Article Interview

เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากต่างแดน เพื่อกลับมาปล่อยแสงใน Slot Machine : The Mothership Concert

  • Writer: Teeraphat Janejai
  • Photographer: Chavit Mayot

จาก The First Contact คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของพวกเขาที่อลังการงานสร้าง สาสมใจแฟนเพลงที่รอคอยมานาน

ในปีนี้พวกเขากำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งในนามว่า The Mothership ในวันที่ 26 สิงหาคม หลังจากที่พวกเขาไปสั่งสมประสบการณ์จากการทำเพลงร่วมกับโปรดิวเซอร์รุ่นใหญ่อย่าง Steve Lillywhite และออกทัวร์ต่างประเทศมาร่วม ๆ สามปี

พวกเขาแบกประสบการณ์ใหม่ ๆ กลับมามากแค่ไหน มีอะไรที่พวกเขาอยากเล่าให้ฟังถึง Spin the World อัลบั้มใหม่ล่าสุดและคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้บ้าง

โปรดเดินขึ้นยานแม่และรับฟังประสบการณ์จากพวกเขา — Slot Machine

img_0967

Spin the world อัลบั้มล่าสุดมีที่มาอย่างไร ทำไมถึงเลือกทำเพลงสากลล้วน

เฟิร์ส: จุดเริ่มต้นมันมาจากตอนคอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเรา มันเป็นตัวชี้วัดอะไรหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็คือทำให้เราได้ค้นพบและตระหนักว่า แฟนเพลงเรามีเยอะมาก เยอะพอที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเรากล้าที่จะฝันใหญ่ขึ้นกว่าเดิม นั่นก็คือการไปเล่นที่ต่างประเทศ จึงเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราควรจะลองทำอัลบั้มที่เป็นเพลงสากลทั้งหมด ในชุดก่อน ๆ ก็มีเพลงภาษาอังกฤษบ้างชุดละเพลงสองเพลง เป็นการลองของ แต่ชุดนี้เราอยากทำเต็มอัลบั้ม ก็โชคดีว่าผู้ใหญ่และทีมงานใจดี เข้าใจพวกเรา และก็ติดต่อโปรดิวเซอร์ระดับโลกแกรมมี่อวอร์ด 6 รางวัล เคยโปรดิวซ์ให้กับวงใหญ่ๆ อย่าง U2, The Rolling Stone, 30 Seconds to Mars และ The Killers เขาชื่อว่า Steve Lillywhite ด้วยระยะเวลาเพียง 6 เดือนที่ทำงานด้วยกัน เขาเคี่ยวกรำและทำให้เราดึงศักยภาพออกมาได้ทั้งหมด จนกลายเป็นอัลบั้ม Spin the world ซึ่งชื่อนี้ก็สอดคล้องกับความทะเยอทะยานของพวกเราที่อยากนำความภาคภูมิใจที่แฟนเพลงมอบให้ในคอนเสิร์ตครั้งนั้น ไปสู่คนฟังเพลงทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ว่าของที่เราคิดว่าดี มันดีจริงหรือเปล่า การทำอัลบั้มสากลล้วนก็เพื่อเป็นสะพานให้พวกเราได้ไปเล่นที่ต่างประเทศ สามารถนำเพลงของเราเข้าคลื่นวิทยุของต่างประเทศได้ ได้ออกรายการทีวี ทั้งหมดก็เพื่อดึงสายตาคนทั้งโลกกลับมาที่ประเทศไทย

จากที่ทำเพลงไทยมาตลอด การหันมาทำเพลงสากล วิธีคิดเนื้อเพลงและเรียบเรียงดนตรีมันต่างไปจากเดิมไหม

เฟิร์ส: จริง ๆ มันไม่ต่างเลย เพราะตั้งแต่เราเริ่มสนใจและเล่นดนตรี เราก็ฟังเพลงทั้งของไทยและเทศอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรารู้จักดนตรีสากลมาตั้งแต่ต้น แต่ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของการทำงาน เราอยากเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปินผู้สร้างงานศิลปะเชิงงานทดลอง ถ้าฟัง Slot Machine ดี ๆ เราจะมีทุกแนวที่ร่วมสมัยผสมกันอยู่ มันไม่ใช่เพลงร็อกเสียทีเดียว เพียงแต่การแสดงสดบนเวทีมันออกมาในรูปแบบของวงร็อก และเราคิดว่าดนตรีเป็นภาษาสากล รวมถึงเรื่องราวที่ใช้แต่งเพลง เราก็พยายามหาจุดร่วมที่จะทำให้คนทั่วโลกเข้าใจได้ โดยสื่อสารออกไปในแบบของพวกเรา

ช่วงหลังมานี้วงดนตรีหลายวงที่เปลี่ยนแนวทางดนตรีมักจะได้รับกระแสตอบรับที่ไม่ดีเท่าไหร่ กังวลถึงเรื่องนี้บ้างไหม

วิทย์: เราว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของวงดนตรีที่เล่นกันมานาน และก็เป็นปัญหาที่เราเจอกันในทุก ๆ ชุด นับตั้งแต่อัลบั้มแรกก็เคยเจอคำครหาว่าเราเป็นลมตด อัลบั้มนั้นเฟิร์สไม่โดน มีแก๊กโดนคนเดียว (หัวเราะ) คิดว่าเราคงเป็นวงที่มาแล้วก็ไป เราก็พยายามลบคำสบประมาทเหล่านั้น ถัดมาเราก็โดนคนแซะว่าใช้โปรดิวเซอร์ฝรั่ง แต่เราก็ไม่คิดอะไร เพราะเราแค่อยากหาความท้าทายใหม่ ๆ มันมีทั้งคำชมและคำติมาตลอดซึ่งก็แล้วแต่คนจะมอง เราก็ทำงานของเรา พวกเราไม่ได้พยายามจะเป็นใคร อย่างวงใหญ่ ๆ เราก็เข้าใจนะว่ามันก็ถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมบ้าง

แก๊ก: Radiohead ที่เราชอบก็ต้องมีวันที่เปลี่ยนไปจากเดิม ทุกวันนี้เราแทบไม่ได้ยินเสียง distort ของกีตาร์แล้ว ซึ่งพวกเราก็ศึกษาเรื่องพวกนี้แล้วก็เอามาปรับใช้กับวงเราเช่นกัน

เฟิร์ส: Coldplay, Linkin Park หรือแม้แต่ The Beatles ยังเริ่มมาจากบอยแบนด์แล้วจึงค่อยมาปรับตัวเองในชุด Abbey Road เราเองก็เปลี่ยนโปรดิวเซอร์ตลอด ไม่ใช่ว่าผิดใจกัน แต่เราอยากได้ส่วนผสมใหม่ ๆ เหมือนกับชื่อวงของเราที่เป็นเหมือนเครื่อง slot machine เราเปลี่ยนหน้าไปทุกครั้งที่กดปุ่ม แต่มันก็ยังเป็นเครื่องเดิม

first1

พอแฟนเพลงได้ฟังอัลบั้มนี้ที่เป็นเพลงสากลล้วน กระแสตอบรับเป็นอย่างไร

เฟิร์ส: ตอนแรกก็ช็อกน้ำเหมือนกันนะ (หัวเราะ)

วิทย์: ส่วนใหญ่ก็จะออกมาในทางที่ดีครับ พวกเราเข้าใจธรรมชาติว่าแฟนคลับกับแฟนเพลงต่างกัน ก็มีคนเอาเพลงภาษาอังกฤษกับไทยของเราไปเปรียบเทียบกันบ้าง ซึ่งก็เป็นปกติ แต่ที่เราสังเกตกันเองคือไม่ค่อยมีใครคอมเมนต์เรื่องมาตรฐานของพวกเรา คนส่วนใหญ่เชื่อถือว่าเราต้องทำสิ่งที่ดีออกมาเสมอ

แก๊ก: เราทำอะไรออกมาคนที่เป็นแฟนคลับก็ชอบอยู่แล้ว ส่วนแฟนเพลงเราก็วัดใจด้วยการปล่อยเพลง Give It All To You ไปเลยแล้วค่อยมาลุ้นกัน เราเลือกเพลงนี้เพราะมันชัดเจนที่สุด สำเนียงของเฟิร์สก็ดี กระแสตอบรับก็ดี ซึ่งตรงนี้ผมชื่นชมเฟิร์ส มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนไทยจะร้องเพลงภาษาอังกฤษ สำเนียง การออกเสียง มันเป็นพรสวรรค์และความพยายามของเขา

การทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ระดับโลกอย่าง Steve เป็นอย่างไรบ้าง

เฟิร์ส: เขาเบอร์ใหญ่มาก พอรู้มาบ้างว่าเขาได้รางวัลอะไรมา ทำกับวงใหญ่ ๆ มาตลอด เราจินตนาการถึงเขาว่าจะต้องเป็นคนเป๊ะมาก เฮี๊ยบ แต่พอมาทำจริง ๆ เขาเป็นอีกอย่างเลย เขาเป็นเหมือนปรมาจารย์หมัดเมา ผลงานและฝีมือของเขายอดเยี่ยม แต่ตัวตนของเขาชิวมาก ไม่มีกฎเกณฑ์ แต่เอาพวกเราสี่คนอยู่หมัด ในระยะเวลาทำงานสั้น ๆ แต่สร้างงานดีเยี่ยมให้กับพวกเราได้ และยังให้ความรู้อีกหลายอย่าง เราทำงานมา 10 กว่าปี มันก็มีกรอบบางอย่างขังพวกเราไว้ แต่เขาทำให้เราไม่ต้องหนีตัวเอง และยังเจอทางใหม่ ๆ

ออโต้: เขาหยิบจับไอเดียเก่ง เขาเลือกที่จะเอาสิ่งที่พวกเรามีแค่บางอย่างโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงพวกเรา ทำให้เราพัฒนาศักยภาพไปอีก ทำให้เรารู้ว่าการเลือกสิ่งที่ดี ๆ และการพักสิ่งที่ไม่ดีไว้ มันคือวิธีทำงานชั้นยอดเลย ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องการคนมาโปรดิวซ์ให้เสมอ เพราะเราไม่สามารถเห็นภาพตัวเราเองเล่นคอนเสิร์ตได้ แต่คนเหล่านี้ที่มองมาจากข้างนอกจะช่วยเราได้

วิทย์: เขาเป็นโปรดิวเซอร์คนแรกที่ใช้เทคแรกในการบันทึกเสียงเยอะที่สุด   

ได้ความรู้อะไรมาบ้างจาก Steve

วิทย์: เทคนิกก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้มาจากเขามากที่สุดคือวิธีการทำงาน เขารู้ว่าจะจัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างไร บางวันผมอัดกีต้าร์ไม่ได้ เขาบอกว่า “มึงไปนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เล่นได้” ซึ่งมันก็จริง เพราะตอนนั้นเราเครียด บางทีเราแอบทำเพลงกันตอนดึก ๆ แล้วเอามาให้เขาฟังตอนกลางวัน คำถามแรกที่เขาถามคือ ทำกันตอนกี่โมง พอเขารู้ว่าเราทำกันตอนดึก ๆ เขาก็บอกว่าขอคิดไว้ก่อนเลยว่าเพลงนี้จะไม่ดีแน่นอน เพราะทุกคนคงเหนื่อยมาทั้งวัน แล้วเพลงที่ทุกคนอยากฟังตอนนั้นก็ต้องเป็นเพลงสบาย ๆ ซึ่งก็ถูกอย่างที่เขาว่า กลายเป็นว่าเพลงนั้นเราเล่นกันช้ากว่าที่ควรจะเป็น

แก๊ก: ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนฟัง demo มาไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ มันทำให้เราติด เราอาจจะฟังจนคิดว่าเพราะแล้ว แต่มันอาจจะเพราะแค่สำหรับเรา เขาบอกให้เราปล่อยวาง ถ้าอยากให้เพลงมันดีขึ้น เราต้องอย่าไปฟังมันมาก อย่าเพิ่งภูมิใจมาก แต่ Steve เขาเก่งตรงที่สามารถฟังเพลงเดิมที่เคยฟังแล้วเหมือนฟังครั้งแรกเสมอ

วิทย์: แต่พอทำงานเสร็จเขากลายเป็นผู้เฒ่าเต่าเลยนะ สตูดิโอเราใกล้พัทยา พอเลิกงานปุ๊ปขี่มอเตอร์ไซค์ไปพัทยาเลย ตีพูลทุกวัน น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาคงความหนุ่มไว้ได้ (หัวเราะ)

%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b5%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%b2

พอจะทราบมาว่า Steve เป็นโปรดิวเซอร์ที่เลือกวงดนตรีที่จะทำงานด้วย เขาได้บอกไหมว่าทำไมถึงตัดสินใจร่วมงานกับ Slot Machine

เฟิร์ส: มันจะแบ่งเป็นสองเฟส เฟสแรกคือการส่งเดโมผ่านอีเมล เขาฟังแล้วก็บอกว่าเขามีไอเดียบางอย่าง บอกแค่นี้ ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าจะทำให้หรือเปล่า เฟสที่สองคือ เขาบินมาดูพวกเราเล่นสด เขาบอกว่าในธุรกิจดนตรีเขารู้กระบวนการ รู้ทุกมุก เขาฟังแค่เดโมล้วน ๆ โดยไม่ฟังอัลบั้มเก่าของเราเลยนะ เพราะเขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าพวกคุณผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง คุณอาจจะร้องเพี้ยนแล้วออโต้จูนมาก็ได้ และสิ่งที่จะทำให้เขาตอบตกลง ก็คือการมาดูพวกเราเล่นสด เพราะว่าสุดท้ายแล้วถ้าพวกเราเป็นของปลอม เล่นห่วยก็คือห่วย ไม่สามารถทำอะไรให้ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะว่าเราเล่นดีอย่างเดียว เขาบอกว่ามันมีเคมีบางอย่าง เขาเห็นคาแร็กเตอร์คนสี่คนบนเวที และก็ชอบที่แฟนเพลงของเราเป็นคนเจนใหม่ ๆ ซึ่งจากที่เขาทำงานกับวงร็อกมาเขาไม่เคยเห็นแฟนเพลงวงไหนอายุน้อยขนาดนี้ ซึ่งงานวันนั้นของพวกเราก็จะเป็นกลุ่มเด็กมหาวิทยาลัยกับมัธยมปลาย ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นสัญญานที่บอกว่าวงนี้มีอนาคต มันจะอยู่ไปถึงอีกเจนหนึ่ง ถ้าอัลบั้มนี้เป็นการเดบิวต์ของพวกเรากับการทำอัลบั้มสากล เขาก็อยากจะมีส่วนร่วมด้วย

ตอนรอคำตอบจาก Steve ลุ้นแค่ไหน

แก๊ก: ให้เพลงไปเดือนนึงแล้ว ก็ไม่ยอมตอบ ลุ้นมาก

วิทย์: ขนาดว่าทำเพลงไปสี่เพลงครึ่งแล้ว เขายังพูดลอย ๆ ว่าจะทำแค่นี้หรือช่วยต่อจนจบดีนะ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมทำให้เราจนครบอัลบั้ม แต่ก็กลายเป็นว่าลูกเล่นแบบนี้ของเขาทำให้เราฮึด

เฟิร์ส: เราเชื่อว่าถ้าทำงานร่วมกันแล้วไม่เวิร์ค เขาคงไม่ทำต่อจริง ๆ

ในประเทศไทยพวกคุณคือวงอันดับต้น ๆ  แต่การออกไปเล่นสดที่ต่างประเทศโดยไม่มีใครรู้จักเลย ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไร มีอะไรที่ต่างไปจากเดิม

เฟิร์ส: เราโชคดีที่เราเริ่มต้นจากการเป็นวงดนตรีในประเทศไทย ไม่ได้เติบโตมาจากเวทีระดับโลก คนที่รู้จักเราก็มีแค่คนไทย แต่ที่เราไปเล่นกันที่อเมริกา คนไทยมาดูเราแค่สองเปอร์เซนต์เอง เพราะเวลาที่เราไปเล่นส่วนใหญ่ก็จะเป็นเวลาทำงาน และงานที่เราไปเล่นเป็นของ Live Nation ซึ่งเป็นดีลเลอร์คล้าย ๆ กับ BEC ของเรา ซึ่งคนไทยในต่างประเทศไม่ค่อยรู้จักองค์กรนี้ ฉะนั้นพอเราออกไปเล่นโดยไม่มีใครรู้จักเรา ทำให้เราจะเล่นยังไงก็ได้ เราไม่มีอะไรจะเสีย เป็นโอกาสที่เราจะได้แสดงฝีมือเพื่อให้คนรู้จักเรา เป็นการลองของลองเล่นอะไรใหม่ ๆ สำหรับเราไปในตัว

แก๊ก: เราพลิกวิกฤติที่คนไม่รู้จักเราให้เป็นโอกาส เราไม่ต้องเล่นเพลง ผ่าน หรือ รอ ก็ได้ ไม่ต้องเล่นจันทร์เจ้าก็ได้ ก่อนไปเล่นก็มีคนบอกว่าคนอเมริกาเอาอยู่ยากนะ ถ้าเล่นไม่ดีจริงเขาโห่ไล่เลยนะ แต่ถ้าผ่านไปได้ก็เล่นที่ไหนก็ได้แล้ว เราก็เครียดพอสมควร ซ้อมกันสามเดือนเพื่อทัวร์ครั้งนี้โดยเฉพาะ

%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%ad%e0%b8%87

บรรยากาศและผู้คนที่มาดูคอนเสิร์ตที่นั่นเป็นอย่างไร

เฟิร์ส: ก็เป็นอย่างที่เขาว่ากันจริง ๆ คนโคตรเจ๋ง เราเล่นสุดตัวกันทุกครั้ง จบโชว์ก็จะได้แฟนคลับเพิ่มมาเรื่อย ๆ อย่างเพลง ผ่าน เราก็เล่นเหมือนที่ไทยเลย พอจะเข้าโซโล่ เราบอกนับหนึ่งถึงสี่แล้วกระโดด คนแม่งก็กระโดด แล้วที่เจ๋งกว่าคนไทยคือ คนไทยจะกระโดดแค่สองสามท่อน แต่ฝรั่งโดดกันจนจบเพลงเลย (หัวเราะ)

ออโต้: วงดนตรีที่คนอเมริกาจะโห่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวงที่เขาไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เราไปสุดตัว เพลงภาษาไทยเราก็ร้องเต็มที่ไม่มีเคอะเขิน ซึ่งก็ยอมรับว่าได้พลังและความมั่นใจมาจากตอนทำงานกับ Steve ด้วย การได้ไปเล่นก็เป็นการยกระดับความสามารถพวกเราด้วย ได้เห็นการเล่นดนตรีของวงเมืองนอก ซึ่งพวกเราห่างหายจากการเป็นคนดูมานานมากแล้ว ตลอดที่ผ่านมาเราแทบไม่มีเวลาไปดูวงอื่นเล่นบ้างเลย ก็ทำให้เราได้ประสบการณ์กลับมาใช้ต่อกับการเล่นในไทยด้วย

วิทย์: ผมว่าจุดประสงค์ในการมาดูคอนเสิร์ตมันต่างกัน ต้องเล่าก่อนว่าที่เราไปเล่นนั้นเป็น music hall ฉะนั้นเรื่องซาวด์ดนตรีวางใจได้ แล้วพอคนรู้ว่าเป็นงาน asia on tour เขาไม่ได้หวังจะมาฟังเพลงฮิตอยู่แล้ว เขาอยากมาฟังซาวด์ที่เป็นเอเชีย เขาจ่ายเงินมาฟังโดยที่ไม่รู้จักเราเลย แต่ในไทยก็จะเป็นอีกแบบ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าคนรู้จักเราอยู่แล้ว ก็อยากจะฟังเพลงฮิตด้วย

การได้ออกไปเจอวงต่างประเทศเล็กใหญ่ต่างกันไป การเล่นของพวกเขาสะท้อนให้คุณเห็นจุดเด่นจุดด้อยของตัวเองไหม

แก๊ก: จุดเด่นของพวกเราคือ เมื่อพวกเรา 4 คนเล่นด้วยกัน เราสามารถเชื่อมโยงความรู้สึกระหว่างกันได้ มันทำให้เราสามารถแสดงออกมาได้ดี จนทำให้คิดว่าเราสามารถไปเล่นที่ไหนก็ได้ในโลก ส่วนจุดด้อยที่เราเห็นคือ เรายังทัวร์ในไทยไม่มากพอหรือถี่พอ อย่างตอนไปอเมริกาเราเล่นถี่มาก เราเล่น 14 ครั้งในหนึ่งเดือน ก็เหมือนเราได้ซ้อมบ่อย ๆ รู้ว่าท่อนนี้ต้องเหยียบเอฟเฟคแล้วนะ มันทำให้เราเล่นได้ลื่นกว่าเดิม ต่างจากในไทย เดือนนึงเราเล่นสัก 10 ครั้งได้ ก็มีการหลง ๆ ลืม ๆ ไปบ้าง

เฟิร์ส: เราว่าจุดด้อยมันก็อยู่ในจุดเด่น คือเรายังเด่นไม่พอ ก็เลยกลายเป็นด้อย เราเล่นดีแล้วแต่มันก็ยังดีได้มากกว่านี้อีก

วงดนตรีในไทยตอนนี้ก็เริ่มมีทัวร์ต่างประเทศบ้างแล้ว มีเคล็ดลับสำหรับการเตรียมตัวไปเล่นในต่างประเทศมาแนะนำบ้างไหม

แก๊ก: Merchandise เตรียมไปให้พร้อม วงเมืองนอกเขาจะเอาของเอาแผ่นไปขาย ได้คืนละแสนกว่าบาท ถ้าเราเล่นดีจริง คนที่นั่นพร้อมจะซื้อของกลับไป ก็จะกลายเป็นเงินทุนสำหรับทำเพลงต่อไป

วิทย์: ถ้าในเชิงเทคนิก พยายามลดสายแจ๊คหรือการต่อพ่วงกับเครื่องเสียงให้น้อยที่สุด พยายามควบคุมด้วยตัวเองให้มากที่สุด ปัญหาที่เราเจอตอนไปทัวร์อเมริกาก็ค่อนข้างตูดหมึกอยู่เหมือนกัน สต๊าฟที่นั่นต่อสายให้เราผิด แล้วคนที่รับชะตากรรมก็คือพวกเราเอง ฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวไปให้พร้อมที่สุด เวลาเราไปเล่นเราจะขอยืมเครื่องเสียงแค่ไม่กี่อย่าง เราจะขนไปเองเกือบหมด นอกจากซ้อมดนตรีแล้ว เราต้องซ้อมทีมงานของเราด้วย ต้องถือของกี่ชิ้นขึ้นเครื่อง ใครถืออะไร ใช้เวลาโหลดของและเซทอัพกี่นาที ทุกคนต้องทำหลายหน้าที่ด้วยเพราะเราคงไม่สามารถเอาทีมงานทั้งหมดไปได้ ขนาดพวกเราเองจากที่เล่นในไทยเราก็แค่ขึ้นไปเล่น แต่ไปที่นั่นเราทำเหมือนกับทีมงานด้วย ฉะนั้นต้องวางแผนกันให้ละเอียด 

เฟิร์ส: ทริกของผมเหมือนจะง่ายแต่ทำโคตรยาก คือ ต้องปล่อยวาง เราชอบพูดกับเพื่อน ๆ ว่า เราคิดว่าเรารอบคอบแล้วสุดท้ายก็ยังครอบไม่รอบสักที เราคิดว่าเตรียมทุกอย่างมาพร้อมแล้ว จะต้องไม่เกิดปัญหาอย่างงานที่แล้ว ใช่ เราไม่มีปัญหาซ้ำรอย เพราะมันมีปัญหาใหม่เข้ามาแทน (หัวเราะ) พยายามนึกถึงวันแรก ๆ ที่เรายังไม่มีเครื่องดนตรีแพง ๆ แต่เราก็ยังเล่นกันได้

%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%aa

The Mothership concert สำคัญกับพวกคุณอย่างไร

เฟิร์ส: น่าจะเป็นงานที่ตอบคำถามที่ทุกคนสงสัยว่าโกอินเตอร์แล้วเป็นอย่างไร เราแบกคำตอบกลับมาเฉลยในงานนี้ มันอาจจะไม่ใช่ถูกหรือผิด แต่มันเป็นประสบการณ์ที่เราไปเผชิญมา และก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่คุณจะได้เห็นพวกเราในทิศทางที่ดีขึ้นแน่นอนจากคอนเสิร์ตครั้งที่แล้ว นอกจากจุดขายเรื่องโปรดักชันแสงสีเสียงแล้ว ก็คงเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่พวกเราทั้งสี่คนหอบกลับมาแสดงที่ไทย

วิทย์: จากคอนเสิร์ตครั้งแรกพวกเราทำมาตรฐานไว้สูงพอสมควร คนที่ได้ไปดูก็น่าจะตกใจว่าทำไมเราถึงทำโปรดักชันอลังการขนาดนั้น แต่สิ่งที่พวกเราอยากทำในคอนเสิร์ตนี้คือ การยกระดับวงการดนตรี เราไม่ได้เหมือนยุค 70 – 80 ที่มีแค่ไฟสเตจ แล้วก็เล่นกันไป นี่คือการโชว์สิ่งใหม่ ๆ ในวงการเพลงไทย ค่าบัตรของพวกเราคราวที่แล้วสูงหน่อยเพราะเอามาใช้กับโปรดักชัน แต่ครั้งนี้โปรดักชันใหญ่กว่าแต่ค่าบัตรถูกลง เพราะพวกเราก็เข้าใจปัญหาเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ทุกคนเจอ เราก็จะแบกรับส่วนหนึ่งเพื่อให้ทุกคนเข้ามาดูว่าวงดนตรีไทยก็ทำได้ ถ้าพวกเราทำได้ วงอื่น ๆ ในไทยก็ต้องทำได้เหมือนกัน

สำหรับวงดนตรีที่เดินทางมาถึงอัลบั้มที่ 6 จากวันแรกจนถึงวันนี้ตัวตนหรือแนวทางดนตรีของพวกคุณเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

เฟิร์ส: ถ้าในฐานะมนุษย์ เราคิดว่าพวกเราเป็นคนดีขึ้นนะ สิ่งที่เราทำมันบ่มเพาะให้เราดีขึ้น แต่ดีอยู่แล้วก็ต้องดีขึ้นไปอีก เราต้องพยายามทำดีอยู่ตลอดเวลา เพราะเนื้อแท้ของพวกเราก็ยังมีความดิบ เราสามารถพลิกไปในทางที่ไม่ดีได้ตลอดเวลา

วิทย์: ถ้าเป็นเรื่องดนตรี ก็คิดว่าพวกเรามีความเข้าใจมากขึ้น ไม่ได้เข้าใจแค่ทฤษฎีดนตรี แต่เราเข้าใจองค์รวม เราเข้าใจว่าเพื่อนจะเล่นอย่างไร ร้องอย่างไร แล้วเราจะเล่นอย่างไรให้ Slot Machine ออกมาดีที่สุด เรารู้ว่าถ้าเราใส่ตรงนี้เข้าไปหน่อย ขยับตรงนี้เพิ่มอีกหน่อยคนฟังจะสนุกมากขึ้น เราเก๋าขึ้น เราใช้แรงน้อยลงแต่ได้ผลมากขึ้น อย่างเวลาไปเล่นสดที่ไหน sound engineer จะบอกว่าเพลงในอัลบั้มใหม่ซาวด์ดีโดยแทบจะไม่ต้องปรับอะไรให้วุ่นวาย เพราะมันถูกเรียบเรียงมาดีแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ Steve วางรากฐานให้เรา

ต่อจากนี้ยังมีเป้าหมายหรือความท้าทายไหนที่ Slot Machine อยากจะก้าวไปอีก

เฟิร์ส: คงเริ่มจากหวังว่าคนที่ไปดูพวกเราในคอนเสิร์ต The Mothership ในวันที่ 26 สิงหานี้ จะเต็มอิ่ม ได้ทุกสิ่งที่อย่างที่เขาอยากจะเห็นอยากฟัง หวังว่าทุกคนจะแฮปปี้เอนดิ้ง

วิทย์: ผมพร้อมที่จะอยู่ในวันนั้นแล้ว อยากเห็นทุกคนมายืนดู และพบกับบรรยากาศแบบที่เคยเป็นใน The First Contact ซึ่งคราวที่แล้วในวันนั้นเป็นวันเกิดของผมพอดี มันเป็นภาพที่อยู่ในความทรงจำ เงินร้อยล้านก็มาแลกไม่ยอม ก็เลยหวังว่าคอนเสิร์ตที่จะถึงนี้จะมีทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน

แก๊ก: ผมก็ว่าจะย้ายวันเกิดไป 26 สิงหา จะได้ตรงกับคอนเสิร์ตบ้าง (หัวเราะ) เราก็ยังหวังที่จะเติบโตต่อไป ยังรู้สึกว่าเราเพิ่งเริ่มต้นเอง

ออโต้: เดี๋ยวก็จะได้ไปทัวร์ประเทศรอบ ๆ เอเชีย ในอเมริกาเราก็ไปมาเกือบหมดแล้ว แต่ที่หวังไว้คือการได้ไปซ้ำอีกครั้ง และก็หวังว่าจะได้เอาแผ่นอัลบั้มของพวกเราไปขายที่ต่างประเทศอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ชาวต่างชาติได้รู้จักเราจริง ๆ

%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94

26 สิงหาคมนี้ ที่อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานีกับ Slot Machine : The Mothership ซื้อบัตรได้แล้วที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา

Facebook Comments

Next:


Teeraphat Janejai

ธีรภัทร์ เจนใจ กองบรรณาธิการ Fungjaizine ที่มักสนุกกับการเปิดเพลงในรถมากกว่าการไปคอนเสิร์ต และชอบนั่งสวนพอๆ กับนั่งบาร์