พล Clash

Article Interview

พล Clash ก้าวสู่ปีที่สามของ Boxx Music และอนาคตของวงร็อกที่ปลุกปั้นมากับมือ

  • Writer: Malaivee Swangpol
  • Photograper: Chavit Mayot

วัยรุ่นยุคสองพันหลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตา พล—คชภัค ผลธนโชติ ในฐานะมือกีตาร์วง Clash แต่ถ้าลองถามวัยรุ่นยุคนี้อาจจะรู้จักเขาในบทบาทโปรดิวเซอร์ค่ายเพลง Boxx Music ที่อยู่เบื้องหลังศิลปินคุณภาพทั้ง Portrait, อิ้งค์ วรันธร รวมถึงโปรเจกต์ล่าสุด New Kids in the Boxx วันนี้เรามีโอกาสคุยกับเขายาว ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน อนาคตของวงการเพลงไทย ค่ายเพลงที่เขาดูแล และความเป็นไปได้ที่ Clash จะกลับมา เขาตอบเราอย่างหมดเปลือกในทุกแง่มุม รวมถึงแง้มให้เราเห็นด้านที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยเห็นคือบทบาทคุณพ่อกันด้วย พร้อมแล้วก็มาอ่านกันเลย

พล clash

 ผมร็อกนะ ผมคิดเสมอแต่อาจจะไม่เคยบอกใคร ผมว่าร็อกมันอยู่ในใจ อยู่ในสายเลือด แต่ว่าวิธีการที่เราจะใช้มัน หรือพรีเซนต์ในรูปแบบต่าง ๆ มันจะเป็นแบบไหน

จากมือกีตาร์วง Clash ทำไมถึงมาบริหารค่ายเพลงป๊อปได้

คือผมทำแคลช 10 ปี ระหว่างทำแคลชผมก็เป็นโปรดิวเซอร์ควบไปด้วย แคลชมันคือความฝันตอนที่เราเด็ก คือได้เล่นดนตรี แต่พอเราเข้ามาเป็นศิลปิน เราก็เห็นอีกหนึ่งเป้าคือการเป็นโปรดิวเซอร์ เราชอบอยู่กับมิวสิกโปรดักชัน พอปลาย ๆ แคลชผมก็เริ่มวางแผนว่าเราอยากศึกษางานโปรดิวเซอร์ แล้วพอเราไปจับงานจริง ๆ ความฝันต่อจากโปรดิวเซอร์มันคือบริหาร แต่ก็เคยคิดว่า เราจะบริหารได้มั้ย พอได้คุยกับพี่ตี่—กริช ทอมัสที่แกรมมี่ ผมถามเค้าว่า ‘ผมจะบริหารได้หรือเปล่าพี่’ พี่ตี่ก็พูดมาว่า ‘มึงไม่ต้องคิดยากเลย บริหารมันก็เหมือนการอะเรนจ์ของดนตรีนั่นแหละ’ พอเค้าพูดประโยคนี้เรารู้สึกเลยว่า โห มันง่ายสำหรับเรา เพราะว่าเราเห็นแล้วว่าโครงสร้างของเพลงคืออะไร โครงสร้างของบริหารก็จำแนกออกไปทีละขั้นตอน ทำโปรดิวเซอร์ได้ 5-6 ปี ก็มีโอกาสจากพี่ ๆ ที่ให้มาบริหารค่ายเพลง รู้สึกตื่นเต้นแล้วก็กลัว แต่ก็ท้าทาย เพราะเรื่องการบริหารต้องรู้เรื่องตัวเลข มันเป็นเรื่องที่บั่นทอนศิลปะหรือครีเอทีฟในหัว ช่วงแรก ๆ ที่ผมมาทำบริหารคือผมไม่สามารถคิดเพลงได้เพราะต้องดูตัวเลข แต่พอเราต้องทำเพลงไปด้วย พัฒนาศิลปินไปด้วย ก็ไม่ไหว ผมต้องบอกพี่ตัฐที่เป็นโปรโมเตอร์ว่า พี่ไปคำนวณมาก่อน อย่าเพิ่งให้ผมคำนวณ (หัวเราะ) แล้วค่อย ๆ เรียนรู้ว่าจะทำยังไงกับมัน จะบริหารยังไง แบ่งแต่ละส่วนยังไง ทุกวันนี้ผมเริ่มมาดูตัวเลข เห็นแล้ว อ๋อ เข้าใจละ (หัวเราะ) ปรับตัวอยู่ประมาณ 6-7 เดือน พอเข้าใจมันจะทำมันควบคู่กันไปได้

ดูตัวเลขยากไหม

ยากนะ คือการลงทุนในเพลงสมัยนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มีต้นทุนมหาศาล เดี๋ยวนี้ถ้าทำเพลงแล้วมันไม่โดน เขาไม่มีกินนะ ผมคิดอย่างเดียวเลย ทำอะไรก็ได้ที่เป็นตัวเขาแล้วเขาสามารถทำมาหากินได้ด้วย คือกลัวน้อง ๆ จะต้องเป็นศิลปินไส้แห้ง นอกจากเขามีพื้นฐานครอบครัวที่ดีอยู่แล้วก็โอเค แต่ถ้าเขามีความคาดหวังเหมือนเรา ผมก็มองตัวเองว่าศิลปินมันเป็นอาชีพ เพราะฉะนั้นผมจะบอกน้อง ๆ ทุกคนที่เป็นศิลปินว่า ต้องมองมันเป็นอาชีพ ถ้ามองมันเป็นอาชีพมันก็จะเลี้ยงดูเราได้ แต่ถ้าเราคิดว่ามันแค่งานอดิเรก มันก็แค่นั้นแหละ

1

คนส่วนใหญ่มองว่า พล วงแคลช คือ rock star แต่ตัวตนจริง ๆ ของพลเป็นยังไง

จริง ๆ ผมร็อกนะ ผมคิดเสมอแต่อาจจะไม่เคยบอกใคร ผมว่าร็อกมันอยู่ในใจ อยู่ในสายเลือด แต่ว่าวิธีการที่เราจะใช้มัน หรือพรีเซนต์ในรูปแบบต่าง ๆ มันจะเป็นแบบไหน ผมว่าจากร็อกแล้วมาทำป๊อป สุดท้ายมันคือดนตรีเหมือนกัน ตัวผมเองฟังเพลงหลากหลายพอสมควร ทุกวันนี้ผมมาฟังฝั่งที่เป็นอินดี้แล้วก็ศึกษามาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา คือพยายามศึกษาแล้วทำความเข้าใจโครงสร้างว่าแบบ ฝั่งที่ไม่ใช่แกรมมี่เขาเป็นยังไง ฝั่งที่เป็นสมอลรูมเขาคิดยังไง SpicyDisc What the Duck หรือค่ายเพลงเล็ก ๆ ตามจังหวัดต่าง ๆ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างถูกผสมผสานรวมกันหมด ทุกวันนี้ดนตรีก็ combine กัน ไม่ได้ชัดเจนว่าอันนี้บลูส์ อันนี้แจ๊ส อันนี้ดนตรีโลก หรือแม้แต่การแต่งตัวของพวกเรามันถูกผสมผสานไปหมดแล้ว ผมก็เลยรู้สึกว่ามันไม่แปลกที่ตัวเองจะมาทำป๊อป ฟังอาร์แอนด์บี ฮิปฮอปหรือจะทำอะไร ผมรู้สึกว่าผมเปิดมาก ความเป็นร็อกของผมไม่ได้ทำให้ผมต้องมาตึกตึกโป๊ะ ตึกตึกโป๊ะ ไม่ใช่ นักดนตรีทุกวันนี้ แม้แต่ฝั่งอินดี้เท่ ๆ หรือพี่เล็ก Greasy Café ที่ผมไปดู แกขึ้นไปยืนบนกลองได้ แล้วชูกีตาร์ ยกมือ สำหรับผมคือแบบ โคตรร็อก แต่แค่ไม่ใช่เสียง distortion นำเท่านั้นเอง ผมว่ามันร็อกอยู่ในใจทุกคน

อยากทำเพลงร็อกหนัก ๆ ที่ Boxx บ้างไหม

จริง ๆ ร็อกหนัก ๆ ในวันนี้ผมยังไม่ได้คิดครับ เราไม่ตื่นเต้นกับเพลงร็อกตอนนี้ แล้วอีกอย่างผมรู้สึกว่าร็อกมันไม่ได้ตาย แต่อาจจะไม่ถึงลูปมัน ถ้าเราดูตลาดวันนี้ เราจะเห็นว่าไม่มีเพลงร็อกขึ้นมายืนอยู่บนชาร์ตหรืออะไรก็แล้วแต่นอกจากเฟสติวัลที่มันดำเนินมาได้อยู่แล้ว แต่ถ้าจะมาแข่งขันกับผู้ฟัง ผมแทบไม่เห็น หรือผมไม่ได้โฟกัสก็ไม่รู้นะ แต่ผมดูในท็อปชาร์ต กระแสเพลงหรือกระแสคน มันไม่มีเลยนะ มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า มันยังไม่ถึงลูปของมัน แล้วถ้าถามว่าอยากทำให้มันหนักมั้ย ผมรู้สึกว่ายังไม่อยาก อาจจะยังไม่ใช่เป้าหมายของเราในวันนี้ แล้วอีกอย่าง Boxx Music มีกรอบของมันในระดับนึง อาจจะเป็นกรอบที่กว้างหน่อย คือเราไม่ได้ปิดกั้นร็อกนะ แต่ว่าอาจจะเป็น ร็อกวันนี้คืออะไร อันนี้เป็นสิ่งที่ผมหาคำตอบอยู่ ผมเห็นวงฝรั่งที่เป็นร็อก แต่มันไม่ใช่ร็อกแบบที่เราเคยฟังที่ผ่านมา คือผมชอบ PVRIS มาก คือผมว่าวงนี้โคตรร็อก นักร้องหญิงตัดอันเดอร์คัต กันคิ้ว สัก เหมือนผมอะ ใส่เสื้อดำ มีสร้อย แต่วิธีการพรีเซนต์เสียงออกมา มันไม่ใช่แบบที่เราเคยฟังร็อกอีกต่อไปแล้ว แต่ถามว่าเค้าหนักมั้ย หนักนะ ซาวด์กลอง ผมฟังครั้งแรกคือแบบ เชี่ย นี่มันร็อกนะเนี่ย ถ้าผมจะหาผมจะหาร็อกที่เป็นแบบนี้

ตอนนี้มีวงร็อกที่กำลังปั้นอยู่ไหม

ยังไม่มี แต่มีวงที่มีกลิ่นอายหรือยืนพื้นฐานร็อก อย่าง The Kastle ที่อยู่กับเรา ร็อกแน่นอน แต่แค่วิธีการที่พรีเซนต์เสียงออกมามันไม่ใช่แบบนั้น

สมัยอยู่วงแคลชฟังเพลงแบบไหน

ฟังหมดเลยนะ ร็อก เมทัล 70s เพลงยุคเก่า ฟัง Bread, America, Bee Gees, The Beatles เพลงที่ได้รับความนิยม เราฟังเพื่อศึกษา แล้วก็ฟังเพราะชอบ มันเป็นเพลงที่สวยมากในยุคนั้น 70s คืองดงาม แล้วก็ฝั่งอิเล็กทรอนิก ป๊อป ก็ฟัง คือผมจะฟังเพลงที่หลาย ๆ คนจะงงว่าชอบฟังเพลงแบบนี้ด้วยเหรอ เมื่อก่อนผมจะฟังเพื่อศึกษาว่าวิธีการใช้เสียงหรืออะไรต่าง ๆ นานา มันเกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง อย่าง Björk เป็นอันนึงที่ผมรู้สึกว่าเริ่ม weird แล้วก็เริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งชุดที่เค้าใช้ iPad ทำทั้งชุด คือรู้สึกว่า โห มึงไปไกลมาก แต่ก็ฟัง ฟังเพื่อให้รู้ว่าเค้าทำอะไร เค้าคิดอะไร อย่าง Breakbot, The Cardigans ฝั่งสวีดิชเก่า ๆ Chick วง funk disco ที่ Nile Rodgers มือกีตาร์มาทำกับ Daft Punk หรืออย่าง Clean Bandit หลายวงผมก็ลองเลือกฟังแล้วก็ชอบ  ทุกวันนี้ฟังร็อกน้อยมาก ฟังงานพวกนี้เยอะมาก เพราะว่าอยากจะรู้ว่า เอ๊ะ เค้าทำอะไร เค้าคิดอะไร แล้วดนตรีโลกไปถึงไหน

วงล่าสุดที่รู้สึกว้าวคือวงอะไร

ก็ต้อง PVRIS นี่แหละ แล้วก็อีกวงที่ว้าวสำหรับผมในช่วงนี้ คือ Paramore เป็นวงร็อกที่ผมฟังตั้งแต่เล่นดนตรี จนวันนี้เค้าก็เปลี่ยนสมาชิกวง ดนตรีเค้าก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปแบบที่ผมชอบ แต่ฮาร์ดคอร์แฟนอาจจะไม่ชอบ ผมรู้สึกว่า อันนี้คือทางรอด ถ้าเค้ายัง แต๊วแหน่ว ๆๆๆ เหมือนเดิม เค้าจะไม่รอด สุดท้ายเค้าจะขายได้แต่แฟนเก่า ซึ่งซื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่าง Coldplay ผมรู้สึกว่าวันนี้คือเบอร์หนึ่งในใจ ในการที่เค้าพัฒนาจากบริตร็อก กลายมาเป็นบริตป๊อป ผมนิยามไว้อย่างนั้น มา featuring กับ The Chainsmokers แม่งมาไกลมาเลยว่ะ แต่ดี กลายเป็นว่าเวิลด์ทัวร์แบบสบายมาก ถ้าได้ไปดูที่เล่นที่เมืองไทยคือ เชี่ยแม่งโคตรอิ่ม อิ่มมาก เท่ เล่น Yellow เล่น Fix You ก็ยังเท่เหมือนเดิม แต่มีความใหม่ที่ทำให้เรารู้สึกว่า โห วิธีคิดคุณแม่งไปไกลกว่าที่คาด คือผมเห็นสัญญาณตั้งแต่แบบ เพลง Magic ละ อันนั้นเป็นอันที่ผมรู้สึกว่าเขากำลังจะเทิร์นไปในจุดที่เราอาจจะคาดไม่ถึง แต่ก่อนหน้านั้นอย่าง Viva La Vida อันนั้นก็สุดขั้วไปเลย weird ไปเลย แต่พอมา Magic เริ่มเห็นแล้วว่าเค้ามาแน่ว่ะ อย่างล่าสุดคือแบบ จบ ระดับโลกแล้ว และ Linkin Park วงที่เราชอบมาก ๆ สุดท้ายวันนี้เค้าทำอัลบั้มใหม่ ก็ยังพัฒนาไปตามยุคตามสมัย แล้วแต่คนชอบนะ แต่สำหรับผมผมมองแบบนี้ ผมมองก้าวต่อไปของเพลงเสมอ

2

มีคนบอกว่าเซนส์ป๊อปของพี่พลดีมาก คิดว่าการสร้างเซนส์ป๊อปต้องเกิดขึ้นมาจากอะไร

Input สำคัญ ผมบอกน้อง ๆ เสมอว่า ผมไม่ได้เก่ง ผมอาศัยว่าผมฟังเพลงเยอะแล้วศึกษามัน ศึกษาเพลง ศึกษาวิธีการ ศึกษาความคิด คือเราอาจจะไม่ได้รู้ 100% จากเพลงหรือศิลปินนั้น ๆ แต่อย่างน้อยถ้าเราฟังอย่างตั้งใจ เราจะได้อะไรบางอย่าง แล้วมันจะเข้าไปอยู่ในหัวเราเองโดยที่เราไม่ต้องไปจำ ถ้าเราฟังด้วยความรู้สึกว่า อยากฟังว่ะ เฮ้ย มันทำยังไงวะ มันร้องยังไงวะ มันมีไลฟ์มั้ย มันมีสารคดีมั้ยวะ ไอ้พวกนี้แหละ มันจะเข้ามาอยู่ในตัวเราเองโดยที่เราไม่ต้องไปตั้งใจจำ ผมก็จะบอกน้อง ๆ ว่า ถ้าคุณชอบศิลปินคนนึง ถ้าชอบมาก ๆ คุณต้องรู้ยันแก่น อันนั้นคือความรู้ที่ไม่ต้องไปเรียน แล้วมันจะติดตัวไปตลอดชีวิต มันคือแนวทางในการทำงานของเรา ผมคิดว่าไอ้ sense of pop ของผมมาจากที่ผมฟังเพลง แล้วก็การแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในวงการ ทุกแนว ผมคุยกับพี่ตูน Bodyslam ได้ฟังความคิดเขาแล้วผมก็ตกใจ ผมได้คุยกับพี่ออฟพี่กบ Big Ass ในวันที่เราทัวร์ด้วยกัน ได้ฟังความคิดเค้าแล้วก็รู้สึกว่าคำถามพี่แม่งเจ๋งว่ะ เวลาคุยกันจะมีคำถามที่เค้าถามผมแล้วแบบ เฮ้ย นี่กูหาคำตอบตอบเค้าไม่ได้ 100% หลังจากนั้นผมต้องกลับมาทำการบ้านเลย กลับไปตอบเค้าให้ได้ว่าทำไม อะไรแบบนี้ หรือเจอพี่ปอย Portrait วิธีที่พี่ปอยสกัดเพลงแต่ละเพลงออกมาหรือวิธีการทำงานของเค้า เค้าจะคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีก ไตร่ตรอง เค้าต้องเจอภาพที่เค้าเห็นชัดก่อนแล้วถึงลงมือทำ หรือ นะ Polycat เคยนั่งคุยกัน เค้ามีไอเดียที่แบบ บรรเจิดจังวะ อะไรแบบนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้มีความป๊อปอยู่ในตัว มีความเข้าใจ หรือมีเซนส์อะไรบางอย่างที่แบบ อ๋อ มันเป็นประมาณนี้แหละ

วงแคลชมาจากการประกวด Hotwave ปัจจุบันพี่พลมองการเติบโตของวงจากรายการประกวดต่าง ๆ ยังไง

ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป วงที่ประกวดสมัยก่อนได้เป็นศิลปินจริง ๆ ไม่รู้เพราอะไรเหมือนกัน ทุกวันนี้ยังหาคำตอบอยู่เลยว่าเอ๊ะ ทำไมเด็กเดี๋ยวนี้ประกวดแล้วไม่ได้เป็นศิลปินวะ ยังหาคำตอบไม่เจอ แต่คิดเสมอว่า พยายามจะไปดูเด็กที่ประกวด พยายามดึงมาทำ แต่สุดท้ายแล้ว วันเวลามันเปลี่ยน วิธีการของคนเสพมันเปลี่ยนไป มันก็เลยไม่เจอ แต่ทีนี้ในยุคนั้น ทุกคนที่ผ่านการประกวดมาได้เป็นศิลปิน มันคือ ทุกคนฝักใฝ่ที่จะทำงานแล้วก็อดทน ฝึกซ้อมเพื่อประกวด สมมติซ้อมทั้งปี ประกวดแค่วันเดียว 30 นาที แต่ทุกคนที่พลังที่จะทำ ประกวดเสร็จกว่าจะได้เป็นศิลปิน รอกันไม่ใช่แค่ 3 เดือน 5 เดือน 6 เดือน เรารอกันหลายปี กว่าจะมีหนึ่งเพลงหรือหนึ่งอัลบั้ม ความอดทนของผม เด็กรุ่นผม มันถึก มันมีความแบบบ ทำงานกี่โมงก็ได้ จะยังไงก็ได้ กินอะไรก็ได้  ไม่รู้ว่าน้อง ๆ รุ่นใหม่มีความถึกแบบนี้หรือเปล่า ความอดทน มีความฝันที่แรงกล้า วางเป้าว่าเราจะได้เป็นศิลปิน เมื่อก่อนพวกผมมันบ้า ผมว่าหลาย ๆ ศิลปินในยุคผมมีความบ้า ๆ ความถึก เรารอได้ 4-5 ปี เราสามารถอยู่กับความฝันที่เราไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้หรือเปล่า 4-5 ปี โดยที่เราไม่กลัวมัน รุ่น ๆ เดียวกันมีกะลา ลาบานูน แล้วเหมือนมีสมาชิก Potato ด้วยมั้ง วน ๆ กันอยู่แก๊งนี้ คือปีแรกผมไม่ได้ประกวด ปีแรกเป็นปีที่ ละอ่อน ได้ที่ 1 แล้วไปอยู่กับ Music Bug หลังจากนั้นก็จะเป็นรุ่นพวกผม กะลา แคลช ลาบานูน โปเตโต้ หลังจากนั้น Retrospect, Sweet Mullet เวทีนั้นเป็นเวทีที่แบบสกัดตัวแบบนี้มาได้ค่อนข้างเยอะ

เคยคิดจะเป็นตัวกลางในการจัดการประกวดแนวนี้ไหม

เคยคิดนะ แต่รู้สึกยาก พอคิดแล้วพอจะลงมือทำ ก็หาเป้าหมายให้น้องไม่เจอ หาเป้าหมายของวงที่ได้ที่ 1 ไม่เจอ ผมเลยรู้สึกว่าแบบ ไม่ทำดีกว่า คือจริง ๆ อยากทำ อยากเฟ้น อยากหา แต่สุดท้ายน้อง ๆ ประกวดแล้วเค้าได้อะไรบ้าง ได้ประสบการณ์ ได้เจอเพื่อน แล้วได้อะไรอีก เค้าจะมีความฝันแบบเรามั้ย อันนี้คือคำถาม ถ้าประกวดแล้วเค้าจะอยากเป็นนักดนตรีอาชีพ มีความฝันอยากจะเป็นศิลปิน ซักที่นึงในรูปแบบนึงหรือเปล่า หรือแค่ประกวด พ่อแม่ส่งมา เอ้า ลูกไปประกวดนะ เย่ ๆ แล้วสุดท้าย ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นต่อ ก็เลยไม่ทำ อย่างล่าสุดเห็น Hotwave ผมก็ดู ผมยังเคยคิดอยากจะทำออดิชันของผม คล้าย ๆ การประกวด คือผมจะไปรออยู่ที่ ๆ นึง อย่างผมไปเปิดห้องซ้อมรอไว้เลยทุกวันอาทิตย์ ผมบอกเลยสามเดือนนี้ผมจะเปิดห้องซ้อม ผมจะมีกล้องตัวนึงตั้งไลฟ์ไว้ คุณมาเล่นเลย ถ้าคุณมาเล่น แล้วมันเจ๋ง ผมก็จะเอาคุณมาเป็นศิลปิน เป็นการออดิชันที่เป็นการประกวดไปด้วย มีคนดูผ่านไลฟ์ แต่แบบ พอจะลงมือทำจริง ไม่มีเวลาว่ะ เราจะไปนั่งรอห้องซ้อมแบบทั้งวัน ทั้งวัน มันก็ไม่ได้ งานที่ต้องทำก็มีอยู่เยอะ ก็คิดหารูปแบบอะไรก็ได้ที่มันมีความตื่นเต้น แต่ยังหาไม่เจอ แต่อีกมุมก็รู้สึกว่าแบบ เอ๊ะ เด็กเดี๋ยวนี้ต้องการการประกวดหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้มี YouTube แชนแนล มีเพจ มีโซเชียลมีเดีย มันง่ายมากกับการที่เราจะเป็นศิลปิน เพราะฉะนั้นผมเลยรู้สึกว่ามันอาจจะไม่เวิร์กอีกต่อไปหรือเปล่า

img_3371

วงการเพลงยุคที่พี่พลโตมาเป็นยังไง

ตอนนั้นคือปี 40 ผมเริ่มฟังเพลงตั้งแต่ Modern Dog อัลบั้มแรก เป็นยุคแรกที่ผมเริ่มฟังเพลงอย่างจริงจังและบ้าคลั่ง ประมาณ ม.3-ม.4 เป็นยุคที่อัลเทอร์เนทีฟไทยเฟื่องฟู พี่ป้าง, Holly Berry, วิเศษนิยม, I.N.D.Y., Paradox, อรอรีย์ ค่ายเบเกอรี่ทั้งหมดคือฟูมาก เอาจริง ๆ คือไม่ได้ฟังแกรมมี่เลย แกรมมี่คืออะไร ไม่รู้จักเลย เดินสยาม อยู่กับเบเกอรี่ ฟังฝั่งที่เป็นอินดี้ทั้งหมดเลย หลังจากนั้นยุคอัลเทอร์เนทีฟเริ่มมา เราเริ่มฟังเพลงร็อกมากขึ้น คือจริง ๆ อย่าง I.N.D.Y., วิเศษนิยม, สี่เต่าเธอ ทุกคนคือ based on ร็อก แต่คาแรกเตอร์แตกต่างกันไป ต่อมาก็มาฟังในยุคแกรมมี่เฟื่องฟู อย่างวง Silly Fools, Y Not 7, Fly, Blackhead, หินเหล็กไฟ ฝั่ง RS พอก็โตมาแล้วฟังไล่มาเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้ ฟังไม่ได้หยุด แบบ เอ๊ะ ฟังเยอะไปป่าววะ (หัวเราะ) บางทีฟังจนจำไม่ได้ว่าอะไรมันผ่านชีวิตเรามาบ้าง แต่ทุกวันนี้ผมยังซื้อ ยังตามเก็บซีดี มีกำแพงอยู่ฝั่งนึงที่ผมทำเป็นที่วางซีดี แล้วผมจะเสียบไว้ ตอนนี้มันเต็มละ แล้วผมใช้วางซ้อนเอาแล้ว เสียบตามร่องไปก่อน ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะขยับขยาย แต่ความฝันของผมคือ ผมอยากมีห้องฟังเพลง ที่กำแพงนึงมีแต่ซีดี หรือแผ่นเสียง

ยุคนั้นหล่อหลอมให้มีมุมมองต่อวงการเพลงยังไง

(นิ่งคิด) สำหรับผมมันทำให้เราไม่หยุดเดิน อย่างแคลช พัฒนามาเรื่อย ๆ จากวันแรกที่เรามองตัวเองว่าเราเป็น J-rock ในอัลบั้มแรก คือเราชอบอะไรที่เป็นเอเชียนเราพยายามเอามาผสม แล้วพอเราเดินทางมาเราเริ่มเจอ passion ใหม่ ๆ รสนิยมใหม่ ๆ เราก็ชอบ เราก็หยิบมาผสม จนอัลบั้มสุดท้าย หรือเพลงที่เราทำในคอนเสิร์ตสุดท้าย มันผสมความเป็นอิเล็กทรอนิกเข้าไปแล้ว ถ้าได้ฟังเพลง Rebirth มันจะไม่ใช่แคลชที่ผ่านมาเลย กลองผสมด้วยอิเล็กทรอนิก เพราะตอนนั้นตัวผมเองก็ไม่หยุดฟังด้วย แล้วก็รู้สึกว่า เนี่ยเทรนด์ของเพลงเป็นแบบนี้ ถ้าเราอยากจะอยู่ในวงการ เราก็ต้องหยิบมาผสมให้ถูก แล้วก็มันหล่อหลอมให้เรามีความอดทน ให้เรามีความฝัน แต่วันนี้พวกผมกำลังกลับมานั่งคุยกันว่า ถ้าเราจะกลับมาทำแคลช ฝันต่อไปของพวกเราคืออะไร เราฝันกับวงการเพลงไทยวันนี้ไว้แบบไหน เราจะได้เห็นเป้าแล้วทำมันถูก สุดท้ายแล้ว เพื่อนก็จะมีคำถามว่า เอ๊ะ แล้วลายมือมันจะอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่า ลายมือมันก็อยู่ที่มือเรา ต่อให้เราวาดรูปที่ไม่ใช่เรา เส้นมันก็คือเส้นเราอยู่ดี สำเนียง เสียง สิ่งที่ได้ยิน มันก็จะเป็นเราแบบอัตโนมัติ เราอาจจะถนัดวาดรูป portrait วันนี้ลองวาดรูปที่เป็นงานเส้นงานสาย ที่ไม่ใช่รูปคน ผมเชื่อว่าเส้นมันจะคงเอกลักษณ์

มีใครในวงการเพลงที่นับถือเป็นครูบ้าง ทั้งเป็นครูที่สั่งสอนจริง ๆ และครูที่สั่งสองผ่านการทำงาน การแต่งเพลง

ครูผมเยอะมากเลย ครูคนแรกเลยคือพี่ ๆ ที่โรงเรียน ตอนเด็ก ๆ มีพี่ตุ่ม มือเบสที่เล่น back up ปาล์มมี่ จริง ๆ พี่ตุ่มเคยอยู่ในแก๊งของพี่โอม ชาตรี ตอน RPG ทำเพลงกับครูบิ๊ก จนมาเริ่มเป็นศิลปิน ก็มีพี่ โอ๊บ-เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ ผู้บริหารค่ายของ Muzik Move โปรดิวเซอร์แคลช เป็นอีกคนที่เป็นไอดอลของผมในการทำงาน ในเรื่องความอดทน ไต่ตรอง พิถีพิถัน ตั้งแต่ผมเจอคนทำงานมาคนนี้ละเอียดสุด คาดไม่ถึงเลยว่า อย่างเวฟเส้นเล็ก ๆ พอเค้าขยายเวฟออกมาเป็น milliseconds จะเห็นเลยว่า อ๋อ มันมีอยู่ติ่งนึงที่มันแบบ เวฟมันเสีย เขาได้ยินแต่ผมไม่ได้ยิน แล้วเขาก็จะขยายออกมา ‘เนี่ย พลได้ยินปะ’ เราแบบ ‘ไหนวะพี่’ (หัวเราะ) ถ้าไม่เห็นด้วยตา ผมไม่เชื่อนะ แต่พี่โอ๊บได้ยิน เค้าเป็นคนนึงที่ผมแบบ โคตร amazing แสดงว่า เซนส์หรือพรสวรรค์ที่เขามีมันดีมาก หลังจากพี่โอ๊บก็จะมาเรื่องวิธีคิด มีพี่อั๋น อดีตผู้บริหารค่าย Duckbar แคลชช่วงนึงก็อยู่กับพี่อั๋น ทำงานกับพี่อั๋น แล้ววิธีคิดของพี่อั๋นในเรื่องของภาพ เรื่องของ art direction เรื่องวิธีคิดเพลง เห็นเพลงมาเป็นภาพ ผมก็ซึบซับแกมา ทุกวันนี้วิธีการทำงานของ Boxx คืออย่างนี้เลย การทำงานต้องเห็นภาพ พอลงมือทำเพลงสองอย่างมันจะวิ่งคู่กัน จากพี่อั๋นก็มีพี่ฟองเบียร์ ซึ่งเป็นนักเขียนเพลง นักบริหารที่เก่งมากคนนึงสำหรับผม โหมดเพลงพี่เบียร์ก็จะมีลายมือชัดเจนมาก ในโหมดการดูแลศิลปิน บริหาร หารายได้ให้ศิลปิน แกก็เก่งมาก เป็นเป้านึงที่ผมอยากทำได้อย่างแก แกดูแลศิลปินแล้วหางานให้ศิลปินได้หมดเลยว่ะ กูต้องทำได้ดิ รอแปปนึง ขอหาวิธีแปปนึง นอกจากนี้ก็เป็นหลาย ๆ ศิลปินที่ได้คุย แม้แต่รุ่นน้อง ศิลปินเด็ก ๆ ที่ผมได้คุยบางทีความคิดเค้าเจ๋งมาก มัน inspire เรานะ เรารู้สึกว่าใครที่คุยกับเรา เรานับถือเค้าหมดเลย คือไม่รู้สึกว่าเพราะเราโตกว่าแล้วเราเลยต้องเป็นคนที่ชี้นำอย่างเดียว ไม่ใช่ น้อง ๆ ก็ชี้นำผมได้ ขอให้ความคิดมันกระแทกเรา แบบ โห! ดีว่ะ ทำเลย

img_3393

ทำไมถึงเลือกฝึกหัดเป็นโปรดิวเซอร์ตั้งแต่ก่อนวงแคลชจะยุบวง ติดใจอะไรในงานแขนงนี้

คือตอนแรกผมมองงานโปรดิวเซอร์แคบมาก ด้วยความที่คิดว่าโปรดิวเซอร์มันคือทำเพลง พอเราอยากเป็นโปรดิวเซอร์ก็เลยห้าว ไปขอพี่เค้า พี่ครับผมอยากโปรดิวซ์ พี่เค้าให้ด้วยนะ อะ มึงลองดู พอเริ่มทำงาน เราก็มองแค่ว่า อ๋อ โปรดิวเซอร์ก็แค่ทำเพลงไง นั่งกด ๆ คุมร้อง อะ อีดิต อะ จบละ อ้าว ชิบหายละ แม่งลืมไปอย่างว่าโปรดิวเซอร์คือผู้จัดการ (หัวเราะ) นั่งทำงานอยู่ พี่โอ๊บหันมา ‘พล มึงคิดว่ามึงเป็นโปรดิวเซอร์แล้วเหรอ’ อ้าว เหี้ย (หัวเราะ) ช็อกเลย อ้าว แล้วที่กูทำนี่ไม่ใช่เหรอวะ ผมงงไปสามวัน ไปหาคำตอบว่าโปรดิวเซอร์แม่งคืออะไร นั่งคิด ทำเพลงแล้วแม่งทำอะไรอีกวะ เหี้ย โปรดิวเซอร์แม่งคือแมเนเจอร์เว้ย มึงต้องบริหารทรัพยากรตรงนี้ เพลง คน เงิน เพราะโปรดิวเซอร์ก็ต้องดูเงิน เงินมิวสิกโปรดักชันที่เกิดขึ้น มันคือการวางแผนว่าที่เราทำศิลปินแล้วมันได้อะไรบ้าง อีกสามวันผ่านไปผมก็เดินไปตอบพี่โอ๊บ ว่าโปรดิวเซอร์คือการบริหาร คือการจัดการ ทำเพลง ผมไปจ้างคนอื่นมาทำก็ได้ ถ้าผมเป็นโปรดิวเซอร์ผมก็ไปหา music director มาคนนึง ทำให้ผมหน่อย ผมอยากได้อย่างนี้ ผมมี reference เป้าของศิลปินผมเป็นแบบนี้ ศิลปินเบอร์นี้ใครจะทำงานให้เขา ใครจะเป็นคนดูแล แล้วเราเห็นภาพอะไร เราจะไป sync ให้เค้า โปรโมท อาร์ตไดเรคชั่น ครีเอทีฟต่าง ๆ ยังไง อันนี้แหละคือโปรดิวเซอร์ พอเข้าใจว่าคืออะไร มันก็ทำให้ความฝันเรามันเดินทางไปได้ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นแค่ arranger แค่คนแต่งเพลง แค่คนทำเพลง อย่างผมทำงานกับยักษ์ แคลช ผมบอก ยักษ์มึงโปรดิวซ์ศิลปินตัวนี้ ไปทำมาเลย ทำยังไงก็ได้ แล้วมึงมาขายก็ว่าเป้าของศิลปินตัวนี้ ทำอะไร ทุกวันนี้ทำงานบางที ลืมอะไรป่าววะ อ๋อ ลืม job description โปรดิวเซอร์ ไล่อ่านหมดเลย เราทำอะไรตกไปหรือเปล่า

หลังจากวงแคลช และก่อนจะเป็น Boxx พี่พลดูเรื่องโปรดิวเซอร์เป็นหลักเลยใช่ไหม

ใช่ครับ สนุกกับมัน สนุกกับการได้คิด ได้เห็นภาพ สนุกกับการทำงานกับศิลปินแล้วได้เห็นศิลปินพัฒนา ผมมีความสุขมากเลย จะมีลูกแบบ ดุดัน ถีบ ส่งศิลปินออกไปสู้ วันนี้เราเป็นโปรดิวเซอร์ เหมือนเราอยู่ข้างหลังบ้าน ติดอาวุธให้ศิลปิน ไป ไปรบ แล้วพอน้องออกไปรบแล้วรบชนะ หรือว่าบาดเจ็บน้อยที่สุด เราก็จะมีความสุข ตอนนั้นทำเยอะมาก ระหว่างแคลชเริ่มทำตีน่า เพลง วีน ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นศิลปินที่ทำตัวแรกแล้วประสบความสำเร็จนะ แบ่งกันครึ่ง ๆ กับพี่โอ๊บ เราแบกทั้งหมดไม่ไหว พี่โอ๊บทำครึ่งนึง เราทำครึ่งนึง ตีน่าเป็นตัวนึงที่ทำแล้วถือว่าโชคดี น้องได้พรีเซนเตอร์ เพลงขึ้นชาร์ต ได้ไปต่อยอดแขนงอื่น ตัวต่อมาก็จะเป็นรุจ เดอะสตาร์บัวชมพู ฟอร์ด, ฟีฟี่ เบลค, นัท ศักดาทร, Getsunova, ศรัญ แอนนิ่ง หลังจากนั้นก็มาอยู่ Boxx ก็เกือบ ๆ ทุกศิลปินที่เราช่วยดูแล แบ่งกันโปรดิวซ์กันไป คือถ้าเราแบกคนเดียวแล้วเราไม่พัฒนาทีม มันก็จะไม่เกิดงานใหม่ สุดท้ายแล้วทีมก็ต้องโต ทุกคนก็ต้องโต จากวันนี้เป็นแค่มิวสิกไดเรกเตอร์ วันนึงคุณก็ต้องเป็นโปรดิวเซอร์ วันนึงคุณก็ต้องเป็น executive producer วันนึงคุณก็ต้องขึ้นบอร์ดบริหาร

การโตมาจากระบบแบบค่ายแกรมมี่ พอได้ทำค่ายเองได้เอาข้อดีข้อเสียมาปรับในแบบที่เราชอบไหม

วิธีคิดผมคือแกรมมี่เลยนะ เพราะแกรมมี่คือบริษัทเพลงที่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เค้าทำ มันถูก ถ้าไม่ถูกเค้าไม่สำเร็จ ไม่มีตึกใหญ่ขนาดคน 3,000 คนแบบนี้ เพราะฉะนั้นข้อดีของเค้าผมเอามาใช้หมดเลย รวมถึงวิธีคิดเพลง จากที่ผมเคยอยู่กับพี่ตี่ พี่เบียร์ พี่เป๋า นั่งเล่น ผมเอามาตั้งเป็นไบเบิ้ลของเราในการทำงาน ข้อดีที่ Boxx ได้จากแกรมมี่ คืออิสระทางความคิดที่ผลิตออกมาแล้วมันยังจับต้องได้ Boxx คือ commercial art มันคืองานศิลป์ที่จับต้องได้ เสพได้จริง อันนี้คือสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อดีของเรา ส่วนข้อเสียของเราก็คือเราอาจจะไม่เก่งธุรกิจแบบที่แกรมมี่เป็นในวันนี้ แต่เราก็ต้องศึกษาว่าแบบ ทำยังไงให้เติบโตไปได้แล้วอยู่ได้ วันนี้แกรมมี่อยู่มาสามสิบปี เค้ามีคลังเพลงเป็นหมื่นเพลง ซึ่งอันนั้นคือเงิน คือของที่เอามา renovate ทำใหม่ ค้าขายได้ตลอด ผมก็คิดเป้านี้เหมือนกัน สร้างเพลง Boxx ให้ประสบความสำเร็จ เก็บไว้ มันคือ สินทรัพย์ ของน้อง ๆ ศิลปิน อันนี้ที่คิดว่า ข้อดีที่เราควรจะสร้างแล้วทำตาม ส่วนข้อเสีย อาจจะว่ามันใหญ่ ใหญ่มาก ช้า แต่ข้อดีมากกว่าข้อเสีย

คติในการทำงานของ Boxx คือการทำงานให้คิดถึงกล่อง ไม่คิดถึงเงิน ตอนนี้ยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม

ยังเป็นนะ คือทำงานเนี่ยผมคิดถึงชิ้นงานที่ดีเสมอ คุณภาพของเพลง ดนตรี เนื้อร้อง เสียงร้อง นี่คือต้นน้ำที่จะพาให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ เพราะฉะนั้นผมคิดถึงกล่องเป็นหลัก รายได้มันจะเข้ามาเองถ้ากล่องมันดี เหมือนพี่ปอย พี่ปอยไม่เคยคิดว่าเค้าจะกลับมาทำเพลงแล้วได้รับความนิยมแบบนี้อีกครั้ง เค้าไม่เคยมีเลย เพลงล้านวิวเป็นยังไงวะ ทุกวันนี้เค้ายังงงอยู่เลยว่า นี่กูไปถึง 20-30 ล้านวิวเลยเหรอวะ สองเพลง ผมเลยย้อนไปคิดว่า วันที่ผมฟังเพลงกับพี่ปอยหรือน้อง ๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะได้วิวเยอะ ผมคิดแค่ว่า เพลงเราแม่งเพราะยังวะ เพลงเราแม่งดียังวะ คุณภาพใช่ยังวะ จะมีคนชอบกับเรามั้ย ผมจะให้น้อง ๆ ในทีมฟังหมดเลยนะ ผมจะฟังว่าน้อง ๆ ในทีมรู้สึกยังไงกับเพลงที่เราทำ ถ้าทีมเราชอบ 10 คน น้อง ๆ ศิลปินชอบอันนั้นผมแฮปปี้แล้วนะ ปล่อยไป วัดดวงกัน วันนี้บอกไม่ได้ว่าปล่อยเพลงแล้วดังไม่ดัง มันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่สื่อมันยังไม่เยอะ ผมยังคิดในใจเลย ถ้าความดังของเพลงพี่ปอยในยุคนี้ แล้วมันกลับไปอีก 20 ปีที่แล้ว โห พี่ปอยนี่ล้านตลับแน่นอน วิทยุนี่เปิดวันนึง 6-7 รอบแน่นอน

มีความพยายามให้เพลงของ Boxx เป็นแนวไหนมั้ย

จริง ๆ ไม่ได้จำกัดแนวเลย แต่เพลงของ Boxx ต้องมีความ unique ตั้งแต่ตัวศิลปิน ไปถึงตัวเพลง จนไปถึง mv ถ้าได้ดู mv ของพวกเรา จะมีรสนิยมสี อะไรบางอย่าง มีความไม่ได้ป้องปากพูด ผมชอบอะไรแบบนั้น การทำให้คนมันได้คิดต่ออีกนิดนึงมันสนุกกว่า เราไม่จำกัดแนวเพลง ร็อก ป๊อป ฮิปฮอป แต่ถ้ามีสไตล์ มีตัวตน และมันแตกต่าง เราก็ซื้อ ก็เอา ผมจะบอกน้องทุกคนเสมอว่า เพลงคุณเป็นยังไง คุณแต่งตัวยังไง ไลฟ์สไตล์คุณเป็นยังไง คุณต้องเป็นแบบนั้น คนถึงจะเชื่อเรา สมมติอยากทำเพลงแบบนี้แต่แต่งตัวมาขาสั้นเสื้อยืดรองเท้าแตะ ใครจะเชื่อมึงวะ ว่ามึงเป็น ว่ามึงเท่ แต่ถ้ามองศิลปินฝรั่ง มันออกจากบ้านยังไงมันเป็นแบบนั้นเลยนะ เผลอ ๆ อยู่บ้านแต่งตัวแบบนั้น เผลอ ๆ โดนแอบถ่ายก็เป็นอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่ศิลปินเราควรจะมีเพราะผมถูกปลูกฝังมา แล้วก็สอนน้อง ๆ พี่มิ่งขวัญ ผู้อำนวยการ อสมท เมื่อก่อนเป็นโค้ชที่มาสอนศิลปินที่แกรมมี่ที่ Aratist ที่เป็นศูนย์ฝึกศิลปิน แล้วก็จะมีเหล่าบรรดาทวยเทพมาเล่าให้ฟังเรื่องวิธีการใช้ชีวิตแบบศิลปิน มีพี่มิ่ง, พี่ปั๋ง สุเมธแอนด์เดอะปั๋ง มาพูดเรื่องดนตรีเพลง พี่มิ่งสอนว่าศิลปินคือการเป็นตัวอย่างให้กับแฟนเพลง คุณจะเป็นศิลปินจริง ๆ ได้ยังไงถ้าคุณไม่ดูแลตัวเอง เค้าบอกเลยว่า เป็นศิลปิน ห้ามใช้รองเท้าแตะออกนอกบ้าน คุณแต่งตัวยังไงเวลาเล่นดนตรี แต่งตัวให้คล้ายอย่างนั้นออกนอกบ้านคุณถึงจะเป็นที่จดจำ first impression ของตัวคุณ เค้าจะแบบ โห ดูดีอะ ดูพิเศษอะไรแบบนี้ อันนี้ก็เป็นอันนึงที่ผมมาถ่ายทอดให้น้อง ๆ ในค่ายฟัง ว่าผมถูกสอนมาอย่างนี้ ให้เค้าไปคิดต่อว่าคุณจะบริหารการเป็นศิลปินของคุณอย่างไร คุณต้องดูแลตัวเองตลอด อย่างอิ้งค์งี้ คุณจะมาหน้าโล้นไม่ได้นะ ห้าม ไปไหนก็แล้วแต่ต้องแบบ ‘อิ้งค์น่ารักนะ ขอถ่ายรูปหน่อยสิ’ ก่อนหน้านี้อิ้งค์โทรมา ‘พี่หนูเครียดว่ะ หนูรู้สึกสูญเสียความเป็นส่วนตัว’ ผมแม่งขำเลยอะ ผมบอก ‘ยินดีต้อนรับ ในเมื่อคุณเลือกจะเป็นศิลปินแล้ว มันจะไม่มีชีวิตส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว ทิ้งไปได้เลย แต่สิ่งที่คุณได้มา ลองชั่งน้ำหนักดูดิ คุณได้ความรู้ ได้ชื่อเสียง ได้รายได้ การต่อยอดในอนาคตอีกมากมาย เลือกแล้ว อิ้งค์ ขอต้อนรับ’ (หัวเราะ)

img_3384

คิดว่ามีวิธีให้คนหันมาฟังเพลงใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จักแต่ทำเพลงออกมาดี แล้วจะทำให้ธุรกิจของคุณไปต่อได้

ผมว่ากำลังของตัวค่าย กำลังศิลปิน แล้วก็เพื่อนฝูงนี่แหละที่เป็นหนึ่งสื่อ เพราะว่าวันนี้มันแชร์กันบนโทรศัพท์ บนโซเชียลมีเดีย ผมมองว่าเพลงที่มีความอาร์ตมาก ๆ ผมนึกถึงเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ของ Max Jenmana ผมว่าอันนี้เป็นอาร์ตที่แบบตบสวย ถ้าตบไม่สวยจะไม่ดัง มันก็จะเดินเข้าป่าไปเลย แม็กซ์ก็จะเดินเข้าป่าไปเรื่อย ๆ ไปเลย เห็นหลังไว ๆ แล้วแบบ เอ๊ะไปไหนวะ อ๋อ โอเค เจอกัน (หัวเราะ) เค้าตบกลับมาดีว่าทำไมเค้าต้องหนีเข้าป่า คือครีเอทีฟมันได้ ตบกลับมาในจุดผู้ฟังกลุ่มใหญ่รับได้ว่าเดินเข้าป่าเพราะว่าหนีคนใจร้าย คนที่เคยทำร้ายเรา ทำให้เราเสียใจ อันนี้เป็นเรื่องที่แมสสำหรับผม ใครกินก็ได้ ใครฟังก็ได้ ผมว่าเป็นงานนึงที่ผมรู้สึกว่า อาร์ตด้วย แล้วก็คนหมู่มากฟัง พอฟังก็แชร์ กลายเป็นว่าทุกวันนี้แมกซ์เล่นเพลงนี้คือสนั่น ผมยังชอบเลย แล้วเชื่อมั้ยว่าวันแรกที่เค้าเอามาให้ผมฟัง Wine วันหนึ่ง มาเล่นให้ผมฟัง แต่ไม่ได้เอามาทำกับ Boxx นะ เค้าแค่เล่าให้ฟังว่ากำลังทำอัลบั้ม ผมฟังครั้งแรกผมนั่งงเลยะ พี่พลมันจะเล่นแบบนี้พี่ ‘(ร้องอินโทรให้ฟัง) วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า’ เหี้ยอะไรวะเนี่ย (หัวเราะ) คือเนื้อมันยังไม่ครบ แต่เค้ารู้ว่าเค้าจะพูดอะไร ‘ฉันเจอหมี’ ฮะ หมี เหี้ยอะไรวะเนี่ย (หัวเราะ) วันนั้นแม่งโคตรงง แต่พอมันเสร็จสมบูรณ์แล้วเอามาให้ฟัง แบบเหี้ย แม่งโคตรโดนอะ พอความคิดถูกสกัดมา 100% ตบเข้าฮุค ‘คนใจร้ายอย่างเธอ ต้องทิ้งให้อยู่คนเดียว’ ผมแบบ โหแม็กซ์ คำนี้แม่ง พิฆาตว่ะ ผมว่าอันนี้เป็นตัวอย่าง ใครอยากทำงานอาร์ตลองทำอันนี้เป็นตัวอย่าง หรือ Wine งี้ ‘เปลี่ยนไวน์ให้เป็นน้ำ’ ผมแบบ เฉียบว่ะ

พี่พลมองว่าคำว่าอินดี้คือแนวเพลงหรือว่าวิธีคิดในการทำงาน

วิถี มันคือวิถี การทำงานแบบอินดี้มันคืองานทำมือ ไม่ใช่งานอุตสาหกรรม Boxx ก็ยึดตรงนี้เป็นหลักเหมือนกันว่า ทุกอย่างที่เราทำคือไม่เป๊ะ 100% มันอาจจะเบี้ยวบ้าง เย็บแล้วไม่ต่อกันเหมือนเครื่องจักร อาจจะมีซ้ายขวานิดนึง แต่มันไม่เป็นไร นี่คือเสน่ห์ ผมรู้สึกว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติไปเหมือนเราเขียนหนังสืออะ เราเขียนทุกวันยังไม่เท่ากันเลย เราก็ทำแบบนั้นแล้วกัน เป็นประมาณนั้น

ตั้ง target ของ Boxx เป็นแบบไหน

วัยรุ่นนะ ผมมองกรุงเทพ ฯ เป็นหลัก ทาร์เก็ตของ Boxx คือวัยรุ่นที่มีรสนิยมที่เท่ ไลฟ์สไตล์ชัดเจน แต่ไม่ได้ยากจนเกินไป อย่างปีนี้ผมอยากไปบุกเชียงใหม่ อยากไปบุกขอนแก่น เมืองหัว ๆ ทั้งหลาย กำลังตั้งเป้าว่าเราจะไปนำเสนอ Boxx กับคนเชียงใหม่ยังไงดี เราวางแผนไว้แล้วว่าคอนเสิร์ตต่าง ๆ หรือ Boxx Party ที่เราเคยทำที่กรุงเทพ ฯ เราจะเอาไปทำที่เชียงใหม่ แต่อาจจะหา timing ที่เวิร์ก ผมเลือกทาร์เก็ตนี้เพราะว่ามันเท่ คนมันเท่ วันนี้เป็นแบบนี้ ยุคสมัยมันเปลี่ยน เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ ผมก็ไม่ได้มีกางเกงสแลค แต่แฟชั่นโลกอะไรต่าง ๆ มันดำเนินไป การที่เราอยู่กับเทรนด์ เราก็ไม่แก่

พูดถึงโปรเจค New Kids in the Boxx หน่อย ทำไมถึงทำ และคัดเลือกวงยังไง

ผมอยาก recruit อยากลองทำอะไรไร้กรอบ คือไม่ได้คาดหวังว่คนจะต้องชอบ แต่อยากให้คนเห็นว่ายังมีน้องที่เก่ง ๆ เด็ก ๆ เก่งเยอะมาก เราอยากให้โอกาส เหมือนวันนึงที่เราเคยได้โอกาส ผมลองคุยว่าเราจะทำยังไงให้มันเกิดโปรเจคนี้ขึ้นมา เลยนึกถึงคำว่า new era, เลือดใหม่, new blood แล้วก็อีกอันที่วิ่งเข้ามาในหัวคือ New Kids จริงๆ มันมาจากวง Echosmith เพลง Cool Kids แล้วผมก็นึกว่าถ้าเป็น New Kids เด็กรุ่นใหม่ แล้วก็นึกถึง New Kids on the Block บอยแบนด์ยุค 90s มันน่าจะเวิร์ก งั้นเราตั้งหลักนี้ New Kids in the Boxx recruit จากการที่ให้น้อง ๆ ส่งเดโม่เข้ามาให้เราฟัง บางวงก็เดินเขามาเลย อย่างที่ประหลาดที่สุดเลยคือ Yellow Lips เพลงแหวกที่สุดสำหรับ Boxx มีความเป็น oldies หน่อย ๆ แล้วน้องก็ติสต์พอสมควร มีน้องเพียวกับน้องหยุน เรียนฟิล์ม สายเท่ พอดีน้องในออฟฟิศเป็นอาจารย์พิเศษสอนที่มหาลัยเค้า แล้วเค้าก็เลยบอกว่าพี่ ผมไปเจอมา เด็กสองคนนี้น่าสนใจพี่ลองไปคุยดู ผมก็เลยเออ นัดมาคุยที่ออฟฟิศ มาพร้อมกีตาร์ ผมก็ถาม เล่าให้ฟัง อยากเป็นอะไร นู่นนี่นั่น ประโยคแรกที่มันทัชผมมาก ๆ ก็คือ ‘พี่ หนูอยากเป็น The Carpenters‘ โอ้โหววว กูซื้อมึงเลย เด็กปีสามปีสี่ ผมรู้สึกว่าแบบ The Carpenters มันหายไปนานมากแล้วนะ แล้วมันไม่มีในไทยมานานมากแล้ว ผมชอบมากโมเดลนี้ ก็เลยให้เล่นให้ฟัง วงทำเพลงประกอบภาพยนตร์ที่กำลังจะจบ เชี่ย โคตรเพราะ ผมอยากเอามาอยู่ในอัลบั้ม เค้าเล่นเพลงต่าง ๆ ที่ทำไว้ให้ฟัง ผมแบบ  โหหยุน มึงร้องเพลงเพราะมากเลย มึงมาจากไหนวะสองคนนี้ มา ทำเลย แล้วก็โบ๊ด ธานิศ อันนี้เพลงเปิดใน Cat Radio พี่ปอยแนะนำมา ‘เฮ้ย พล ก็มีคนนึงเว้ย เดี๋ยวไปคุยที่แคทกัน เค้าติดชาร์ตในแคตเพลงนึง’ ไปเจอ ฟังเพลงแล้วแบบ โห โคตร Billboard เมโลดี้ป๊อปมาก แต่ไม่ได้กินง่ายสำหรับคนไทย มีความฝรั่งมาก คือตัวเค้าเนิร์ด ๆ ผมไปเจอเค้าครั้งแรกผมแบบ กูนึกว่าจะมาแบบเท่ เปล่า เดินมาแบบพนักงานออฟฟิศเลย จนไม่น่าเชื่อว่าเค้าทำเพลงได้แบบนี้เลยเหรอ อันนั้นก็แบบ ซื้อเลย ชอบ ชอบการทำงาน คือเพลงที่ทุกคนได้ฟังคือเค้าทำด้วยตัวเอง เรามีหน้าที่แค่แนะนำว่าเอ้อ ตรงนี้มันน้อยไป ตรงนี้มันมากไป เติมอะไร อย่างน้องบีน เคยประกวด The Voice Thailand ผมรู้จึกตั้งแต่เลิกทำแคลชแรก ๆ ผมพยายามทำโปรเจกต์นึงชื่อว่าเด็กข้างบ้าน เอาเด็กผู้หญิงโนเนมมาร้องเพลงแคลชในรูปแบบใหม่ ทำแบบเวิร์ลมิวสิก โฟล์ก คันทรี่ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้น ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ผมชอบเสียงร้องน้องบีนมากตั้งแต่วันแรกที่เจอ แต่ยังไม่ได้มีโอกาส จนเค้าโต ทำงาน เล่นกลางคืน รสนิยมมันใช่กับ Boxx ผมก็เลยชวนมาคุยว่าอยากทำอะไร เค้าอยากทำเป็นโซล ก็เออ มันก็ดีเว้ย มันไม่มีกลิ่นดนตรีแบบนี้ในวงการเพลงมานานแล้ว ก็เออ ทำ แล้วก็มี The Kayei เป็นวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่ส่งเดโม่เข้ามา คือจริง ๆ ที่ส่งเดโม่มีมาเยอะมากแต่ว่ามันยังไม่โดนใจจนมาเจอ The Kayei แบบ เฮ้ย ไอ้เด็กพวกนี้มันเฟี้ยวฟ้าว ซิ่ง ลุคได้ การแต่งตัว แล้วมี mv ที่เค้าทำเอง เข้าไปดู mv ของพวกเขาแล้วโห เก่งว่ะ เด็กปีสองปีสามทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ มา ๆ ทำงานร่วมกัน เราก็คัดแบบนี้จนได้สี่เบอร์นี้ แต่ละสีมันชัดเจน เห็นสีเลย Yellow Lips แม่งสีเหลือง The Kayei สีแดง โบ๊ดแม่งสีฟ้า บีนออกหม่น ๆ ตุ่น ๆ เลยง่ายในการทำ art direction เราก็เห็นเลยว่า New Kids In The BOXX สีสันมันมีนะ เป็นมุมของแต่ละคน กล่องมันมีหลายมุมขึ้นอยู่กับที่เรามอง แต่ละคนก็ใส่สีลงไป แทนตัวของน้อง ๆ

คิดยังไงกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ แล้วได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ ๆ บ้างมั้ย

ความ unique ของทุกคนชัดกว่ารุ่นผม คือแต่ก่อนรุ่นผมทำเพลง ยังไม่รู้เลยว่าอยากเป็นอะไร เพราะสื่อมันน้อย มันแคบ เรารู้แค่เราอยากเป็นนักดนตรี อยากเล่นดนตรีให้เก่ง อยากไปเล่นคอนเสิร์ต แต่ไม่รู้ว่าพอเล่นตรงนั้นแล้วอยากทำไรต่อว่ะ แต่น้อง ๆ วันนี้เดินมาพร้อมกับ reference พร้อมกับ presentation อย่างน้องฝ้ายที่อยู่ในค่ายผม เค้าเป็นสถาปนิก เค้าเล่าด้วยกระดาษม้วน ๆ มา ดึงมาทีละหน้า แล้ววาดรูปมา แล้วอธิบาย พี่ หนูเป็นแบบนี้ หนูชอบทำอันนี้ ความฝัน สิ่งที่หนูเห็น หนูตีความเป็นแบบนี้ ดึงมาหน้าต่อไป อันนี้คือเพลงที่หนูอยากทำ หนูเห็นเพลงเป็นแบบนี้ มีความสวยงาม หนูตีความท้องฟ้าเป็นแบบนี้่ อยู่บนความว่างเปล่า เราแบบ โห ดีจังวะ น้อง ๆ ทุกคนที่เดินเข้ามา มาแบบนี้ อิ้งค์, The Kastle ทุกคนมาพร้อมแบบนี้หมด แต่วิธีการอาจจะต่างออกไป เนี่ยคือสิ่งที่ผมได้จากน้อง เค้าคิดมาว่ะ แล้วยิ่งเราโต เรามีวัยวุฒิ คุณวุฒิที่มากกว่า เรายิ่งต้องคิดตามเค้าไปให้มากกว่า เด็กรุ่นใหม่มันเจ๋ง อย่ามองข้ามพวกเขา ใช้เขาให้เป็น ใช้พลังงานที่เค้ามีให้เป็น แล้วเค้าจะเก่ง เค้าจะกลายเป็นศิลปินในอนาคตที่มีคุณภาพ เพราะผมจะบอกเค้าเสมอว่า พอเราคิดอย่างนี้ได้ เราต้องมีเป้า สมมติ The Kastle วันนี้ทำเพลงได้ คุณอยากประสบความสำเร็จเป้าไหนต่อ พอถ้าสมมติคุณประสบความสำเร็จ เพลงมันเข้าเป้าแล้ว แล้วต้องไปไงต่อ ตัวปะ จากตัวแล้วเป็นไอดอลเค้าในอนาคตปะ จากนั้นคุณต้องคิด มีวงลูกของคุณปะ อะไรแบบนี้ ค่อย ๆ ต่อไป ได้เรียนวิธีการคิดของเค้า ว่ามันมาแล้วมันมาครบถ้วน เพราะว่าสื่อในมือมันเยอะ โลกมันเปิด เค้ามี reference มีภาพ อยากแต่งตัวยังไง อยากอะไรยังไง นี่คือสิ่งที่เมื่อก่อนเราไม่มี ถ้าเด็กวันนี้มันมี สิ่งที่เราให้เค้ากลับคืออะไร เราสร้างอะไรให้เค้ากลับไปได้บ้าง

คติการทำงานในค่ายเป็นอย่างไร

เราไม่เคยมีคติ แต่ถ้าวิธีการ คือการผสมผสานความเป็น pure art กับ commercial art อย่างทำเพลง เราทำยังไงก็ได้ให้เพลงมันเท่ แต่มีคนฟังเว้ย ภาพก็เหมือนกัน ทำยังไงก็ได้ให้ภาพมันเท่แต่มีคนดูว่ะ เพราะฉะนั้นไอตรงนี้คือส่วนผสมที่เป็น Boxx พวกเรามีความบ้า ๆ เพี้ยน ๆ ทุกคน ทุกตำแหน่ง แม้แต่ตัวผมหรือศิลปิน มันรวมคนพวกนี้มาอยู่ด้วยกัน มันถูกสกัดมาแล้วว่าอยู่ด้วยกันได้  เพราะฉะนั้นลายมือต่าง ๆ รสนิยมต่าง ๆ มีความชัด แล้ว Boxx สนุก ทุกคนสนุก ตั้งแต่ผม pr ก็ดุ (หัวเราะ) art director ทุกคนสนุก นี่คือสิ่งที่สกัดออกมาแล้วมัน เออ ใช่ เราก็ไม่เคยนิยามว่ามันเป็นยังไง แต่ผมว่าอันนี้คือรสนิยมและรสชาติของ Boxx ที่ใครได้เข้ามาแล้วได้เจอก็จะรู้ว่าแบบ เราไม่ได้ยาก เราทำตัวให้ง่าย แต่มีรสนิยม อะไรแบบนี้ ถ้ารวม ๆ ก็คงเป็นพื้นที่ของความสนุก จริง ๆ แล้วการคิดบอกซ์ มันคิดมาจากพี่เต๋อ-เรวัต ผมคิดเรื่องกล่อง อย่างที่บอกว่าเราสร้างกล่องให้ดีก่อนแล้วเงินจะเข้ามา เป็นคำพูดที่พี่เต๋อสอนพี่ ๆ แล้วพี่ ๆ มาสอนผมอีกที ผมรู้สึกว่า เราทำกล่องดิ ทำกล่องให้มันสนุก กล่องที่เปิดมาแล้วแบบ ว้าว อะไรวะเนี่ย

สอนอะไรให้กับศิลปินในค่ายบ้าง มีบทเรียนที่สอนน้อง ๆ ทุกคนเมื่อเข้ามาอยู่ในค่ายมั้ย

มีนะ ก็คือการเป็นศิลปินที่ดี มันส่งเสริมเรา เพลงดังไม่ดังเราบอกไม่ได้นะ เราอาจจะตัดเปอร์เซนต์เสี่ยงของเพลงที่ไม่ดัง ที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่พอตัดออกไปแล้วมันจะดังไม่ดังเราก็ไม่รู้นะ ทีนี้การเป็นศิลปินที่ดี ต้องคิดดี ตั้งใจ มีความฝัน ต้องพยายาม และสม่ำเสมอ อันนี้คือสิ่งที่ผมพยายามบอกน้อง ๆ แล้วให้น้อง ๆ ทำให้ได้ เพราะสุดท้ายทำได้ เค้าน่ะแหละที่ประสบความสำเร็จ ผมเองก็ถูกสอนมาเหมือนกัน แล้ววันนี้สิ่งที่พี่ ๆ สอน ตั้งแต่คุณไพบูลย์ พี่ตี่ พี่อ๊อด พี่เล็ก—บุษบา ดาวเรือง พี่อั๋น พี่ต่อ—แสนคม สมคิด พี่โอ๊บ เนี่ย มันถูกรวมมาอยู่ในหัวผม แล้วผมก็ถ่ายทอดให้น้อง ๆ เป็นคนดีนะ เป็นศิลปินที่ดี คุณไปไหนก็แล้วแต่ คุณต้องไหว้ มันคือวัฒนธรรมคนไทย คุณเก่ง คุณไปเก่งบนเวที คุณอย่ามาเก่งข้างล่าง หรือคุณเก่งในห้องประชุมที่เราจะมาแชร์ไอเดียกัน โพล่งมาเลย ซัดมาเลย แต่สุดท้าย คุณออกไปข้างนอก คุณก็ สวัสดีครับ ผมบอกน้อง ๆ ว่า ผมกับที่วงไหว้ยันรปภ. เลย ยามที่จอดรถผมก็ยกมือไหว้เค้าเหมือนกัน สวัสดีครับพี่ อันนี้เป็นอันนึงที่ผมบอกน้อง ๆ แล้วก็การปฏิบัติตัวเวลาไปทำงาน คุณเจอพี่ ๆ ที่เค้ามาทำงานร่วมกับคุณ คุณดูแลเค้าอย่างไร การวางตัว จะกินข้าว คุณเดินไปหยิบ อย่าให้ใครเค้าต้องเดินมาแล้วประเคนให้คุณ เพราะทุกคนก็เป็นคนทำงานเหมือนกัน กินเสร็จ คุณเดินเอากลับไปเก็บที่นู่น ไม่ต้องให้ใครมาช่วย เพราะคุณทำเองได้ อยู่บ้านคุณก็ทำเองได้ แบบนี้ไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นคุณก็ออกมาข้างนอกคุณก็ทำแบบนี้ ‘น้ำอยู่ไหนครับพี่ ไม่เป็นไรครับ’ คุณต้องไปหยิบเอง แค่เนี้ยคนที่ทำงานกับคุณก็จะแบบ น่ารักว่ะ แล้วเค้าก็อยากทำงานให้คุณ แต่ถ้าคุณมาแบบ ‘พี่ ข้าวอยู่ไหนอะ ขอข้าวกินหน่อยดิ’ ผมรับรองเลยวันนี้มึงดังมึงรอด แต่ถ้ามึงไม่ดังอะ ไม่รอด อันนี้คือแบบ ง่ายมาก เบสิกที่ผม แบบ พวกคุณต้องทำ สุดท้ายสิ่งที่คุณทำ ดีกับตัวคุณเอง

เด็กรุ่นใหม่มันเจ๋ง อย่ามองข้ามพวกเขา ใช้เขาให้เป็น ใช้พลังงานที่เค้ามีให้เป็น แล้วเค้าจะเก่ง เค้าจะกลายเป็นศิลปินในอนาคตที่มีคุณภาพ

เปลี่ยนมาคุยเรื่องส่วนตัวกันบ้าง มีลูกแล้วชีวิตเปลี่ยนไปทางไหนไหมคะ

ฟ้ากับเหวเลยครับ (หัวเราะ) ถ้าใครอยากมีลูกต้องวางแผนให้ดี คือผมวางแผนมีลูกนะ เตรียมตัวมีลูก แต่ไม่คิดว่าชีวิตการมีลูกแม่ง โห คนละโลก พูดเลย จะไปเฟี้ยวฟ้าวแบบเมื่อก่อนไม่ได้เลยนะ เมื่อก่อนเราเคยทำงานเสร็จ กลับบ้าน หรือ ทำงานเสร็จในห้องอัด เปิดเบียร์แกร๊ก ฟังเพลงซักชั่วโมง สองชั่วโมง ฟังเพลย์ลิสต์ที่เราชอบ หรือหาเพลงใหม่ ๆ ฟังหรือ ไปดูหนัง หรือไปเที่ยวกับเพื่อน ออกไปดูโลก มันมีอะไรบ้างวะ ไม่มีเลยนะ (หัวเราะ) จริงๆ วันนี้ input ฝั่งนึงที่หายไปของผมเลยคือดูหนัง แล้วเป็นอันนึงที่ผมชอบที่สุด คือเพลงกับหนังของผมเป็นอันที่คู่กันเลย แต่ผมไม่ได้ดูหนังมาสามปีแล้วอะ คือหนังที่ได้ดูที่ผ่านมาคือได้ดูเพราะว่าต้องไปงานรอบดูของเค้า แล้วเชิญไป แต่แบบ ว่างแล้วจะจูงมือแฟนไปดูหนังคือไม่มีเพราะต้องเลี้ยงลูก ลูกคือ 24 ชั่วโมง วันนี้ อะไรแบบนี้ หนังล่าสุดที่ผมได้ดูก็คือ ‘La La Land’, ‘Snap’ เพราะต้องดู (หัวเราะ) คือมีหนังหลาย ๆ เรื่องช่วงนี้ที่เข้ามา มี ‘Coco’, ‘Wonder’ ที่ Julia Roberts เล่น ผมอยากดูมาก ทุกคนที่รู้ว่าผมชอบดูหนังก็จะบอกว่า พล มึงต้องดู เชี่ย โคตรดี อิ้งค์ไซโคผมทุกวัน แต่ผมไม่มีเวลาไปดู เสร็จงานก็หมดเวลาแล้ว แล้วเราก็ต้องรีบตื่นมาทำงานต่อ เนี่ยคือความเปลี่ยนแปลงหลังจากมีลูก แต่ว่ามันเป็นพลัง ที่ทำให้เราเดินต่อ แล้วทำให้เรารู้ว่า ชีวิตแม่งโคตรมีค่า เมื่อก่อนเราเล่น ทำงานเสร็จ ดื่มกับเพื่อน นู่นนี่นั่น ไปเรื่อย ซัดแบบพรุ่งนี้ไม่ต้องคิดอะไร วัยมัน ซิ่ง วันนี้ไม่ได้แล้วนะ ดื่มกับเพื่อนไม่เท่าไหร่ เมื่อก่อนขับรถกลับบ้าน ขับถึงบ้านยังไงไม่รู้นะ จอดรถหน้าบ้านเปิดกระจกไว้ด้วย (หัวเราะ) แฟนแบบ ‘เมื่อคืนเมาหรือเปล่า?’ ‘ก็นิดหน่อย’ ‘เหรอ รถไม่ได้เอาเข้าบ้าน กระจกก็ไม่ปิด’ ‘ฮะ!’ (หัวเราะ) เหี้ย โอเค กูเมาแล้วแหละ อะไรแบบนั้น แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกแบบ ไม่ได้เลยอะ เมาแล้วแบบ ถ้าคิดจะดื่ม อย่างเมื่อวานมีปาร์ตี้ของที่ค่าย ผมก็ไม่ขับรถเลย ไปรถเพื่อนที่ไปร่วมงานที่ไม่ดื่ม หรือกลับแท็กซี่ เพราะรู้ว่าถ้าเราเป็นอะไรซักคน โห ลูกเรา ทำไงวะ แล้ว สิ่งที่กลัวทุกวันนี้เลยคือ กลัวไม่ได้เจอลูก แม่งคือ ทุกครั้งที่ออกมาทำงานคือทำใจเผื่อไว้เสมอว่า เราจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เราอาจจะเส้นเลือดในสมองแตกปุ๊บแล้วตายห่าไปเลย หรืออุบัติเหตุ หรืออะไรก็แล้วแต่ ชีวิตมันสั้นมากนะครับ เลยเราคิดเผื่อไว้ แต่ก็กลัว กลัวไม่ได้เจอลูก กลัวไม่ได้เห็นลูก ทุกวันนี้ในโทรศัพท์ รูปเซฟงานมีน้อยกว่ารูปลูกอีก รูปลูกคือโหเป็นพันอะ แต่ก็มีความสุข เป็นมิตินึง ใครที่แต่งงานแล้วอยากมีลูก คุณจะมีความสุข แต่คุณก็ต้องทำใจว่าคุณจะหายไปฝั่งนึง 100% แต่ชีวิตคุณมันเต็ม มันที่สุดจริง ๆ นะ คำว่าเราเคยรักใครซักคนมันยิ่งใหญ่เสียใจนะ ความรักของลูกแม่งสุดเลย ทุกวันนี้ เผลอ ๆ จะรักลูกมากกว่ารักเมีย (หัวเราะ) มันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ แล้วผมคิดว่าแฟนผมก็คงรู้สึกเหมือนกันว่า รักลูกมากกว่าลูกรักเราไปแล้ว รักแบบหนุ่มสาวสำหรับผมมันคือสิเน่หาในช่วงแรกก่อน มันคือความลุ่มหลง เค้าสวย ดูดี พอแต่งงานไปก็อยู่กันแบบรัก คนที่เป็นคู่ชีวิต คนที่เราขาดเค้าไม่ได้ แต่พอมีลูกมันรักแบบถวายชีวิต ถ้าลูกเป็นอะไรให้เป็นที่เรา อย่าเป็นที่ลูก ทุกวันนี้ไหว้พระหรืออะไรก็ตาม ขอเสมอว่า อะไรที่ไม่ดี ให้มาอยู่ที่เรา อย่าไปที่ลูกเรา ไว้ถ้าทุกคนมีลูกทุกคนจะเข้าใจ (หัวเราะ)

ยังเชื่อในวงการเพลงอยู่ไหม ยังเชื่อว่ามันเติบโตได้อีกไหม

เชื่อ (ตอบทันที) เชื่อ 100% ว่าวงการเพลงจะอยู่ต่อไปได้ วงการเพลงวันนี้ดีขึ้นกว่า 3-4 ปีที่แล้ว ผมว่า 3-4 ปีที่ผ่านมาซบเซา แต่ปีที่แล้วผมรู้สึกคึกคักมาก หรือค่ายผมคึกคักมากไม่รู้นะ (หัวเราะ) อย่างผมเริ่มเห็นว่าปีนี้อย่าง What The Duck เริ่มมีตัวที่แบบ สนุกเว้ย Wayfer ที่พี่โน่ทำอยู่ เมื่อวานก็เจอพี่บอล Scrubb ก็ได้คุยโปรเจกต์อันนึงที่พี่บอลเค้าคิดแล้วแบบ พี่ทำดิทำผมทำด้วย เราร่วมกันทำ หรืออย่างพี่โน่เค้าเริ่มมีตัวที่ มาว่ะ Wonderframe ผมไม่คิดว่าเค้าจะทำแบบนี้ เพราะก่อนหน้านั้นเค้าทำ My Life As Ali Thomas, Telex Telexs เท่ ดี แต่พอทำ Wonderframe ผมแบบ เฮ้ย พี่เอา พี่ก็สู้ พี่ไม่ยอมหรอก (หัวเราะ) ผมชอบ การผสมผสานคอนเทนต์ มันใช่ ผมฟังครั้งแรกแบบ เหี้ย โดน! ฮิตจริง น่าสนใจ ทำออกมาแล้วโดดเด่น ผมเลยรู้สึกว่าปีนี้ 2018 วงการเพลงโหมดที่เป็นค่ายเล็ก น่าจะสนุก ล่าสุดเห็น Smallroom ลงรูปน้องอิมเมจ รู้สึกเลยว่า เอาเว้ย ปีนี้แม่งมัน พี่ ๆ ทุกคนที่เป็นค่ายเพลงกำลังเอาจริง ผมอยากจะสนุกร่วมกัน สุดท้ายแล้วเราที่ทำค่ายเพลงก็เป็นเพื่อนที่น้องกันหมด มันจะสนุก เฮ้ยเรามีของอะไรมาโชว์กัน พี่มีอันนี้เว้ย ผมมีอันนี้เว้ย ก็เลยรู้สึกว่าวงการเพลงเราจะคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีทางตาย ผมเคยเครียดว่าเพลงมันจะตาย แต่พี่คนนึงพูดกับผมว่า ไม่ตายหรอก ตราบใดที่มีละคร โฆษณา มันก็ต้องมีเพลงทั้งนั้น แต่มึงปรับตัวยังไงล่ะพล เออจริง ทุกมีเดียมีเพลงประกอบหมด เพราะฉะนั้นทำได้ ไม่ตาย

ปีนี้จะได้เห็นอะไรจากพลและ Boxx บ้าง

ปีนี้ถ้าในส่วนของ Boxx line-up ที่เห็น ๆ ก็ยังดำเนินต่อ อย่างอิ้งค์ มีเป้าที่โตขึ้น เรื่องของอัลบั้มเต็มที่วางแผนไว้ พี่ปอย ก็มีคอนเสิร์ต Black Valentine แล้วพี่ปอยซักปี 2019 ควรจะปิดอัลบั้มที่ลากมาตั้งแต่แบบ เจ็บจนไม่เข้าใจ, โลกที่ไม่มีเธอ กำลังทำซิงเกิ้ลต่อ แล้วก็ควรจะปิดให้เป็นอัลบั้มนึง The Kastle กำลังพัฒนาอยู่ เพิ่งปิดอัลบั้มไปปลายปี น้องมาร์ค เพลงล่าสุดก็ทำเสร็จแล้ว แล้วก็มี O-Pavee ที่มาอยู่กับทาง Boxx น้องบีน ดันขึ้นมาทำให้เป็นตัวหลัก น้องฝ้าย เพิ่งเข้ามาอยู่ มีวงที่น่าสนใจ และรู้สึกว่าเด็กพวกนี้ก็ว้าวเหมือนกัน เดินมาส่งเพลงเองเลย ชื่อ Foam ดีมาก เก่ง ผมว่าเด็กพวกนี้พรสวรรค์ เอาเพลงมาให้ฟังครั้งแรกแล้วก็ว้าวแล้ว เด็กพวกนี้มันมีเซนส์ป๊อปว่ะ เก่ง รอดูเลย อันนี้วางเป้าไกลมาก นอกจากจะมีฝีไม้ลายมือ มีโปรดักชันที่เก่ง ทำเพลงเองได้แล้ว เป้าคือ ต้องเป็นไอดอล ผมจะบอกน้อง ๆ ว่า ลองมุ่งมั่นเรื่องนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวต่อไปมาว่ากัน อันนี้เป็นวงที่ต้น ๆ ปีนี้จะได้ฟัง ดีด้วย

img_3401

สุดท้ายนี้เรามีโอกาสจะได้เห็นการกลับมารวมตัวของแคลชมั้ย

พวกเราก็คุยกันอยู่ จริง ๆ แล้วเรากลับมาฝึกซ้อมกันเรื่อย ๆ เพราะว่าผมเองตั้งแต่จบจากแคลชผมฝึกกีตาร์น้อยมากเลยอะ เรียกว่าไม่ได้ฝึก (หัวเราะ) เพราะว่าไม่ได้ใช้ แล้วเราก็ไปคิดเรื่องทำเพลง บริหารคน บริหารโปรดักชัน หลัง ๆ ผมอัดเองบ้าง แต่การอัดเองกับฝึกจริงจังเพื่อทำแคลชมันคนละแบบ อัดอะเราอัดได้อยู่แล้ว เพราะว่าสกิลมันติดตัว แต่การกลับมาฝึกเพื่อไปซ้อมกับแคลชนี่มันเป็นอีกแบบ มันทำให้รู้ว่า โอ้ย เพลงเราแม่งยากว่ะ เล่นไม่ได้ วันแรกมาซ้อมกันงงอะ (หัวเราะ) จับแล้วแบบ เหี้ย ลูกนี้กูเคยเล่นได้กูเล่นไม่ได้ ทุกคนเลยนะ ยักษ์ก็แบบ ลูกนี้เคยตีได้ก็ตีไม่ได้ อะไรอย่างนั้น ลูกที่เราทำได้ปกติจนชินมือมันกลายเป็นทำไม่ได้ ไม่คล่อง อะไรแบบนี้ ก็เลยต้องกลับมาฝึกซ้อม นัดซ้อมกันอาทิตย์นึงวันสองวัน สามสี่ชั่วโมง ซ้อม ทวนไปเรื่อย ๆ ช่วงนี้วางแผนเรื่องของปีนี้ว่าเราจะมีคอนเสิร์ตเมื่อไหร่ เราจะมีอัลบั้มมั้ย วิธีคิดของพวกเรามันเป็นยังไง เรานั่งคุยกันก็บอกกับเพื่อน ผมก็เปลี่ยนนะ ผมไม่ใช่พลแคลชเมื่อ 10 ปีที่แล้วอีกแล้ว ผมแดง ผมฟ้า วันนี้ผมก็ไม่ใช่อีกแล้ว คือวันนั้นมันก็เป็นไปตามยุคตามสมัย เราก็แบบ เฮ้ย ถ้าจะกลับมาทำ ผมก็บอกเพื่อนว่า กูก็คงไม่ได้แต่งตัวแบบนั้นอีกแล้วนะเว้ย (หัวเราะ) ผมก็จะมี reference เลย กูอยากแต่งตัวแบบนี้ว่ะ มันเป็นเรื่องยากเหมือนกัน ต่างคนต่างไปมีอาชีพของตัวเองอะ การที่เราจะทิ้งอาชีพ มันก็ทิ้งไม่ได้ สุดท้ายเราก็ต้องทำควบคู่ แต่บาลานซ์ยังไง ให้มันเดินคู่กันไปได้ แต่ว่า คิดว่าภายในปีนี้ที่เราจะกลับมาทำงานกัน แต่ว่าเรื่องเวลา ยังสรุปไม่ได้ เป็นเรื่องที่ยากที่สุด ทุกวันนี้จะหาเวลาซ้อมเนี่ยโยนกันในกรุ้ปไลน์  เอ้ย กูว่างวันนี้ กูว่างวันนี้ กูว่างวันนี้ ไอ้เหี้ย ไม่มีวันว่างเลย (หัวเราะ) แยกย้ายก่อน เดี๋ยวค่อยคุย แต่คงได้เจอกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ Boxx Music ได้ที่ https://www.facebook.com/boxxmusicteam/

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่