Article Interview

อิ้งค์ วรันธร บันทึกการเดินทางตลอด 2 ปีบนเส้นทางดนตรีลงใน Bliss EP แรกในชีวิต

  • Writer: Malaivee Swangpol
  • Photographer: Chavit Mayot

ถ้าให้พูดถึง mv ที่ดูแล้วเขินจิกหมอนแรงมาก เพลง เกี่ยวกันไหม? ของ อิ้งค์ วรันธร คงต้องอยู่ไม่พ้น top 5 ของใครหลาย ๆ คนแน่นอน (รวมถึงเราด้วย) วันนี้เรามีนัดสัมภาษณ์กับเธอในเรื่องการเติบโตในฐานะศิลปิน การร้องเพลง เล่นดนตรี เล่นหนัง เป็นดีเจ รวมถึงที่มาของ mv และ EP แรกในชีวิตของเธอ

img_1164

ที่มาที่ไปของชื่อ EP Bliss

เราหาชื่อเยอะมาก ก่อนที่จะทำ EP เราคิดไปเยอะแยะมาก มีชื่อบางชื่อที่เราชอบมากแต่ดันไปตรงกับชื่อวงอื่นทำให้มันใช้ไม่ได้ เราเลยมาคิดถึงจุดเริ่มต้นว่า เราทำ EP นี้เพื่ออะไร จริง ๆ แล้วมันเริ่มจากความสุขเล็ก ๆ ที่เราชอบร้องเพลงกับคุณพ่อคุณแม่ ชอบไปขึ้นเวทีแล้วพ่อแม่มานั่งดู แต่ทุกวันนี้ความสุขของเราใหญ่ขึ้น มันไม่ใช่แค่ครอบครัวที่มานั่งดู แต่มันกลายเป็นว่าเพลงของเราทำให้เราได้เจอคนเยอะแยะมาก ทำให้ความสุขที่มีแค่สองสามคน สี่ห้าคน ของครอบครัวเรากลายเป็นคนไม่รู้เท่าไหร่ ทุกครั้งที่เราไปเล่นความสุขเราค่อย ๆ เพิ่มขึ้น  เราอยากตั้งชื่ออะไรให้มันมีความสุข แล้วคำว่า Bliss เราว่ามันออกเสียงแล้วเพราะ ถ้าเป็นคำอื่นจะไม่น่ารักเท่า เราเลยเลือกใช้คำนี้

อิ้งค์มีส่วนในการทำงานของตัวเองแค่ไหน

ตอนแรกที่ทำเหงา เหงา ก็มีส่วนร่วมแค่เพลง ได้บอกว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร ตอนนั้นจะมีพี่สไตลิสต์ชื่อพี่เชอรี่มาดูให้ ตอนนั้นทุกอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่พี่ ๆ เค้าช่วยทำอยู่ พอเราโตขึ้นกับ Snap มันค่อย ๆ เพิ่มเลเวลการทำงานกับทีมงานขึ้นเรื่อย ๆ เราได้เรียนรู้แล้วพี่ ๆ ก็ค่อนข้างเปิดให้เราเสนอหลาย ๆ อย่าง อย่างลุคที่เพิ่มขึ้นมา เราก็จะเป็นคนเลือกกับพี่สไตลิสต์เอง มีสิทธิมีเสียงเต็มที่ mv ก็เลือกพี่ผู้กำกับเอง คุยสตอรี่บอร์ด เข้าไปอยู่ในทุก ๆ กระบวนการ เวลาพี่เค้าประชุมงานกันเราก็ไปหมดเลย เราอาจจะไม่รู้เรื่องในการคอมเมนต์แต่เราอยากเรียนรู้ว่าพี่ ๆ เค้าทำอะไรกันบ้าง อย่าง EP เราก็คุยกับพี่ ๆ art director เอง เสื้อผ้าเราก็เลือกแบรนด์ เราเข้าไปมีส่วนในการทำงานเบื้องหลังมากขึ้น เพลงสุดท้ายใน EP เราก็มีส่วนในการแต่งเมโลดี้กับพี่แทน Lipta เรารู้สึกว่าทุก ๆ เพลงค่อย ๆ กระโดดขึ้น ๆๆๆ ในสกิลของการเข้ามาอยู่เบื้องหลัง เราอาจจะไม่ได้ทำเยอะ แต่เรารู้สึกว่าเราได้เรียนรู้เยอะขึ้นมาก

ทำงานกับ BOXX เป็นยังไงบ้าง

ดีค่ะ ก็คือ สนุกมาก ตั้งแต่ทำมา 2 ปีแล้วตั้งแต่ยอด subscribe เป็น 0 อะ ช่วงนั้นเหงา เหงา เป็นเพลงแรกที่ปล่อย เหมือนเราก้าวมาพร้อมกับ BOXX พี่ ๆ ทำงานกันหนักมาก ๆ สองปีที่ผ่านมาทุกงานไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่เค้าก็ทุ่มเทหมด ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในด้านโซเชียลเค้าก็จริงจังและค่อนข้างให้ความสำคัญกับทุก ๆ งาน พอวันนี้ BOXX โตขึ้นไวมาก แล้วอิ้งค์ก็รู้สึกว่าอิ้งค์โตขึ้นพร้อม BOXX จริง ๆ ตอนนี้ยอด subscribe ก็มาเป็น 200,000 แล้ว เวลาเห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ ศิลปินทุกคน ไปเล่น ไปร้อง แล้วมีคนร้องตามได้ เราก็ดีใจกับเค้าตลอด อย่าง The Kastle ที่เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เปิดค่าย ทุกวันนี้เขามีเพลงที่คนร้องตามได้เยอะมาก ๆ เราก็ดีใจแทนเพื่อน อย่างพี่พลและทุกคนในค่าย วันแรกเป็นไงวันนี้ก็เป็นงั้น พี่ ๆ ก็ยังสอนเราทุกอย่างเหมือนเดิม

3

เล่าที่มาที่ไปของ mv เพลง เกี่ยวกันไหม? ให้ฟังหน่อย

ได้พี่แวว พี่วรรณ ผู้กำกับที่เราชอบงานเค้าอยู่แล้ว คือเราชอบดูรายการ ITADAKIMASU ในช่อง YouTube ของเค้า เป็นรายการพาไปกินร้านอร่อยในญี่ปุ่น แล้วมู้ด วิธีการตัดของเค้า มันน่ารักดี เราชอบ ขนาดไปญี่ปุ่นเราก็ไปกินตามอะ (หัวเราะ) แล้วพอเราจะทำ mv เพลงนี้ เราก็รู้สึกว่าเพลงนี้มันผู้หญิงมาก ๆ มันต้องเป็นผู้กำกับผู้หญิง ไม่งั้นจะไม่สามารถเล่าความเป็นผู้หญิงได้ เลยนึกถึงพี่แววพี่วรรณ ซึ่งตรงใจกับพี่ครีเอทีฟของเรา พี่ ๆ เค้าก็ตกลงทำให้ ตอนแรกพี่เค้านำเสนอมาว่า mv นี้จะต้องเป็นตอนกลางคืน อิ้งค์อยู่ในห้องคนเดียว แต่ก็มีโจทย์จากพี่ ๆ ทีมทำเพลง ที่อยากให้มีพระเอก mv และมีฉากที่ทำให้เห็นอีกด้านของเราคือด้านสว่าง เพราะเพลงนี้จะไม่ได้เหงาเท่ากับทุก ๆ เพลงที่ผ่านมา ก็เลยมาเป็น mv แบบที่ทุกคนเห็น พี่แวว พี่วรรณ เค้าลิสต์อะไรมาในสตอรี่บอร์ด ทุกอย่างออกมาเป๊ะหมดเลยใน mv จริง แถมยังเลือกคู่สีและคิดทุกอย่างให้ดูญี่ปุ่นที่สุด พี่ ๆ เค้าเคยกำกับ mv อยู่แล้วแต่เค้าไม่เคยกำกับ mv ที่เขินขนาดนี้ แต่เค้าคิดมาแล้วว่าฉากนี้คนดูจะต้องเขิน หรือจะต้องรู้สึก อึ๊ย ๆๆ ขนาดเราไปดูตอนที่เค้าตัดเสร็จ เรายังรู้สึกแบบ จั๊กจี้ อย่างพี่พล BOXX ที่เป็นชาวร็อก ก็ยังนั่งดูแบบเขิน ๆ

เคยมีประสบการณ์แอบรักเพื่อนแบบนั้นไหม

(หัวเราะ) ก็มีนะ เคยมี แต่ตอนนั้นก็สมัยเรียน มีความกุ๊กกิ๊ก เขิน

เอามาใช้ใน mv ด้วยไหม

ไม่เลย ใน mv คือเขินเกินเรื่องจริงไปมาก ไม่เคยเขินแบบใน mv ที่มีคนมาบีบจมูกแล้วต้องเขินอะไรงี้ (หัวเราะ) ไกลตัวสุด ๆ อย่างใน mv ที่เขินขนาดนั้น เพราะมีการ workshop กันก่อน เหมือนพี่ผู้กำกับก็นึกไม่ออกว่าอิ้งค์จะเขินยังไง ภายนอกเราเป็นคนนิ่ง ๆ พี่ผู้กำกับก็เลยนัดวันให้พี่ไอซ์ซึกับอิ้งค์มา workshop กัน เพื่อที่จะดูว่าแบบ ต้องเบอร์ไหนอะไรแบบนี้ แต่เค้าทำให้เราเขินได้จริง ๆ นะ เพราะชีวิตจริงมันไม่มีใครมานั่งทำแบบนี้ นึกออกปะ (หัวเราะ) มันก็เลยทำให้เรารู้สึกแบบ (หลบ) ต้องหลบอะ ไม่ควรสู้ตาต่อไป (หัวเราะ) เขินจริง เขินมาก

พูดถึงเพลง ยังรู้สึก เพลงเดียวใน EP ที่ไม่ได้ปล่อยเป็นซิงเกิลหน่อย

เพลงนี้เป็นเพลงที่เราตื่นเต้นมากที่สุดใน EP คือเราได้เข้าไปนั่งเขียนทำนองกับพี่แทน เป็นด้านที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้ พี่แทนก็เล่นคอร์ดไปเรื่อย ๆ แล้วให้เราลอง improvise ดูว่าจะให้เมโลดี้เป็นแบบไหน อันไหนที่ใช้ได้เค้าก็จะเก็บ อันไหนไม่ได้เค้าก็จะปรับนิดหน่อย แล้วพอมีชื่อออกมาในเครดิต เราก็ หูววววว มันเป็นความรู้สึกใหม่ของการทำเพลง ที่เคยทำเพลงมา 4 เพลง ยังไม่รู้สึกขนาดนี้ การที่มีชื่อเราในเครดิตมันเป็นแบบนี้นี่เอง แล้วเราก็ขี้อวดมาก บอกทุกคนว่าเพลงนี้เราแต่งทำนองนะ เป็นอีกเรื่องที่ภูมิใจในการเป็นศิลปิน mv เพลงนี้ไปถ่ายกันเองที่ญี่ปุ่น เราอยากปล่อยให้ทุกคนได้ฟังเร็ว ๆ มาก ๆ จะปล่อยปีหน้า ถ้าใครซื้อ EP ไปจะได้ฟังก่อน

เราจะได้เห็นอัลบั้มเต็มไหม

อยากทำ มีแพลนว่าจะทำ คือเราคุยถึงแพลนปีหน้าและต่อ ๆ ไปแล้ว แต่พี่ ๆ เค้าวางแผนให้มันเป็นก้อน แล้วเก็บไปทีละอย่าง อัลบั้มก็อยู่ในลิสต์สิ่งที่อยากทำ พี่เค้าก็โอเค ขึ้นอยู่กับเวลาว่าตอนไหนน่าจะเหมาะ

มีศิลปินไหนที่อยากทำงานด้วย

เราชอบศิลปินหลายคนแต่เราไม่อยากจะไปคาดหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกับเค้า มีคนที่เราเคยอยากทำงานกับเค้าและได้ร่วมงานจริง ๆ คือพี่ ๆ P.O.P. ที่เราชอบฟังตั้งแต่เด็ก ๆ Friday ก็ด้วย สองวงนี้เป็นวงที่เราชอบฟังมาก วันที่เราได้ไปร้องกับพี่ ๆ เค้าคือเราดีใจมาก แถมพี่เค้าจำชื่อเราได้ เหมือนเค้าเห็นเราจากที่เราเห็นพี่เค้ามาตลอด เป็นอะไรที่เราภูมิใจ รวมถึงการทำงานกับพี่ ๆ ที่เป็นศิลปินมานานทำให้เรารู้อะไรหลาย ๆ อย่างมาก พี่นภ กับพี่บอย เค้าเป็นศิลปินที่พอเราเข้าไปซ้อมกับเค้า เค้าจะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป อย่างพี่นภจะเป๊ะมาก เหมือนเราได้เรียนรู้อะไรบางอย่างมาจากเค้าว่าการซ้อมต้องเป็นแบบนี้นะถึงจะได้ประสิทธิภาพ

1

แนะนำศิลปินที่ซาวด์คล้าย ๆ กับอิ้งค์ให้เราหน่อย

หลาย ๆ คนก็จะนึกถึง Polycat หรือ Kidnappers คือซาวด์เราค่อนข้างคล้ายกับวงแนว synth pop ยุค 80s หรือ 90s ค่อนข้างฟังง่าย ติดหู แต่อาจจะไม่ได้ฟังแล้วลึกเท่าฝรั่ง คืออย่างของพี่ Polycat จะมีชั้นเชิง มีความเก๋ ทางเมโลดี้จะยากหน่อย เป็นคอร์ดที่เรารู้สึกว่าลึกกว่าเพลงของเรา แต่ป๊อปมาก ถ้าให้พูดว่าเหมือนพี่ Polycat มั้ย สำหรับเราก็รู้สึกว่ามันไม่ แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปฟังซาวด์ก็จะบอกว่าคล้ายกัน

มีศิลปินวงไหนอีกไหมที่ซาวด์คล้าย ๆ กันแล้วอิ้งค์ชอบ

เราชอบ CHVRCHES, FKJ แล้วก็ Prep อะไรแบบนี้ พวกที่มีซาวด์อิเล็กโทรนิก แต่อาจจะไม่ใช่ synth pop แบบ 80s 90s อะไรขนาดนั้น

ตอนอยู่วง Chilli White Choc ได้เรียนรู้อะไรสำหรับการเป็นนักร้องบ้าง

ตอนนั้นเราเด็กมาก แบบ 13 เอง ถ้าถามว่าได้เรียนรู้อะไรมั้ย เราว่าเราได้เรียนรู้เยอะ โตขึ้นเยอะ รู้เรื่องการเข้าสังคม รู้จักคนใหม่ ๆ ได้เรียนรู้ระบบการทำงาน เราอยู่แค่ปีเดียว แต่ว่าเป็นการเรียนรู้แบบเด็ก ๆ เพราะเราแทบไม่ต้องคิดอะไรเองเลย จะมีพี่ ๆ ดูแลทุกอย่างรวมถึงเสื้อผ้าหน้าผม เวลาไปทำงานคือแค่ขึ้นไปร้องเพลง หรือแค่ออกไปพูดในสิ่งที่พี่ ๆ เค้าคิดไว้แล้ว เราไม่ได้เป็นตัวเองเท่าไหร่ ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเรายังหาตัวเองไม่เจอในความชอบด้านสไตล์ดนตรี ถ้าผู้ใหญ่ว่าดีเราก็ว่าดี แต่ตอนนั้นเราจัดการชีวิตตัวเองไม่ค่อยได้ ทั้งเรื่องเรียน การแบ่งเวลา เรารู้สึกว่าเราไม่พร้อมในการทำตรงนั้น เลยเอาเรื่องเรียนก่อนดีกว่า ถ้าเกิดว่าวันนึงเรายังอยากจะร้องเพลง อยากจะทำเพลง อยากเป็นศิลปินอีก เราก็ค่อยกลับไปก็ได้

เห็นว่าคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนการเรียนดนตรี เป็นครอบครัวนักดนตรีด้วยหรือเปล่า

ไม่เลย พ่อเราแค่ชอบเล่นดนตรีตอนสมัยเรียน เค้าอยากเรียนดนตรี อยากเรียนร้องเพลง แต่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเลยไม่มีโอกาสได้โฟกัสด้านดนตรี เราชอบนั่งรถไปกับพ่อแล้วพ่อก็จะเปิดเพลงให้ฟังแล้วร้องเพลง ทำให้เราได้ซึมซับดนตรีไปในตัวตั้งแต่เด็กมาก ๆ พ่อบอกว่า เราร้องเพลงตรงคีย์ เลียนเสียงได้เก่ง เลยถามว่าอยากเรียนร้องเพลงมั้ย เพราะเค้าพร้อมจะสนับสนุน ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร แค่เหมือนส่งเด็กไปเรียนร้องเพลงเล่น ๆ เสาร์อาทิตย์ ปรากฏว่าเราก็ชอบตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เป็นความชอบที่เข้ามาเองโดยไม่รู้ตัวเพราะว่าคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนตั้งแต่ตอนเด็ก

มีเพลงพิเศษที่มีความทรงจำร่วมกับคุณพ่อไหม

พ่อชอบเปิด The Carpenters หรืออย่างเพลง Handyman, Eternal Flames พวกเพลงฝรั่งเก่า ๆ แล้วคุณพ่อก็จะพรินต์เนื้อมาให้ สอนว่าคำนี้แปลว่าอะไร ตอนไปโรงเรียนทุกเช้าก็จะเปิดเพลย์ลิสต์เดิมเรื่อย ๆ เหมือนเรียนภาษาอังกฤษไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย

5

ยังได้ร้องเพลงโอเปร่าที่เรียนมาอยู่ไหม

อยากร้องเหมือนกันแต่ตอนนี้ไม่ได้ร้องแล้ว โอเปร่าเป็นแนวเพลงที่ร้องยากในเมืองไทย มันไม่มีที่ให้ไปร้องอะ แล้วถ้าเราคิดจะร้องจริง ๆ หรือจะเอาดีจริง ๆ เราต้องไปอยู่เมืองนอก ซึ่งงานที่เราทำอยู่ตอนนี้มันไม่สามารถเอาโอเปร่ามาใช้ได้เลย แต่เวลาเราวอร์มเสียงก็ยังได้ใช้เทคนิคโอเปร่าอยู่ เป็นวิธีวอร์มที่เสียงจะพุ่งมาก ได้พลังเยอะมาก เป็นคนละศาสตร์กับป๊อปแต่ก็เป็นการออกกำลังเส้นเสียงที่ดี

ได้ไปออกอีเวนต์ร้องเพลงโอเปร่าบ้างหรือเปล่า

มีบ้าง แต่ก็ส่วนใหญ่ก็เป็นงานของมหาลัย งานข้างนอกไม่ค่อยได้ไป เพราะเราไม่ได้เป็นตัวท็อปด้านโอเปร่าขนาดนั้น ส่วนมากอาจารย์จะเป็นคนเลือกไป แต่ถ้างานในมหาลัยเราก็ได้ร้องเยอะ ทั้งบรอดเวย์ ละครเวที

ตอนเรียนอยู่อาจารย์เข้มงวดเรื่องห้ามไปร้องแนวอื่นไหม

ไม่เลย รุ่นพี่รุ่นน้องหลายคนก็ร้องเพลงป๊อป อย่างขนมจีน Kamikaze พี่มัดหมี่ พิมดาว ทุกคนร้องป๊อปมาก่อนอยู่แล้ว แค่มาเรียนโอเปร่า อาจารย์ก็ชิล ๆ อย่างอาจารย์ดวงใจ ร้องแจ๊สเพราะมากแต่สอนโอเปร่า หรือซิลวี่ เดอะสตาร์ ร้องแบบฮาร์ดคอร์ไปเลย แต่อาจารย์ก็ cheer up สุดฤทธิ์

เวลาต้องสลับเสียงร้องแบบป๊อปกับโอเปร่า ยากไหม

เราว่าไม่ยาก อย่างเพลงที่มีท่อนขึ้นเสียงสูง ถ้า hit note สูงแบบป๊อปต้องเค้น แต่ถ้าคิดแบบโอเปร่า เราไม่ต้องใช้เทคนิคเต็ม 100 อะ เราใช้แค่ 10 แต่ก็ทำให้เราใช้แรงน้อยลงเยอะ มีบางอย่างที่ switch มาได้ คือเราไม่ได้รู้สึกว่ามันยากขนาดนั้น อาจจะเพราะเราร้องป๊อปมาก่อนตั้งแต่เด็ก ๆ จนเราอยู่ ม.4 ม.5 ถึงมาเรียนรู้บรอดเวย์ แล้วก็มาเข้าโอเปร่าจริง ๆ จัง ๆ ตอนปี 1

เห็นมีคลิปที่อิ้งค์เพิ่งหัดเล่นคีย์บอร์ด ตอนนั้นกดดันไหม แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

ตอนนั้นก็เกร็งบ้าง คือเราเป็นคนเด๋อ ๆ ยังมีที่กดผิดอยู่เลย คีย์มันเล็กมากแค่เท่านิ้วเราเอง ถ้ากดพลาดนิดเดียวมันไปเลย วันนั้นที่เรียนก็รู้สึกว่าสนุกดี คือเรามีพื้นฐานด้านเปียโนบ้าง พอได้ไปเล่นในคอนเสิร์ตช่วงแรก ๆ ก็เกร็งมาก กลัวกดผิด แต่หลัง ๆ ที่ไปเรียนก็เริ่มชินขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็คุ้นเคยมากขึ้น แต่ก็ต้องทำให้ดีเหมือนเดิม เราจะเล่นแค่มือเดียวเพราะอีกมือต้องถือไมค์เลยจะไม่ได้เล่นยากมาก แต่จะมีเรื่องเปลี่ยนเสียงบ้าง

ถ้าไม่ได้เป็นศิลปินแล้วจะทำอะไร

เคยคิดว่าถ้าพ่อแม่ไม่ได้ส่งเราร้องเพลง เราจะทำอะไรอยู่ แต่ก็คิดไม่ออก เราไม่รู้จริง ๆ ว่าเราจะทำอะไร ตั้งแต่ตอนเด็กเราก็ชอบร้องเพลงแล้ว แต่ไม่ได้คาดหวังจะเป็นศิลปินนะ ถ้าถามว่าอยากทำอะไรก็คงช่วยพ่อแม่ทำงานมั้ง พ่อแม่เราทำโรงงานเสื้อยืด ก็น่าจะไม่พ้นจากธุรกิจที่บ้านแหละ

ได้เรียนคอร์สการแสดงด้วยไหม

ไม่มีเลย คือเราเรียนโอเปร่าเลยจะได้เจอแต่แอคติ้งแบบการตีความเพลง ตีความสิ่งที่เราร้อง เวลาที่เราเล่นละครคณะ ก็จะมีรุ่นพี่มาติวแอคติ้งให้ แต่จะไม่ใช่แอคติ้งที่เป็นหนังที่แบบค่อนข้างเรียล แต่จะเป็นแอคติ้งโอเปร่าที่ยิ่งใหญ่หน่อย

พอมาเล่นหนัง ความสนใจในเรื่องหนังเปลี่ยนไปไหม

เปลี่ยนมาก เราว่าเมื่อก่อนเราก็แมสพอสมควรในการดูหนัง เรื่องไหนเค้าว่าดีก็จะดู เรื่องที่นอกกระแสหน่อย ๆ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเราก็จะไม่ค่อยอยากดู แต่พอเล่นหนังมันทำให้เรารู้สึกว่าหนังไม่ได้มีแค่ความสนุก มันมีเรื่องอื่นอีกเช่นการตีความ การดู ความลึกของหนัง มันทำให้เราดูถึงตัวละคร ถึงการแสดงมากขึ้น แล้วก็ทำให้เราได้เรียนรู้การทำงานของคนทำหนังจริง ๆ ว่ามันไม่ใช่ง่าย ๆ กว่าจะมาเป็นหนังหนึ่งเรื่อง ก่อนหน้าที่จะเล่นหนังเราไม่เคยดูหนังที่อินดี้หรือคิดอะไรหนัก ๆ เพราะเรารู้สึกว่าแบบเราไม่อยากคิด เราอยากดูหนังเพื่อความสนุก แต่พอเรามาเล่น เรารู้สึกว่า เฮ้ย มันสนุกนะ ขนาดเราเล่นเอง เรากลับมาดูยังต้องตีความอีก ตอนที่เล่นเราเล่นในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ว่าในบทที่พี่คงเดชเค้าทำให้เราตีความมาได้หลายเรื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมเรี่องการเมือง เรายังตกใจเลยว่า ตอนเราเล่นเรายังไม่ได้คิดอะไรเลยแต่พอคนดูเค้าตีความได้เยอะขนาดนี้ มันก็เป็นอีกแง่มุมนึงที่เราไม่เคยเจอเหมือนกัน

ยังอยากกลับไปเล่นหนังอยู่ไหม

ก่อนหน้านี้เราไม่เคยอยากเล่นหนังเลย แต่พอเรามาเล่นมันทำให้เรารู้สึกว่าเราเจออีกมุมหนึ่งของเราที่ 20 กว่าปีเราไม่รู้เลยว่าเราสามารถทำได้ เพราะเรามีโอกาสได้ทำฝันที่เราทำตั้งแต่เด็กแล้ว เอาจริงมันก็เป็นความฝันที่รองจากการเป็นศิลปิน แต่เล่นหนังกินเวลาค่อนข้างนาน ประมาณ 3 เดือน ซึงเราค่อนข้างเสียดายเวลาที่เราจะมาใช้กับดนตรี เราก็เลยไม่ได้ตกลงรับเล่นหรือไปโฟกัสเท่าไหร่ แต่ก็คิดไว้ว่าถ้าวันนึงเพลงเราอยู่ตัว แล้วเราสามารถแบ่งเวลาหรือทำอะไรได้ดีกว่านี้ เราก็อยากจะเล่น

2

อิ้งค์ชอบดูหนังแบบไหน 

เราดูหลายแบบเลย แล้วแต่อารมณ์ แล้วแต่ว่าอยากดูอะไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับช่วงนั้นมีอะไรให้ดู เราชอบดูหนัง เข้าโรงหนังบ่อยถ้ามีเวลา ล่าสุดไปดู Wonder คนเดียว คือเราดูคนเดียวได้ ไม่ต้องมีเพื่อนก็ได้ หนังที่ชอบที่สุดก็ Before Sunrise, Comet, Eternal Sunshine อย่าง Wonder ล่าสุดก็ชอบมาก ชอบสุด ๆ นั่งร้องไห้ในโรงคนเดียว Coco ดีมาก ชอบมาก เราชอบดูหนังที่ไม่ใช่ยิง ๆ ต่อสู้ พวกซุปเปอร์ฮีโร่ แต่ถามว่าดูมั้ยก็ดูเหมือนกัน เราก็รู้สึกว่าควรจะเก็บ แค่ดูให้รู้ว่าเป็นยังไง แต่ก็ไม่อินขนาดแบบจะต้องซื้อของที่ระลึกซุปเปอร์ฮีโร่อะไรแบบนี้ ถ้ามีโอกาสก็ดู 2-3 เรื่องต่อสัปดาห์ หลัง ๆ หาโอกาสดูยากหน่อย ว่างไปดูก็ออกจากโรงไปแล้ว ต้องรอแผ่น ช่วงเลยนี้ดู Netflix เยอะ ง่ายดี

ตอนนี้เป็นดีเจ Cat Radio แล้วชอบไหม

เราชอบนะ แต่ของเราจะเป็นทุกวันอาทิตย์ 6 โมง – 3 ทุ่ม แล้ววันอาทิตย์ชอบมีงานเลยไม่ค่อยได้ไป ถ้าว่างก็ไปตลอด ตอนแรกเราคิดว่ามันยากเพราะเราพูดไม่เก่ง ช่วงแรก ๆ เราพูดติดขัดตลอดเวลา พูดไม่รู้เรื่อง แต่การเป็นดีเจแคตมันทำให้เราทำการบ้านเยอะ เราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นทำยังไง แต่เราจะลิสต์เพลงที่จะไปเปิด รวมถึงเรื่องที่จะพูดด้วย ทำให้เราฝึกการพูดเข้าเพลง พูดออกเพลง แล้วก็ฝึกการพูดคนเดียว วันแรกที่ไปค่อนข้างเกร็ง มีพี่ที่ค่ายดูเค้าบอกว่าอิ้งค์พูดคำว่าก็เยอะมาก เดี๋ยวก็ ก็ ๆ เหมือนเรายังไม่ชิน แต่ไปเรื่อย ๆ มันก็สนุกขึ้น ได้ฟังเพลงใหม่ ๆ เยอะเลย อย่างเพลงไทยเรารู้สึกว่าเราฟังเยอะนะ แต่พอเราเป็นดีเจ กลายเป็นว่ามีเพลงที่เรายังไม่ได้ฟังเยอะมาก เพลงที่กำลังมา ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากชาร์ต จากเพลย์ลิสต์ จากเพลงที่คนขอ อย่างวง The White Hair Cut เราเคยฟัง แต่พอไปเป็นดีเจมันบังคับให้เราฟังเต็มเพลง แล้วรู้สึกว้าว เราชอบ ก็เลยติดตามวงนี้มาตลอด

มีงานไหนในวงการบันเทิงที่อยากทำอีกไหม

เราไม่ได้คาดหวังว่าจะอยากทำอะไร มันแล้วแต่โอกาสที่เข้ามา อย่างหนังเราก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เล่น แต่พอโอกาสเข้ามาเราก็รู้สึกว่าเราไม่ควรปล่อย หรืออย่างดีเจเราก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเพราะว่าเราพูดไม่เก่ง พูดงง ถ้าเจอเราตอนสองปีที่แล้ว จะไม่ได้พูดแบบนี้เลยอะ คือขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่า แต่ถ้าโอกาสเข้ามา เราคิดว่าเหมาะกับเรา เราทำได้ ก็อยากทำทุกอย่าง

4

ฝากผลงาน

มีเพลงใหม่ เกี่ยวกันไหม? เป็นเพลงที่สดใสที่สุดในชีวิตวรันธรแล้วแหละ เพราะว่าแก่กว่านี้ก็ไม่รู้ว่าจะสดใสได้มั้ย อยากให้ทุกคนไปดูกันเยอะ ๆ เป็น mv ที่จั๊กจี้ที่สุดเท่าที่เคยดูมา (หัวเราะ) เราดูแล้วรู้สึกตามเพลงได้ เป็น mv ที่สนุก ตอนเราเล่นเองก็สนุก มีความน่ารัก พี่ ๆ เค้าตั้งใจทำมากไปดูกันเยอะ ๆ ไปดูพี่ไอซ์ซึก็ได้ค่ะ (หัวเราะ) ฝาก EP Bliss ที่รวบรวมการทำงานของอิ้งค์ใน 2 ปีที่ผ่านมา ทุก ๆ เพลงตั้งใจทำมากๆ และเพลงสุดท้ายต้องซื้อเท่านั้นถึงจะได้ฟังก่อน แผ่นละ 290 เอง มาพรีออเดอร์ได้ อีเวนต์ดูในแฟนเพจได้เลย ช่วงเดือนธันวามีหลายที่มาก มีเชียงใหม่ด้วย ปีหน้าอยากทำคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม ให้รอติดตามกัน ตอนนี้กำลังวางแผนกันอยู่ จะพิเศษแค่ไหนก็อยากให้ติดตามดูกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของอิ้งค์ วรันธร ได้ที่ https://www.facebook.com/InkWaruntorn/ และรับฟังเพลงของเธอบนเว็บไซต์ฟังใจได้ ที่นี่ 

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่