Article Interview

Tuan Thailand ก้าวใหม่ครั้งสำคัญของ ทวน Day Tripper ที่จะทำให้ร็อกไทยไปเวทีโลก

  • Writer: Montipa Virojpan

เราอาจรู้จัก ทวนทอง นิยมชาติ ในฐานะของมือกีตาร์วง Day Tripper และ Futon แต่อันที่จริงแล้วเขาเองก็มีผลงานเดี่ยวที่ใช้ชื่อว่า Tuan Thailand กับแนวเพลงฮาร์ดคอร์ นอยซ์ร็อก ที่ไปโด่งดังในประเทศญี่ปุ่นและมีแฟนคลับต่างชาติมากมายให้การสนับสนุนเขาและสินค้าที่อยู่ภายใต้ชื่อเขาไม่ว่าจะเป็นกีตาร์หรือเอฟเฟกต์ และในเดือนที่ผ่านมาเขาก็ได้ปล่อยงานชุด Land of Smile นับเป็น 6 ปีให้หลังจากอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก Black Painting พร้อมซิงเกิ้ลเปิดตัว พันไมล์ (1,000 miles)

วันนี้ขณะที่กำลังจะได้รับชมคอนเสิร์ต ‘The Last Seven Days’ ที่เขาและ จี—จีระศักดิ์ ภักดีโต มือเบสของวง ร่วมกันจัดงานครั้งนี้เพื่อระลึกถึง อู—วาสิต มุกดาวิจิตร เพื่อนร่วมวงที่ล่วงลับไป เราจึงชวนเขาและจี รวมถึง ป๊อก Stylish Nonsense ที่นั่งอยู่ด้วยกันกับพวกเขา มาพูดคุยถึงเรื่องราวของ Day Tripper ในอดีต และก้าวต่อไปของร็อกไทยที่จะไปโด่งดังในซีนโลก จากฝีมือของ Tuan Thailand

Day Tripper

พอ Day Tripper ออกอัลบั้มแรกมาแล้วพี่จีก็ไปเมืองนอกเลย หลังจากนั้นวงทำยังไง

จี: ผมไปเรียนถ่ายรูปที่ลอนดอน ก่อนไปคือเป็นผู้ช่วยช่างภาพอยู่แล้ว แล้วก็ทำ Day Tripper ไปด้วย

ทวน: พอพี่จีไปเราก็ทำต่อ แต่ตอนแรกก็คุยกับเขาว่าทำยังไง จะไปทางไหนดี แล้วพอดีตอนนั้นเป็นยุคของค่ายเพลงอินดี้ ก็เลยทำค่ายเพลง ชื่อ Junk Food Records ขึ้นมาเองเลย ช่วงอัลบั้ม Pop Music ที่มีเพลง ไกลออกไป ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่แอบใช้วิชาเหมือนกัน ทำทุกอย่างให้มันติดหู เลยได้เป็นเพลงอันดับ 1 ของ Fat Radio ขายดีมาก พอเป็นเพลงที่อยู่ในค่ายของตัวเองก็เลยทำให้อยู่ได้ เหมือนกับว่าต่ออายุวงไปอีก ทั้งเรื่องงาน แล้วก็การใช้ชีวิตจริง

บทบาทของค่ายสำคัญกับวงดนตรีไหม

ทวน: ก็มีส่วนนึงฮะ เหมือนกับว่าเมื่อก่อนค่ายจะเป็นตัวบอกซาวด์ของวงนั้น

จี: ถ้าเป็นเพลงป๊อปก็จะไปอยู่ RS Promotion หรือ GMM Grammy ถ้าเป็น Bakery Music จะออก r&b หน่อย ก็เหมือน Smallroom ก็มีซาวด์แบบนึง Panda Records ก็แบบนึง จะเฉพาะตัวมาก ใช่ไหม

ป๊อก: (ยิ้ม พยักหน้า) ถ้าเป็นสายอังกฤษ อัลเทอร์เนทิฟก็จะมี Gekko

ถ้าสมัยนั้นการทำเพลงง่ายขึ้น สามารถส่งไฟล์ออนไลน์หากันได้ จะยังทำด้วยกันต่อไหม

ทวน: ทำแน่นอนครับ เพราะว่าถ้าฟังดี เพลงชุดแรกกับชุดสองมันไม่เหมือนเดิมนะ แล้วพอไม่มีจีไปนาน มันยิ่งไม่เหมือนเดิมขึ้นไปอีก ส่วนผสมของสมาชิกก็มีผลต่อเพลงด้วยเหมือนกัน จริง จีไม่ได้เล่นดนตรีอาชีพนะ แต่เขาจะรู้ว่าตรงนี้ต้องทำอะไรยังไง คือมีเซนส์ อัลบั้มแรกมันเลยน่ารัก พอจีไปแล้วความน่ารักมันหายไปเรื่อย เริ่มโหดขึ้นเรื่อย

การตั้งชื่ออัลบั้ม Pop Music เป็นการจิกกัดอะไรหรือเปล่า

ทวน: (หัวเราะ) มองเป็นเรื่องโครงสร้างเพลง จิตวิทยาเพลงเลยครับ มันตลกดีที่อัลบั้มนึงต้องมีเพลงเพราะเพลงนึง เราก็เลยใส่เพลงเพราะเข้าไปเพลงนึงจริง ก็เนี่ย เป็นอัลบั้มป๊อปแล้ว แต่ที่เหลือไม่ใช่ ค่อนข้างใช้เสียง lo-fi เอาขยะ เอาของเล่นมาทำเป็นเสียง เหมือนเราประชดว่านี่เป็นเพลงป๊อป พอหลังจาก ไกลออกไป ที่เป็นเพลงฮิต ก็ไปเล่นคอนเสิร์ต แล้วมีคนมาหาผมเยอะมากเลยเพราะผมเป็นโปรดิวเซอร์ชุดนั้น คนก็ถามว่า โหที่เหลือแม่งเพลงเหี้ยไรวะเนี่ยพี่ (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นเราก็ทดลองไปด้วยนิดนึง

ความสำเร็จของ Day Tripper ทำให้แต่ละคนเหลิงหรือเป๋ไปทางไหนหรือเปล่า

ทวน: พี่เป๋ตั้งแต่ยังไม่สำเร็จเลย (หัวเราะ) ยิ่งพอพี่จีไม่อยู่นะยิ่งสุดเลย มี 7 วันก็ปาร์ตี้ 7 วัน แต่ก็คือทำอัลบั้มไปด้วย เป็นวงที่ติดปาร์ตี้มาก เละเทะ จนพอมีเพลงฮิตคนก็ดันมองว่าเราเป็นวงเหลิง อย่างพี่อูคนชอบคิดว่าเพราะเริ่มดังเลยเมาตลอดหรือเปล่า เปล๊า! เมาตั้งแต่แรก

ปาร์ตี้หนัก ๆ แล้วไม่กลัวเสียงานหรอ

ทวน: มี year plan ครับ จริง ผมฝังตัวอยู่ในความเป็น commercial มาแต่ไหนแต่ไร มีความเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่มันเหมือนกับว่ามี angel and demon อยู่ในตัวเรา ฝั่งนึงเรารู้ว่าต้องหาเงินยังไง แต่อีกฝั่งนึงเราก็เป็นขบถกับตัวเอง เราทำงานที่แกรมมี่แต่เราก็ทำ Day Tripper จุดนั้นเลยเป็นจุดที่บาลานซ์ ต้องมีอัลบั้มปีละชุด ชุดนึงต้องมีเพลงฮิตหนึ่งเพลง เพลงเกือบเพราะหนึ่งเพลง และเพลงเร็วหนึ่งเพลง ซึ่งก็ทำได้ตามนั้น ไม่ว่าจะเมาขนาดไหน กลับบ้านตีห้าก็ต้องแต่งเพลงต่อถึงแปดโมง ถ้ายังไม่ได้ก็ไม่เลิก พอได้แล้วก็ปาร์ตี้ต่อ ยังไงสิ่งที่สำคัญของนักดนตรีก็คือวินัย ถึงแม้กระทั่งไปปาร์ตี้กันเราก็ยังคุยเรื่องเพลง พี่ ผมว่าเพลงนี้อย่างนี้ ๆๆ นะ พี่อูก็จะเป็นแบบว่า เฮ้ย พอแล้ว เดี๋ยวคนจะคิดว่าเราป๊อป เดี๋ยวมันน้ำเน่านะทวน อะไรแบบเนี้ย ผมก็จะเป็นคนดึงทุกอย่างให้มันออกมามีความเป็นไปได้

มองเพลงป๊อปว่ายังไง

ทวน: ผมว่าเพลงป๊อปมันก็เป็นเพลงที่อยู่ในชีวิตผมอยู่แล้ว หมายถึงว่าในการทำงาน ไม่ว่าจะทำงานกับคนอื่นในฐานะโปรดิวเซอร์ ถ้าหาเพลงป๊อปไม่เจอนี่ลำบากมาก ป๊อปเป็นสิ่งที่จำเป็นครับ จะบอกว่า เพลงที่คิดว่าไม่ป๊อปแต่คุณชอบกันเนี่ย จริง มันก็ป๊อปนะ ไอ้เพลงที่เท่ แต่มันเพราะ มันก็ป๊อป คุณก็โดนหลอกซ้ำซ้อนสองสเต็ป คุณว่ามันเจ๋งเพราะมันไม่ป๊อป แต่ที่มันติดหูคุณเพราะจริง ๆ มันป๊อปแล้วมันซ่อนของไว้ข้างในต่างหาก

ยุครุ่งเรืองที่สุดของ Day Tripper คือตอนไหน

ทวน: แบ่งเป็นสองยุคครับ ยุครุ่งเรืองที่สุดถ้าเป็นยุคแรกก็เป็นช่วง Pop Music เพลง ไกลออกไป feedback ดีมาก และสิ่งที่โชคดีคือเราทำค่ายเองเราเลยได้รับผลตอบแทนทั้งหมดเลย สมมติว่าอัลบั้มนึง 200 บาท เราก็ได้ 200 บาทเต็ม แล้วพอเราขายได้เฉียดหมื่น ลองคูณดูมันก็เยอะแล้ว อีกช่วงมันเป็นความสวยงามแต่มันยังไม่กระจาย เป็นช่วงที่ถือว่าประสบความสำเร็จในลักษณะของความเป็นอินดี้ แต่สิ่งที่ผมรู้คือการที่มีเพลงอันดับหนึ่งแบบอินดี้ และมีคอนเสิร์ตเดี่ยวแบบอินดี้ไปแล้ว ถัดจากนี้เราจะไปต่อยากมาก นอกจากประคองไว้แล้วมันจะเริ่มร่วงลงมา หรือจะลองไปต่อเป็นแมสเลย ขยับขยายต่อไป ก็เลยเลือกขยับต่อ (FJZ: ง่าย คือจะเลือกกินบุญเก่าหรือสร้างทางใหม่) ใช่ ซึ่งผมเลือกวิธีหลัง แต่เป็นงานใหม่ที่เราคิดว่ามันอาจจะได้อะไร คือเราทำงานแมสอยู่แล้ว ก็ทำงานชุดต่อมา The Day Tripper ก็เป็นเหมือนคนละสนามครับ 

เป็นช่วงเดียวกับที่มาร่วมโปรเจกต์ Showroom 001 หรือเปล่า

ทวน: ใช่ครับ (FJZ: เพลง อยากอยู่ตรงนี้ตลอดไป ดังมากนะ) ดังมากแต่โดนด่าเละเทะเลยครับ เพราะมันป๊อปอะ โดนจากกลุ่มแฟนคลับวงเรา แล้วก็วงอื่นนิดหน่อยด้วย แบบ ‘กูไม่ชอบเพลงป๊อป’ ‘เห็นมั้ยกูว่าแล้วมันจะออกมาเป็นอย่างนี้’ ‘แม่งขายวิญญาณ’

แต่มันก็ทำให้วงเป็นที่รู้จักขึ้นมาก และอยู่มาจนถึงตอนนี้

ทวน: เชื่อไหมว่าทุกวันนี้ยังมีคนจ้างผมเล่นเพลงนี้อยู่เลย ผ่านมา 20 ปีแล้ว (หัวเราะ) ตอนนั้นผมยังเด็กนะ แต่ผมก็ต้องชมตัวเองว่ามึงก็เด็ดเดี่ยวดีว่ะ รู้อยู่แล้วว่าแพตเทิร์นมันคนละแบบ อันนั้นคือเอเชียนป๊อปเลย เหมือนเพลงบัลลาด วงญี่ปุ่น วงเกาหลี จะมีเพลงช้า กีตาร์เพราะ มีท่อนฮุค ท่อนมือขวาเนี่ยแหละ กะแล้ว พอลองเอาไปเล่นนะ มือขวาโผล่มาปุ๊ป กูโดนด่าแน่ ก็เป็นเพลงที่ทำให้ได้รับทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ แต่ก็จุกเลยนะ คนโคตรเกลียดเลยอะ

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะแก้ไขสิ่งที่ทำไปตอนนั้นไหม

ทวน: ก็น่าจะแก้ไขนะ คือจะทำอีกแม่งเยอะ เลย (หัวเราะถ้ารู้ว่าจะโดนด่าขนาดนั้นแล้วก็จะทำเยอะ ให้คุ้มกับการโดนด่าเลย จริง นะ เพราะผลตอบแทนที่ได้มามันคุ้มค่า คือตอนนั้นผมเป็นเด็กฝึกงานที่แกรมมี่ประมาณ 5 ปี พอออก Day Tripper ผมได้เป็นโปรดิวเซอร์เลย เพราะมันขายได้ แค่นี้ก็คุ้มแล้ว

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

จี: การทำดนตรีจริง ก็มีเรื่องเศรษฐกิจนะ มันมีเงื่อนไขตรงนี้อยู่ ต้องใช้เงินไปอัด แต่เราก็ทำเพราะสนุก ไม่คิดอะไรมาก แค่ได้คิดเพลง ได้มาเล่นก็พอแล้ว แต่พอมาถึงตอนนี้ที่เรามีครอบครัวก็ไปเที่ยวบ่อยไม่ได้ มีเรื่องปากท้องมาเกี่ยวด้วย

ทวน: อ้วนขึ้น (หัวเราะ) จีเขายังเป็นคนที่ผมหวังผลได้เสมอถ้าต้องการเรื่องความเท่ในเพลงนะ อย่างเมื่อวานมันเล่นซะผมเซอร์ไพรส์มากเลย ตอนแรกมีคนมาซ้อมแทนเขาเพราะเขาติดงานที่ญี่ปุ่น คือฟังดูทีแรกมันก็เป็นเพลงของเราอยู่หรอก แต่พอจีมาเล่นเองแล้วมันโคตรเท่เลย ไอ้ลูกล้วง ลูกหยอดอะไรเนี่ย เขาเข้าใจมันจริง นี่คือจุดที่เหมือนเดิม แต่จุดที่ต่างคือผมมองเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องตลกได้มากขึ้น เพราะว่าหลังจากที่แค่ทำเพลง เป็นโปรดิวเซอร์ ผมก็เปิดบริษัทของตัวเอง เป็นเอเจนซี ทำเรื่องการสื่อสาร อีเวนต์ โร้ดโชว์ต่าง ตรงนั้นทำให้มองเห็นทุกอย่างชัดขึ้น สิ่งที่เราคิดว่ามันป๊อป มันแมส มันน้ำเน่า จริง แล้วมันคือดอกไม้ของคนอีกกลุ่ม สิ่งที่เราคิดว่ามันเจ๋ง มันเท่ มันอาจจะเป็นขยะของคนกลุ่มนั้นก็ได้ เนี่ยทำให้ผมคิดแล้วว่า โอเค งั้นอยู่ที่ว่าเราเอาใจใครมากกว่า ถ้าเราจะเอาใจทุกคนมันก็คงไม่ได้ ทีนี้กับการมองโลก มันก็เหมือนกับเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เรารู้จักที่จะมองในมุมของเขามากขึ้น เช่นลูกค้าบอก ‘ผมอยากได้แคมเปญเท่ โดยใช้ศิลปินไม่เท่’ การเอาศิลปินลูกทุ่งมา featuring กับแจ๊ส ถ้าเป็นเมื่อก่อนคนอาจจะมองว่าโคตรโลว์เลย แต่ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้เราก็เข้าใจมากขึ้นว่าเขาทำแบบนี้เพราะจะขายคนอีกกลุ่มนึง หรือกลายเป็นเท่ไปเลย ฝรั่งยังชอบซะอีก คือคุณสังเกตดู เพลงที่ได้รับความนิยม ถ้ามันจริงใจและมันถึง มันจะดังมากเลยนะ อย่าง มหาลัยวัวชน มันซื่อ เพราะมันเป็นอย่างนั้น เป็นเด็กกรีดยางแล้วแต่งเพลงแบบนั้นขึ้นมา เรารับรู้ได้ว่ามันจริง มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนยุคสมัย อย่างเมื่อก่อนเราถูกแพคเกจของความเท่ ความเดิ้น ความอินดี้ห่อหุ้ม แต่ตอนนี้กำแพงทุกอย่างมันโดนทลายแล้ว

พูดถึงโปรเจกต์เดี่ยวของพี่ทวนบ้าง ทำไมเป็น Tuan Thailand

ทวน: หลังจาก Day Tripper หยุดไปก็ไปเล่นกับ Futon แล้วก็ไปทัวร์คอนเสิร์ตจนคิดว่าจะทำอัลบั้มของตัวเอง สุดท้ายก็ได้ทำที่ญี่ปุ่น ออกแนวอื่นไปเลย กึ่งฮาร์ดคอร์ เมทัล นอยซ์ ชุดนั้นทำให้ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตเยอะมาก แล้วมีอยู่ทีนึงไปเล่นที่เวียดนาม ปรากฏว่าเจ้าภาพส่งคนมารับ ตอนนั้นเราสูบบุหรี่อยู่ เขาก็เรียกเรา ทวน! เราก็โอเค  เขามารับแล้วก็ไปกับเขา พอนั่งไปสักครึ่งทาง เริ่มเอะใจ ทำไมรถที่มารับเรามันหรูจังวะ แล้วมองข้างทางมันมีทวนนู่นทวนนี่ เอ๊ะยังไง พอไปถึงที่ดันเป็นร้านตัดสูท คือเขาไม่ได้มารับเรา เขามารับคนอื่น ‘ทวน’ แปลว่า ‘เสี่ย’ ในภาษาเขา จะมีเสี่ยต้อม เสี่ยวิชัย ก็จะเป็น ทวนต้อม ทวนวิชัย พอกลับมาปุ๊ป ได้คุยกับพี่แจ๊ค Jack Sound ก็บอกว่า มึงต้องเป็น ทวน ไทยแลนด์ เพราะตอนนั้นเราได้ลงปกสีสัน ข้างในก็เขียนว่า ‘Tuan from Thailand’ แต่ว่า from มันตัวเล็ก ก็เลยอ่าน Tuan Thailand หลังจากนั้นเวลาไปเล่นที่ไหนใครก็เรียก ทวน ไทยแลนด์ หมด ได้ชื่อมาเพราะขึ้นรถผิดคัน

สมาชิกที่มาช่วยเล่นก็มีแต่นักดนตรีพีค

ทวน: ก็ บ๋อม (สุวาทิน วัฒนวิทูกูร) นี่ ผมมีความรู้สึกว่าเขาเหมือน David Beckham เขามีช่วงที่ทั้งสวยงามแล้วก็ล้มเหลว วง Potato ที่สมัยนั้นเป็น stadium rock เลยนะ เป็นวงร็อกที่ต้องเล่นต่อหน้าคนเป็นพันเป็นหมื่น แล้วเขาต้องออกมาหาหนทางของตัวเอง เขาก็อยากมาตีให้ผม ถัดจากนั้นก็มีมือกีตาร์อะไรแล้ว มีมือคีย์บอร์ดเป็น ริน (อริญชย์ ภาณุเวศย์) นักร้องนำวง Dose บอกว่า ผมมีมือเบสแนะนำพี่ ชื่อ วิน The Ginkz (วรุตม์ อ่อนอุ่นจิตรก็บอกว่าเคยได้ยินชื่อและคำร่ำลือ ไม่ธรรมดา ลองฟังเพลงแล้วแบบ โห! เชี่ย นี่มันไม่ใช่โปรเกรสสิฟแบบเฝือ นะเว่ย แฝงความจริงจัง จิกกัดทุกอย่าง ก็เลยมีวินเข้ามาเล่น แล้วก็มีคนอื่น เข้ามาอีก พีคสุด คือเล่น 9 คน กีตาร์ 3 คีย์บอร์ด 3 เบส กลอง ดีเจ แซมเพลอร์ Slipknot เลยอะ ตอนยุคแรกนี่มีแค่ 2 คน คือผมกับบ๋อม ใช้เปิด MD เอา ตอนหลังก็หาสมาชิกมาเล่นจริง เล่นกันแบบไม่มีใครยอมใคร ที่งานอีสานเขียว

ในคำอธิบายของวิดิโอเขียนประมาณว่าจะพาร็อกไทยไปเมืองนอก

ทวน: ก็คือไปทำอัลบั้มสองต่อจากอัลบั้มชุดที่แล้ว อันนี้เพียงแค่ว่าให้ลิขสิทธิ์บางส่วนให้แกรมมี่ดูแลเรื่อง streaming เรื่องออนไลน์ ส่วน physical จะขายที่ญี่ปุ่นแล้วอิมพอร์ตกลับมาขายที่ไทยครับ ซึ่งตอนแรกสุดจะทำอัลบั้มเป็นภาษาอังกฤษ แต่ผมกลับไปดูบรรยากาศอีกทีที่ญี่ปุ่น ปรากฏว่าแฟน มาเจอกัน แล้วเขาพูดไทยกับผม เลยคิดว่า เราอะ พยายามเกินไป เราทำภาษาไทยเนี่ยแหละ เพราะตอนนี้ความเป็นไทยมันมีผลต่อความรู้สึกต่อคนต่างชาติมาก คนญี่ปุ่นหรือคนที่ไหนก็ตามที่รู้สึกเหนื่อยเขาจะอยากมาเมืองไทย เมืองไทยเป็นประเทศที่เหมือนเป็นฮาวายของฝรั่ง เราก็เลยจะทำภาษาไทย ร้องภาษาไทย ขายแบบไทย ให้รู้ไปเลยว่ามาจากไทย ไม่ต้องพยายามทำเป็นภาษาอังกฤษ อัลบั้มชื่อ Land of Smile ด้วยนะ แต่ความหมายอีกอย่างหนึ่งที่ผมซ่อนไว้ก็คือ ทุกวันนี้เราต้องยิ้มไว้ก่อนกับทุกเรื่องน่ะครับ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราหรือข่าวสารอะไรก็ตาม มันก็จะมีแต่เรื่องไม่สมเหตุสมผลสักอย่าง ถ้าเราไม่ยิ้มไม่ขำกับมันไว้ก่อนก็คงจะเครียด ควรยิ้มให้ได้ทุกวัน ทุกอย่างจะซอฟท์ลง

เล่าถึงเพลง 1,000 Miles (พันไมล์) ให้ฟังหน่อย

ทวน: เป็นเพลงที่เขียนถึงการเดินทาง บรรยากาศของเพลงทำให้นึกถึงหนังหลาย ๆ เรื่อง คือเหมือนเรายืนอยู่ดึก ๆ ที่ริมทะเล มองไปเห็นดวงจันทร์ สงสัยว่าแสงของวันพรุ่งนี้จะมาถึงไหม ความรู้สึกว่าระยะทางพันไมล์มันไกลเหลือเกิน ไกลจนเรามองไม่เห็น แล้วมันเป็นช่วงที่ไม่สามารถพึ่งคนอื่นได้ สุดท้ายก็มีแต่ฉันกับเธอนี่แหละที่ต้องไปด้วยกัน ‘ฉันและเธอ’ ในที่นี้ จริง ๆ แล้วมันหมายถึง ‘ร่างกายกับจิตใจ’ สุดท้ายก็คือเหลือแต่ตัวเรา ร่างกายกับจิตใจเรานี่แหละที่จะพาเราเดินทางไปในที่ที่ดีและที่ที่ไม่ดี ส่วนเพลงต่าง ๆ ในอัลบั้มก็ยังเป็นเพลงลักษณะเดิม มีดนตรีแนวฮาร์ดคอร์ แล้วก็ยังมีพังก์เหมือนเดิม แต่อาจจะมีความสว่างขึ้นและมีความสดใสขึ้นเล็กน้อย เรื่องราวต่าง ๆ ที่นำมาเขียนก็มาจากประสบการณ์การออนทัวร์

ที่มาของคอนเสิร์ต The Last Seven Days

ทวน: ตอนหลังมีกระแสของแผ่นเสียง ตอนนู้นมีกระแสของเทป ทำให้เกิดการผลิตงาน back catalogue ขึ้นมา ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจที่จะทำนะ แต่ผมกำลังจะตั้งมูลนิธิชื่อ ‘Youth of Nation’ เพื่อสอนดนตรีในสลัม แล้วก็เลี้ยงอาหารกลางวัน เลยคิดว่าใครก็ตามที่อยากได้ back catalogue จะเอาเงินเข้าโครงการนี้ไปเลย แล้วก็ตอนหลังผมเห็นว่าครอบครัวของพี่อูเจ็บป่วย ก็เลยจะตัดส่วนนึงให้กับครอบครัว แล้วผู้ที่ชวนมาเล่น ชื่อน้องโอ๊ต Mahaheretonight ก็อยากจัดคอนเสิร์ต ขายบัตร เราก็จะมอบรายได้ให้ครอบครัวเขา เหมือนกับได้ค่าลิขสิทธิ์ไปด้วยส่วนนึง นอกนั้นก็บริจาคให้กับมูลนิธิ

รู้สึกยังไงบ้างที่ได้กลับมาเล่นดนตรีด้วยกันอีกครั้งในรอบสิบกว่าปี

ทวน: ตื่นเต้นมากเลย ผมอะเล่นกับคนมาเป็นร้อยคน รวมถึงตอนไปอยู่ต่างประเทศก็เล่นกับวงฝรั่งอะไรเงี้ย ยังไม่ตื่นเต้นเท่านี้เลย เพราะมันเป็นซาวด์แบบตอนที่เรายังอ่อนต่อโลก นึกออกไหม มันเหมือนดึงความบริสุทธิ์ของเรากลับเข้ามา เหมือนเป็นเด็กเวอร์จิ้นอีกครั้ง เด็กที่แอนตี้ทุกอย่าง เด็กที่ขวางโลก อันนี้แม่งไม่เท่ อันนี้แม่งห่วย สิ่งเหล่านั้นมันหายไปหมดแล้ว แต่พอแค่ได้ยินเสียงเบสของพี่จีเนี่ย ความสด ความใสของเรา มันกลับมา

จี: ผมคงเล่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วแหละ เพราะมันไม่มีอะไรให้เล่นแล้ว (หัวเราะ)

ทวน: แต่จริง แอบมีแผนการ ถ้าไม่นับว่านี่เป็น the last นะ… มันคงไม่ the last มั้ง เพราะที่เล่าว่าคนจัดเขาเอามือเบสมือโปรมาแสตนด์บายพี่จีเพราะทีแรกเขาติดงานที่ญี่ปุ่น ผมก็เล่นกับทุกคนได้หมดแหละ แต่พอจีกลับมาเล่น มันใช่อะ ไอ้พวกกระจุกกระจิกเล็ก น้อย พวกลูกเว้นวรรค ลูกเร่ง ลูกหยุด โห มันแบบว่าแล้วผมก็คุยกับ ตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ‘เฮ้ยตุล ว่ามั้ยว่าซ้อมกันสามวัน วันสุดท้ายพี่จีเขามาซ้อม มันเหมือนเดิมอะ’ ตุลบอก ‘ใช่! เราต้องทำอย่างงี้เว่ยทวน เราต้องทำ Day Tripper and Friends เว่ย’ (FJZ: แล้วจะทำไหม) ก็น่าทำนะ คืออย่างงี้ music festival บางที่เขาชอบจ้างวงที่เลิกเล่นไปแล้วมาเล่น แล้วก็คิดตังแพง ให้ดู exclusive เออ ก็ดี (หัวเราะ) วันก่อนผมไปดู Soul After Six รียูเนียน โคตรเจ๋ง ไม่รู้จักเพลงหรอก (จี: แต่ไลน์เบสเจ๋งมากเลยนะวงนี้ ชอบมาก) ใช่ มันไม่ได้เจ๋งที่เพลงหรือว่าอะไรนะ แต่มันเจ๋งตรงที่ซาวด์เวลาที่เจ้าตัวเขาเล่นเองอะ มันไม่เหมือนตามผับเธคเลย ออริจินัลเลย ซาวด์เขาคิดมาเองอะ เราก็แบบ แม่งน่าทำว่ะ ตุลบอก ‘เอาเลย เดี๋ยวเราขายให้’ แล้วเอาจริงไลน์อัพที่เล่นงานนี้ก็เจ๋งมาก มีพี่โป้ โยคีเพลย์บอย มีตุล มีริค วชิรปิลันธิ์ แล้วก็เหมือนกับว่าเขามาสวมเป็นพี่อูชั่วคราว ทีนี้ งานนี้ครั้งเดียว ยังไงก็ตามมันไม่เกินสามชั่วโมง มันน่าเสียดายถ้าเกิดว่าอุตส่าห์ชวนกันมาขนาดนี้แล้วหยุดไป แต่อันนี้ก็เป็นเรื่องราวในอนาคตนะครับ

จี: นี่ต้องขอเมียมานะเนี่ย

ศิลปินรุ่นใหม่วงไหนบ้างที่น่าสนใจสำหรับพี่

ทวน: ชอบ Yena ครับ ชอบเนื้อเพลง แล้วก็ชอบ Zero Hero เพราะเนื้อเพลงเหมือนกัน

รู้สึกยังไงบ้างที่วงดนตรีรุ่นน้องเห็น Day Tripper เป็นไอดอล

จี: ผมรู้สึกเหมือนสมัยก่อน ตอนถูกสัมภาษณ์ก็รู้สึกเหมือนเดิม เพราะไม่ค่อยถูกสัมภาษณ์ นาน ที (หัวเราะ) ทวนอาจจะบ่อย

ทวน: รู้สึกว่าตัวเองกระจอกมากเลย (หัวเราะ) เพราะว่าจริง แล้วเทียบกับความเป็นนักดนตรีนะ เราเป็นวงที่ซื่อมาก แล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมคือคิดยังไงก็พูดอย่างนั้น ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ก็รู้สึกดีนะครับที่มีคนคิดว่างานบางชิ้นของเราเป็นพิมพ์เขียว อันนี้มีอยู่วงนึงเขาบอกผม เดี๋ยวเขาจะมาแจมด้วย ไม่บอกชื่อในไลน์อัพ เดี๋ยวรอดูเขาเล่นเพลง หู่ฮู้ เขาบอก ‘วงพี่เป็นพิมพ์เขียวของผมเลย ผมอะถอดบล็อกมันมา ทำให้มันอินดี้ขึ้น’ ก็เรื่องของมึง แต่ขอบคุณมากที่บอก ก็รู้สึกดีครับที่มีเพลงแบบที่เราชอบมากขึ้น แล้วแต่ละวงก็ทำได้ดี ทุกวงเก่งหมด ทำเอาวงรุ่นพี่อย่างเราห่วยไปเลย อย่างตอนของเราการที่จะหา The Jesus & Mary Chain ฟังสักแผ่นนึงแม่งโคตรยากเลย shoegazer แม่งเป็นไงแน่วะ มันเล่นยังไง การจะฟังอัลบั้มเดี่ยวของ Graham Coxon สมาชิกวง Blur นี่ต้องสั่งมาจากไหนวะ เดี๋ยวนี้มันหาฟังได้หมด มันเป็นครูที่เขาหาได้รอบตัว

จี: นักดนตรีรุ่นใหญ่ก็เหมือนเราเนี่ยแหละ พูดงี้ทุกคน

ทวน: เมื่อก่อนที่เราคิดว่านักดนตรีรุ่นใหญ่เขาเหี้ยว่ะ ตอนนี้เด็ก ก็คงคิดว่าเราก็เหี้ยเหมือนกัน (หัวเราะ) (จี: แต่รุ่นนั้นเขาลำบากกว่าเราอีกนะ) ใช่ แบบแผ่นเสียงต้องโยกหัวเข็มย้อนกลับไป รุ่นเรายังมีเทป มีค่ายเพลง (จี: ยังมีหนังสือให้อ่าน) ทันเทปผีปะ (FJZ: ทัน) โอ๊ย ต้องขอโทษมาก เลย เป็นสิ่งที่บางทีมันหาไม่ได้อะ สมมติต้องสั่งแผ่นแบบ Swervedriver มา 2,500 บาท เจอเทปผี 50 บาท ต้องจุดธูปบอกเลย

จี: แต่คนปั๊มก็ไม่ค่อยเอาวงดี มานะ นาน มาที ได้ ป้าแต๋ว เยอะ (วาสนา วีระชาติพลี) รายการ Radioactive อัลเทอร์เนทิฟทุกวงนี่ต้องป้าแต๋วเลย

ทวน: ใช่ ถ้าไม่มีป้าแต๋วนี่ลำบากมากเลย เพราะป้าแต๋วเป็นคนที่ฉลาดมาก เอา Manic Street Preachers ขึ้นมาเปิดก่อน เพราะวงนี้มันคือ Guns N’ Roses เวอร์ชันอังกฤษ เฮฟวีอะไรก็ฟังได้ แล้วค่อย มาเป็นการาจ นอยซ์ ต่อด้วย Radiohead อะไรพวกเนี้ย แกเนียนมาก เขาเป็นคนพลิกโอกาสให้พวกเรา

จี: ป้าเล่นกีตาร์ด้วยนะ ตอนอยู่เตรียมอุดม (ทวน: จริงดิ เหยด) เล่นนำด้วย พวก 60s (ทวน: ป้ายังเท่อยู่เลยอะ)

ฝากถึงแฟนเพลง

จี: ผมมีแผ่นเสียงออกมา มีคนเห็นความสำคัญก็ ถ้ามีปัจจัยซื้อก็ช่วยซื้อด้วยครับ

ทวน: ขายหมดแล้วพี่ pre-order (FJZ: แล้วจะมีอีก edition ไหม) เดี๋ยวถ้าเกิดว่าพ้นสัญญาค่อยว่ากันว่าใครจะซื้อ (หัวเราะ) สำหรับผมจริง ก็ยังทำงานเพลงอยู่ครับ แล้วก็ไม่รู้จะขอบคุณแฟนเพลงยังไงเลย เพราะว่า หลายสิ่งหลายอย่าง ช่วงก่อนหน้านี้ที่ผมทำอัลบั้มที่ญี่ปุ่นก็ยังดั้นด้นหากันเจอจนได้ ขอบคุณสื่อ สีสัน Channel [V] Cat Radio อะไรก็ตาม ตอนแรกผมก็คิดว่าจะหายเฟดไปจากวงการเพลงของไทย เพราะเพลงเรามันก็อยู่ที่อื่น แล้วมันเป็นเพลงอีกแบบ ฮาร์ดคอร์ พังก์ เมทัล แฟนเพลงก็ยังอุตส่าห์ใช้ความพยายาม อดทนฟัง เพลงชุดก่อนหน้านี้ทำแบบจัดเต็ม ใส่เต็ม ไม่ออมมือ เขาก็อุตส่าห์หาเพลงที่เขาชอบฟังได้ อย่างสื่อแชนแนลวีก็ขุดมาเพลงนึงที่มีเนื้อเป็นไทยครึ่งนึง มีท่อนเพราะนิดหน่อย ได้เป็น Bird’s Eye View ได้เข้าชิงสีสันอะวอร์ดส์ ชื่อเพลง Black Diary อย่างเพลงใหม่ที่ออกไปแล้วเพลงนึง 1,000 Miles (พันไมล์) ก็ได้การตอบรับดี สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีแฟนเพลง เป็นสิ่งที่แปลกมาก เขาไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา แต่เขาซัพพอร์ตเราทุกอย่าง ของที่เกี่ยวกับผมขายไปได้เยอะมากเลยนะ ตอนแรกมีเสื้อ หมวก แจ๊กเก็ตอะไรธรรมดา ตอนนี้ผมมีกีตาร์ เอฟเฟกต์กีตาร์ ทุกอย่างขายดีมาก

ผมถึงได้บอกว่ายุคสมัยนี้มันเปลี่ยน จากเมื่อก่อนเรามีแค่สองสามศาสนา ตอนนี้มันกลายเป็นลัทธิย่อม เยอะแยะไปหมด โดยที่เราไม่รู้ว่าแต่ละลัทธิเนี่ยมันแข็งแรงขนาดไหน ยุคนี้ทำให้ผมรู้ว่าเราไม่ต้องเป็นอะไรเหมือนใคร ไม่ต้องสนใจทัศนคติอะไร เราเป็นอย่างที่เราเป็น พูดอย่างที่เราคิด ทำอย่างที่เราชอบ ถ้ามันจริงพอ มันจะอยู่ได้ อย่างที่ผมยกตัวอย่าง มหาลัยวัวชน อะ ผมสืบมาเหมือนกันว่ามันจริงปะวะ ซึ่งจริง ค่ายเขาชื่อ Parahut ก็สืบต่อ เชี่ย แม่งเป็นสวนยางชื่อ Parahut ไอ้สัส! กูขอโทษที่กูคลางแคลงใจมึง (หัวเราะ) มึงเลี้ยงวัวจริง เมื่อไม่นานมานี้ผมอ่านบทความของคุณเสถียร จันทิมาธร อดีตบรรณาธิการของมติชน ท่านเป็นคนรุ่นผู้ใหญ่มากแล้วก็เขียนเรื่องนี้เลย ไม่ใช่ยุคของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ทุกคนจะมีลัทธิเป็นของตัวเอง จะเป็นเจ้าลัทธิย่อม ขึ้นอยู่กับว่าลัทธิจะแข็งแรงขึ้นอยู่กับการให้อะไร ก็มาคิดเชื่อมโยงกันกับงานของผม บริษัทผมเป็นเอเจนซี่ที่รับทำงานใหญ่มาก ของทุกอย่าง ทำงานให้สินค้า mass media ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์ บริษัทผมทำเกือบทุกยี่ห้อ ผมก็เห็นถึงความแมส ความแตกต่างของคน ถ้าต้องทำ 20 พื้นที่ เชื่อไหมว่าคุณต้องหาพรอพ หาฟังก์ชันของทุกอย่าง หาวงดนตรี พิธีกร 20 แบบ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมองในแง่ดนตรี นี่คือสิ่งที่เอื้อต่อการพัฒนาของแต่ละวง เพราะคุณไม่ต้องไปเป็นอะไร แค่คุณเป็นตัวเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่ตลาดของคุณมองเห็นคุณ คุณจะสามารถขายได้ทุกอย่าง

ที่พูดมามีสาระบ้างมั้ยเนี่ย อันไหนตัดได้ก็ตัดนะ (หัวเราะ) (FJZ: มีค่ะ บทสัมภาษณ์ไม่เซนเซอร์อยู่แล้ว) ไม่เซนเซอร์ด้วยหรอ คือผมจะชอบโดนประณามว่าเถรตรงไปหน่อย (FJZ: ไม่เป็นไรหรอก จะกั๊กไปทำไม คิดอะไรก็พูดไปเถอะ) ใช่ทุกวันนี้ที่สังคมมีปัญหาเพราะคนแม่งไม่พูด! พูดไม่ได้ก็ต้องพูด ไม่งั้นคนมันก็ไม่ให้เราพูด ให้มันรู้ไป

สุดท้าย อยากพูดอะไรกับพี่อูไหม

ทวน: (ถอนหายใจเฮือกใหญ่) คิดถึงครับ (ยิ้ม)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ Tuan Thailand ได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้