Article Interview

การขยับย้ายทศวรรษจาก 80s สู่ 90s ของ Polycat กับเพลงใหม่ ‘อาวรณ์’

  • Writer: Kunchanit Liengudom
  • Photographer: Chavit Mayot

หากจะบอกว่า Polycat ทำเพลงอะไรออกมาก็ดัง ก็คงจะไม่ผิดนัก ในเมื่อเพลงของพวกเขามันช่างมีเอกลักษณ์และฟังติดหูเสียเหลือเกิน คราวนี้ก็เช่นกันกับการออกซิงเกิลล่าสุด ‘อาวรณ์’ ที่อันดับพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วในชาร์ตฟังใจ และสามารถครองอันดับสูง ๆ ได้อยู่จนถึงตอนนี้ แถมด้วยมิวสิกวิดีโอที่ได้ฟีล 90s ไปเต็ม ๆ เข้ากับตัวเพลงจนถูกใจใครหลาย ๆ คนที่ได้ดู เราก็ไม่พลาดที่จะนำสมาชิก Polycat ทั้งนะ โต้ง และเพียวมาพูดคุยกับเราถึงซิงเกิลตัวนี้ด้วย

ที่มาของเพลง ‘อาวรณ์’

นะ: คือเราอยากเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องที่ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเคยเจอ ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนก็น่าจะพอลิงก์กับมันได้ คิดว่าทุกคนน่าจะจำวันเกิดของใครสักคนได้อะ อาจจะไม่ใช่แค่แฟนเก่า แต่จำวันเกิดแม่หรือพี่ชายตัวเองได้อะไรแบบนี้

ไอเดียคำพ้อง ‘อาวรณ์อยู่’ กับ ‘I want you’ ที่เป็นท่อนหลักของเพลง

นะ: เหมือนกับตอนแต่งเพลงอยู่ก็ร้องคำว่า ‘I want you’ ขึ้นมา แล้วเราก็ไม่อยากจะร้องเป็นภาษาอังกฤษเลยได้คำว่า ‘อาวรณ์’ มาแล้วก็ร้องเป็นคำนี้แทน

สิ่งของหรือบุคคลที่ฉันยังอาวรณ์อยู่ 

นะ: เครื่องเกมครับ กันดั้มอะไรแบบนี้ พวกของเล่นตอนเด็ก ๆ

เพียว: ของผมเป็นพี่ชื่อ ‘ต้นฉิบ’ ครับ จริง ๆ คือเขาเสียไปแล้ว เขาเป็นโปรดักชันที่ Smallroom เราสนิทกับเขามาก เหมือนเป็นฟีลว่าเราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพ ฯ เหมือนกัน แล้วเราก็เชียร์อัพกันอยู่เรื่อย ๆ ว่าเราจะต้องอยู่ในกรุงเทพ ฯ ยังไง ตอนนั้นเขาก็จะเมา ๆ หน่อยแบบ ‘กูอะอยากจะกลับ แต่กูกลับแล้วแม่งไม่เท่ เดี๋ยวคนที่บ้านจะนินทาว่าแม่งไปกรุงเทพ ฯ แค่ไม่กี่ปีก็ต้องกลับมาบ้านแล้ว’ จริง ๆ ที่ค่ายมันก็จะเป็นฟีลเหมือนอยู่ใต้ตึกมหาลัยอะไรแบบนี้ รุ่นพี่รุ่นน้องมันก็จะสนิทกันหมด เขาก็เป็นเหมือนพี่ เป็นเพื่อนคนนึงที่อยู่ด้วยกัน

โต้ง: ผมเป็นคีย์บอร์ดตัวแรกแล้วกันครับ ชื่อว่า ‘Poly-800’ คือมันหายไปอย่างมีเงื่อนงำ อยู่ดี ๆ มันก็หายไปไหนไม่รู้

เพียว: เหมือนเราไปเล่นกลางคืนครับ เบส กีตาร์ แล้วก็อุปกรณ์ทุกอย่างจะอยู่ท้ายรถแท็กซี่ทั้งหมด ปิดท้ายด้วยคีย์บอร์ดของพี่โต้งแล้วค่อยปิดกระโปรงรถ ที่นี้ตอนอยู่ที่ร้านก็ไม่มีอะไรครับ แต่ขากลับพอมาถึงแล้วเปิดดู คีย์บอร์ดหายครับ แต่ทุกคนก็จำได้ว่าวางมันไว้หลังรถแท็กซี่แล้ว ก็เลยสันนิษฐานกันว่าน่าจะปิดหลังไม่สนิท คีย์บอร์ดก็เลยกระดอนออกไปแค่ชิ้นเดียวแล้วกระโปรงรถมันก็ค่อยกลับมาปิดสนิทอีกทีนึง อย่างอื่นก็เลยอยู่ครบ

นะ: เป็นตัวที่เป็นที่มาของชื่อวงด้วยนะ

เพียว: คือซื้อมาตัวนี้ดีที่สุดละ หลังจากนั้นเราก็ซื้อ Poly มาอีกประมาณ 3-4 ตัว (โต้ง: ไม่มีตัวไหนดีเลย) พังมั่ง เสียมั่ง คือตัวนั้นมันเป็นตัวแรกและเป็นตัวที่สมบูรณ์ที่สุดแล้วครับ

จากท่อน ‘ถ้าพรของฉันที่ให้ไป ศักดิ์สิทธิ์กว่าพระอาจารย์ที่ใด’ แต่ละคนเคยมีประสบการณ์ไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไปให้พระอาจารย์เจิมอะไรแบบนี้มาบ้างไหม

เพียว: ของผมมีตอนเด็กมาก ๆ ประมาณมอสองครับ เราก็ประกวดดนตรีภายในโรงเรียนกัน เพื่อนมันอุตริไปบนกับเจ้าดารารัศมีที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน บอกว่าถ้าได้ที่ 1-3 จะเดินขึ้นดอยสุเทพ แต่ยกเว้นมือคีย์บอร์ดนะเพราะมือคีย์บอร์ดเป็นลูคีเมียครับ คือมันไปบนไว้อย่างนี้เสร็จเลยนะแล้วค่อยมาบอกเราวันแข่ง แล้วก็เหมือนจะได้ที่สองก็เลยต้องเดิน ศักดิ์สิทธิ์กว่าพระอาจารย์ครับ ต้องเดินขึ้นดอยสุเทพเลย

นะ: มีสิทธิ์โดนเยอะมากเลยนะที่ 1-3 บนอะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ)

เพียว: แต่ตอนนั้นมันมอสองอะ เดินขึ้นดอยสุเทพก็สนุกดี แต่ไม่เอาอีกแล้วนะ

นะ: ของผมไม่ค่อยมีอะ อาจจะมีแค่ที่บ้านแบบให้อาม่าผูกข้อมือให้ ให้พรแล้วก็ผูกข้อมือ ไม่ได้ไปบนแบบที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนอะไร

โต้ง: เคยตอนมอหกครับ ตอนนั้นจะสอบเข้ามช. แล้วเขาบอกว่าไปเดินวัดที่น่าน ชื่อวัดอะไรจำไม่ได้แล้ว เดินจากข้างล่างขึ้นข้างบนซึ่งมันสูงอะ เขาบอกว่าเดินขึ้นไปแล้วจะขออะไรก็ได้ ก็เลยขอให้สอบติดมช.ครับ

นะ: ติดเลย?

โต้ง: ไม่ติดครับ

เพียว: ติดร้านเกมเลยปีนึง (หัวเราะ)

นะ: จริง ๆ เป็นคนไม่ค่อยเชื่อในอะไรพวกนี้อยู่แล้วครับ ค่อนข้างที่จะเคลือบแคลงด้วยซ้ำผมอะ แต่ไม่ถึงกับขวางโลก จริง ๆ ประโยคนี้ที่แต่งในเพลงออกจะเป็นประโยคเคลือบแคลงศาสนาด้วยซ้ำ แบบถ้าพรกูศักดิ์สิทธิ์จริงอะ จะขอให้ยังงั้นยังงี้นะ เพราะมันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว มันก็เลยพูดไปอย่างนั้น ที่มาของท่อนนี้มันมาจากเวลามีคนมาขอให้เราถ่ายคลิปอวยพรวันเกิดให้เพื่อนเขา เราก็จะบอกว่าพี่ไม่มีพร ถึงพี่บอกให้น้องรวย น้องก็ไม่รวยหรอก อะไรแบบนี้ คือเราพูดไปมันไม่เป็นจริงหรอก แต่จะพูดให้ก็ได้

องค์ประกอบเสียงเดาะลิ้นในเพลงมีที่มาจากไหน 

นะ: ความจริงองค์ประกอบพวกนี้มันอยู่ในเพลงโซลอยู่แล้วครับ ผมจะชอบฟัง Pharrell Williams อะ อย่างเพลง Drop It Like It’s Hot เนี่ยมันจะมีพวกเสียงเคาะแก้ม เพราะโดยธรรมชาติเพลง Pharrell เขาจะมีองค์ประกอบ percussion เยอะมาก โดยที่ไม่ต้องใส่เครื่องดนตรีอื่นก็ทำให้เพลงมันดูเต็มได้แล้ว แล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ดี คือจุดกำเนิดเริ่มแรกของดนตรีมันเกิดจากการเคาะ โป๊ก ๆ เป๊าะ ๆ อะไรแบบนี้ ก็เลยหยิบองค์ประกอบพวกนี้มาใส่ในเพลงให้มันดูโซลขึ้น

มีคนบอกด้วยว่าตัว mv ได้อารมณ์ Jackson 5 หรือ Boyz II Men ทำไมเราถึงเลือกใช้นักแสดงผิวสีในครั้งนี้

นะ: ความจริงก็ถูกความตั้งใจอยู่ครับ อยากทำให้เขา remind ถึงยุคนั้น คือถ้าเขาไม่เคยรู้จัก Jackson 5 หรือ Boyz II Men เขาก็จะคิดไม่ออกเลยนะว่าเป็นใคร ถ้าเขาคิดถึงอะแปลว่าใช่ ถูกต้องแล้ว เราคุยกันรู้เรื่อง

เพียว: เพราะว่าฉาก sync ที่สามคนร้องพร้อมกันในท่อนฮุคมันคืออะไรที่ 90s ทำกันเยอะมาก ซึ่งเราก็ตั้งใจที่จะสื่อไปถึง

วงบอยแบนด์ / ศิลปินผิวสีที่เราชอบ

นะ: ชอบ Surface ครับ Mint Condition ก็ชอบครับ จะเป็นบอยแบนด์ที่เล่นดนตรีเก่ง

เพียว: จริง ๆ ถ้าเป็นนักดนตรีก็จะมีเยอะนะครับ อย่างฝั่ง Victor Wooten หรือว่า Marcus Miller อะไรพวกนี้ โดยพื้นฐานแล้วเขาก็จะเป็นเพลง jazz r&b อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นคนผิวสีก็จะมี groove อยู่ในคอมมอนเซนส์ของเขา

โต้ง: TLC ครับ เป็นผู้หญิงสามคน

ทำไมถึงปล่อย mv เวอร์ชันที่มี pilot เทียบออกมาด้วย

เพียว: จริง ๆ ไม่ได้คิดซับซ้อนอะไรมากขนาดนั้น ก็แค่ไม่อยากปล่อย behind the scene แบบ ‘อะ วันนี้เรามาถ่ายกัน เป็นไงครับ เหนื่อยไหม ร้อนไหม? โอ้ร้อนมากเลยครับ นี่ถ่ายไปแล้วแปดช็อต’ คือ behind the scene ปกติมันจะเป็นแบบนี้ใช่ไหม แต่เหมือนวิธีการทำงานของเรามันเริ่มมาจากสิ่งที่เรามี ซึ่งก็คือน้องฝึกงานและกล้องมือถือที่ดีที่สุดในค่าย ถ่ายแบบช็อตบายช็อต เหมือนพี่ รุ่ง – รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ก็บอกว่าอยากได้ มันจะได้ทำงานได้ง่ายขึ้นในเวลาที่จำกัด เพราะว่านักแสดงมีเวลาแค่หนึ่งวัน แต่จริง ๆ ต้องใช้เวลาถึงประมาณสองวันครึ่ง เราก็เลยย่นมาเป็นแค่หนึ่งวันกับอีกสามชั่วโมงในวันถัดไปอะไรแบบนี้ ซึ่งนี่คือวิธีการทำงานที่ถ้าเราทำให้มันเห็นภาพมากที่สุด ถึงเวลาถ่ายจริงมันก็จะตามนี้แหละ

ระหว่างช่วงที่ผ่านมาทั้ง Polycat หรือ นะ เองก็มีผลงานไป featuring กับศิลปินอื่นค่อนข้างเยอะ คิดว่าเป็นเพราะอะไรเขาถึงเรียกเราไปร่วมงานด้วยบ่อยขนาดนี้

นะ: ถ้าคนที่บอกเหตุผลจะมีพี่ ก้อ – ณฐพล ศรีจอมขวัญ มี Machina อย่างพี่ก้อเขาจะชอบสไตล์วงครับ บอกว่าตอน พบกันใหม่ เนี่ยเขาทัวร์อยู่ในรถตู้ แล้วเขาเปิดเพลงนี้ให้ฟังแล้วพี่เขาก็ชอบ ชอบสไตล์การเขียนเพลงของผม เขาก็เลยให้ผมเขียน ส่วน Machina ก็เป็นน้องที่รู้จักกันอยู่แล้ว บางทีก็เอามาเล่นแทนโต้งในบางงานที่โต้งไม่ว่าง หรือ Machina เคยมารีมิกซ์งานให้ฟรี ๆ คือเรารู้สไตล์กันอยู่แล้วอะ การทำงานครั้งนี้เลยเหมือนเป็นการตอบแทนกันมากกว่า นอกนั้นก็มีการติดต่อมาว่าว่างไหม มีเพลงอยากให้ร้อง ทั่วไปครับ

เราได้เรียนรู้อะไรจากการไป featuring กับศิลปินคนอื่น ๆ บ้าง

นะ: ส่วนมากจะได้รู้จักตัวตนของเขามากกว่า ที่มันไม่เหมือนกับตอนเรายังไม่รู้จักเขา คือการไปฟีตกับวง Klear ทำให้ผมมาอ่าน ‘Liar Game’ มันจะมีบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับดนตรีเลย เราจะรู้ไลฟ์สไตล์เขามากขึ้น พอรู้ไลฟ์สไตล์เขาก็ทำงานด้วยกันง่ายขึ้น สื่อสารกันง่ายขึ้น อย่างวง Pause อย่างเนี้ย พอเข้าไปรู้จักจริง ๆ เขาไม่ได้ดูซีเรียส ไม่ได้ดูแก่นะ

ในฐานะที่ นะ เป็นนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ เรามีอะไรจะแนะนำหรือบอกกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ บ้างไหม 

นะ: จริง ๆ ตอนนี้ให้เขาทำไปก่อนครับ ถ้ารีบมารับฟังคำแนะนำของเรามันจะรู้สึกว่ายากจัง คือตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสของน้อง ๆ ที่จะแบบทำไปเลย แต่ว่าถ้าใครรู้สึกว่าถึงจุดหนึ่งที่พร้อมจะรับคำแนะนำแล้ว ผมก็จะบอกว่า การเป็นตัวเองสำคัญที่สุด หมายถึงวิธีการเขียนเพลงหรือทำเพลง ‘การเป็นตัวเอง’ คำนี้มันสั้น ๆ แต่ทำเป็นเล็กเชอร์ได้อีกหลายชั่วโมงเลยนะ ถ้าจะพูดให้สั้นที่สุดแบบที่พอจะลงในสัมภาษณ์นี้ได้ก็คือ สมมติว่ามันจะมีจุดหนึ่งที่แบบ ‘มันจะเป็นตัวเองได้ไงวะพี่ ในเมื่อถ้าทำเพลงร็อกแบบนี้ Bodyslam ก็ทำแล้ว Big Ass ก็ทำแล้ว’ อย่าไปแคร์ว่ามันจะซ้ำกับใครอะ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเราเป็นตัวเองมากที่สุด การที่เราถูกเลี้ยงดูมาแล้วทำให้เราเป็นคนแบบนี้ มันจะไม่ซ้ำกับใครในโลก วิธีที่เราพูดออกไป มันจะไม่ซ้ำกับใครเลย ถึงแม้เราจะใช้คำพูดเหมือนกันแต่อินเนอร์ในตัวเรามันจะไม่เหมือนใคร เราต้องหาตรงนั้นให้เจอ

คิดว่า Polycat ผ่านช่วงที่พีคมาก ๆ มาแล้ว เรากดดันหรือคาดหวังบ้างไหมกับการทำซิงเกิลต่อ ๆ ไป

นะ: คาดหวังให้มีกลุ่มที่เข้าใจเราจริง ๆ มากขึ้น คือตอนที่เราผ่านช่วงนั้นมาอะครับ เราจะได้ไปเล่นงานที่ไม่ใช่พวกเราเลยเยอะมาก (โต้ง: เป็นที่ที่เราไม่ควรไปอยู่) ใช่ เราจะรู้สึกว่าผิดที่ผิดทางมาก ๆ แบบ ‘ขอหมอลำหน่อย’ ‘ขอ สืบพันธุ์ หน่อย’ ชื่อเพลงนะครับ ชื่อเพลง (หัวเราะ) มีคนที่มาเพื่อถ่ายรูปเพื่อที่จะอวดเพื่อนว่าเจอวงนี้แล้วนะวงที่เขาพูดถึงแบบเนี้ย โดยที่เขาไม่ได้สนใจเลยว่าเราเป็นแนวอะไรหรือเรามีเพลงอะไร เราหวังว่าเราจะไม่ไปเจอที่แบบนั้นบ่อย ๆ ครับ

โต้ง: ควรไปอยู่แบบถูกที่ถูกทางมากกว่านี้นิดนึง

เพียว: เราไม่หวังแต่หวังไง ในโซนที่ไม่หวังก็คือเราก็ทำกันแบบนี้แหละ ส่วนโซนที่หวังก็คงเป็นคนที่เข้าใจเรา

แต่ว่าเราไม่ได้กดดันอะไรใช่ไหม

นะ: ไม่กดดันครับ เหมือนสิ่งที่กดดันก็คือจะทำยังไงให้เราไปเจอคนที่เข้าใจเราเนี่ยแหละ แต่ว่ามันทำอะไรไม่ได้จริง ๆ ครับ มันเป็นเรื่องที่เราคอนโทรลไม่ได้ เราก็เลยไม่ได้กดดัน

จากอัลบั้มที่แล้ว 80 Kisses จนมาเพลงนี้ก็เป็นแนว 90s แบบนี้เพลงต่อ ๆ ไปของเราจะขยับข้ามทศวรรษไปอีกไหม

นะ: ต้องบอกก่อนว่าที่เพลงนี้มันออกมาเป็น 90s เป็นเพราะว่าเราพยายามจะใส่ r&b และโซลลงไปใน 80s อัลบั้มต่อไปเนี่ยมันไม่มียุคแต่ว่ามันจะมีความเป็นโซลสูงมาก พอสองอันนี้มาเจอกันมันเลยออกมาเป็น 90s ไปโดยปริยาย เพราะว่าฮิปฮอป โซล หรือ r&b คือยุคทองของมันเลย แต่ว่าโทนในอัลบั้มจริง ๆ แล้วมันเป็นโซล นีโอโซลจริงจัง ซึ่งไม่ได้ตั้งใจให้มันอยู่ในยุคไหน แต่ว่าถ้าคนฟังจะฟังแล้วรู้สึกว่ามันอยู่ในยุคนั้นยุคนี้ก็ไม่ผิด เป็นเรื่องของแต่ละคนครับ

พัฒนาการและการปรับเปลี่ยนแนวเพลงจากอัลบั้มแรก 05:57

เพียว: 05:57 ตอนนั้นเป็นซินธ์ป๊อปร่วมสมัย

นะ: ความจริงมันก็คือ 80s ที่ย่อยมาแล้ว เป็นการหยิบเอา 80s มาผสมความใหม่ ความแดนซ์อะไรแบบนี้ให้มันดูร่วมสมัย ซึ่งเราก็ทำมาแล้ว แต่พอมาถึงจุด ๆ หนึ่งก็อยากที่จะทำ 80s แบบจริง ๆ จัง ๆ ที่ไม่ผสมอะไรเลย ก็เลยออกมาเป็น 80 Kisses

มีแฟน ๆ เรียกร้องคอนเสิร์ตใหญ่อยู่นะ 

โต้ง: สักสิบปีแล้วกัน (หัวเราะ) นี่ก็ปีที่เจ็ดแล้ว อีกสามปี

เพียว: มันยากมากเลยนะสำหรับผม คอนเสิร์ตใหญ่เนี่ย หมายถึงว่าให้เล่นดนตรีเราเล่นได้ครับ เราสามารถเล่นเพลงที่เรามีอยู่ เพลงที่เราแต่งกันมาได้ แต่ว่าพอเป็นคอนเสิร์ตใหญ่มันไม่ใช่แค่นั้นอะ

นะ: คือมันทุกจุดเลยอะ จุดที่ใหญ่ที่สุดเรายังต้องคิด เรายังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าเราต้องไปทางไหน ควรเอาใจใคร ขนาดตอน Crossplay เราตามใจตัวเองมาก ๆ ยังโดนด่าเลย ตอนนั้นมันจะมีเซ็ตหนึ่งที่แบบนีโอโซลมาก ๆ อาจจะเพราะฟังยากด้วย groove แบบนั้น

เพียว: คือมีคนด่า ก็ไม่ได้ด่าเสียหายขนาดนั้นนะ แต่ตอนนั้นเรามันกันสัด ๆ อะ

นะ: ‘คอนเสิร์ตใหญ่ต้องเป็นตัวเองมาก ๆ’ อันนี้เราก็บอกได้เลยว่าเราเป็นตัวของตัวเองมาก ๆ นะใน Crossplay อะ แต่เราก็โดนด่า แล้วตกลงกูต้องยังไงวะ ต้องเล่นเหมือนเดิมในแผ่นเลยไหม เราเลยไม่รู้ว่าเราต้องเป็นตัวเองแบบสุด ๆ หรือต้องเอาใจเขาด้วย แค่นี้ยังต้องคิดเลย จุดที่ simple มาก ๆ แค่นี้เรายังไม่แน่ใจเลย

เราเป็นวงที่เอาแต่ใจนะจริง ๆ แล้ว ซึ่งมันไม่มีใครรับได้กับทุกเรื่องหรอกใช่ไหม สมมติเพียวมีแฟนเป็นผม ซึ่งผมคือ Polycat แล้วผมเป็นคนที่จะทำอะไรก็ทำ จะพูดอะไรก็พูด ซึ่งมันไม่มีใครรับได้กับทุกเรื่องที่ไอ้คนนี้จะพูดได้แน่ ๆ ดังนั้นก็อาจจะมีบางจุดที่เราต้องเปลี่ยน ต้องถนอมน้ำใจคนอื่นบ้าง แต่ว่าพอมันไปอยู่ในมุมของศิลปะแล้ว มันจำเป็นหรือเปล่า คนวาดรูป วินเซนต์ แวนโกะ อย่างเนี้ย ต้องวาดรูปเอาใจคนซื้อหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่ คือต้องถามว่าเราอยู่ในศิลปะระดับไหน พูดแล้วซีเรียสเลย

เพียว: กลายเป็นคอนเทนต์เครียด ๆ (หัวเราะ)

อย่าเพิ่งเครียดกัน พักเบรกด้วยช่วงขายของดีกว่า แต่ละคนมีโปรเจกต์เดี่ยวอะไรกันบ้างไหม 

นะ: ผมมี SLEEPTWICE ครับ คือผมทำมาเรื่อย ๆ อยู่แล้วตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับจังหวะที่ดี คือมีวง YMCK ที่ญี่ปุ่น เป็นวง 8-bit ชวนผมไปเล่นพอดี มันช่ือ Chip Union Festival ที่รวมศิลปิน chiptune ทั่วโลกมาอยู่ในงานเดียว ซึ่งผมก็เป็นคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ไปอยู่ในงานนั้น

เพียว: ผมจะมีมานานแล้วครับ เป็นดนตรีเพื่อสันติภาพ ทำกับคุณต๊อบ วงชนุดม ก็คือมือกลอง Polycat ด้วย จริงๆ เขาชวนผมมานานมากแล้ว แต่ช่วงนี้เขาเป็นผีครับ ไปรับเล่นหลายวง ไปตีให้วงนั้นวงนี้ แต่เขาก็คุยกับผมว่าจะทำดนตรีเพื่อสันติภาพอยู่นะ (FJZ: ดนตรีเพื่อสันติภาพนี่คืออะไร) ‘Love, peace, no war’ เราจะสันติภาพกันครับ แต่ยังไม่ได้คิดคอนเซ็ปต์อะไรขนาดนั้น จริง ๆ มีสามคนคือ กลอง เบส กีตาร์ ซึ่งมือกีตาร์ก็คือ ตาเบิร์ด Desktop Error

โต้ง: ผมไม่มีเลยครับ เลี้ยงแมวไปวัน ๆ

ไม่เกี่ยวกับดนตรีก็ได้นะ

เพียว: ไม่ต้องดนตรีก็ได้ใช่ไหมครับ งั้นผมเอาอันนี้ ดูจับต้องได้ง่ายกว่า วาตานาเบ้ ฟู้ดส์ วัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นทุกอย่างที่เชียงใหม่ครับ (โต้ง: ใกล้เจ๊งแล้วรีบโปรโมต) เป็นธุรกิจที่บ้านที่แม่ดูแลครับ แต่ว่าผมก็ต้องรู้ระบบข้างในอยู่ดีเพราะสักวันหนึ่งผมก็ต้องไปแทนแม่ ไปได้นะครับ อยู่ตรง ปตท. ตลาดเมืองใหม่ครับ

Polycat

ฝากเพลงทิ้งท้ายกันเถอะ

นะ: ฝากเพลง อาวรณ์ ครับ แฟนเพลงฟังใจชอบแน่นอน

โต้ง: เนี่ยแหละ ถูกที่ถูกทาง

เพียว: เรียกว่าเราเคย take over ชาร์ตฟังใจมาแล้ว อันดับ 1-20 เป็น Polycat หมดเลย แล้วคนก็ด่าว่ามึงยัดเงินปะเนี่ย (หัวเราะ) ครับ ก็ฝากเพลงด้วย เพราะว่าเวลาที่เราได้ไปเล่นงานที่เกี่ยวกับฟังใจหรือไปดูคอนเสิร์ตก็ตาม เรารู้สึกว่านี่คือหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้าใจเราจริง ๆ ขอบคุณครับ

Facebook Comments

Next:


Kunchanit Liengudom

นิดหน่อย อินเทิร์น ณ ฟังใจ, สิงหา-กันยา ปี 61 ช่วงที่เพื่อนฝึกงานออกกันไปหมดแล้ว รักการดูหนัง ชื่นชอบการฟังเพลงที่ร้องตามได้เป็นพิเศษ