน ๆ ต้องเตรียมตัวกับคอนเสิร์ตคืนนี้อย่างไรบ้าง

โชว์ครั้งนี้มีทั้งส่วนผสมของความเป็น Fort Minor, Linkin Park และงานโซโล่ นอกจากนี้ยังมีเซอร์ไพรส์ในการจัดเรียงเพลงที่ผมเตรียมไว้ด้วย ซึ่งทั้งหมดมาจากแนวคิดที่ว่า ถ้าเราเป็นแฟน ๆ เราอยากจะดูหรืออยากจะเห็นอะไรในโชว์ ผมก็เลยจับมันใส่จนผมได้ทุกสิ่งที่ต้องการออกมาแบบนี้

คุณมีอะไรจะบอกแฟน ๆ เป็นการเชิญชวนให้พวกเขาไปดูโชว์คืนนี้หน่อยไหม

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือการทำให้เขารู้ว่า อัลบั้มนี้ของผมชื่อว่า Post Traumatic (หลังจากความเจ็บปวด) มันไม่ใช่ช่วงที่เจ็บปวด แต่เป็นช่วงหลังจากนั้น หลังจากที่ผ่านมันมาแล้วและกำลังก้าวเข้าสู่ความหวัง เพราะฉะนั้นโชว์ครั้งนี้จึงเป็นโชว์ที่สนุก ผมอยากสนุกไปกับมัน อยากให้ทุกคนมาแล้วมีช่วงเวลาที่ดี ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่โชว์ที่เศร้าแน่ ๆ ล่ะ ก่อนหน้านี้ผมไปเล่นที่ฮ่องกงมา เราสนุกกันมากเลย ร้องและกระโดดไปทั่ว ทุกคนมันมาก ผมเลยตื่นเต้นอยากให้แฟน ๆ ที่ไทยได้รับประสบการณ์แบบนั้นกลับไปเช่นกัน

ต้องเตรียมเสียงไปดี ๆ เลยสิเนี่ย

จริง ๆ เราทุกคนเหมือนจะเสียงหายนิดนึงด้วยแหละ (หัวเราะ)

 

คุณบอกอยู่เสมอเลยว่าอัลบั้มนี้ (Post Traumatic) ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ส่วนตัวมาก แล้วคุณทำอย่างไรให้มันสื่อไปถึงคนฟัง รวมถึงทำให้เขารู้สึกร่วมไปกับมันด้วย

เป็นคำถามที่ดีครับ คืออัลบั้มนี้มันเป็นอัลบั้มที่ค่อนข้างส่วนตัวนะ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปีที่แล้ว การสูญเสียเชสเตอร์ไปเป็นสิ่งที่สะเทือนใจมาก ผมไม่รู้จะทำอย่างไร แค่การใช้ชีวิตประจำวันของผมมันยังดูผิดที่ผิดทางไปหมดเลย ผมมีสตูดิโอเล็ก ๆ ในบ้านซึ่งเป็นแค่ห้องที่มีอุปกรณ์ที่ผมชอบใช้ มันเป็นที่ที่ผมเอาไว้ทำเพลงและบันทึกเสียง ผม เชสเตอร์และวงของเราทำนู่นทำนี่กัน ช่วงแรกผมกลัวที่จะเข้าไปในนั้นเพราะมันเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย ผมต้องบังคับให้ตัวเองเข้าไป นั่งลง แล้วเริ่มเล่นหรือบันทึกอะไรสักอย่างเพื่อที่จะทลายกำแพงนั้นลง เพื่อที่จะได้เลิกกลัว หลังจากนั้นเพลงเหล่านี้ก็ค่อย ๆ เกิดขึ้นจนมันกลายมาเป็นอัลบั้มนี้ อัลบั้มที่เหมือนกับไดอารี่ เหมือนกับอัตชีวประวัติของช่วงหกเดือนถึงเก้าเดือนแรก จริง ๆ แล้วผมรู้สึกกลัวนิด ๆ ที่จะแชร์มันกับแฟน ๆ เพราะมันค่อนข้างส่วนตัวมาก แต่พอทุกอย่างมารวมกันแล้ว ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นทางที่แสดงให้แฟน ๆ เห็นว่าผมจัดการกับเรื่องนี้ยังไง และมันอาจจะช่วยพวกเขาให้ผ่านพ้นมันไปได้ด้วยเหมือนกัน

คุณเขียนเพลงเองเกือบหมดเลยในอัลบั้มนี้ คุณชอบเพลงไหนที่สุด

ผมไม่ได้ชอบเพลงไหนเป็นพิเศษนะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณจะเห็นว่าเพลงในอัลบั้มมันเรียงตามลำดับเวลา มันเหมือนจะอธิบายว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างไร จากอาทิตย์เป็นเดือนในช่วงเวลาที่ผมทำงานอยู่กับมัน มันเริ่มจากความมืดมิดและค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถึงตอนจบมันก็เต็มไปด้วยความหวัง ความรู้สึกเชิงบวก เพราะงั้นถ้าผมจะกลับไปฟังมันเล่น ๆ ผมคงจะเลือกฟังช่วงครึ่งหลังของอัลบั้มมากกว่าครับ

มีเพลงที่อยากแนะนำให้คนที่ไม่เคยฟังเพลงของ Mike Shinoda ฟังบ้างไหม

อืม… ผมคิดว่าเป็น Crossing A Line และ Make It Up As I Go ครับ ผมว่าอาจจะเริ่มด้วยสองเพลงนี้ครับ

คุณรู้สึกอย่างไรกับการที่คนฟังรู้สึกมีส่วนร่วมกับหลาย ๆ เพลงในอัลบั้ม

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับอัลบั้มนี้คือมันเริ่มในที่ที่เป็นจุดเริ่มต้น ในที่ที่มืดมิดก่อนจะก้าวออกมาจากที่นั่น สาเหตุหนึ่งที่ Crossing A Line เป็นซิงเกิลแรกก็เพราะมันสื่อถึงตรงกลางระหว่างการมองย้อนกลับไปในอดีตและการมองไปข้างหน้า เราเคารพอดีต ยอมรับในสิ่งที่มันเป็น ในจุดนี้ระหว่างการเดินทางของผม ผมไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมองหาอะไรเพื่อมาเติมเต็มเป้าหมายซึ่งถูกตั้งไว้โดยเฉพาะ ผมไม่ได้อยู่ที่นี่วันนี้ ทำโชว์เพราะว่ามันจะนำพาผมไปสู่อะไรบางอย่าง ผมมีแค่เป้าหมายระยะสั้นเท่านั้น เราก็แค่วางแผนทัวร์ ทำโชว์ที่ดีจนจบ และผมอยากที่จะเอ็นจอยกับการเดินทางครั้งนี้ มันสำคัญกับผมมากที่จะเปิดใจให้กว้าง อยู่กับปัจจุบัน และสนุกกับทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ผมหวังที่จะแชร์สิ่งที่มีคนเคยสอนหรือชี้ให้ผมเห็นให้แฟนเพลงของผมได้เห็นมันด้วยเช่นกัน

ทำไมคุณถึงเลือก Chino Moreno จากวง Deftones มาทำงานเพลงในอัลบั้มนี้กับคุณ

ผมต้องการคนที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกและคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มและตัวเพลงมาเป็นเกสต์ในอัลบั้มนี้ของผม  ชิโน่ เป็นคนที่เหมาะมากกับสิ่งนี้ สำหรับผมมันค่อนข้างธรรมชาติมากเลยในการเข้าหาเขา ผมก็แค่อยากคุยกับเขา ดูว่าเขามีอะไรจะแนะนำบ้าง และเราก็มาจบที่การทำเพลง Lift Off ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาร่วมงานในอัลบั้มส่วนมากจะเป็นคนที่ผมรู้จักอยู่แล้ว พวกเขาจะมาช่วยเติมเต็มบางสิ่งที่เพลงต้องการได้ และเราก็ทำมันอย่างตรงไปตรงมา นั่นแหละ ผมก็เลยไปขอให้พวกเขามาเป็นส่วนหนึ่งกับมันด้วย

คุณเคยทัวร์คอนเสิร์ตมาทั่วโลกแล้วจนถึงตอนนี้ มีอะไรที่คุณอยากทำในโชว์อีกบ้างไหม สิ่งที่แตกต่างออกไปจากที่เคยทำ

คือจริง ๆ แล้วโชว์นี้ถูกปรับเปลี่ยนมาเยอะพอสมควรเลยครับ อย่างที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านี้ phase แรกของโชว์เพิ่งจะเสร็จเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนเอง และนี่ก็เป็นอีกเวอร์ชัน เป็น phase ใหม่ที่มีโปรดักชันและไลท์ติ้งที่เราเพิ่มมา มีนักดนตรีที่เพิ่มเข้ามาใหม่บนเวที เรามี multi-instrumentalist ชื่อ แม็ตต์ และมือกลองชื่อ แดน พวกเขาเป็นเพื่อนใหม่ของผม เรายังอยู่ในช่วงทำความรู้จักกันอยู่ แต่พอผมได้ฟังพวกเขาเล่นดนตรีแล้วผมก็หลงรักวิธีการเล่นของพวกเขาเลย เราคุยกันผ่านทางโทรศัพท์นิดหน่อย คุยวิดีโอแชตกันบ้าง นั่นแหละครับผมก็ให้พวกเขามาเล่น ผมภูมิใจมากกับโชว์นี้นะ และผมรู้ว่ามันจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านไป โดยส่วนตัวแล้วสิ่งที่สนุกมากในการทำโชว์นี้คือ โดยปกติแล้วผมมักจะเป็นส่วนหนึ่งในวงที่มีคนหกคนใช่ไหมครับ ถ้าผมอยากจะอิมโพรไวส์ หรือเปลี่ยนคอร์ดตรงท่อนกลาง หรือผมอยากจะเล่นเพลงที่ไม่ได้อยู่ในเซ็ตลิสต์ ห้าคนที่เหลือใน Linkin Park ก็จะต้องรับรู้มันด้วยเพื่อที่พวกเขาจะได้เล่นและมีเวลาเตรียมตัวก่อนหน้านั้น แต่พอถึงตอนนี้ถ้าหากผมต้องการที่จะเปลี่ยน direction หรือทำอะไรที่มันแตกต่างออกไป คนเดียวที่จะต้องรู้มันจริง ๆ ก็คือผมเอง เพราะฉะนั้นมันเลยมีพื้นที่สำหรับการอิมโพรไวส์ มันเลยสนุกมากกว่าสำหรับผม

คุณคิดอย่างไรกับฮิปฮอปในปัจจุบัน

จริง ๆ ผมฟังเพลงเยอะมากครับ ผมฟังเพลงใหม่มากกว่าเพลงเก่า แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้ฟังเพลงแบบเฉพาะ genre ผมจะแค่ชอบศิลปินคนนี้จากมู้ดหรือดูว่าผมชอบดนตรีของเพลงไหม ฮิปฮอปเป็นรักแรกของผมนะ ผมโตมากับเพลงที่ 80-90 เปอร์เซ็นต์เป็นเพลงฮิปฮอป สำหรับผมตอนนี้ฮิปฮอปมันมีหลากหลายสไตล์มาก อย่าง Drake เอย Pusha T เอย Post Malone เอย มีคนหนึ่งที่ชื่อ Hobo Johnson ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ร้องฮิปฮอปเลยด้วยซ้ำ เขาแค่มีวง แล้วเขาก็ร้องเพลงที่เป็นคำพูดออกมา แต่นั่นแหละมันก็มาจากฮิปฮอปอยู่ดี ตอนนี้โลกมันเปิดกว้างมาก ๆ แล้ว ศิลปินสามารถออกมาแสดงออกอย่างไรก็ได้ตามที่พวกเขาอยากจะทำ และมันน่าตื่นเต้นมาก

คุณวางแผนจะทำอะไรต่อจากนี้หลังทัวร์คอนเสิร์ตจบ

ผมเพิ่งประกาศวันคอนเสิร์ตของที่อเมริกาไปเอง หลังจากนั้นก็เป็นวันหยุด แต่ตอนนี้อย่างที่ผมบอกไป ผมอยากจะสนุกไปกับการเดินทางครั้งนี้และผมกำลังโฟกัสกับมันอยู่ แต่ถ้าผมมีเวลาว่างจริง ๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอยากจะทำอะไร เหมือนวันนึงผมก็อาจจะอยากวาดรูป ทำงานศิลปะเสียหน่อย อีกวันอาจจะอยากทำเพลง เพลงของผมเอง เขียนหรือโปรดิวซ์เพลงให้คนอื่น ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมอยากเปิดแล้วก็ทิ้งสเปซไว้เผื่อคิดอะไรออก ผมเองก็อยากจะทำอะไรที่แตกต่างเหมือนกัน ซึ่งเดี๋ยวคุณก็คงได้เห็นในโซเชียลมีเดียของผมเนี่ยแหละ

ได้ข่าวว่าคุณกำลังจะมีผลงานซีรีส์เร็ว ๆ นี้ด้วยใช่ไหม

อ๋อ..ใช่ครับ เพื่อนผมเขาติดต่อผมมาเพราะกำลังทำโปรเจกต์นี้อยู่ เป็นซีรีส์ชื่อเรื่องคือ ‘A Million Little Things’ ครับ เขาเขียนเรื่องนี้จากประสบการณ์จริงของตัวเองและเขาอยากให้คนดูเข้าถึงมันจริง ๆ โดยเฉพาะคนที่เคยมีประสบการณ์หรือตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน  เขาก็เลยให้ผมลองอ่านดู และดูว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็เลยช่วยเขาอยู่ตอนนี้

อยากให้คุณช่วยพูดอะไรกับคนที่มีความฝันและกำลังไล่ตามมันอยู่หน่อย

คือผมเป็นคนโชคดีครับจริง ๆ แล้ว ผมเติบโตมาด้วยความคิดที่ว่าอยากเป็นจิตรกร แบบ visual artist อะไรแบบนี้ ซึ่งพ่อแม่ก็สนับสนุนและเข้าใจผม พวกเขาส่งผมไปเรียน ส่งเสียและอื่น ๆ เพื่อให้ผมได้ทำสิ่งนี้ แต่ผมรู้ว่าสำหรับบางคนมันยากกว่านี้เยอะ พวกเขาอาจจะอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ได้เชื่อในตัวพวกเขา หรือไม่มีกำลังในการสนับสนุนก็ตาม แต่ถ้าคุณเชื่อในสิ่งนี้ว่ามันคือสิ่งที่คุณต้องการ มันทำให้คุณมีความสุข ผมว่าคุณต้องไล่ล่าเพื่อให้ได้มันมานะ แม้แต่ผมเองในชีวิตการทำงานที่ผ่านมา มันก็มีช่วงเวลาที่ใครหลาย ๆ คนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมและวงกำลังทำอยู่ โดยเฉพาะช่วงที่เราทำ Hybrid Theory แต่สุดท้ายมันก็ลงเอยอย่างที่มันควรจะเป็น ผมหวังว่าจะมีคนเอาสิ่งนี้ไปเป็นแรงบันดาลใจในการไล่ตามความฝันและแพชชั่นของตัวเอง

ฝากอะไรถึงแฟน ๆ ทิ้งท้ายหน่อย

ผมรู้สึกขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ กับทุกข้อความ ทุกกำลังใจ ทุกการสนับสนุนที่มีให้ผมเมื่อช่วงปีที่แล้ว กำลังใจจากแฟน ๆ ช่วยให้ผมผ่านปีนี้มาได้ ทุก ๆ สิ่งที่พวกเขาทำให้มันทำให้ผมก้าวต่อไป และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ด้วย ผมอยากจะบอกขอบคุณแบบตัวต่อตัวกับทุกคนที่เข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตของผมจริง ๆ ครับ

 

Mike Shinoda

Facebook Comments

Next:


Kunchanit Liengudom

นิดหน่อย อินเทิร์น ณ ฟังใจ, สิงหา-กันยา ปี 61 ช่วงที่เพื่อนฝึกงานออกกันไปหมดแล้ว รักการดูหนัง ชื่นชอบการฟังเพลงที่ร้องตามได้เป็นพิเศษ