Article Interview

Daniel Didyasarin เด็กหนุ่มที่อยากให้คุณ ‘คอยดู’ การเติบโตของเขา

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Pradthana Chaijaroensuksakul

ชาว ฟังใจ และ Fungjaizine อาจจะรู้จักกับวงดนตรีที่ชื่อว่า Penny Time หรือ City Plant มาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ นักร้องนำของทั้งสองวงอย่าง Daniel Didyasarin (แดเนียล ดิษยะศริน) กำลังมีโปรเจกต์เดี่ยวชื่อเดียวกับตัวเอง และปล่อยเพลง คอยดู โฟล์กภาษาไทยเพลงแรกในชีวิต มาให้เราได้ดูได้ฟังกันไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลามาทำความรู้จักอีกแง่มุมของเขากันเลย

ที่มาของเพลง คอยดู ทำไมถึงทำเป็นโฟล์ก ภาษาไทย

คอยดู เป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาตอนกำลังคล้าย เจอวิกฤติในชีวิตครับ เป็นช่วงที่ชีวิตไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ เหมือนเราใกล้ จะเลิกกับแฟน ก็เลยออกมาเป็นเพลงนี้ เป็นครั้งแรกที่เราเขียนเพลงไทย แล้วก็เป็นครั้งแรกที่มีคลังของคำพูดที่เป็นภาษาไทยเข้ามาในหัวที่เรารู้สึกว่า เราสะดวกใจกับมันเป็นครั้งแรก เป็นเพลงแรกจริง เลยแหละครับเพราะก่อนหน้านี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษมาโดยตลอด แล้วที่เป็นโฟล์กก็เพราะจริง ๆ แล้วต่อให้แต่งเพลงวงหรือเพลงตัวเอง มันก็เกิดจากการนั่งอยู่กับอะคูสติกกีตาร์อยู่แล้ว แต่อันนี้คุณภาพเพลงมันก็ค่อนข้างจะเดโม่หน่อย ซึ่งเราก็ตั้งใจให้มันออกมาแบบนั้น ไม่มีการคัดกรองอะไร มันก็คือผมในเวอร์ชันที่มานั่งร้องเพลงให้คุณฟังต่อหน้า ก็ตั้งใจจะให้มันอยู่ในโปรเจกต์เดี่ยวที่เป็นเพลงไทย เพราะวง (Penny Time) ก็ตั้งใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าคงไม่มีเพลงภาษาไทย แล้วก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนมันเร็ว นี้ เพราะดนตรี เมโลดี้อะไร แม้กระทั่งกีตาร์ของก้อง (เทพวิพัฒน์ ประชุมชนเจริญ) มันค่อนข้างอินเตอร์ ทุกคนในวงจะฟังเพลงนอกหมดเลย ดังนั้นความเป็นไทยก็จะตกอยู่ในโปรเจกต์เดี่ยวเนี่ยครับ จะออกมาเรื่อย แน่ แต่ก็จะไม่ได้ตายตัวว่าจะเป็นโฟล์กแบบนี้อย่างเดียว หรือสมมติผมทำเพลงภาษาอังกฤษขึ้นมาแล้วคิดว่าน่าจะเหมาะกับการเป็นเพลงของผมคนเดียว ทั้งการทำงานและการเติบโตของมัน หรืออาจจะแนวเพลงด้วย ก็อาจจะปล่อยในโปรเจกต์เดี่ยวก็ได้ครับ

ช่วงนี้สนใจเพลงแนวไหน

ก็ฟัง จีน มหาสมุทร Little Fox ครับ Selina and Sirinya, My Post Life, T_047 พวกอะคูสติก โฟล์ก เริ่มเข้ามา Yellow Fang ก็มีครับ ค่อนข้างเป็นอะไรที่ใหม่ อาจจะเป็นเพราะชีวิตส่วนตัวตอนนั้นเราเรียนมหาลัยปีหนึ่ง ใช้ภาษาไทยเยอะมาก วิธีคิดในหัวก็เริ่มไม่ได้มีแค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว คนก็ทักเหมือนกันว่าแดน มึงเป็นคนไทยมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเมื่อก่อนผมเป็นคนพูดไทยผิด ถูก เพราะใช้ภาษาอังกฤษทั้งตอนที่อยู่โรงเรียนกับอยู่บ้าน อันที่จริงตอนเด็ก ผมพูดไทยชัดอยู่แล้ว แต่พอเรียนอินเตอร์ ไปเมืองนอกบ่อย  หรืออยู่บ้านฝั่งที่พูดภาษาอังกฤษเยอะก็ทำให้ภาษาไทยหายไปเหมือนกันครับ เราอ่านหนังสืออ่านแต่ภาษาอังกฤษ อ่านไทยไม่เป็นด้วย เพิ่งมาอ่านได้ไม่กี่ปีนี้เอง ต้องกลับมาเคาะสนิมเอง

ทำไม mv ต้องเป็นโอตะ

โอตาคุเป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างสนใจอยู่ช่วงนี้ ปกติก็ไม่ได้ตามอะไรพวกนี้อยู่แล้ว แทบจะไม่ได้เป็นโอตะเลย วงที่เราชอบก็เป็นวงฝั่งบริต ไม่ได้อินกับทางนี้แม้แต่นิดเดียว แต่เพราะกระแสต่าง ที่เข้ามาเลยแชร์ขำ ๆ กับเพื่อน และมันเป็นวัฒนธรรมที่เราสงสัยว่า ทำไมคนคนนึงถึงยอมทิ้งทุกอย่างให้กับอีกคน กล้าลงเงิน ลงเวลา ลงทุกอย่างให้ทั้งที่เราไม่ได้รู้จักเขาเลย เห็นแต่ภาพเขาข้างนอก แต่ทำไมถึงรักได้ขนาดนั้น มันคืออะไรที่ทำให้มนุษย์เราอินไปกับเขาได้ขนาดนั้น เพราะว่าเขาสวยอย่างเดียวหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่นะ เขาพูดอะไรให้เราอินไปกับความเป็นเขาหรือเปล่า มันก็เป็นเรื่องที่ผมเอามาถามตัวเองว่าสรุปมันคืออะไรที่ทำให้คนติดตาม มันอาจจะเป็นยาสำหรับเวลาที่เราไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิตก็ได้ แบบมีเวลาเหลือ อาจจะเงินเหลือ หรือจริง ๆ อาจจะไม่มีตัง แต่เราให้ทุกอย่างกับตรงนี้ ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างพิเศษ แต่ก็เศร้าในขณะเดียวกัน ซึ่งมันโชว์ความเป็นมนุษย์อยู่ คือบ้างครั้งมันไม่ต้องใช้เหตุผลเลย แต่รู้สึกดีกับมัน ก็เลยจะให้หมดเลย

คิดว่าการมีอยู่ของวัฒนธรรมนี้ส่งผลดีหรือเสียยังไงบ้างกับสังคมวงกว้าง

ผมมองว่าอะไรที่สุดโต่งจนเกินไปมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก บางอย่างที่ว่าเท่ดีบางทีมันก็มี commercial art อยู่ในนั้น แต่โดยรวมแล้วผมว่าถ้ามันมีความสุดโต่งที่เป็นสิ่งที่ดีซ่อนอยู่ ในหัวผมหมายถึงอะไรที่เป็นศิลปะ มันก็ย่อมจะมีความสุดโต่งในอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน อย่างในญี่ปุ่น ประเทศที่มีดนตรีดีที่สุด สุดท้ายก็ต้องมีอะไรที่ขาย 100% อีกเหมือนกัน แต่ที่แย่จริง คือก็สงสารไอดอลที่จะไม่ค่อยมีชีวิตส่วนตัวเท่าไหร่

รู้สึกยังไงกับการที่ไอดอลทำผิดกฏแล้วมีแฟนคลับออกมาแฉ

ในมุมนึงคือมันไม่ดีอยู่แล้วครับ แต่จะมองว่าเป็นสิทธิของเขาได้หรือเปล่า เพราะเหมือนเขาก็สูญเสียอะไรไปเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีใครบังคับเขานะครับที่อุตส่าห์สูญเสียไปเยอะ มนุษย์เราอยู่ในวัฒนธรรมที่มันไม่ยากเลยที่จะมองว่า สิ่งเนี้ย เป็นของเรา เพราะฉะนั้นมันปกติมากที่เขาจะเสียใจหรือโชว์ปฏิกิริยาแบบนี้

พูดถึงอีกสองวงที่ทำอยู่ Penny Time กับ City Plant ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง อยากให้ลองฟังเพลงไหนจากสองโปรเจกต์นี้

Penny Time ตอนนี้ยังทำอยู่ครับ City Plant เดี๋ยวในอนาคตพอเวลามันใช่ก็ทำอีก City Plant ก็อยากให้ฟัง Minimal Speaking อาจจะมีเพลงปล่อยปลายปีนี้ แล้วก็ Penny Time เพิ่งปล่อยเพลงใหม่มาครับ Jam

พอมาเป็นศิลปินเดี่ยวแล้วความรู้สึกต่างจากตอนทำกับเพื่อน ยังไงบ้าง

ศิลปินเดี่ยวมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียครับ ข้อดีก็คือมีอิสระมากกว่า แต่การเป็นศิลปินเดี่ยวมันก็มีความธุรกิจของมันในตัว ซึ่งอาจจะดีในแง่ธุรกิจ แต่ในเชิงศิลปะมันไม่มีทางให้ได้ 100% หรอกตราบใดที่มีคนจะมาเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ ส่วนการทำวงข้อดีคือมันจะไม่เหงา ทำอะไรก็ลุยไปด้วยกันกับเพื่อนครับ แพ้ก็แพ้ ชนะก็ชนะ สนุกตรงนั้น แต่เวลาจะทำอะไรก็ต้องรอความเห็นจากทุกคน แต่เดี่ยวคือทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ถ้าอยากทำเดี๋ยวค่ายก็ช่วย ถ้าไม่อยากทำก็ไม่โดนบังคับ ค่ายเขาช่วยโปรโมตเฉย

ตอนนี้เรียนอะไรอยู่

โลกคดีครับ Global Studies ใกล้ตายละ คณะนี้คือเรียนเกี่ยวกับ ทำไมมนุษย์เป็นอย่างนี้ ก็เรียนจิตวิทยาบ้าง ทำไมมนุษย์ถึงดี ถึงเลว มาถึงจุดนี้ได้ยังไง ต่อไปน่าจะเป็นยังไง เป็นอะไรที่ส่วนตัวชอบไปค้นหาอยู่แล้ว คือผมหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้มากเลยมาเข้าคณะที่เป็นแบบนี้ จริง มันสนุกแหละ แต่ตอนนี้ก็เครียดมาก หนีไม่ได้แล้วครับ ตอนนี้เขาไปน่านกันอยู่เดือนนึง ทำวิจัย เดี๋ยวก็ต้องตามไปทีหลังเพราะตอนนี้ทำโปรเจกต์นี้อยู่

คิดว่าจบไปจะทำงานตรงกับที่เรียนมาหรือเปล่า

เอาชีวิตให้รอดจากตรงนี้ไปก่อนดีกว่าครับ (หัวเราะ) ไม่แน่ใจครับ ที่บ้านก็มีธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาอยู่ ถ้าเอาแนวคิดที่ได้จากการเรียนไปพัฒนารุ่นต่อไปก็น่าจะโอเค นี่แบบคร่าว มาก ผมเพิ่งขึ้นปีสองครับ

 

อยากเห็นอะไรในซีนเราอีกบ้าง

จริง 2-3 ปีมานี้ก็อยากเห็นซีนดนตรีเราแข็งแรงขึ้นครับ ตอนนี้มีวงนอกเข้ามาเล่นเยอะ มีวงไทยออกไปเล่นข้างนอกเยอะ อย่างภูมิ วิภูริศ เงี้ย รู้สึกว่าปีนี้คือดีมาก มันคือการนำเข้าส่งออกที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วก็อยากให้แข็งแรงขึ้นเรื่อย มันไม่ยากแล้วที่เราจะเป็นประเทศที่คนอยากมาเล่น แล้วก็มีวงที่นี่ที่คนข้างนอกอยากดู ใกล้ความจริงกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย เห็นมาตั้งนานแล้ว ก็กำลังไปได้ดีครับ

แล้วการที่วงนอกเข้ามาเยอะเกิน กลัวไหมว่าคนจะหันไปเก็บเงินซื้อบัตรดูแต่วงนอก เพราะคิดว่าวงไทยดูเมื่อไหร่ก็ได้

ผมว่าวงที่อยู่ได้จริง ก็ต้องแข็งมากครับ อย่าง ภูมิ เนี่ย ในกรุงเทพ คนก็ยังดู ไปเล่นเมืองนอกก็ได้ คือถ้านักดนตรีที่นี่ทำการบ้านจริง ยังไงคนก็ต้องดูอยู่ดี มันอาจจะยากกว่าในบางมุมนะครับ โดยเฉพาะกับถ้าคุณเก็บเงินเพื่อจะไปดูแต่อีเวนต์เมืองนอก ยังไงมันก็แพงอยู่แล้ว อาจจะไม่เหลือช่องให้คนไปจ่ายเงินให้งานอินดี้ งานละสามสี่ร้อย เขาคิดว่าถ้าเก็บเงินเพิ่มอีกนิด ไม่ไปพวกนี้สักสองสามงานก็ซื้อตั๋ววงใหญ่ ได้แล้ว มันเป็นเรื่องแบบนั้น ถ้าเราหาวิธีบอกเขาได้ว่า ไอ้งานสามสี่ร้อยที่มองข้ามไปเนี่ยมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง บางครั้งมาดูแล้วกลับบ้านไปได้ความรู้สึกอิ่มกว่างานใหญ่ อีก มันอาจจะทำให้อะไรบาลานซ์ขึ้นมาก็ได้

ซึ่งขณะเดียวกันก็มีบางงานที่ต้องยอมเปลี่ยนตัวเองไปเป็นงานเข้าฟรี

ใช่ แต่เดี๋ยวสักพักมันจะเริ่มกดดัน ให้ทำงานให้ยังไงก็ขายได้ เดี๋ยวต้องมีคนคิดกิมมิกดี ขึ้นมาเองให้คนกลับไปสนใจใหม่

คิดว่าตอนนี้เพลงบ้านเราแนวไหนกำลังมา

น่าจะพวกยุค 80s มีความฟังก์อะไร แต่ก็เหมือนกระแสทั่วไป เดี๋ยวถ้ามีอะไรมาอีกมันก็เปลี่ยนได้ อย่างปลายปีที่แล้วมันจะเป็นนูเมทัลอีกแล้วหรือเปล่า เพราะมันมี Bomb at Track อะไรเข้ามา แต่ตอนนี้เป็นฟังก์เยอะมาก

Danial Didyasarin

ฝากผลงาน

ฝากเพลง คอยดู ครับ แล้วก็ฝากให้คอมเมนต์เยอะ subscribe ด้วย เป็นเพลงที่ตั้งใจทำมาก เพลงแรก เรื่องราวผ่านมาเยอะ อยากให้ตั้งใจฟัง ถ้าเจอก็เดินเข้ามาติชมได้ครับ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้