Safeplanet

Article Interview

พื้นที่ปลอดภัยสำหรับบทเพลงของ Safeplanet

  • Writer: Montipa Virojpan / Gandit Panthong
  • Photographer: Nattanich Chanaritichai

Safeplanet X Fungjaizine ชวนมาพูดคุยถึงเส้นทางดนตรีในบรรยากาศซาฟารีเขตร้อนกลางเขาดิน จะระอุแค่ไหนเข้ามาอ่านได้เลย

sf_04

Safeplanet เกิดขึ้นมาได้ยังไง

เอ: Safeplanet เกิดขึ้นมาจากเอกับดอยครับ คือเราเคยเล่นด้วยกันตั้งแต่วงเก่า Shadow Flare แล้วพอเล่นมาสักพักวงมันก็มี direction ที่ต่างกัน คนมันก็ชอบคนละแบบ เอกับดอยน่าจะใกล้เคียงกันสุดก็เลยคุยกันว่าจะมาทำกันต่อด้วยกันสองคนแล้วค่อยรวมทีมกันไปเรื่อย ๆ

ดอย: แล้วตอนที่เล่นสดกันสองคนก็พยายามดึงคนที่เล่นดนตรีกับเรามาช่วยเล่น ตอนแรกก็มีน้องภัค Jelly Rocket มีน้องปูน Zweedz n’ Roll ก็คือเรียกเพื่อนมาเล่นเรื่อย ๆ ส่วนมือเบสเนี่ย ตอนแรกไม่ใช่สมาชิกวงหรอก แต่อยู่สองคนมันก็เหงา ๆ และโคตรเปลืองตังค์ เลยหาคนมาหาร (หัวเราะ) ตอนนั้นผมกับยี่เรียนที่เดียวกัน ที่ดุริยางค์มหิดล แล้วยี่ก็เป็นรุ่นน้องที่เชียงใหม่ ก็เลยชวนยี่มาเล่น Safeplanet เพราะก็ฟังเพลงแปลก ๆ เหมือนกัน สไตล์ใกล้เคียงกัน เราอยากได้เคมีใหม่ ๆ มารวมกับเรา ยี่ก็ตอบตกลง

มีแพลนจะเพิ่มสมาชิกคนอื่น ๆ เพื่อจะได้ซ้อมหรือไปเล่นง่ายขึ้นไหม

ดอย: ไม่มีครับ แต่ก็ไม่แน่ ในอนาคตอาจจะมีก็ได้ เอาจริงก็อยากได้ซาวนด์คีย์บอร์ด ต้องดูว่าเพลงต่อไปจะมีเสียงอะไรที่มากขึ้นหรือเปล่า ตอนนี้ก็เหมือนวงที่ใช้กีตาร์กับคอรัสเสียส่วนใหญ่ ตอนนี้ก็น่าจะโอเคอยู่

เอ: แต่เพลงของเรายังไม่ได้ arrange ให้มีเครื่องอื่นมา ก็เลยยังคิดไม่ออกว่าจะให้มาเล่นอะไร เหมือนตอนนี้เรายังคอนโทรลได้ ถ้ามีอีกคนมาเพิ่มแล้วทำให้ direction เราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็อยากได้

ทำไมถึงเป็น Safeplanet

เอ: เราอยากมีที่ปลอดภัยที่จะสร้างงาน อัพอะไรลงก็ได้ พอมีผลงานก็เอามาลง เหมือนเราไม่มีที่โชว์งานมากกว่า Safeplanet เขียนติดกัน ไม่เว้นวรรคนะครับ

ดอย: Planet มันก็เหมือนดาวเคราะห์ เราก็ชอบคำนี้ อยากมีพื้นที่ที่เราใส่สิ่งที่เราชอบ ความเป็นตัวเรา โดยที่เราก็ปลอดภัย ไม่มีถูกผิด

เพลงของ Safeplanet เป็นแบบไหน

เอ: คนเขาเรียก indie pop นะ แต่เราไม่รู้ว่าเรียกแบบไหนเพราะเราฟังเพลงกันหลากหลาย เหมือนเราเป็น indie pop เพราะการทำงานของเราปะ แต่ถ้าถามว่ามันออกมาเป็นอะไร เราไม่รู้ แต่เราตั้งใจเอาส่วนผสมที่เราชอบบวก ๆ กัน แล้วพยายามวิเคราะห์ดู ส่วนไอ้ปลายทางนั้นเราไม่เคยกำหนดให้มันเป็น dream pop หรือ contemporary แต่เราแค่ลุ้นว่าตอนสุดท้ายจะออกมาเป็นแบบไหนมากกว่า เพราะเราชอบพวกเครื่องไม้ ชอบเสียง percussion อยู่แล้ว มันก็เลยตั้งต้นกันง่ายว่าคอนเซปต์มันจะเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นแล้วออกดิน ๆ ไม้ ๆ ที่มันมี attack มากกว่า ชอบเสียงไม้ ชอบเสียงเคาะ ชอบเสียงสะบัด อยากมีเสียงคนป่าในเพลงอยู่แล้ว

เอ: ชอบเสียงธรรมชาติ คนป่า สนใจ world music ชอบวัฒนธรรม

ซึ่งเพลงใหม่ฟังดูมีความ oriental ด้วย

เอ: เพราะเราก็เป็นชาวเอเชียนเนอะ เป็นลูกคนจีน (หัวเราะ) เราชอบความเป็นตะวันออก ความไทย ๆ บางอย่าง ก็อยากทำให้ซาวนด์ตรงนั้นไม่เหมือนชาวบ้านมากกว่า เหมือนเราเคยได้ยินว่า โอฮะโอฮะโอฮะโอ เราก็ดัดให้เป็นแบบของเรา

โอยา คืออะไร

เอ: เหมือนเราจิ้มคีย์บอร์ดหาเสียงคนป่า แล้วมันมีเสียงนึงที่โดนใจมาก เพราะมันเป็นเสียง โอยาาาาาา กดตัวไหนก็เป็นโอยา แล้วก็ไม่มีความ make sense อะไรที่เอามาใส่กับเพลง แต่มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยากตะโกน อยากปลดปล่อย คำมันไม่มีความหมาย แต่เราชอบเพราะมันร้องแล้วติดปาก แล้วก็เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเลยเอามาใช้เป็นชื่อเพลง

เพลงของพวกคุณติดหูเหมือนกันนะ

เอ: เราก็ไม่รู้ว่าติดหูรึเปล่านะ บางคนไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย เหมือนฟังก์ชันของเพลงเราไม่ได้มีให้คนเต้นได้ แต่บางคนที่ชอบเสพอะไรแปลก ๆ เขาอาจจะชอบไปเลย ยังไม่เจอคนตรงกลางที่บอกว่าเต้นได้แต่รู้สึกเฉย ๆ มันมีชอบกับไม่ชอบไปเลยมากกว่า แต่เราพยายามหาตรงกลางที่เราจะดึงคนมาให้หมด

ดอย: เราก็กำลังจะทำเพลงที่คนสามารถมาสนุกกับเราได้ด้วย เหมือน 3 เพลงแรกที่เราทำมันเป็นเรื่องส่วนตัวเนาะ แต่ว่าเพลงต่อ ๆ ไปอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับโชว์เรา อยากให้คนโยก enjoy ได้ด้วยเหมือนกัน ต้องรอฟังว่าจะเป็นยังไง

ส่วน โอยา กับ ระบาย ก็ดูจะใกล้เคียงกันอยู่

ดอย: ถ้าบอกว่าเหมือนกันก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันตรงไหน เรื่องเมโลดี้ที่เอแต่ง ถือว่ากลิ่นมันไปด้วยกันแหละ จะค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่เรื่องที่เล่าในแต่ละเพลงก็จะไม่เหมือนกัน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวคนแต่ง

sf_02

ตอนทำเพลงเจอความยากง่ายยังไงบ้าง

ดอย: เอาจริง เราก็ยังหน้าใหม่ในการแต่งเพลงนะ เราก็เพิ่งจะเริ่มทำเพลงของตัวเองจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่คนเก่งอะไร ยากคือแต่งเพลงยังไงให้ชอบกันทุกคน

เอ: ให้ทั้งทีมไปในทางเดียวกัน เพราะแต่ละคนก็มีเรื่องตัวเองยาวพอสมควร แต่ละคนมีประมาณ 16 บาร์อยู่แล้วที่เราจะเล่าแบบนี้ แต่ตรงทางแยกไม่เหมือนกัน ปัญหาเลยเป็นทั้งทีม แต่ถ้าเป็นผมคนเดียวหรือดอยแต่งคนเดียวมันจะปัญหาน้อยกว่า เพราะเพลงนี้เป็นเพลงของเราไปเลย เรากำหนด direction ได้ ตั้งแต่วงเก่าเราเลิกทำไปก็เพราะเรา convince กันให้ไปในทิศทางเดียวกันไม่ได้ พอให้การบ้านไปก็ไม่ทำ เจอปัญหานี้ตลอดเลย

วินัยก็เป็นปัญหาด้วย

เอ: อันนั้นเป็นปัญหาสุดเลยแหละ นอกจากว่าเราจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ

ดอย: เมื่อก่อนเราก็ขี้เกียจ (หัวเราะ) เป็นวัยรุ่นคนนึง ตอนนี้ก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองอยากทำอะไร ก็อยากทำเพลงเนี่ยแหละ

จากที่เห็นปัญหาทั้งหมดแล้ว คิดว่าสิ่งสำคัญในการทำวงดนตรีคืออะไร

ดอย: ผมว่าเราทำวงด้วยกันน่าจะมีเป้าหมายเหมือนกัน

เอ: ผมว่ารสนิยมน่าจะสำคัญที่สุดแล้วครับ ถ้านิสัยยังจูนไม่ได้ แต่ถ้าชอบเหมือนกันก็ยังพอจะคุยกันได้ เริ่มทำวงได้ ถ้าชอบคนละแบบเลยอาจจะทำด้วยกันไม่ได้ นี่แค่วงเรา วงอื่นอาจจะจูนกันได้

ดอย: รสนิยม เป้าหมาย วินัย สามอย่างนี้ ฝีมือฝึกกันได้

ตอนนี้ Safeplanet มีเป้าหมายแล้วหรือยัง

เอ: อัลบั้มเต็มครับ เป้าหมายแรก

ดอย: 100 เพลง

เอ: ถ้าเป็นไปได้ก็ออกไปเล่นเฟสติวัลข้างนอกบ้าง ถ้ามีเพลงอังกฤษ อยากไปสิงคโปร์ที่สุดแล้วอันแรก ๆ Laneway ไปญี่ปุ่นงี้ ต้องให้โชว์เราเวิร์ลก่อน ต้องขายได้ ซึ่งก็ต้องไปอีกหน่อย ซ้อมกันอีกเยอะ แต่เราจะตั้งใจครับ จะทำให้ได้

sf_01

ข้อบกพร่องในโชว์ของวงคืออะไร

ดอย: ยังหาสมาชิกที่เหมาะกับโชว์ไม่ค่อยได้ ยังเล่นกันไม่บ่อย แต่ช่วงนี้พอจับทางได้บ้าง อยู่ที่เราแหละว่าจะซ้อมกันดีแค่ไหน

เอ: เรื่องเอาคนให้อยู่ การคุมสเตจ

งานที่เคยไปเล่น ชอบงานไหนที่สุด

เอ: สุรินทร์ เป็นงานแรกที่เราออกไปต่างจังหวัดในนามSafeplanet จริง ๆ ได้ไปอีสานครั้งแรก แล้วมีคนมารอฟังเราจริง ๆ เราก็ตกใจนะเพราะนึกว่าแค่ไปเล่นเปิดให้เขาเฉย ๆ แต่ไปถึงเรามีกลุ่มแฟนคลับอยู่พอสมควร

ดอย: ไปเล่นกับ Polycat ครับ ถือเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ชาวอีสานเขา enjoy กับดนตรีดีนะ ไม่คีพลุค มีไปดักถ่ายรูปหน้าห้องน้ำ ผู้ชายมาขอเซลฟี่

เอ: กิ๊ฟท์ครุอาร์ตที่จุฬา ฯ ก็ดี ที่เราเริ่มจับทางได้ว่าควรเล่นประมาณไหน

 

วัฒนธรรมคนดูดนตรีกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดต่างกันไหม

ดอย: ผมว่าต่าง คนที่อื่นไม่ค่อยนิ่ง เซิ้งคือเซิ้ง

เอ: คนกรุงเทพฯ จะถือเบียร์ขวดเล็ก มองหน้าไป มองหน้ามา แต่ต่างจังหวัดเขาจะเข้ามาคุยกันมากกว่า เขาปล่อยตามใจเขาเลย ไม่คิดว่าจะต้องมาห่วงลุค

ดอย: แต่เข้าใจว่าสิ่งที่จะทำให้คนกรุงเทพฯ เต้นได้ก็ต้องเป็นโชว์ที่โคตรดีอะ ต้องอินกับมัน หรือคนต่างจังหวัดเขาไม่ค่อยได้ดูดนตรีสดมั้งเขาเลยไม่มีกำแพงมากั้น

เอ: นาน ๆ ทีไปเขาเลยเต็มที่ กรุงเทพฯ ก็เห็นกันหลาย ๆ วงแล้วก็เป็นไปได้

มีจังหวัดไหนที่อยากไปเล่นเป็นพิเศษไหม

ดอย: เชียงใหม่ เชียงราย เอาจริงอยากไปทุกจังหวัดเลย มหาสารคาม

เอ: พวกจังหวัดหัวเมืองอินดี้ที่เราเคยได้ยินบ่อย ๆ ขอนแก่น อุดร โคราช

 

เมื่อไหร่จะได้ฟังเพลงใหม่

ดอย: เร็ว ๆ นี้ กำลังทำกันอยู่ น่าจะก่อน Cat T-Shirt

เอ: เดดไลน์เดือนนี้น่าจะต้องเสร็จแล้ว หมายถึงเตรียมไปอัดนะ จะพยายามปล่อยให้ได้ในเมษา

เพลงจะเป็นประมาณไหน

เอ: ไม่บอก…ล้อเล่นนนน

ดอย: คือตอนนี้เพลงใหม่มันไม่ได้มาเพลงเดียวไง มันค่อนข้างไปกระจายอยู่ 2 – 3 เพลง เลยไม่รู้ว่าจะบอกว่ามันเป็นยังไง กำลังทำอยู่ จะเป็น mood อื่นบ้าง เพราะ 3 เพลงแรกค่อนข้างใกล้เคียงกัน เพลงล็อตใหม่น่าจะมีมุมอื่นที่พูดไม่ถูกเหมือนกัน ไปลองฟังดู

เอ: เอาเป็นว่าจะไม่เหมือนที่ผ่าน ๆ มา

คิดว่าตอนนี้วงการอินดี้ไทยเป็นไงบ้าง

เอ: ผมว่ากำลังดีขึ้นครับ วัยรุ่น gen นี้เขาฟังเพลงกว้างกว่า gen ผมนะที่รู้สึก เหมือนคนที่ซัพพอร์ตเขาก็ออกมาซัพพอร์ตกันจริง ๆ ยุคนี้มาตรฐานมันก็ดีขึ้นด้วยครับ ทั้งซาวนด์ ทั้งดนตรี

ดอย: เด็ก ๆ ก็ทำวงกันมากขึ้น เห็นพวกพี่ ๆ เล่นกัน ก็ช่วยกัน เดี๋ยวนี้มีอินเทอร์เน็ต สื่อก็เยอะขึ้น streaming ก็เยอะ ช่องทางหลากหลายขึ้น คนก็ทำเพลงเยอะขึ้น มันดีนะ หมายถึงว่าตอนนี้ทุกคนก็พยายามทำเพลงมาแชร์กัน แต่ปัญหาตอนนี้มันก็มีครับ เรื่องอุดหนุนศิลปินอะไรงี้ แต่ผมเชื่อว่าคนไทยเริ่มรู้แล้วแหละว่าดนตรีมันไม่ฟรีเสมอไป มันก็เป็นงานศิลปะชิ้นนึง คนก็น่าจะมาดูสดกันเยอะขึ้น น่าจะซื้อแผ่นกันเยอะขึ้น ยุคที่ตกต่ำสุดน่าจะผ่านไปได้แล้ว ยุคดิจิทัลที่ก็โหลดกันจนเบื่อแล้วอะ โหลดก็ไม่ได้อะไร ได้แผ่นมั้ย รู้มั้ยว่าเขาขอบคุณใคร เนื้อเพลงเขาเป็นยังไง ล่าสุด Plastic Plastic ผมก็ซื้อ

เอ: ผมโหลด iTunes

ดอย: คือคิดว่ามันรอดแหละ แต่ทุกคนต้องร่วมใจกัน

ยี่: ผมว่ามันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะ ทุกคนเปิดใจกันมากขึ้น ศิลปินอิสระก็เหมือนมีที่ให้ปล่อยผลงาน บางทีเด็กมัธยมฟัง Safeplanet เราก็แปลกใจ ก็คิดว่าถ้าตอนนั้นเราอยู่ ม.4 ม.5 เรายังไม่ฟังแนวนี้กันเลย

ดอย: เหมือนวงดนตรีอิสระแทรกซึมวิถีชีวิตของวัยรุ่นมากขึ้น อย่างเมื่อก่อน Grammy, RS, smallroom เดี๋ยวนี้ศิลปินอิสระก็เข้มแข็งมากขึ้น เสรีมาก

ในแง่ของผู้ผลิตผลงานเองล่ะ มีอะไรน่าตื่นเต้นบ้าง

เอ: เราว่ามันน่าตื่นเต้นขึ้นนะ artwork หรือ packaging ของแต่ละวงที่เราเห็น ยังไม่ดูไปถึงดนตรีก็เห็นว่าทุกคนตั้งใจ handcraft กันมากขึ้น เราก็ตั้งใจจะผลักตรงนั้นของวงการเพลงไทยให้มากขึ้น เป็นเฟืองตัวเล็ก ๆ ตั้งใจทำแน่นอนตั้งแต่ขั้นตอนแรก เราก็อยากให้ niche market ของดนตรีมันออกมามากขึ้นด้วยครับ พวกอินดี้ออกมาทำจริงจังกันมากขึ้น เราทำเองได้ ขายเสื้อ ไปทำทัวร์เอง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องพึ่งค่ายแล้ว ถ้าเพลงเราดีจริง ถ้าเพลงพาเราไปได้จริง ๆ เราว่ามันสนุกขึ้น ในแง่คนทำมันก็คึกคัก

ตอนนี้ฟังเพลงวงอะไรบ้าง

ดอย: ผมฟัง Plastic Plastic ครับ เพิ่งซื้อแผ่นมา จริง ๆ อยากแจมกับปกป้อง (มือกีตาร์ Plastic Plastic) สักที ฝากบอกว่าโปรดมาก มาแจมได้

เอ: เราอยากชวนมาเล่น แต่กลัวเขาไม่ว่าง

ดอย: Somkiat, Jelly Rocket, Yellow Fang, Saliva Bastards, Two Million Thanks ได้ฟังเขาเล่นเพลงใหม่ ดี๊ดี Srirajah Rockers นี่ชอบมาก โคตรชอบ Solitude is Bliss

เอ: จริง ๆ ตอนนี้วงอะไรปล่อยเพลงมาผมฟังหมด แต่อาจจะไม่ได้ตามค่ายใหญ่ ๆ ในฟังใจ ใน JOOX ใน YouTube ก็ไปไล่ฟัง ผมชอบ The Front Row ด้วย

นอกจากทำเพลงแล้วแต่ละคนทำอะไรกันอยู่

เอ: ผมมีสอนกีตาร์เด็กตามบ้าน ตามสถาบัน แล้วก็ทำเพลงครับ

ดอย: นอกจากทำเพลง ผมก็เล่นให้วงนั้น วงนี้ ตามโอกาส ตอนนี้กำลังจะไปสมัครสอนที่ Rockademy ครับ เอก็กำลังจะไปด้วย

ยี่: ผมก็จะเรียนให้จบครับ เพิ่งปี 3 เล่นแทนคนนั้นคนนี้บ้าง ปีนี้จะทำอัลบั้มด้วยกันให้เสร็จครับ

ดอย: ยี่จะได้หาแฟนสักที เป็นคนเดียวในวงที่ไม่มีแฟนนะครับ สาว ๆ คนไหนสนใจก็ติดต่อมาได้

ในฐานะที่ยี่กับดอยเป็นเด็กเชียงใหม่ มีวงเชียงใหม่ได้เข้าชิงหลายรางวัลในปีนี้ รู้สึกยังไง

ดอย: ก็ดีใจแทนทุกวงครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าเวลาทุกคนทำงานออกมาหนึ่งชิ้นมันไม่ง่าย คือทุกคนต้องทุ่มทุกอย่างให้งานหนึ่งชิ้น แล้วการที่งานของทุกคนได้เข้าไปชิงรางวัลทรงคุณค่าก็ดีใจกับทุกคนด้วยครับ มันก็แสดงให้เห็นว่ายุคอิสระมาถึงแล้ว อยากรู้ว่าใครเป็นกรรมการ คัดเลือกกันยังไง

เอ: คือเราต้องบอกว่าคนตัดสินเขาแปลกดีรอบนี้ เหมือนปกติจะแจกให้ศิลปินเบอร์ใหญ่ ๆ คราวนี้เอาวงแปลก ๆ วงที่เป็นตัวเองมามากขึ้น ผมว่าดีนะครับ เซอร์ไพรส์ดี มี PC 0832/676 งี้ เราก็แปลกใจ คนฟังมันก็ต้องลึกพอสมควร เขาก็ตั้งใจจะเปิดกว้างวงการมากขึ้นนั่นแหละ เราก็แสดงความยินดีกับทุกวงทีได้รางวัลครับ

sf_03

มาเขาดินรู้สึกยังไง

ดอย: ร้อนว่ะ (หัวเราะ) ก็ดีครับ ก็ดีนะผมกับเอไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก ก็ได้เห็นอะไรเขียว ๆ ได้เห็นสัตว์ ขอบคุณครับที่ชวนมาเที่ยว

เอ: ก็เป็นที่ที่เหมาะกับเรางี้ รู้สึกปลอดภัย นี่แหละ Safeplanet กูไปหลบใต้ไดโนเสาร์ตัวนั้นก็ได้นะ (หัวเราะ)

แล้วให้เล่นกับสัตว์ตัวนึงจะเล่นกับอะไร

ดอย: ผมอยากเล่นกับยีราฟ ขี่คอยีราฟ เพราะแฟนผมเรียกผมว่ายีราฟ (SP+FJZ: ฮิ้ว)

เอ: เอามันไปเก็บดิ๊ อยากเป็นตัวเหี้ยเหมือนกัน ร้อน ลงน้ำง่าย (หัวเราะ) เรียกว่ามังกรโคโมโดดีกว่า… ไม่ทันละ

ยี่: เพนกวิน ตอนนี้ร้อนมากเลย

รู้สึกยังไงกับอากาศเดือนเมษายนที่ร้อนขึ้นสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

ดอย: ร้อนมาก ล่าสุดไปเล่นที่เชียงใหม่เล่นได้ครึ่งโชว์แล้วอ้วก คือมันร้อนจริง ๆ ยังไงดีอะ ก็อยากให้ทุกคนช่วยกันประหยัดพลังงานอะครับ (หัวเราะ) เห็นแมะ ภาวะโลกร้อนมันร้อนจริง ปิดไฟได้ก็ปิด ช่วยกันปลูกต้นไม้ ช่วยกันดูแลธรรมดา (ธรรมชาติ?) เปิดเพลง โอยา ของพวกเราตอนปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ก็ได้ ช่วยโลกของเรา

อยากมอบเพลงอะไรของวงให้อากาศร้อน ๆ

ดอย: มี 3 เพลงอะ ระบาย ละกันครับ ร้อนก็ต้องระบาย

 

ถ้าเป็นนายกได้ 1 วันจะทำอะไร

ดอย: จัดเทศกาลดนตรี ชวนใครมาเล่นดี Radiohead, Coldplay, alt-J ไรงี้ กูใหญ่ กูเป็นนายก ให้มันคึกคักอะ จริง ๆ ดนตรีมันสามารถสร้างเงินให้ประเทศได้นะเว้ย ถ้ามีวงเจ๋ง ๆ อะ ฐานแฟนเราก็ระดับนึงละ เชิญผู้จัดใจดีให้ไปชวนมาหน่อย ให้คนรู้ว่าโชว์ระดับโลกมันเป็นงี้

เอ: นายกสายดนตรีว่ะคนนี้ ผม legalize weed ครับ

ฝากผลงาน

ดอย: ขอบคุณฟังใจที่ชวนมาสัมภาษณ์ ดีใจที่ได้คุยกันสักที ถ้าชอบเราก็มาดูมาเชียร์กันได้ อัลบั้มเต็มก็จะทำในปีนี้ให้ได้ครับ รอฟังได้ จะตั้งใจทำให้ดีที่สุดครับ

เอ: ติดตามพวกเราได้ที่ facebook.com/safeplanetband ถ้ามีอะไรส่วนใหญ่เราก็จะบอกในเพจ จะพยายามเซอร์ไพรส์ให้ได้ทุกโชว์

รับฟังเพลงของพวกเขาบนฟังใจได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้