Article Interview

Parim สาวน้อยสีเหลืองที่ไม่ใช่แค่เพลงของเธอที่ทำให้โลกสดใส

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

เราน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาสาวน่ารักเสียงดีอย่าง พริม—ญาณิศา กายสุต ที่ไปช่วยวงนั้นวงนี้คอรัส แต่เธอเองก็มีผลงานเดี่ยวในฐานะนักร้องค่าย Comet Records ที่แฟน ๆ รู้จักกันในชื่อ Parim และเธอก็ออกอัลบั้มเต็มชุดแรกในชีวิต Comfort Zone ในสไตล์อิเล็กโทรป๊อปมาให้ฟังกันแล้ว กระแสตอบรับก็ดีใช่ย่อย แบบนี้แล้วน่าจะเป็นโอกาสดีที่เราจะพาทุกคนไปรู้จักพริมให้มากขึ้นอีกนิด ทั้งความชื่นชอบในเพลงโฟล์ก การทำคณะละครเด็ก และความคิดแง่บวกที่อาจจะทำให้หลายคนอ่านไปยิ้มไป

จุดเริ่มต้นของการมาเป็นนักร้องของพริม

ตอนเด็กพ่อแม่ชอบดูรายการพวก Academy Fantasia ก็เลยส่งพริมไปเรียนร้องเพลง สักพักเรียนไปเรียนมา สอบติดมหิดล ตอนแรกเป็นร้องโอเปร่า แล้วตอนเข้าปีหนึ่งเลยย้ายมาเป็น musical theatre แล้วทีนี้พอเรียนจบก็เจอพี่ตั๋ง (จักรชัย ปัญจนนท์ (Casinotone, Comet Records) พอดี เขาก็เลยทำเพลงให้ ส่งเพลงมาให้ฟัง มีไอเดียอะไรเขาก็เอามาทำต่อให้ จนสุดท้ายกลางปีที่แล้วเขาบอกว่า ‘พริม ทำอัลบั้มกัน’ ก็เลยได้ทำอัลบั้มของตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น

ก่อนหน้านี้เขียนเพลงไว้อยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า

พริมเขียนไว้แต่ว่าน้อยมากเลย แต่พี่ตั๋งเขาก็เอาเพลงพริมไปทำบ้าง มีเพลงนึงที่พริมทำเองหมดเลย คือ ดาวโลกกับดวงจันทร์ (หัวเราะ) จะแต่งเพลงได้ประมาณนั้น อยากทำเพลงโฟล์ก จริง ก็มีเพลง 11.15 AM ที่ตอนแรกเป็นโฟล์กเลย แล้วพี่ตั๋งเอาไปทำเป็นอิเล็กทรอนิก

เป็นศิลปินคนแรกของ Comet Records ที่มีอัลบั้ม

ก็ดีใจมากเลย เหมือนพี่ตั๋งค่อนข้างเชื่อในตัวพริมระดับนึง ก็รู้สึกซึ้งใจมากที่เขาทำให้พริมทั้งอัลบั้มเลย ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้ทำ เขามีเพลงทำรอไว้แล้ว แล้วแต่ละเพลงเหมือนพี่ตั๋งรู้จักพริมมากเลย ทุกเพลงมันเข้าปากมากและไม่เขินเลยที่จะร้อง พริมเคยมีโปรดิวเซอร์บางคนเอาเพลงมาให้ลองฟัง ก็จะเลี่ยงปฏิเสธ ลองร้องแล้วรู้สึกยังไม่ใช่ แต่ของพี่ตั๋งนี่คือรักเพลงเขามาก

คอนเซ็ปต์อัลบั้ม Comfort Zone

มันมาจากเพลง พี่ตั๋งแต่งเพลงให้พริมได้ positive มาก เขาบอกว่าเขาชอบส่องเฟซพริมแต่พี่ตั๋งเขาก็บอกว่าเขาไม่ได้ส่อง (หัวเราะ) นั่นแหละ เขาบอกว่าดูพริมแชร์เพลงอะไร เป็นคนยังไง

คือพริมก็ฟังเพลงตัวเอง เพลงมันไม่ทำร้ายใคร แล้วก็ชอบมีคนทักมาว่า นอนฟังเพลงพริมทั้งวันในวันที่ว่างและเศร้ามาก ในห้อง ก็รู้สึกหายเศร้าเลย ดูเป็น ‘comfort zone’ ของใครหลาย คนได้นะ แล้วพริมก็เป็นคนที่มี comfort zone เยอะมาก เลยมาตั้งชื่อเป็นอัลบั้มนี้ ได้พอดีกับเพลงที่พี่ตั๋งทำ ไม่ได้คิดเป็นคอนเซ็ปต์มาตั้งแต่แรก แค่คอนเซ็ปต์ของพี่ตั๋งมองว่าพริม positive เป็นตัวพริม แค่นั้น

Parim

Say Hey!

พี่ตั๋งบอกว่าพริมน่าจะเป็นคนที่ถ้าเจอแฟนเก่าแล้วจะทักทายอะ บอกว่าพริมเป็นคน positive เลยเขียนเพลงออกมาประมาณนี้ แต่เรื่องจริงพริมคงไม่ได้เป็นแบบ เซย์เฮ้เลยนะ แต่มันตกใจว่าแบบ เฮือก! หวัดดี อ๊องไปเลย เป็นหนึ่งในเพลงที่ทำให้เราไม่ต้องไปเครียดอะไรมากกับเรื่องพวกนี้ ไม่ต้องไปเศร้า

11.15 AM

อันนี้เป็นเพลงที่พริมแต่งตั้งแต่อยู่ .4 แล้วพริมชอบรุ่นพี่ปี 4 เป็นคนชอบคนแก่ (หัวเราะ) แต่เป็นโฟล์กเลย ทีนี้พริมอยากทำเพลงนี้มาก แต่ให้พี่ตั๋งทำดีกว่าน่าจะเป็นในอีกรูปแบบนึง แบบ คิดได้ไหม ทำไมกูคิดไม่ได้ (หัวเราะ) แล้วเพลงก็คือมาจากที่ตื่นสายด้วย เพื่อนทุกคนออกจากหอไปหมดแล้ว เข้าแถวเรียนตอนแปดโมง อีนี่ตื่นสิบเอ็ดโมง

Summer or Raining

อันนี้พี่บี Funky Wah Wah แต่งทำนองมาแล้วพี่ตั๋งก็แต่งเนื้อเพลง เป็นเพลงที่ให้กำลังใจ

ทางลัด

เพลงนี้ได้พี่ภัค FluffyPak มาช่วยแจมด้วย เกี่ยวกับว่า อย่าเพิ่งไปสนใจความรักอะ อันนี้ไม่รู้ว่าพี่ตั๋งแต่งเก็บไว้นานแล้ว หรือเห็นว่าพริมเอาเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ความรักมาเป็นความสุขของพริมเยอะมาก พริมเลยรักเพลงนี้มาก พริมชอบไปเที่ยวคนเดียว ถ้าไม่มีเพื่อนไปด้วยนะ ไปเองได้สบายมาก เป็นเพลงที่บอกว่า เก็บความรักพักไว้ก่อน ให้เรียบร้อยวางไว้ข้างเตียง คือความรักบางทีมันไม่ใช่ความสุขทุกอย่างของเรา นั่นแหละ ทางลัดของการมีความสุขบางทีก็ไม่ใช่ความรักเสมอไป ออกไปท่องเที่ยว ชอบนั่งรถไฟ มากกกก จริง นั่งเครื่องบินก็ชอบ รู้สึกตื่นเต้น แล้วชอบฟัง Wake Up ของ Arcade Fire ที่ไปอยู่ใน ‘The Secret Life of Walter Mitty’ อะ (หัวเราะ) ฟังแล้วขนลุกอะ กูจะออกจากที่เดิม แล้วเว่ย! เป็นทุกครั้งที่ต้องเดินทางคนเดียวนะ ยิ่งเวลาขึ้นรถไฟคนเดียวมันจะรู้สึกพิเศษ เราจะนั่งยิ้มกับหน้าต่างโดยที่ไม่ต้องยุ่งกับใคร เราอยู่กับตัวเองมาก ชอบโมเมนต์ที่นอนไป แล้วตื่นเช้ามาสวยมาก จากตอนกลางคืน ตื่นขึ้นมาเห็นแสงเช้า แล้วข้างทางคือภูเขา ไม่ว่าจะไปหัวหิน หรือเชียงใหม่ ไปลาว ข้างทางคือสวยมากแบบ โอ้มายก้อด ๆๆๆ ก็จะชอบโมเมนต์นั้น นั่งยิ้มจนถึงปลายทาง (หัวเราะ)

ไม่ต้อง

ทุกเพลงของพี่ตั๋งเหมือนจะบอกว่า มึงไม่ต้องซีเรียสกับชีวิตหรือเรื่องความรักขนาดนั้น ตอนแรกพี่ตั๋งจะให้ชื่อเพลง ‘ต่อรอง’ แต่พริมว่า ไม่ต้อง! ไปเลย คือไม่ต้องมาอะไรแล้ว ถ้ามึงไม่รักก็จบ ถ้ารู้สึกว่าความรักเรามันยากก็ช่างแม่ง ถ้าต้องฝืนก็ไม่ต้องเลย ถ้าใจเธอไม่มีฉันอยู่ก็ไม่ต้องมาคุยกัน จบ ให้มันง่าย ไป ไม่ต้องซับซ้อน

สัญญาณ

เป็นเพลงน่ารักมาก แบบว่าเขิน เหมือนฉันส่งสัญญาณให้เธอ เพลงนี้เหมือนเวลาพริมกรี๊ดใคร ส่วนใหญ่จะเป็นกรี๊ดรุ่นพี่ (หัวเราะ) เวลาชอบใครจะไม่ได้บอกอะไร จะไปกดเลิฟในเฟซบุ๊ก เป็นคนที่ลงอะไรได้ดูมีความคิด ลงเพลงแล้วแบบ เฮ้ยยยย เพลงนี้ชั้นก็ชอบ คลิปหมา ถ่ายรูปฟิล์มแล้วสวยจัง แล้วก็เป็นคนที่ชอบลงเพลงตามความรู้สึกตัวเองมาก เวลาชอบใครก็จะลงเพลงรักอะเนาะ เพลงนี้มันพริมมาก บางทีชอบใครแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ คือเขาเป็นคนแก่มาก แล้ว ก็แฮปปี้ของตัวเอง แล้วสุดท้ายก็เลิกชอบไปเอง

สายไหม

ชอบเพลงของตัวเองทุกเพลง เป็นไรเนี่ย (หัวเราะ) แต่ไม่ได้แต่งเองนะ ตอนแรกจะชื่อเพลง ‘พรหมลิขิต’ แหละ ชอบตั้งแต่คำว่าจะมองไปทางไหนเห็นสายฟายยย โยงใบเหมือนสายไหมสีดำ’ (ร้องให้ฟัง) โคตร positive เลย เราอยู่ในกรุงเทพ ใช่ไหม พี่ตั๋งรู้ว่าพริมชอบเชียงใหม่ ไม่ชอบอยู่กรุงเทพ แต่เราสามารถมองให้ต่างจากคนอื่นได้ ชีวิตไม่ได้มืดมนขนาดนั้น สายไฟเหมือนสายไหม พรหมลิขิตสร้างเราให้มาอยู่ด้วยกันในเมืองแบบนี้ที่มันมีควันพิษเยอะ แต่เราอยู่ด้วยกัน เรามองใหม่ได้ เปลี่ยนมุมมองความคิดให้มันแฮปปี้ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกวันนะ บางวันพริมก็สายไฟก็คือสายไฟ มืดครึ้มมาก (หัวเราะ)

กาลครั้งหนึ่ง

เพลงนี้เศร้าแล้วก็อินมาก ในทุก เพลงที่พี่ตั๋งทำพริมจะเอามาเชื่อมกับเรื่องตัวเอง ซึ่งกาลครั้งหนึ่งมันมีคนคนนึงอยู่แล้วในทุก คน ต้องมีอดีตแหละ ถึงตอนนี้จะไม่ได้คุยกันแล้วแต่พริมเชื่อว่าเขาก็ยังไม่ลืมเรา และเราก็จะไม่มีทางลืมเขา เขาจะอยู่ในกาลครั้งหนึ่งของเราตลอดไป มันเป็นความรักที่นานมาก แล้ว แต่มันอยู่กับพริม น่าจะเป็นทั้งชีวิต สำหรับพริมน่าจะเป็นคนนั้นแหละ ก็เอามาร้องกับเพลงนี้

ลาล่ะ ลาล่ะ

ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบ แล้วก็เพิ่งเลิกกับแฟน พี่ตั๋งแต่งเพลงให้ คือพริมลงเพลง ปรากฏการณ์ ของ อพาร์ตเมนต์คุณป้า จำได้เลยว่าพี่ตั๋งกดไลก์แล้วส่งเพลง ลาล่ะ ลาล่ะ กลับมาให้พริม เป็นเพลงลาจากแฟนที่ positive มาก ฉันจะไปเที่ยววันหยุด มันเป็นจุดที่ช่างแม่งละ เห็นความรักอันนั้นเป็นแค่อดีตไปแล้ว แบบแฮปปี้ ไม่ได้เศร้า

ดาวโลกกับดวงจันทร์

เพลงนี้แต่งได้บนดอย รู้จักพี่เรืองฤทธิ์ไหม เขาเป็นนักร้องโฟล์ก แล้วมากรุงเทพ บ่อย แต่พอพริมไปเชียงใหม่ก็จะชอบไปอยู่บนดอยกับพี่ เขา เพลงเขาน่ารัก positive มาก พริมได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงของเขา ไม่ใช่เนื้อเพลงนะ แต่ทำให้คิดว่า เออว่ะ ดนตรีแค่คอร์ดง่าย แต่มันโคตรน่ารัก แต่ดาวโลกกับดวงจันทร์คือเกิดเหตุการณ์น้อยใจแหละ ทำไมไม่สนใจกันสักที ฉันอยู่ตรงนี้ หมุนรอบตัวเธอนะ ตอนนั้นพออัดเปียโนกาก เองที่บ้านมาได้สักพัก มันมีช่วงที่เป็นโซโล่ แต่เล่นโซโล่ไม่เป็นเลยใส่บทละครเข้าไป ใส่เข้ามาด้วยจิตใต้สำนึก ไม่ได้ฝืนหรือพยายามหาอะไรเลยคุณดาวโลกกกก สนใจฉันหน่อยสิ!’ ชอบคัฟเวอร์เพลงที่มีคำพูดอยู่แล้วด้วย ตอนนั้นคัฟเวอร์เพลงพี่เป้ อารักษ์ กายฉันว่ายน้ําไปใจฉันคิดถึงเธอ ก็เลยลองใส่คำพูดเหมือนพูดในเพลงเข้าไป ถึงจะฟังดูเขิน นิดนึงแต่มันก็น่ารักดี ก็เลยออกมาเป็นความงี่เง่า ของดาวโลกกับดวงจันทร์ ตอนแสดงเราก็ให้เพื่อนเรามาเป็นดาวโลก ไม่ก็บางทีให้คนดูเป็นดาวโลกให้ แล้วพริมก็ร้อง

เพลงนี้มีมิวสิกวิดิโอด้วย

คุยกับพี่ตั๋งว่า ปีนี้ถ้าไม่ทำเพลง พริมจะทำมิวสิกวิดิโอนะ แล้วเพลงที่เรารู้เลยว่าจะเอามาทำ mv ก็คือดาวโลกกับดวงจันทร์ เพราะเราทำเองทุกอย่าง แต่งเอง นั่งอัด นั่งประสาน คิดบทเอง เราก็เลยเขียนสตอรี่บอร์ดเอง ให้รุ่นพี่ที่รู้จักมาตั้งกล้อง แล้วพริมก็ทำพร็อพเอง รู้สึกว่าถ้าชีวิตนี้มีอาชีพทำพร็อพน่ารักอะ พริมอยากทำอาชีพนั้นทุกวัน คือนั่งตัดได้ทั้งวันอยู่ที่บ้านแล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่เบื่อ ชอบมาก อีเพลงดาวโลกกับดวงจันทร์เลยรู้สึกว่า เออ เงินชั้น ชั้นจะทำ ใครไม่ฟังไม่เป็นไร ชั้นชอบ แล้วอันนั้นก็ทำเองหมดเลย ก็ดีใจมาก ที่มีคนเข้ามาฟัง

มีอะไรบ้างที่เป็น comfort zone ของพริม

ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็รู้สึกแย่นะที่ยังอยู่ใน comfort zone เยอะอะ ตรงระเบียงหรือในห้องนอนของพริม มันจะมีโซนที่กลับบ้านไปแล้วฉันจะแบบ มา! แล้วไหนจะพ่อแม่ เพื่อนสนิทของพริม ทอมมี่ (หมาของพริม) ตามที่อยู่บนปกอัลบั้มเลย (FJZ: นึกว่าคนบนปกเป็นพริมตอนผมยาว) นี่เพื่อนพริม (หัวเราะ) ทุกคนชอบถามว่าทำไมไม่เอารูปตัวเองขึ้นวะ เหมือนปีที่แล้วเป็นปีที่ตอนแรกว่าจะไปเรียนต่อ แต่สุดท้ายตัวเองอยู่ในโซนเดิมที่รู้สึกแฮปปี้ ไม่เครียด มันพอดีหมดทุกอย่างเลย

จริง แล้วชอบแนวดนตรีแบบไหน ทำไมออกมาเป็นอิเล็กทรอนิกป๊อป

ตั้งแต่เรียนจบ มาเจอพี่ตั๋งปุ๊บ ตอนแรกก็คิดว่าจะไหมมั้ยเนี่ย เอาตรง ตอนแรกพริมไม่ได้ฟังแนวนี้เลย พริมเป็นคนรักในโฟล์กมาก ทั้งต่างประเทศและไทย ก็ไม่เชิงว่าฟังแต่แนวนั้นแต่อิเล็กทรอนิกนี่ฟังน้อยมาก แล้วสองปีที่อยู่กับพี่ตั๋ง เขาเป็นคนที่พาพริมเข้ามาในโลกอิเล็กทรอนิก หาเพลงมาให้พริมฟังเรื่อย แล้วพริมก็เริ่มหาเอง แล้วชอบฟังไปเอง แล้วด้วยตัวพริมเองก็ชอบเพลง Dojo City ก็จะบอกพี่ตั๋งว่าพริมเป็นคนชอบเพลงน่ารักนะ จะไม่ใช่สายลอย เขาเลยใส่ความเป็นป๊อปปี 2000s มาให้ แต่เนื้อหาจริงใจ มันมีเพลงนึง อย่างเพลง สายไหม อันนั้นเพลงในดวงใจ พอเจอปุ๊บก็ หนูขอร้องเลย เอาเลย ๆๆ ยังไม่เคยร้องสดนะ แต่น่าจะใกล้ละ อันนั้นคือเพลงแห่งตัวพริมเลย อีกเพลงคือเพลง ทางลัด พอพริมได้ฟังแล้วแบบ อู้! พี่ตั๋งรู้ได้ไง คือถึงจะมี comfort zone แต่จริง เราชอบอิสระมาก แต่ในการเป็นอิสระเราก็ชอบอยู่กับตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทหรือแฟนเก่าก็จะไม่ไปกับใคร ต้องเป็นคนที่สนิทใจอะ

โปรดิวเซอร์ที่ดีสำหรับพริมเป็นแบบไหน

ต้องรู้จักวง รู้จักเนเจอร์ แล้วพี่ตั๋งเขารู้จักพริมจริง เขาไม่เคยฝืนหรือบังคับ ความที่มันชิล ด้วยแหละ มันเป็นค่ายอิสระเนาะ ถ้ามีใครจะให้ไปร้องเพลงอะไรก็เปิดใจคุยกันตรง พอทำออกมามันก็ดี

ในอนาคตจะได้ยินเพลงโฟล์กจากพริมไหม

พริมพยายามแต่งอยู่ ตอนนี้มีสามเพลงแล้ว รวมดาวโลกกับดวงจันทร์ คือตั้งใจมากว่าปีนี้จะทำนะ กำลังเริ่มแต่งเพลงของตัวเอง ทุกคนก็อย่าคาดหวังว่าจะเป็นเพลงแบบพี่ตั๋ง เพราะอีนี่แบบมีเพลงชื่อ สายรุ้ง แล้วก็ หลงรัก นั่นแหละ เห็นแมะ (หัวเราะ) มันจะไม่มีความลึกอะ แล้วก็ชื่อวงโฟล์กของพริมจะชื่อ Parim and Her Little Things อันนี้ตั้งใจจริง ว่าจะแต่งเพลงให้ได้มากขึ้นจากที่แต่งได้ปีละหน่ึงครั้ง แล้วมันมีเรื่องอยากเล่าเยอะมาก งั้นเราฝึกเขียนก่อนดีไหม คือเขียนอะไรก็ไม่ได้ยาว คิดอะไรก็ตื้น แล้วเวลาแต่งเพลงเองก็จะชอบโดนคนบอกว่าภาษาที่พริมใช้ไม่ค่อยมีชั้นเชิง

ศิลปินที่ชอบ

ญารินดา คือแม่ ไม่ใช่แค่เพลงนะ แต่การใช้ชีวิต การมีสามี (หัวเราะ) การแต่งงานบนเขา และการมีลูกชาย นั่นแหละ ในอนาคตพริมจะแต่งงานบนเขา (หัวเราะ) แต่โฟล์กต่างประเทศชอบวง The Staves มาก จนเอาชื่อเพลง Sadness Don’t Own Me ของเขามาสัก แล้วเติม for long เข้าไป เคยได้ไปดู Bon Iver แล้วพอมี The Staves มาเป็นคอรัสก็เหมือนเซอร์ไพรส์ พริมร้องไห้ลงไปกองกับพื้น เสียงเขาสวรรค์มากเลย มีกันสามคน คือคนนึงเล่นกีตาร์แล้วอีกสองคนประสาน รักโฟล์กแบบนี้มาก

ล่าสุดพริมเปิดเพจแล้ว

ใช่ แต่สุดท้ายก็ลงแต่เพลงคัฟเวอร์เพราะชอบ แต่มีอินสตาแกรมอยู่แล้ว คือชอบวาดรูปกล้วยที่อยากเป็นพระจันทร์ แล้วจะเขียนอะไรสั้น ลงไปในรูป ชื่อ @bananawannabethemoon อันนั้นคือทำตลอดเวลาคิดอะไรออก ที่อยู่ดี อยากระบาย คล้าย  ‘มะม่วง’ ของพี่ตั้มวิสุทธิ์ พรนิมิต เขาเป็นไอดอล แล้วตอนหลังเราก็เอาอันนั้นมาขยายเวลาอยากเขียนอะไรที่มันยาวขึ้น เอาเป็นเรื่องเล่าเราก่อนเพราะยังทำอะไรที่มันมีสาระไม่ได้ (หัวเราะ) พูดก็ยังตะกุกตะกัก เขียนก็น่าจะไม่รอด อาจจะไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกมาก แต่อาจจะมีกำลังใจขึ้นมาสักนิดนึง ก็ยังดี

แล้วเวลาไม่มี official fanpage ที่บอกว่า นี่คือ Parim ที่เป็นนักร้อง แล้วแฟนเพลงจะไปตามที่ไหน

ตอนแรกขี้เกียจมากเลย แต่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนว่ามึงต้องทำเพจนะแต่เราเขินอะ นี่กูเป็นอะไร ต้องทำเพจตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วก็ทำเพจชื่อ พาริม ในเฟซบุ๊ก เพราะว่าอยากเขียน อยากให้มีคนนอกเห็นมากขึ้น ถึงไลก์จะไม่เยอะ แต่ในอนาคตอาจจะเอาเพลงที่เราแต่งเองมาลง อาจจะเป็นอีกช่องทางนึง แต่มีพี่ temp. เนี่ยแหละที่ชอบประกาศว่าพริมมีเพลงอะไรบ้างไหนพูดซิพริมจะแบบ เฮือก! ทำไมไม่เตี๊ยมกัน! (หัวเราะ)

ไหนเล่าตอนไปเป็นคอรัสซิ

พริมเคยไปคอรัสให้ Safeplanet สมัยยังเรียนอยู่ แล้วเพื่อนมือเบสพริมก็เป็นคนแนะนำพี่นิค ไปเจอพริมร้องประสานกับน้องสาวในเฟซบุ๊ค เพลงอะไรรู้ปะ มือลั่น ของ แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก (หัวเราะ) แล้วพี่นิคก็บอกว่า มาลองดูไหม ตั้งแต่เขาเริ่มแรก เลย ประมาณงานที่สองของเขาก็ร้องมาตลอดเลย พอเข้าไปอยู่ในวงเขาปุ๊บ มันรู้สึกใช่อะ เอาจริงเมื่อก่อนพริมก็ไปอยู่วงเพื่อน วงแฟนเก่า วงคนนั้นคนนี้บ้าง แต่ การที่พริมเข้ามาอยู่ในวงพี่นิคเนี่ยมันช่างลงตัวอะ คือพูดตรงกันมาก เขาเป็นเพื่อนกัน ตลกกันมาก เล่นมุขกันตลอดเวลา แต่เขารู้เวลา มาตรงเวลา เรื่องนึกดนตรีนี่พริมพูดตรง ไม่อยากจะว่า แต่มันมีความมาสายบ้าง การมาพร้อมเนี่ยบางทีเขาลืมเผื่อเวลา แต่วงพี่นิคไม่เคยมาสาย น้อยมาก เข้าห้องซ้อมตรงเวลาตลอด เวลามาซาวด์เช็กคือเป๊ะ เขาจะไม่ให้วงอื่นเดือดร้อนเพราะวงเขาแน่นอน พริมก็พยายามทำตาม เราเคยเป็นเด็กคนนึงที่มาสาย การตรงต่อเวลาบางทีก็ยังไม่ใช่อะไรที่เราเดือดร้อน แต่ไม่ใช่แค่พี่นิค ทุกคนในวง เรื่องนี้เขาสำคัญมาก

พี่นิคเป็นคนคุมวงที่พริมได้อะไรจากเขาเยอะมาก เมื่อก่อนพริมก็แบบ อะไรวะ ต้องไปคุมคนอื่น ถึงแม้เราไม่ได้เก่งดนตรีมากเท่าคนอื่น เราเป็นนักร้องนำเนาะ ต้องดูทุกอย่าง เรื่องเวลา พริมดูมาจากพี่นิคหมดเลย สุดยอดมาก เรื่องความมืออาชีพ ถึงเขาจะดูเป็นคนเล่น พูดจาตลกแล้วก็อะไรก็ไม่รู้อะ แต่ตอนทำงานจริงจังมาก คอนเสิร์ตออกมาดีมาก ถึงแม้มันจะไม่ได้เอ็นเตอร์เทนอะไรขนาดนั้น แต่มันดี ทำงานกันดี ดีใจมากที่เป็นอีเด็กน้อยที่อยู่ในวง มีทุกคนเป็นพ่อ (หัวเราะ)

ชอบเป็นคอรัสหรือเล่นเพลงตัวเองมากกว่ากัน

ชอบทั้งคู่เลย ชอบเป็นคอรัสเพราะเขาให้พริมเป็นตัวเอง เต้นด๊อกแด๊กอะไรของพริมได้ แล้วพอมาเล่นวงเองก็เป็นตัวเองได้หนักเข้าไปใหญ่ แต่ว่ามันเหนื่อยตรงที่ต้องนัดคนมาซ้อม เรากดดันว่าเราต้องคุมให้ได้ ต้องเอาคนดูให้อยู่ เอาจริงปะ พริมว่าตัวเองควรตั้งใจเล่นกีตาร์ในโชว์ให้ดีขึ้น แต่สุดท้ายพริมเอาคนดูเป็นหลัก ไม่รู้มันดีหรือเปล่า พริมไม่อยากให้แม้แต่วินาทีของคนดูรู้สึกเบื่อ ก็ให้คนดูมาก จนบางทีเราลืมว่า เฮ้ย สกิลเราก็ยังไม่ดีนะมึง โชว์พริมไม่เคยเพอร์เฟ็กต์เลยเอาจริง พริมก็อยากพัฒนาให้สติพริมอยู่กับตัวเองมากขึ้นเวลาอยู่ในโชว์ เท่าที่รู้สึกในปีที่ผ่านมา

แล้วการไป featuring กับศิลปิน Fourtwosixx ในเพลง Secret ล่ะ

แฮปปี้มากเวลาที่ตัวเองไม่ต้องเครียดมาก เวลาเป็นงานตัวเองเราจะเครียดในระดับนึง แต่พอเป็นงานคนอื่นเราซ้อมของเราให้ดีที่สุด แล้วเวลาไปเล่นกับเขามันค่อนข้างชิลอะ

ตอนไปเล่น Cat Expo เป็นงานใหญ่ที่สุดที่เคยเล่นเลยหรือเปล่า

ใช่ พริมพูดกับทุกคนว่าเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต แล้วทุกคนก็ถามว่ามึง นั่นใหญ่แล้วหรอ’ (หัวเราะ) ไม่ใช่เวทีใหญ่ของงาน แต่คนก็ประมาณนึง ที่คนดูเต็มข้างหน้าก็รู้สึกดีใจแล้ว เป็นงาน outdoor งานแรก คือเป็นคนที่ energy เยอะอยู่แล้ว เวลาเห็นคนดูก็ยิ่งทำให้เราอยากเพิ่ม energy ไปอีก ยิ่งเวลาอยู่กับเด็กจะพลังเยอะมาก ส่วนใหญ่จะกดดันตัวเอง กลัวเล่นผิดอ้อ คาดคาโป้ผิดบ่อยมาก (หัวเราะ) แต่ก็ตกใจมากที่คนร้องเพลงเราได้ งานแรกของชีวิตแล้วมีคนร้องเพลงเราได้หนึ่งคนคือดีใจมาก เราชี้หน้าเขาแล้วแบบ โอ๊ะ (ทำหน้าดีใจ) โคตรได้ แล้วหลัง มาคนเริ่มรู้จักเรามากขึ้นแล้วร้องเพลงเราได้  ตอนนั้นเอาจริงมันตื้นตันไม่ทัน จะมาตื้นตันเอาตอนเพื่อนที่อยู่ในหมู่คนดูแล้วเขาถ่ายให้แล้วเห็นว่าคนดูร้องได้หมดเลย โอ้มายก้อด ดีใจมาก

อะไรทำให้เลือกเรียน musical theatre

เอาตรง ตอนนั้นเบื่อคลาสสิก มันเป็นอะไรที่เครียด กดดัน อยากทำอะไรอยากทำให้ได้อย่างงั้น ซ้อมทุกวันแล้วร้องไห้ทุกวัน อาจารย์เขาผลักให้ไปแข่ง ออกนู่นออกนี่ที่เป็นของต่างประเทศแล้วเราไม่ชอบการแข่งขันอย่างนั้นเลย ก็เลยขอเปลี่ยน อยากทำอะไรที่มันได้ทำหลายอย่าง จะมีอีกอันคือป๊อป พอป๊อปก็จะเป็นแต่งเพลง ร้องเพลงป๊อป ทำวง แต่เราอยากทำให้ครบ มีเต้น มีแอคติ้ง งั้นไปสายมิวสิคัลละกัน ก็เลยดันไปชอบละครเด็ก เพลงที่ออกมาก็เลยมีความกุ๊กกิ๊กนิดนึง

รู้สึกว่าเป็นคนที่มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวหรือเปล่า

ด้วย เป็นอย่างเงี้ย คือถึงจะทำงานแล้วยังไงก็ตาม เราทำงานเกี่ยวกับเด็กก็จะมีความเป็นเด็กมาก ชอบอยู่กับเด็ก บุคลิกดุ๊กดิ๊กอะ (หัวเราะ)

เห็นว่าไปทำค่ายละครอาสาด้วย

ใช่ คือพออยู่กรุงเทพ ก็เล่นละครบ้าง ทำละครเองบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นละครเด็กหมดเลย เคยเล่นละครผู้ใหญ่มาบ้าง แต่อย่างนั้นจะมีความกดดันตัวเอง พอเป็นละครเด็กจริง มันยาก แต่สำหรับพริมมันสนุกมาก แล้วก็ละครอาสานี่คือ พริมจัดทำค่ายละครเป็นงานหลักอยู่แล้ว แต่เวลาไปค่ายที่ต่างจังหวัดคือใจอยากไป เด็ก ที่นู่นไม่เหมือนเด็กกรุงเทพ ไง ก็เลยอยากไปหาเขา พอเราไปอยู่ตรงนั้นเขาก็ไม่อยากให้เรากลับเลย เขาอยากทำแบบนี้ไปเรื่อย เหมือนมันไม่มีครูที่นั่น ครูน้อยมาก

เห็นชอบไปเชียงใหม่ เคยอ่านหนังสือเรื่อง หน่อไม้ เจอว่ามีคณะละครที่อยู่เชียงดาวด้วยนี่ ที่ชื่อกลุ่มละครมะขามป้อม

โห ไอดอลของการทำคณะละครเลย เราอยากทำละครให้ได้แบบเขามาก เป็นคณะแรก เลย จริง มีหลายคณะที่พริมชอบ แต่หนึ่งในความฝันคืออยากทำคณะละครที่เดินทางไปทั่วไทย อาจจะไม่ต้องแสวงหากำไรขนาดนั้น แต่ด้วยความที่เรายังมีงานผูกติดอยู่ที่กรุงเทพ ทำให้เราทำไม่ได้ แต่อยากไปอยู่บนดอยกับเขาเหมือนกัน แล้วเขาทำละครเพื่อสังคม เพื่อเด็ก ทำ creative drama แล้วพริมก็ชอบตามมาก อาจจะไม่ได้รู้จักเขามากขนาดนั้น แต่ก็อยากทำอะไรแบบนี้ มีละครเล่นอยู่แล้ว มีกลุ่มคนกลุ่มนึงที่ชอบแบบเดียวกัน คือตอนนี้พริมชอบอยู่คนเดียว แล้วก็จะชวนเพื่อนบ้าง แต่ไม่ได้มีเป็นกลุ่มจริง ก็อยากจะมีกลุ่มคนที่ชอบเหมือนกันเดินทางไปด้วยกันในอนาคตที่ว่างแล้ว พอสงกรานต์พริมหยุดปุ๊บพริมไปเลย ยังไงก็ต้องไป เราให้เขา แต่มันเพิ่มพลังชีวิตเรามาก กลับมานี่คือ โอะ กรุงเทพ อีกแล้ว สอนโรงเรียนเดิม อีกแล้ว ที่นี่พ่อแม่เขามีเงินก็ส่งลูกมา แต่ข้างบนเขาไม่มีจริง เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แล้วเขาชอบมาก ตอนพริมไปทำ

เราจำเป็นต้องมีละครเด็กไปเพื่ออะไร แล้วละครเด็กช่วยพัฒนาเด็กยังไงบ้าง

แล้วแต่พ่อแม่เขาจะเลือกนะ ว่าจะให้ลูกไปเข้าสังคมแบบไหน เรียนเต้น ประกวดร้องเพลง อาจจะไปสายวิชาการ เรียนคุมอง หรือปลูกผักเลยก็ได้ แต่สำหรับพริม ละครมันทำให้เด็กกล้าแสดงออก แล้วของพริมมันเป็น creative drama ไม่ใช่การเรียนแอคติ้ง ซึ่งมันทำให้เด็กแฮปปี้กับตัวเองมาก เวลาสอนจะทำให้เขารู้สึกภูมิใจตอนอยู่บนเวที แล้วก็ให้มีสังคมในกลุ่มที่แสดงด้วยกัน เด็กที่ไม่มีสังคมหรือไม่มีเพื่อน พอมาอยู่อย่างนี้แล้วคือเราต้องค่อย สอนให้เขาอยู่กันเป็นกลุ่ม จากที่อยู่กันเป็นวงกลม จะมีคนนึงแหละที่ไม่ยอมอยู่ในวง ไม่ยอมคุย ไม่ยอมออกความเห็น แล้วเราจะต้องทำยังไงก็ได้ให้เขาคุยกับเพื่อน เวลาพริมสอน creative drama เราจะให้เขาช่วยกันคิดฉาก ทำฉากเองด้วย จะได้ทำงานเป็นทีม แล้วภูมิใจที่ได้เป็นตัวเองมาก

แล้วสำหรับพริมเอง การเข้าหานักเรียนเป็นเรื่องยากบ้างไหม

เออ พริมจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเข้าหาเด็ก พริมจะสนิทกับเด็กเร็ว บางคนก็จะเป็นครูที่ดุ แบบ ฟังนะ ซึ่งครูแบบพริมก็ไม่ดีนะ บางทีเขาจะเห็นเราเป็นเพื่อน จะชอบให้เด็กรู้สึกสนิทใจกับเราและสนุกไปกับคลาส แต่ต้องให้รู้ว่าเวลาเรียนก็คือเรียนนะ แต่บางทีจะมีปัญหาเด็กรุนแรง เด็กออกจากนอกกลุ่ม ไม่รับฟังความคิดเห็นของครู เราก็ต้องหาวิธีกันไป

เรื่องความท้าทายในการสอนล่ะ

เยอะมาก เพราะพริมไม่ได้จบด้านเด็ก แค่ชอบเรื่องเด็ก ก็เลยศึกษาเกี่ยวกับเด็กตั้งแต่ยังไม่เรียนจบ เลยเป็นการใช้ประสบการณ์มากกว่า พริมเลยอยากไปเรียนต่อเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กหรือ theater for kids มาก จะได้รู้ว่ากระบวนการที่จะทำงานกับเด็กจริง แล้วมันเป็นยังไงบ้าง จะได้พัฒนาเด็กได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจริง อย่างตอนนี้พริมใช้ประสบการณ์อย่างเดียวเลยทำให้รู้ว่า โอเค เด็กคนนี้ต้องพัฒนาด้านไหน

ละครเด็กต่างจากละครผู้ใหญ่ยังไง

พริมทำละครเด็กมีตั้งแต่เด็กน้อยยย เลย แล้วส่วนใหญ่เวลาพริมทำจะเอามาจากแง่มุมความคิดของตัวเองที่จะสื่อให้คนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่เด็กอยู่แล้ว เอาจริง แค่ละครผู้ใหญ่บางทีดูยากแล้วต้องกลับไปคิด แต่ละครเด็กจะกลับไปคิดก็ได้นะ แต่มันจะได้สารตอนดูตอนนั้นเลย สองคือมันดูง่าย ไม่ต้องคิดมาก สื่อให้เด็กเข้าใจง่ายที่สุด แต่บางคนก็บอกว่าละครเด็กยากนะ มันยากตรงการเอาสิ่งที่เราต้องการจะสื่อมาทำให้เด็กเข้าใจ บางทีละครผู้ใหญ่พริมดูพริมงง ทำไมคนอื่นเขาเข้าใจวะ ทำไมกูไม่เข้าใจ มันตีความได้หลากหลายมาก พริมชอบความง่าย จริงใจของละครเด็ก แล้วเวลาพริมทำคือสื่อด้วยเพลงด้วย และจะให้เด็กเข้ามามีส่วนร่วมเยอะมาก ละครผู้ใหญ่เหมือนเรานั่งดูทีวี จะมีบางเรื่องที่ให้คนดู interact บ้าง แต่ละครเด็กยังไงก็ตามพริมจะต้องให้เด็กมาอยู่ในละครให้ได้ ให้เด็กช่วยกันยกมือหรือช่วยเหลือตัวละคร มันทำให้เด็กเข้าถึงสารที่จะสื่อได้ง่ายมาก ผู้ใหญ่ที่มาดูละครพริมบางคนบอกว่ามันเป็นพลังบวกมาก อาจจะไม่ได้เก็บกลับไปคิดขนาดนั้น แต่ โมเมนต์นั้นมันได้รับพลังอะไรบางอย่าง

เนื้อหาส่วนใหญ่ที่ใส่เข้าไปในละครเป็นเรื่องอะไร

ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการสร้างความมั่นใจในตัวเอง ให้เด็กรักในสิ่งที่ตัวเอง ไม่ต้องไปตามใคร พริมชอบมาก เลยใส่มาในเรื่อง ‘กล้วย The Musical’ คือเรื่องกล้วยที่อยากเป็นพระจันทร์นี่แหละ กล้วยมันก็ทู่ ดูโง่ กับพระจันทร์ที่ดูสวยมาก ตอนแรกกล้วยก็อยากเป็นพระจันทร์ เราก็ดำเนินเรื่องมาจนช่วงสุดท้ายของเพลงไม่ว่าเธอเป็นใคร เธอก็มีความพิเศษพริมชอบเรื่องนี้มาก อยากให้ทุกคนที่ได้ดูรู้สึกว่า เออ จริงว่ะ เราไม่ต้องพยายามเป็นแบบใคร เป็นตัวเรานี่แหละ อย่างพริมไปสอนเด็กฝรั่ง เขาจะมีความ independent แต่เด็กไทยจะดูเขินมาก ก็อยากให้เขามั่นใจในสิ่งที่เขาเป็น เพราะมันดีอยู่แล้ว

แล้วถ้าจะทำละครเด็ก ต้องมีพื้นฐานการเล่านิทานมาก่อนด้วยไหม

ทุกอย่างมันต้องฝึกไปเรื่อย เลย พริมไม่มีพื้นฐานอะไรเลย มีแค่การร้องเพลงกับการทำละคร แล้วพริมดันเป็นครูมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง สอนร้องเพลงอยู่กับเด็กแล้วชอบมาก จริง ก็สอนผู้ใหญ่ด้วยนะ แต่กับเด็กรู้สึกว่ามันสบายใจเหลือเกิน เราเลยได้สกิลนั้นมาจากการสอน ไม่ได้เป็นสกิลจิตวิทยาอะไรเลย เราใช้วิธีอ่านเอา ด้วยความที่เนเจอร์เราเข้ากับเด็กได้ง่ายก็ค่อย เรียนรู้ไปจากตรงนั้น

มีนิทานเรื่องที่ชอบไหม

มี ของ Oliver Jeffers คือเขาวาดสวยมาก แล้วไม่ใช่นิทานธรรมดา คือในหนึ่งหน้ากระดาษมันมีหลายอย่างให้เด็กดูมาก แล้วชอบเวลาเล่าให้เด็กฟัง เด็กจะเล่นอยู่กับหน้านั้นได้นานมาก คือเด็กจะค่อนข้างสมาธิสั้น การที่จะอยู่กับอะไรได้นาน ต้องใช้สิ่งนั้น แล้วนิทานเรื่องของเขาชื่อ ‘The Heart and the Bottle’ หนังสือเขามันอบอุ่นมาก เป็นเรื่องราวของเด็กคนนึงมีคุณตาที่ชอบพาเขาไปเปิดโลก แล้วมีอยู่วันนึงคุณตาเสียไป เขาไม่ได้บอกว่าคุณตาตาย แต่บอกว่าหายไปจากเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งอยู่ตลอด เศร้ามากเลยนะ แต่เด็กก็คงไม่รู้เรื่อง ซึ่งเขาทำออกมาได้ โอ้มายก้อด แล้วพอคุณตาหายไปเด็กคนนี้เขาก็เก็บหัวใจไว้ในขวดนี้ แล้วก็คล้องเอาไว้ ปิดใจไปเลยหลังจากคุณตาหายไป จากที่คุณตาเคยพาไปดูดวงดาว เขาไม่สนใจดาวแล้ว ไม่สนใจน้ำทะเล ปลาวาฬ สิ่งใหม่ จนเขาโต แล้วเขาไปเจอเด็กอีกคน เด็กถามคำถามมา เขาตอบไม่ได้ เขาลืมไปหมดแล้วว่าโลกความเป็นเด็กนั้นคืออะไร สุดท้ายเขาหาวิธีเคาะขวด พยายามเอาหัวใจออกมา แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายแล้วต้องให้เด็กอีกคนที่เจอ เอามือเล็ก ล้วงหัวใจออกมาให้ แล้วเหมือนเขาก็เปิดใจอีกครั้ง กลายเป็นเขากลับไปนั่งที่เดิมที่คุณตาเคยนั่ง เขานั่งอ่านหนังสือ พร้อมไปเจอโลกเหมือนเดิมแม้จะไม่มีคุณตา

ได้เรียนรู้อะไรจากการอยู่กับเด็ก

ได้รู้ว่าเขาคือแก้วใบนึง แบบที่ทุกคนบอก พร้อมที่จะให้เราเติมได้ตลอด เขาใสมาก เราใส่อะไรให้เขาได้จริง เราไม่เหมือนพ่อแม่เขา แต่เราเป็นส่วนนึงที่จะทำให้เด็กคนนึงเติบโตมาเป็นคนยังไงเลยนะ ดังนั้นการที่เราได้ไปเจอเด็กหลาย ที่ เหมือนเราได้เติมสิ่งที่เราอยากให้เด็ก เติบโตเป็นคนยังไงใส่ลงไป ในช่วงชีวิตนึง…​ เขาอาจจะจำเราไม่ได้หรอก แต่เขาน่าจะเป็นคนที่มีความสุขเพราะสิ่งนี้

อยากโตเป็นผู้ใหญ่หรืออยากเป็นเด็กตลอดไป

อยากโตเป็นผู้ใหญ่ พริมอยากเป็นผู้ใหญ่ที่เก่ง คือพริมรู้ตัวว่าเป็นคนไม่เก่ง ไม่ใช่โง่หรือเป็นคนห่วยอะไร แต่เป็นคนที่ช้ากว่าจะทำอะไรได้ ฝึกเล่นกีตาร์มาตั้งกี่ปีก็ยังกากเหมือนเดิม อาจจะเพราะไม่รู้วิธีฝึก หรือเพราะไม่มีความทะเยอทะยานมากพอ เราอยากโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขแบบนี้ไปเรื่อย มองโลกแบบเด็กแล้วก็อยู่กับเด็ก พริมรู้สึกว่าจะอยู่กับเด็กไปทั้งชีวิตได้ คืออยากมีลูกมาก

ทำไมถึงชอบกล้วยกับสีเหลืองมาก

มันคือพริมไปแล้ว รู้ตัวอีกทีคือเจอกล้วยที่ไหน ไปกี่ประเทศก็ต้องมีสิ่งที่เป็นกล้วยกลับบ้าน อย่าง Banao ของญี่ปุ่น โง่มาก หายากมาก เมื่อก่อนพริมไปญี่ปุ่นต้องไปชินจุกุเพื่อตามหาไอ้ตัวเนี้ย จริง ก็มีที่ไทยนะ เมื่อก่อนมีเยอะมากเป็นคอลเล็กชันแล้วมันก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ สีเหลืองนี่ก็น่าจะได้มาจากกล้วยเนี่ยแหละ ตอนประถมปลายหรือม.ต้นเนี่ยแหละ มันมีเพื่อนบอกว่าพริมหน้าเหมือนกล้วย พริมแบบ จริงเหรอ อิหยังวะมาก แล้วจากนั้นก็ชอบกล้วยมาเรื่อย สักพักเพิ่มชอบสีเหลือง แล้วก็คิดว่า นี่กูเป็นอะไร (หัวเราะ) เวลามีคนถามคำถามนี้ก็คิดว่าจะตอบยังไงดีวะให้มันเท่ แต่มันไม่มีอะ มันเป็นไปเอง (FJZ: ตอนแรกจะให้พริมเอาชุดกล้วยมาใส่ด้วย) ทำไมไม่บอก! พริมมีชุดกล้วยเยอะมาก ตัดเองด้วย มีเพื่อนซื้อมาจากอเมริกา ทั้งกล้วยแบบปอกแล้ว มันเป็นอะไรรรร แต่พริมรู้สึกดีมากเลยนะ เพื่อนทุกคนน่าจะคิดว่าพริมเป็นคนที่ซื้อของให้ง่าย ก็กล้วยไง สีเหลืองไง จบ

แผนในอนาคต

ทำอัลบั้มเพลงโฟล์ก อาจจะไม่ใช่ปีนี้เพราะยังหาอะไรที่ลงตัวไม่ได้ ยังอยากหามือกีตาร์เพราะรู้ตัวว่าเป็นคนที่เล่นกีตาร์ไม่ได้ดีมาก อยากมีคนร่วมงานที่เข้าใจเราในด้านโฟล์กด้วย อิเล็กทรอกนิกก็ยังอยากทำ ถ้าพี่ตั๋งมีเพลงอะไรจะให้ก็ทำได้เหมือนเดิม แต่อยากทำโฟล์กของตัวเองที่มีตัวเองเป็นคนเล่าเรื่อง แต่งเพลง อยากเป็นทุกอย่างให้ตัวเอง แต่ก็ต้องพัฒนาฝีมือมากกว่านี้ แต่ยังไม่เจอ

ฝากผลงาน

อัลบั้ม Comfort Zone ยังมีแผ่นอยู่นะคะ จริง เรามีสติ๊กเกอร์ทอมมี่ไว้แจกทุกคน แต่หายไปทั้งปึกเลย (หัวเราะ) ต้องทำใหม่ แต่เอาเป็นว่า ถ้าใครอยากให้พริมทำสติ๊กเกอร์อีกรอบ ก็ซื้ออัลบั้มเต็มของพริม มีเพลงอิเล็กทรอนิก 11 เพลง คุ้มค่าแก่การฟัง แล้วเอาเงินที่ขายแผ่นมาทำสติ๊กเกอร์ เย่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้