Article Interview

เมื่อแสง ‘Spotlight’ ส่องมาที่ ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ อีกครั้ง

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Chavit Mayot

บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ กับ Spotlight ที่ส่องสว่างไปยังเขาอีกครั้งหลังจากที่หายไปจากการปล่อยเพลงใหม่ถึง 7 ปีเต็ม การพูดคุยครั้งนี้จึงเป็นการคุยกันครั้งแรกของ Fungjaizine กับบุรินทร์  การแสดงโชว์ครั้งนี้เริ่มขึ้นแล้ว เชิญชมได้เลยครับ

burin-2 

สุดท้ายมันอยู่ที่ความรักในสิ่งที่คุณทำเท่านั้นเอง คุณต้องไม่เลิกรักมัน คุณต้องไม่โกงมัน คุณต้องไม่เป็นชู้กับความรักในการรักดนตรีของคุณ

อะไรทำให้ตัดสินใจมาออกเพลงในปี 2018 หลังจากที่ทิ้งช่วงการออกเพลงใหม่ไปนาน  

มันอยู่ที่จังหวะมากกว่าครับ ผมพร้อมช่วงนี้พอดี ส่วนตัวเพลง Spotlight มันเสร็จมาประมาณ 4 ปีแล้วครับ อัลบั้มก็ใกล้เสร็จแล้วเหมือนกัน ช่วงที่ปล่อยออกมาตอนนี้เผอิญมันเป็นช่วงที่ตัวผมเองว่างพอดีด้วย เพราะก่อนหน้านี้ธุรกิจของผมมันมีหลายอย่าง ตอนนี้ธุรกิจเหล่านั้นมันแข็งแรงพอที่ผมจะปลีกตัวออกมาเพื่อโฟกัสกับดนตรีได้อีกครั้งนึง ผมแพลนทั้งหมดไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ถ้าไม่รีบออกปีนี้ก็กลัวว่าเพลงมันจะเก่าไปซะก่อนครับ

เป็นเพราะกระแสดนตรีของโลกตอนนี้ด้วยรึเปล่าที่ทำให้ต้องออกเพลงตอนนี้

จริง ๆ มันเกี่ยวข้องทุกอย่างเลยนะ ตัวดนตรีของผมก็ทำมาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่รีบออกจะกลายเป็นว่า มันจะไม่ใหม่สำหรับทุก ๆ คน แล้วสำหรับตัวเราเองพอทำเพลงแล้วเก็บไว้นาน ๆ มันจะทำให้เราเองไม่ค่อยตื่นเต้น เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องรีบทำแล้วรีบออก

ปล่อยเพลงออกมารอบนี้เกร็งไหม ปัจจุบันวงหน้าใหม่เต็มไปหมดเลย 

ผมไม่เคยเกร็งกับเรื่องการปล่อยเพลงให้คนฟังนะ เพราะว่าเราตั้งใจโฟกัสการทำเพลงของเราให้ดีที่สุดนั้นเอง จริง ๆ แล้วอัลบั้มนี้ผมตั้งใจว่า นอกจากเราชอบแล้ว เราตั้งใจจะให้เข้าถึงง่ายสำหรับคนฟังด้วย ขั้นตอนการทำงานของเรามันอาจจะยากก็จริง แต่ผมคิดว่า เวลาคนเราฟังเพลงของผมมันต้องไม่ยาก อันนี้คือเป้าหมายของเราในการทำงานครั้งนี้

ทำไมถึงตัดสินใจมาอยู่กับค่าย Muzik Move 

เพราะว่าทีมงานที่นี้ทุกคนน่ารัก จริง ๆ จุดเริ่มต้นของการมาอยู่มันเริ่มจากผมเป็นรุ่นน้องของพี่จุ๊บ—วุฒินันต์ ภิรมย์ภักดี ซึ่งพี่เขาเป็นผู้บริหารสูงสุดของค่ายนี้ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เลย ไปทำกิจกรรมร่วมกันอยู่บ่อย ๆ จนวันนึงพรหมลิขิตมันเกิดขึ้น เมื่อผมออกมาเป็นศิลปินอินดี้แล้วได้มาเจอกันในวันเกิดของพี่เขา เราได้คุยกันประมาณ 5 นาทีแล้วจบเลย ซึ่งมันแปลกมาก เพราะบางทีผมคุยกับคนอื่นผมใช้เวลานานมากกว่าจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ แต่เราจบกันได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันเข้าใจซึ่งกันและกัน พอได้เข้ามาทำงานทีนี่ทุกคนแฮปปี้ มันทำให้เราทั้งสองฝ่ายมีแรงผลักดันไปด้วยกันเพื่อให้งานนี้ประสบความสำเร็จครับ

burin-3

รสชาติที่แปลกใหม่ในอัลบั้มนี้ต่างจากอัลบั้มที่แล้วอย่างไร

วิธีการทำงานเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลย เมื่อก่อนเวลาผมจะอัดเพลงก็จะเข้าไปพร้อมกันหมดเลยทีเดียว อัลบั้มที่แล้วมันเป็นอย่างนั้นเลย แต่ในอัลบั้มนี้มีการทำ pre-production ก่อนที่งานจะเริ่มเยอะ เพราะว่าผมจะมีเสียงที่อยู่ในหัวผมอยู่แล้ว กลองต้องแบบนี้ กีตาร์แบบนี้ เบสแบบนี้ ภาพรวมของดนตรีทั้งหมดผมมีอยู่ในหัวเรียบร้อย เพราะฉะนั้นขั้นตอนการทำ pre -production มันทำให้งานทุกอย่างดูง่ายขึ้นและมีมาตรฐานในการทำงานที่ละเอียดกว่าเดิม เพราะวิธีการอัดในอัลบั้มนี้เราก็เลือกใช้การอัดแบบอนาล็อก ใช้เทปรีลในการอัดเพื่อให้ได้เสียงที่แตกต่างและดูเป็นซาวด์จากยุค 80s จริง ๆ เพราะทิศทางและกลิ่นอายของมันเป็นยุคนั้น พอทุกอย่างมันผสมผสานกันมันเลยกลายเป็นการทำงานแบบ retro-futurism คือการไปสู่อนาคตในแบบโบราณนั้นแหละ

ขั้นตอนในการทำงานครั้งนี้ถือว่าลงมือทำเองทุกอย่างเลย

ใช่ครับ ปกติทุกอัลบั้มผมมีส่วนร่วมอยู่ตลอดนะ แต่อัลบั้มชุดนี้ทำทุกอย่างเต็ม ๆ มากกว่าอัลบั้มที่แล้วซะอีก อัลบั้มที่แล้วบางครั้งยังมีเดินออกจากห้องอัด ให้คนอื่นช่วยดูแลต่อ อัลบั้มนี้จะไม่เคยเดินออกจากห้องอัดเลย ทุก ๆ ขั้นตอนของการทำงาน ทุกเสียง ผมนั่งอยู่ด้วยหมด ผมจะเป็นคนแรกที่เข้าและเป็นคนสุดท้ายที่ออกตลอด เพราะฉะนั้นงานมันก็จะออกมาอย่างใจเราแทบทุกอย่างเลย อัลบั้มชุดนี้เราก็ช้อปปิ้งเอานักดนตรีเก่ง ๆ ระดับโลกมาทำงานด้วยกันเยอะมาก เพราะลิสต์ชื่อเอาไว้ก่อน ผมรู้เลยว่าถ้าเบสอันนี้ต้องคนนี้เล่น ถ้ามือกลองต้องเอาคนนี้มาตี สุดท้ายมันก็กลายเป็นสิ่งที่เราแฮปปี้มาก

ตามหานักดนตรีระดับโลกจากไหนบ้าง

มันเป็นเรื่องของโชคชะตาและเรื่องของเวลาด้วย อย่างที่บอกผมทำอัลบั้มนี้เกือบ 5 ปี ผมมีเวลาในการที่จะไปตามหาคนเหล่านั้นได้เยอะมาก ๆ เพราะผมมองเรื่องการทำงานศิลปะไว้ว่า มันไม่ควรมีไทม์ไลน์ใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เหมือนนักวาดรูปคนนึง ถ้ามีคนมาบอกเขาว่าอีก 2 ชั่วโมงงานต้องเสร็จนะ มันไม่มีทางทำได้ ถึงทำได้ก็ทำออกมาได้ไม่ดีอย่างที่ใจเขาคิด การทำเพลงก็เช่นเดียวกัน ผมมองว่าจะทำเพลงสักอัลบั้มนึง แล้วรู้เดดไลน์ว่าอีก 2 เดือนข้างหน้าต้องปิดอัลบั้มนะ ผมไม่ชอบแบบนั้น ผมคิดว่างานศิลปะมันต้องใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง

ทิ้งช่วงการออกเพลงไปนานถึง 7 ปีรู้สึกว่ามันนานเกินไปรึเปล่า 

ผมรู้สึกว่าไม่นานนะจริง ๆ อย่างเพลง เกือบ  ที่อยู่ในอัลบั้มที่แล้ว ผมก็รู้สึกว่ามันเพิ่งออกมาไม่นานเท่านั้นเอง สำหรับแฟนเพลงเองเขาก็รู้สึกว่าไม่นานเหมือนกัน แต่พอมานั่งนับปีจริง ๆ เนี่ยมันนาน (หัวเราะ) แต่มันก็ยังฟังได้อยู่ หรืออย่างเพลง หยุด  16 ปีแล้วนะครับ ทุก ๆ คนก็ยังร้องกันอยู่ เธอทั้งนั้น, รักไม่ได้, รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทุกคนก็ยังมีความสุขกับมันอยู่ อาจจะเป็นความโชคดีอย่างนึงที่ผมเป็นวงดนตรีที่เราทำอัลบั้มออกมาน้อยมาก มีเพลงของเราจริง ๆ อยู่ประมาณ 30 กว่าเพลง ทำมา 10 กว่าปีแล้วถือว่าน้อยนะ แต่เพลงมันยังอยู่กับคนได้อยู่โดยที่ผมไม่ต้องทำอัลบั้มใหม่

burin-4

ทำไมถึงเลือก Spotlight มาปล่อยเป็นเพลงแรก

มันเป็นเพลงที่สื่อถึงภาพรวมของอัลบั้มได้ชัดเจนที่สุดนะครับ เพราะว่าเพลง Spotlight มันเป็นที่ผมเปลี่ยนวิธีการทำงานทั้งหมดใหม่ พวกเครื่องเป่าที่เคยมี เครื่องสายที่เคยมี ถูกแทนที่โดยซินธิไซเซอร์เพลงนี้มันเลยจะดูซิ่งขึ้น แล้วมันก็เป็นผลลัพธ์ที่ตัวผมเองก็พอใจมาก ๆ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพลงนี้มันจึงเป็นภาพรวมของอัลบั้มนี้ที่ชัดเจนที่สุด เพราะว่าซาวด์ในอัลบั้มชุดนี้มันจะเป็นแบบนี้

เพราะฉะนั้นการแสดงสดก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย

ถูกต้องครับ โชว์ของผมเองก็ไปรื้อเพลงเก่า ๆ ทั้งหมดมาทำใหม่ เพื่อให้โชว์ในปัจจุบันมันสอดคล้องกับเพลงในอัลบั้มใหม่ ซึ่งตรงนี้เราก็ทำกันมา 4 เดือน ปัจจุบันผมมั่นใจว่า โชว์ของเราเข้าที่และก็พร้อมที่จะเล่นแล้ว เราเล่นโชว์ใหม่กันมาจนถึงตอนนี้ประมาณ 150 โชว์ได้แล้ว แล้วก็นักดนตรีทีมใหม่ของผมทั้งหมดชื่อวง The Soul Smith ถือว่า เราหายใจคล้าย ๆ กันล่ะ ความสามัคคีของวงมันสำคัญ

กระแสการตอบรับครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง 

แฮปปี้ครับ เพราะว่าตอนนี้เพลงขึ้นชาร์ตอยู่ใน top 3 หลาย ๆ สถานีแล้ว ผมไปเจอใครตอนนี้ ชีวิตก็จะลำบากขึ้นนิดนึง เพราะว่า ไปไหนมาไหนคนก็เข้ามาหามาถ่ายรูปมาทำอะไรกัน เพราะฉะนั้นกระแสมันดีแล้วล่ะ ต้องขอบคุณค่ายเพลงของผมด้วย Muzik Move ทีมงาน PR ทุกคน เราทำงานทุกอย่างสอดคล้องกันไปได้ด้วยดี ผมมั่นใจอย่างนึงว่า ถ้าเพลงมันได้ ภาพมันได้ การโปรโมตมันก็ต้องได้ มันถึงจะไปถึงผู้ฟัง ซึ่งเราเองก็โชคดีอย่างนึงที่มีฐานแฟนเพลงเก่า ๆ ที่รู้จักกันโตมาด้วยกัน ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน เขาก็ไปบอกคุณรุ่นใหม่ ๆ แล้วเขาก็โอเค แฟนเพลงหน้าใหม่ของผมที่ยังไม่เคยดูผมเล่นสด เขาก็มาดูแล้วกัน มันคนละเรื่องกับการฟังในแผ่นเลย วิธีการโชว์ของเรามันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ มีวิธีการปรับเปลี่ยนโชว์ให้มันอัพเดทและสอดคล้องกับสิ่งที่เราทำ เพราะสิ่งเหล่านี้ล่ะจึงทำให้ฐานแฟนเพลงมันจึงขยายกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ

พูดถึงตัวเพลงและการโปรโมตไปแล้ว mv ที่ดีตัวนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง 

การทำ mv ตัวนี้มันมีโชคดีอย่างนึงครับ โชคดีบ่อยเลย (หัวเราะ) คนทำเอ็มวีนี้เขาชื่อ Frank Knitty เขาเป็นคนฮอลแลนด์ เผอิญผมไปเห็นงานเขาก่อนประมาณช่วงปีที่แล้ว จึงไปเจาะลึกไปนั่งตามงานเขาว่าทำงานอะไรยังไงบ้าง เขาเป็นคนที่ทำงานให้ Gucci และ Adidas แบรนด์ระดับโลกเลย ผมเลยรู้สึกว่า เฮ้ย มันตรงกับเพลงเรานะเลยได้มีโอกาสคุยกันมาสักพักนึง เขาก็บินมาประเทศไทย สุดท้ายผลงานที่ออกมาผมมองว่ามันเป็นงานภาพที่กลมกล่อมมาก ๆ ตัวผมและเขาค่อนข้างแฮปปี้กับงานนี้เลยล่ะ ยิ่งระยะเวลาที่ทำด้วยแล้วประมาณ 4 เดือน มันยิ่งทำให้รู้สึกว่างานนี้มันดีจริง ๆ เขาเองจะคล้ายผมตรงที่เขาเป็นคนที่ทำเองทุก ๆ อย่างเหมือนกัน เขาฟังเพลงผมแล้วตื่นเต้นมาก เขาไม่เคยรู้ว่าในประเทศไทยมีดนตรีแบบนี้ด้วย ตัวประเทศเขาเองก็ไม่มี มันไม่ใช่ดนตรีกระแสหลักของโลก มันเป็นดนตรี niche ที่สามารถไปถึงผู้ฟังหมู่กว้างไม่ได้ แพ้ดนตรีเมนสตรีมก็ว่ากันไปแล้วเขาก็บอกว่า เขาเองมีความสุขที่ได้ร่วมงานกับเรา

จำกัดแนวดนตรีของตัวเองในอัลบั้มนี้ไว้ว่าอะไร 

โซล ครับมันเป็นแนวนี้มาตลอดเลย จริง ๆ อัลบั้มนี้เราก็มีเพลงเร็วที่เป็นดิสโก้เรามีเพลงช้าที่ส่วนผสมของบลูส์พวก บอสซ่าก็มี ฟังก์มีหลายแนวมาก แต่หลัก ๆ มันก็จะมีพื้นฐานมาจากโซลอยู่แล้วต่อยอดกันออกไป ถ้าจะให้จำกัดความของแนวปัจจุบันผมว่ามันเป็น new soul เป็นซาวด์อิเล็กทรอนิกยุคแรกๆ ที่เกิดขึ้นในโลก หมายถึงในช่วงยุค 80s นะครับ มันเป็นช่วงที่เครื่องมืออิเล็กทรอนิก เครื่องสังเคราะห์ต่าง ๆ มันเพิ่งเริ่มเข้ามา มันซิ่งมันใหม่ขึ้น สำหรับผู้ฟังทั้งหมดแล้วก็ผู้เล่นด้วย

เพลงของบุรินทร์มีความแตกต่างจากเพลงของวงอื่น ๆ ในยุคปัจจุบันอย่างไร 

ผมมองว่า สิ่งที่ผมทำออกมาผมไม่เคยมี reference จากใครมันเป็น input ที่เราเก็บสะสมประสบการณ์ต่าง ๆ เพราฉะนั้นถ้ามาฟังแล้วมันเหมือนวงโน้นวงนี้ก็คงไม่ใช่ แล้วอีกอย่างนึงผมมองว่า ดนตรีแนวที่ผมทำอยู่ปัจจุบันยังไม่มีใครทำที่เมืองไทย มันคงต้องรอให้ทุกคนฟังทั้งอัลบั้มก่อนถึงจะบอกภาพรวมได้ชัดเจน วงดนตรีไทยตอนนี้ก็มีหลาย ๆ วงที่หยิบยุค 80s มาทำกัน แต่จะอยู่ในฝั่งซินธ์ป๊อปใช่ไหมครับ หรือบางวงก็หยิบยุค 90s มาทำกัน ผมว่าทำได้ดีกันทุก ๆ คนนะ แต่ถ้าบอกว่าวงที่เป็นแนวโซล แล้วใช้ซินธิไซเซอร์หนัก ๆ เนี่ย ผมคิดว่า น่าจะเป็นผมคนเดียวนะที่ทำแบบนี้อยู่ในปัจจุบัน จริง ๆ สิ่งที่ผมทำมาตลอดทุก ๆ ยุค มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำตามกระแส อย่างตอนนั้นที่ Groove Riders ออกมาดนตรีดิสโก้มันตายมากี่ปีแล้ว ช่วงยุค 80s แต่ผมออกตอนปี 2001 คนไทยก็ไม่มีใครทำ เราก็หยิบเพลงแบบนั้นมา ผมมองว่า เราชอบเพลงแบบไหนเราก็ถ่ายทอดเพลงแบบนั้น ผมไม่เคยมองว่ากระแสมันเป็นแบบนี้อยู่ เราต้องทำตามกระแส มันเป็นอย่างนี้เราต้องทำตามเทรนด์ ผมมองว่าแฟชั่นมันมาแล้วมันก็ไป สไตล์ดิมันอยู่กับเราตลอดชีวิต ยังไงมันก็ต้องเป็นสไตล์เรา

ในอัลบั้มใหม่นี้จะมีเพลงช้าสุดฮิตรึเปล่า

มันมีครับ อย่างที่บอกว่าอัลบั้มนี้มันทำมาเพื่อผู้ฟังเลย ผมมีเพลงกลาง ๆ แบบ หยุด แบบ เธอทั้งนั้น ผมมีเพลงช้าแบบ เกือบ  วิธีการทำงานเรื่องเนื้อหามันไปทำนองนั้น แต่วิธีการเล่าเรื่องของเพลงเรามันแตกต่างออกไปตามยุคสมัยความชอบของเรา จริง ๆ มันก็มีหลายอย่างที่ผมคิดว่าอัลบั้มนี้มันจะน้อยลงเยอะ มันมินิมอลลง มันเรียบง่าย ทุกอย่างถูกสร้างให้เป็นอย่างนั้น จากที่เมื่อก่อนเราทำให้ทุกอย่างมันเต็มไปหมด มีเครื่องเป่าเยอะ ๆ มีเครื่องสายสัก 50 ชิ้น ทุกอย่างมันเต็มไปหมด แล้วมันอิ่มล้นไปหมด แต่ครั้งนี้มันน้อยแต่มันกลมกล่อม

การลดเครื่องดนตรีไปหลาย ๆ อย่างเกิดจากความเก๋าของเรา

ผมมองว่าอย่างนั้นนะ เพราะผู้ใหญ่ชอบบอกว่า เรียบ ๆ ก็ดูดี less is more ใช่ไหมฮะ แต่เด็ก ๆ เขาจะชอบอะไรเยอะ ๆ  มีอะไรก็ใส่ให้หมด เพราะว่า ยุคสมัยมันเป็นอย่างนี้ล่ะ ตอนทำ Groove Riders ผมไปฟังนักดนตรีอย่าง Eric Clapton โหเล่นเยอะมากลูกเล่นมากมาย แต่ปัจจุบันเขาเล่นน้อยมาก เครื่องดนตรีเหลือแค่ 3 ชิ้น ผมเลยคิดว่า พอเราโตขึ้น เราไม่ต้องโชว์ของเยอะแล้ว ตอนเด็ก ๆ เราก็อยากจะโชว์ อยากให้โลกรู้ว่าฉันทำได้ขนาดนี้นะ แต่พอคุณโตขึ้นคุณได้ทำงานแบบนั้นมาหมดแล้ว มุมมองของเรามันก็มองทุก ๆ อย่างมันให้น้อยชิ้นและเรียบหรูได้ ทุกอย่างมันกลมกล่อมได้ เขาเรียกว่าไปเป็นตามคุณวุฒิและวัยวุฒิของเรา

burin-6

เมื่อไหร่จะกลับมาทำ Groove Riders 

ผมไม่รู้ (หัวเราะ) ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้ มีคนถามเข้ามาเยอะ จริง ๆ เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่นะครับ ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันสม่ำเสมอ แต่มันมีช่วงที่ตอนนั้น Groove Riders แยกย้ายกันไปทำงานที่อยากทำ พี่ ก้อ—ณฐพล ศรีจอมขวัญ ไปออกอัลบั้มเดี่ยว พี่ กั๊ง—อดิศักดิ์ หัตถกุลโกวิท ก็ไปออกอัลบั้มเดี่ยว สมาชิกในวง Groove Riders ออกไปทำอัลบั้มเดี่ยวก่อนผมทุกคน ผมเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาทำ เพราะฉะนั้นบอกว่าเราทะเลาะกันหรืออะไร มันไม่ใช่แน่นอน มันเป็นการที่ทุกคนโตขึ้นแล้วก็อยากจะทำเพลงที่เป็นของเรา 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเราก็มีประสบการณ์กันมากขึ้นทุกคน เรื่องราวเราก็มีสั่งสมกันมามากพอสมควรที่แยกเดี่ยวกันได้ แต่ถามว่าจะมาร่วมตัวกันเมื่อไร ผมไม่สามารถตอบได้ เมื่อไรที่ทุกคนพร้อมเดี๋ยวทุกคนก็ได้ฟังเอง

ตัวอัลบั้มนี้ได้ตั้งชื่ออัลบั้มไว้รึยัง

ตั้งไว้แล้วครับ แต่ยังไม่บอกเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น จะออกประมาณช่วงปีหน้า

คอนเสิร์ตใหญ่จะมีให้พวกเราแฟนเพลงได้ชมกันแน่ ๆ 

มีครับ แต่ส่วนตัวผมเอง ผมไม่ค่อยชอบการทำคอนเสิร์ตใหญ่เท่าไร ถ้าเต็ม 10 คะแนนผมให้ตรงนี้ 7.5 พอ คะแนนตรงนี้หมายถึงในแง่คิดของการทำนะครับ เพราะว่าคอนเสิร์ตใหญ่มันจะทำให้เห็นภาพรวมของอัลบั้มทั้งหมด แต่ผมเป็นคนที่เล่นดนตรี ผมทัวร์ตลอดเวลา จริง ๆ ก็มาดูได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว การทำคอนเสิร์ตใหญ่จริง ๆ ผมมองว่ามันเป็น showcase เพื่อให้มีงานต่อไปเท่านั้นเอง คนเห็นงานนี้จ้างเราเยอะขึ้น ผมว่าการทำคอนเสิร์ตใหญ่มันคือการเล่นซ้ำ ๆ ฝึกฝนมาเป็นเวลา 2-4 เดือนเพื่อที่จะไปแสดงในหนึ่งวันนั้น สองรอบสามรอบก็ว่ากันไป ซึ่งมันไม่ตื่นเต้นเลยมันถูกซ้อมมา มันถูกดีไซน์มา มันไม่เหมือนการที่เราไปเล่นในเฟสติวัลต่าง ๆ อันนั้นมันอยู่ที่ฟีลอย่างเดียว ผมไม่ชอบศิลปะที่มันถูกกำหนดอ่ะ ผมชอบศิลปะที่มันลื่นไหลไปได้ตลอดเวลาตามอารมณ์ของคนดู ตามอารมณ์ของเรา เพราะฉะนั้นบอกว่าให้ทำคอนเสิร์ตใหญ่ก็ทำได้ แต่ว่าต้องทำใหญ่ขนาดไหน ผมอยากจะทำแค่หนึ่งพันคนแล้วคนดูอยู่ใกล้ ๆ กัน ดนตรีไม่ต้องซ้อมเยอะ แค่รู้ว่าเราจะเล่นอะไรอยู่ ทุกอย่างไปเล่นสดเอาหน้างาน แต่บอกว่าไม่ทำก็ไม่ได้ ถ้าไปเล่นผับอย่างเดียวน้องตัวเล็ก ๆ ก็คงมาดูไม่ได้ ไม่มีโอกาสได้ดู ผมว่าคอนเสิร์ตใหญ่ก็จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนทั้งหมดของผมได้ อีกอย่างนึงมันใช้เงินเยอะนะ มันต้องลงในส่วนของเรื่องภาพ เรื่องเสียง ไฟทั้งหลาย แต่ผมมั่นใจถ้าคุณมาดูคุณสนุกแน่นอนอยู่แล้ว

การทัวร์ในประเทศมันผ่านไปแล้ว world tour จะเกิดขึ้นกับผู้ชายชื่อ บุรินทร์ หรือไม่

ตอนนี้มีแล้วครับ กำลังเลือกวันเลือกที่กันอยู่นะครับ ปีนี้เราจะมี world tour ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ มีประเทศออสเตรเลีย ในแทบเอเชีย ส่วนจะมีประเทศอะไรอีกบ้างก็กำลังคุยกันอยู่ แต่จริง ๆ ผมเล่นต่างประเทศมาตลอดเวลานะ เล่นทุกปีเลย เราไม่เคยสื่อสารกับคนดูเท่านั้นเองว่านี่คือ world tour แต่ถ้าถามว่าตื่นเต้นไหมตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะมันสนุกนะการที่เราได้ไปเจอกับฐานแฟนเพลงของเราในต่างประเทศ ทุกครั้งที่ไปเล่นสนุกมาก ปีที่แล้วเราก็เพิ่งไปทำเล่นกันที่ประเทศออสเตรเลีย เราขายบัตร 3 ชั่วโมงหมดก็เป็นอะไรที่ตัวเราและทีมงานแฮปปี้มาก วันที่เล่นจริง ๆ ทุกคนก็มีความสุขมาก ๆ

burin-7

มองวงการเพลงบ้านเราตอนนี้อย่างไร

มันก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยนี้จริง ๆ มันเปลี่ยนทุก 5 ปี 10 ปีมันเปลี่ยนเรื่อย ๆ เลย ผมอยู่มาตั้งแต่ยุคที่ยังมีเทปอยู่ ปัจจุบันมันมีสตรีมมิ่งแล้วแถมคนฟังฟรีด้วย คนที่เคยซื้อเพลง เขาก็ไม่ค่อยใช้เงินกับเพลงเท่าไรแล้ว ผมก็มองว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป ผู้ฟังก็ต้องเปลี่ยนไป ตัวเพลงที่ดีเท่านั้นที่มันถึงจะอยู่กับคุณไปเสมอ สุดท้ายที่นักดนตรีทำได้ก็คือทำงานที่มีคุณภาพ ทำโชว์ที่มีคุณภาพออกมา เขาเรียกว่า ไม่หักหลังอาชีพตัวเอง ไม่ทำให้มันง่ายเพื่อที่จะหาเงิน ทำเพราะความรักที่มีต่อเพลง ทำเพื่อความรักที่มีต่อแฟนเพลงที่เขามอบความรักให้คุณนั้นคือสำคัญที่สุด โลกจะเป็นยังไงก็ต้องหมุนตามให้ทัน พูดคล้าย ๆ อาจารย์แม่ โลกก้าวไกล ลูกต้องก้าวให้ทัน มันต้องตามให้ทัน (หัวเราะ) สุดท้ายมันอยู่ที่ความรักในสิ่งที่คุณทำเท่านั้นเอง คุณต้องไม่เลิกรักมัน คุณต้องไม่โกงมัน คุณต้องไม่เป็นชู้กับความรักในการรักดนตรีของคุณ

การสัมภาษณ์ของเรายังคงดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน ในพาร์ตของอัลบั้มใหม่เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การคุยในเรื่องต่อไปจะถามไถ่ถึงชีวิตประจำวันผู้ชายคนนี้กันบ้างว่าเป็นอย่างไร บทบาทการเป็นคุณพ่อจะสนุกสนานขนาดไหน บุรินทร์กลัวภรรยาหรือไม่ ม่านเปิดแล้ว รับชมกันต่อได้เลยครับ 

ผู้ชายวัย 42 นอกจากเรื่องเพลงแล้วทำอะไรอีกบ้าง

เพื่อนผมกินไวอากร้าหลายคนแล้วครับ (หัวเราะ) หัวล้านไปหลายคนแล้วด้วย คือ 40 ปีก็อายุมากขึ้น หน้าที่การงาน ความรับผิดชอบมันเต็มตัวแล้วมันเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวจริง ๆ หลายคนมองว่าอายุ 40 เนี่ยโครตแก่เลย เอาจริง ๆ ผมว่า ถ้าคุณถึงตรงนี้คุณจะรู้ว่า คุณเพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเอง ตอนเป็นวัยรุ่นคุณจะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้ อยากจะทำงาน ไม่พอใจก็เปลี่ยนงาน ไม่มีความสุขก็เปลี่ยนงาน พอมาอายุ 30 ปี ผมคิดว่าเราทำงานมาเกือบ 10 ปีแล้วมันเริ่มมีความรู้ เริ่มเก๋าละ จากที่หลายคนเริ่มงานจากตำแหน่ง AR หรือ AE ก็กลายเป็นระดับบิ๊กไปแล้ว อายุ 30 ผมคิดว่ามันเป็นช่วงที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ 40 ปีเนี่ยผู้ใหญ่จริง ๆ แล้ว ผมคิดว่าถ้าคุณทำมันได้ถึงอายุขนาดนี้แล้ว หนึ่ง คุณต้องแน่น คุณต้องมีความรู้เรื่องนั้นจริง ๆ  สอง หน้าที่รับผิดชอบ ระดับการทำงานมันต้องสูงขึ้นตามไปตามฝีมือของคุณ มาถึงตรงนี้มันต้องวัดกันแล้วว่าคุณจะเก่งแบบไหนจะชอบด้านไหนจริง ๆ ทำได้จริง ๆ รึเปล่า

แบ่งเรื่องการทำงานกับการทำดนตรียังไง

ผมทำแบบนี้มาตลอดชีวิตแล้วมันเลยบอกไม่ได้ว่าทำยังไง สุดท้ายต้องบอกว่า คุณต้องรักมัน แล้วคุณจะไม่เบื่อ คุณจะไม่ ยอมแพ้ คุณจะไม่ทอดทิ้ง คุณจะไม่หยุดพัฒนามัน คุณจะทำยังไงก็ได้ให้ความรักของคุณประสบความสำเร็จไปเรื่อย ๆ นั้นแหละคือ แรงผลักดันสำคัญที่สุด ต้องจริงใจกับสิ่งที่คุณทำ ต่อให้มันทำให้เหนื่อยแค่ไหนมันก็ไม่หยุดทำ

burin-8

บทบาทคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง

มันครับ (หัวเราะ) มีความสุขดีนะ ลูกก็เริ่มโตแล้ว เริ่มรู้เรื่องไม่ใช่เด็กเบบี้แล้ว เขาเริ่มมีความคิดต่าง ๆ มันก็สนุกที่เขาได้มีการเจริญเติบโตพัฒนาการในด้านต่าง ๆ โตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนก็อยากจะให้ลูกโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพเป็นคนที่ดีของสังคม มีหน้าที่การงานที่ดี สามารถมีความสุขได้กับชีวิตทุก ๆ อย่าง นั่นก็คือสิ่งที่เราสั่งสมมาตลอด ตอนนี้ก็เริ่มเห็นแล้วว่าเขาชอบอะไร สิ่งที่เราแนะนำให้เขามาตลอดชีวิตมันเริ่มแอบเห็นผลมาบ้างละ ซึ่งมันสนุก พอเราเห็นลูกเราทำได้ดีประสบความสำเร็จเป็นคนดีของสังคมมีความคิดที่ดีต่อโลกเราก็รู้สึกว่า สิ่งที่เราสอนมาสิ่งที่เราปูทางให้เขาเนี่ย เรามาถูกทางแล้ว

เคยให้ลูกฟังเพลงของตัวเองไหม

ผมไม่เคยเปิดเพลงของตัวเองนะ แม้กระทั่งผมฟังเองผมก็ไม่ฟัง ผมไม่ชอบฟังเสียงตัวเอง มันเป็นความรู้สึกตลกปนเขินอะ ผมว่าพิธีกรหรือดาราก็คงไม่ชอบดูงานตัวเองมั้ง เหมือนมานั่งดูตัวเองไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ชอบดูงานคนอื่น แต่บางทีผมทำมิกซ์เพลงเสร็จ ผมจะเปิดฟังเพื่อเช็กว่างานตัวเองโอเครึยัง ลูกก็จะเดินผ่านมามากกว่า เขาจะได้ยินครับ แต่ถ้ามาฟังเพื่อความสุขเฉยๆ ไม่เคยครับ ตัวลูกผมเองเขาชอบฟังเพลงนะ บางทีเขาไปดูผมเล่นสดเราจะเห็นได้ชัด ๆ เลยว่าเขาชอบเพลงไหนบ้าง ลูกผมสองคนเป็นคนที่ชอบฟังเพลงมากแล้วก็ซีเรียสกับเรื่องดนตรีด้วย เล่นดนตรี กลอง เปียโน เล่นหมดแต่ไม่ได้เรียนร้องเพลงนะ ตัวผมเองไม่ได้สนับสนุนให้ลูกต้องเป็นนักดนตรีที่ต้องไปประกวดแข่งขันกับใคร ผมมองว่าดนตรีไม่ใช่เรื่องที่จะมาแข่งขันกันเพื่อเป็นที่ 1 มันคือศิลปะที่คุณเอาไว้เสพเพื่อความสุขของคุณ เพราะผลที่เขาได้รับกลับมามันไม่ใช่ความสุขเลย เขาไปแข่งเมื่อไรผมจะคิดเลยว่า มันต้องเกิดความเครียด มันต้องซ้อม ต้องกลัวการเล่นผิดรึเปล่า สุดท้ายมันจะสร้างความเครียดให้กับเขาในอนาคตแน่ ๆ เอาง่าย ๆ เด็กที่ไม่เคยขึ้นเวทีประกวดอยู่ ๆ ต้องไปขึ้นเวทีถ้าเขาเล่นไม่ดี คนจะโห่เขารึเปล่า ที่พูดมาไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ แต่ผมไม่ได้สนับสนุนให้ลูกต้องไปแข่งอยากให้ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติดีกว่า

ลูกมีแววเป็นนักดนตรีไหม

ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เขาฟังเพลงเยอะมาก เหมือนผมเลย ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ เขาฟังดนตรีแล้วจะทำหน้าอินให้ผมดู พอเพลงจบเขาก็ร้องไห้ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าเขาร้องไห้ทำไม ผมก็เลยลองไปเปิดเพลงนั้นใหม่ ปรากฏว่าเขาก็รู้สึกสนุก พูดง่าย ๆ เขาอยากฟังซ้ำ เดี๋ยวนี้ปัจจุบันเขาก็จะมาแนะนำให้ผมฟัง แบบ พ่อฟัง Jamiroquai ชุดใหม่แล้วใช่ไหม ฟังเพลงนี้รึยัง (หัวเราะ) ลูกผมเป็นแบบนั้นตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ คนเล็กผมชอบขอฟังเพลงนี้เพลงนั้นหน่อย วันนั้นนั่งรถไปด้วยกัน เขาจะมีเพลย์ลิสต์ที่เขาทำเองอยู่ ซึ่งเป็นเพลงที่ไม่ใช่เด็กทั่วไปฟังไม่ใช่เพลงฮิตในปัจจุบันอ่ะ คือ เขาฟังผมมาแล้วก็ไปศึกษาต่อ ซึ่งเราห็นอย่างนั้นเราชอบมาก เราเห็นลูกเรามีความสุขเราแฮปปี้ บางครั้งก็ได้มานั่งคุยกันภาษาดนตรีกัน ชอบเสียงตรงนี้ฟังเสียงนั้นนะ เจ๋งมาก ผมก็ไม่รู้นะว่า ได้เชื้อผมมารึเปล่า ผมเปิดฟังให้ลูกฟังในบ้านตลอดเวลา ในรถผมก็เปิดตลอดเวลา เขาไม่มีทางเลือกเขาก็ต้องฟังไปในตัว

%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%8d%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b8%b4%e0%b9%8c-burin-boonvisut-fungjaizine

จุดเริ่มต้นของการสะสมแผ่นเสียง

มันเกิดขึ้นตอนเป็นนักศึกษาครับประมาณปี 2 อยากเป็นดีเจเปิดตามงานปาร์ตี้ครับ คือเราชอบเพลงพวกนี้อยู่แล้ว ทีนี้เวลาฟังเพลงแล้ว ถ้าเพลงมันถูกเปิดไม่ต่อกันมันก็ไม่สนุก เวลาปาร์ตี้ก็เหมือนกัน มันก็เสียบรรยากาศหมด จนมาถึงจุดนึงมันเป็นช่วงที่ mp3 เข้ามาในบ้านเรา ผมรู้สึกว่าคุณภาพในการฟังเพลงมันเปลี่ยนไป mp3 มันยังทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในแง่ของเสียง มันดรอปคุณภาพเพื่อให้คุณเก็บเพลงในเครื่องเล่นของคุณให้ได้เยอะที่สุด ผมเลยทนไม่ไหวกับการฟังเพลงจากตรงนี้ ซีดีมันก็ไม่ค่อยมีขายเลยเริ่มลองซื้อแผ่นเสียงแผ่นนึงที่ของวงที่เราชอบมาฟังดู ตอนนั้นก็ได้ฟังเขาจากในซีดีมาแล้วนะ ความรู้สึกที่ได้ฟังคือ ทำไมมันไม่เหมือนสิ่งที่เราฟังมาตลอดชีวิตเลย ซาวด์กลองทำไมมันเป็นแบบนี้ ทำไมเสียงแต่ละอย่างมันนุ่มจังเลยไปค้นคว้าเพิ่ม ไปซื้อสิ่งที่เราชอบในยุคนั้นมาศึกษา ซื้อไปซื้อมา เฮ้ย การฟังเพลงแบบนี้มันดีทุกชุดเลย มันเจ๋งอ่ะ ตอนเรานั่งฟังมันเหมือนกับเขาเล่นสดจริง ๆ อยู่ เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่า โอเคเราจะฟังเพลงจากแผ่นเสียงล่ะ ไปที่ไหนไปต่างจังหวัด ผมก็จะเอาเครื่องเล่นเล็ก ๆ เอาแผ่นเสียงไปสักกระเป๋าสองกระเป๋าเพื่อไปเปิดฟัง แต่ถามว่ามันลำบากไหมมันลำบากมากครับ มันไม่สะดวกเลย มันต้องหยิบแผ่นออกมาจากซองมาเช็ดแผ่น เช็ดหัวเข็ม เปิดโน่นเปิดนี่รอให้หลอดร้อนกว่าจะได้เสียงที่ดีที่สุด แต่บอกว่าสุดท้ายคุณภาพที่ได้รับกลับมาโครตคุ้มเลย มันคุ้มมาก ดีกว่านั่งฟังอะไรแข็ง ๆ แล้วไม่มีความสุขนะครับ

แผ่นเสียงทำไมถึงราคาแพง

ผมมองว่าแผ่นเสียงที่เสียงดีมันจะแพงอยู่แล้วล่ะ พวกปั๊มแรก ๆ ที่เก็บกันมา 50-60 ปี แต่สภาพยังสวยอยู่ มันก็ถือว่าค่าเก็บของเขา ค่าดูแลรักษามาให้เรา แต่พูดจริง ๆ พวกราคาของมันก็มีตั้งแต่ไม่กี่สิบบาทก็มี อย่างที่อเมริกาแผ่นละ 99 เซนต์ก็ฟังกันได้ อยู่ที่ว่าคุณอยากจะลึกแค่ไหนเท่านั้นเอง ผมว่า สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงจริง ๆ มันก็ต้องแลกกับความลำบากนิดนึง แต่มันสนุกนะ อย่างนึงคือมันได้กลับไปร้านแผ่นเสียง ไปคุ้ยหาแผ่นเสียตามหาสิ่งที่คุณไม่ได้ฟังช่วงเวลานั้น สุดท้ายมันทำให้เรารู้สึกเหมือนนั่งไทม์แมชชีนอะ คุณจะได้ยินเหมือนสิ่งที่ปู่ย่าคุณได้ยิน เหมือนที่พ่อแม่คุณสมัยหนุ่มสาวได้ยินมันจะเป็นอย่างนั้นเลย มันเหมือนคุณได้ซื้อเวลาที่คุณได้ยินในวันนั้นเลย ซึ่งผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่า

แนะนำพื้นฐานทั่วไปสำหรับคนที่สนใจจะเล่นแผ่นเสียงหน่อย

ไปซื้อเครื่อง portable มาเลยครับอันดับแรก ง่าย ๆ ถ้าไม่อยากบานปลายนะ เครื่องราคาหลักพันมันก็มีนะ 3,000 – 5,000 บาท ถ้าไปซื้อต่างประเทศก็ประมาณสองพันกว่าบาท มันไม่ได้แพงขนาดนั้น ตัวแผ่นเสียงก็อย่างที่บอกเริ่มต้นจาก 30 กว่าบาท จะบานปลายแค่ไหนก็แล้วแต่คุณเลย ซึ่งมันจะมีการบานปลายแน่นอน (หัวเราะ) แหล่งในเมืองไทยที่ขายแผ่นเสียงก็เยอะนะ มันจะสนุกเพิ่มไปอีกถ้าเรามีเพื่อนที่เล่นแผ่นเสียงด้วยกัน อย่าเริ่มเล่นคนเดียวต้องหาเพื่อนไปด้วยกัน เพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนกันแล้วไปด้วยกันไปผจญภัยรื้อแผ่นเสียงไปตามตลาดนัด ตามร้านที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน มันคือความสนุกที่คุณจะได้รับจริง ๆ เหมือนสมัยยังมีร้านซีดี ร้านเทปอยู่ ปัจจุบันมันไม่มีความรู้สึกนั้นแล้ว น้องรุ่นใหม่ก็อาจจะพลาดรับความรู้สึกตรงนั้นไปก็กลับไปรู้สึกตรงนั้นกันครับ คุณจะได้ทำอะไรที่เป็นวินเทจเรโทร เหมือนที่คุณอยากจะทำหรือจะเป็นฮิปสเตอร์ต่าง ๆ ก็เอาให้มันครบวงจร

เวลาไปซื้อแผ่นเสียงไปที่ไหนบ้าง

ผมไปทุก ๆ ที่เลย รู้ว่าที่ไหนมีตามร้านต่าง ๆ ไปหมด ตอนหลัง ๆ มันลึกไปถึงรู้ว่าบ้านใครมีแผ่นไหนอยู่ มันเป็นแผ่นที่เหลืออยู่ไม่กี่แผ่นในประเทศไทยแล้ว เรารู้ว่าคนนี้มีแผ่นนี้อยู่เราก็ต้องไปทำคุณงามความดีกับเขา วงการแผ่นเสียงมันไม่ใช่แค่คุณมีตังค์แล้วจะซื้อได้ มันอยู่ที่จังหวะ มันอยู่ที่คุณงามความดี เขารักคุณแค่ไหน เขามีสองแผ่นเขาจะแบ่งให้คุณมาฟังรึเปล่า บางคนมีแผ่นเดียวกันห้าแผ่นก็มี เขาก็จะเลือกเก็บแผ่นดี ๆ ที่มีคุณภาพไว้แล้วก็ต้องดูว่าจังหวะนั้นเหมาะสมไหมที่เราจะได้แผ่นจากเขา แต่ตัวผมเองเข้าไปตามหาที่ไรแพงทุกทีเลย (หัวเราะ)

%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%8d%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b8%b4%e0%b9%8c-burin-boonvisut-fungjaizine

ทุกนาทีของบุรินทร์มีดนตรีอยู่ตลอด ภรรยาเคยว่าเราเรื่องนี้ไหม 

น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ ผมมีเครื่องเสียงอยู่ทุกห้องเลย แต่ภรรยาก็ไม่ได้ว่าอะไรขนาดนั้นนะ เขาจะบ่นมากกว่าว่าซื้อทำไมเยอะแยะ มีแล้วก็ซื้ออีก แต่มุมผมบางทีก็อยากลอง อยากฟังอะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา เขาก็จะบอกว่า ขอนั่งเงียบ ๆ สักพักได้ไหมมันก็จะมีแบบนี้เหมือนกัน บางทีผมก็เข้าใจเขา ถ้าฟังเพลงหนักมาก ๆ ก็ต้องรอให้ทุกคนเข้าไปนอนก่อนแล้วผมมานั่งฟังคนเดียว

บุรินทร์เป็นคนกลัวภรรยาไหม

ผมไม่กลัวหรอก เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตลอด ความผูกพันที่มีต่อกันมันเยอะมาก ผมรู้จักกับแฟนผมตั้งแต่อายุ 16 แล้วนะ รู้จักกันมานานมาก เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งแฟน เป็นทุกอย่างอะ มันสนิทกันแบบที่มองหน้าแล้วก็รู้ใจกันแล้ว บางทีไม่ต้องมองหน้ากัน ผมคุยโทรศัพท์อยู่อีกประเทศนึงเขายังรู้เลยว่าผมจะพูดอะไรอยู่ คือมันอยู่ด้วยกันนานจนเราเป็นเหมือนพี่น้องกันเลย มันหลาย ๆ อย่างรวมกันอยู่ ถามว่ากลัวไหมไม่กลัวนะ แต่เกรงใจ (หัวเราะ)

เคล็ดลับชีวิตคู่ของผู้ชายชื่อ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์

ผมว่า รักอะไรต้องรักจริงไม่เสแสร้งต่อสิ่งที่คุณทำ ผมเป็นคนที่ไม่เคยซื้อดอกไม้ให้แฟนแม้แต่ดอกเดียวเลย หรืออาจจะเคยทีนึง (หัวเราะ) ผมมองว่าดอกไม้มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญในชีวิต หรือว่าวันวาเลนไทน์อะไรก็ตามสำหรับโอกาสพิเศษ ผมมองว่า ดอกไม้มันโอเค สวยงามดี แต่ว่ามันสวยตอนอยู่กับต้นมัน พอมันตัดออกมา 3 วันมันก็โรยล่ะ แล้วคุณอยากจะให้สิ่งที่มันไม่แน่นอนกับคนที่คุณรักเหรอ ผมชอบให้เพลงเขาในโอกาสพิเศษต่าง ๆ จนแต่งงานผมก็ให้เพลงของเราเอง ให้ไปสามเพลง ผมคิดว่าเพลงมันอยู่ได้ตลอดชีวิตนะ ถ้าคุณรู้สึกอยากจะนึกถึงโมเมนต์นั้นเมื่อไรก็กลับไปฟังเพลง ถ้าดอกไม้คุณจะกลับไปดูมันบางทีก็ไม่ได้แล้ว ผมเป็นแบบนี้มาตลอด ผมไม่เคยโกหกเขา เขาเป็นอย่างไงผมไม่เคยเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เหมือนเขา ผมเป็นคนแบบนี้ เขาเป็นคนแบบนี้เราก็มีจุดตรงกลางให้คุณรู้ว่า โอเค เราเป็นแฟนกันได้เพราะอะไร ไม่ใช่ว่าเป็นแฟนกันใหม่ ๆ จะพาไปกินข้าวโรงแรม 5 ดาว ร้านอาหารหรู ๆ แต่พอแต่งงานไปกินข้างทางอย่างเดียว ผมไม่เป็นอย่างนั้น ผมพาไปกินอะไรที่ง่าย ๆ ผมไม่เคยโกหก มันก็ต้องเป็นเหมือนกัน ความรู้สึกต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมันไม่มีช่วงโปรโมชัน ไม่มีช่วงหลอกหลวง ไม่มีช่วงสร้างภาพ อยู่กันได้มันก็อยู่กันได้ ผมมองอย่างนึง ทุก ๆ คนไม่มีใครที่มีข้อดีอย่างเดียวหรอก ทุกคนก็มีข้อเสีย ผมคิดว่า เอาข้อดีของเขามาเป็นมุมมองว่า หากเราเจอข้อเสียของเขา ถ้าไปบวกลบคูณหารชั่งน้ำหนักกันกับความดีมันโอเครึเปล่า มันก็เท่านั้นเอง (ยิ้ม)

%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%8d%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b8%b4%e0%b9%8c-burin-boonvisut-fungjaizine

ก่อนที่ไฟ Spotlight จะดับลงอยากฝากอะไรกับแฟนเพลงบ้าง

จริง ๆ แล้ว สำหรับคนที่จริงจังกับการฟังเพลงคล้าย ๆ ผม ผมภูมิใจนำเสนออัลบั้มนี้ตั้งแต่เพลงแรก Spotlight ลองฟังกันดูครับ ผมชอบที่จะเป็นทางเลือกให้กับผู้ฟัง อยากจะฟังเมนสตรีมหรือจะฟังอะไรก็ฟังไป ผมเป็นทางเลือกแปลก ๆ ละกัน ผมคิดว่าเรื่องราวที่ผมเล่าในอัลบั้มใหม่ทั้งหมด ผมสามารถเข้าไปอยู่ในชีวิตคุณได้

สิ้นสุดโชว์ครั้งนี้กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ เดินลงเวทีไปอย่างสง่างามเพราะได้ฝากความสนุกสนานและความสุขไว้ให้กับพวกเราชาว Fungjaizine ได้ประทับใจกันไปกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้ แต่ก่อนที่ไฟเวทีจะดับลงและบทสัมภาษณ์นี้จะสิ้นสุดก็มีคนตะโกนมาถามบุรินทร์ว่า 

บุรินทร์เคยเบื่อเพลง หยุด ของตัวเองไหม

(หัวเราะ) ผมร้องมาหมื่นรอบ 16 ปีแล้วครับ สำหรับเพลงนี้คือ ถ้าเปิดให้ตัวเองฟังคงเบื่อนะ ซึ่งตัวเองก็ไม่เคยเปิดฟังด้วย แต่เวลาไปร้องเล่นคอนเสิร์ตมันไม่เคยเบื่อเลย เพราะว่า เราทำโชว์เพลงนี้ใหม่ตลอด อย่างที่สองคนดูไม่เคยหน้าเดิม สถานที่เล่นไม่เคยเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นพลังที่มันกลับมามันไม่เคยเหมือนเดิม ทุกครั้งที่ได้ถ่ายทอดเพลงให้กับแฟนเพลงฟังมันก็เลยสดใหม่อยู่เสมอ แล้วมันสนุกครับ (ยิ้ม)

จบโชว์นี้อย่างสมบูรณ์แบบ ไฟ Spotlight ดับลง เจอกันใหม่บทสัมภาษณ์หน้านะครับ 

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง