Article Interview

‘คลาย’ ทุกความสงสัยในอัลบั้มอะคูสติกงานแรกของ The Yers ‘Cry’

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Narawit Suksawat

เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา The Yers ก็ได้ปล่อยอัลบั้ม Cry งานรวมเพลงอะคูสติกของพวกเขาอย่างเป็นทางการซึ่งมีทั้งเพลงที่เขียนขึ้นใหม่ และงานคัฟเวอร์เพลงเก่าที่หลาย ๆ คนชื่นชอบให้ออกมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึงมาก่อน ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะเจาะลึกแบบ track by track พร้อมเบื้องลึกเบื้องหลังของงานชุดนี้โดยละเอียดกันแล้ว

ไอเดียการเรียงเพลงในอัลบั้ม Cry

อู๋: ก็เรียงจากความเหมาะสมของบีต แล้วก็อารมณ์ตอนจบกับตอนขึ้นของแต่ละเพลง จากมู้ดโทนของเพลงอย่างเดียวเลยครับ ไม่เอาเนื้อหาเลย คือเราใช้เวลาเรื่องนี้เยอะกว่ามิกซ์กับมาสเตอริงอีกมั้ง (หัวเราะ) เราชอบอัลบั้มที่มันฟังแล้วมันไหลไปได้ทั้งอัลบั้ม

ไม่คิดว่าจะลองทำเพลงที่ซาวด์ต่างกัน แนวเพลงไม่เกาะกันบ้างหรอ

อู๋: ก็ไม่ผิด แต่เราไม่ชอบ เรารู้สึกว่าอัลบั้มควรจะเป็นเหมือน concept album มันต้องมีเรื่องราว มีที่มา มีช่วงเวลา เพราะถ้าเกิดว่าอัลบั้มที่เป็นคนละมู้ดโทน คนละแนว แต่จากศิลปินเดียวกันมันกลายเป็นรวมฮิตไปหน่อย (หัวเราะ) มันดูเหมือนเป็นอัลบั้มที่ออกมาหลังจากปล่อยซิงเกิ้ลไปเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว แล้วปล่อยทีละซิงเกิ้ล นึกออกปะ

ซึ่งก็เลือกเพลง Cry มาเป็นเพลงแรก

อู๋: เราอยากให้รู้สึกถึงช่วงเวลาที่เราทำอัลบั้มนี้ ฝนมันตกหนักมาก แล้วเราอัดเพลงในห้องนอน มันก็จะมีแอมเบียนต์แบบที่เราได้เจอจริง แล้วก็เปียโนตัวเดียวน่าจะเป็นอะไรที่บ่งบอกได้ว่าอัลบั้มนี้ความหนืดมันจะประมาณไหน อารมณ์มันจะประมาณไหน แล้วเราแค่รู้สึกว่าอยากลองมีเพลงบรรเลง intro outro ของอัลบั้มดู มันไม่เคยทำมาก่อน

นึกถึงตอนที่ทำ Merry Christmas Mr. Lawrence ที่คัฟเวอร์ Ryuichi Sakamoto

อู๋: คือทุกครั้งที่เราเล่นเปียโน เราจะเล่นเพลงนี้ แล้วทุกครั้งที่เราคิดไลน์เปียโนอะ (หัวเราะ) มันก็จะออกมาเหมือนเพลงนี้ตลอดไป

พอมาเป็นเพลงที่สอง อยู่ไหน คนจะชอบเข้าใจว่าอะคูสติกเป็นเพลงโฟล์กช้า ฟังสบาย แต่อันนี้มีความร็อกอยู่และจังหวะมาเต็ม ไหนว่าอัลบั้มมันจะหนืด ไง

อู๋: คือสุดท้ายมันเป็นเพลงหนืดอยู่ดีแม้ว่ามันจะเป็นเพลงเร็วตอนแรกที่ขึ้นมาในอัลบั้มนี้ เมื่อวานเราลองเล่นห้องซ้อมเป็นเวอร์ชันพังก์ร็อก แม่งคือ The Yers เลยอะ ตึก ต๊ะ ตึกต๊ะ ตึก ต๊ะ แต๊ แต่แหน่ ๆๆๆ สุดท้ายมันคือเพลง The Yers ที่เล่นเป็นเครื่องดนตรีอะคูสติก

บูม: คำว่าอะคูสติกน่าจะเป็นความหมายแค่เราไม่ได้เสียบแจ๊กเล่นแบบไฟฟ้า คือเป็นแค่กีตาร์โปร่ง กลองธรรมดา ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องเล่นช้า หรืออะไร

อู๋: แล้วเพลงนี้สุดท้ายมันน่าจะเป็นเพลงที่เร็วที่สุดในอัลบั้ม แต่พอท่อนฮุกมันก็เป็น half time มันตัดทอนจังหวะลงมาครึ่งนึง สุดท้ายก็เป็นมู้ดเพลงช้า คือเราแอบอยากหลอกนิดนึงด้วยว่ามันเหมือนใส่ซีดีเข้ามาแล้วอัลบั้มนี้ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด เปล่า กูหลอกมึง (หัวเราะ) หนืดอยู่ดี

ทำไมถึงดีไซน์ซาวด์กลองออกมาแบบนี้ ฟังดูมีความเป็น bluegrass

อู๋: ใช่ ก็คือ เราก็อปมาครับ (หัวเราะ) (ต่อ: เพลงนี้เป็นลูป ตัดแปะ) เราก็อปลูป Bombay Bicycle Club Ivy & Gold แทร็คแรกในอัลบั้ม Flaws ซึ่งเราชอบมาก แล้วเราอยากได้เพลงบีตนี้ เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันเป็นบีตที่เข้ากับอะคูสติกดี จังหวะที่เป็น bluegrass (เคาะโต๊ะทำเสียงจังหวะ) train beat อย่างเนี้ย แต่เราก็ไม่ได้เล่นกีตาร์แบบโฟล์ก chicken picking เป็น Jake Bugg ขนาดนั้น เราเล่นเป็นเกาอยู่ดี

ให้ความสำคัญกับซาวด์ดีไซน์ด้วยไหม มีท่อนนึงที่เสียง fade แผ่วไปตามเนื้อร้อง

อู๋: ทุกคนพูดแบบนี้หมดเลย… อ๋อ เข้าใจแล้ว verse 2 ใช่ไหม เรารู้สึกว่ามันเบื่อ พอเล่นตั้งแต่แรกเพลงมันน่าเบื่อ ทำยังไงดีวะให้เพลงมันน่าสนใจ ก็ดรอปดนตรีทุกอย่างหมดเลย เหลือแค่เสียงร้อง แล้วกลับมาตู้มใหม่ แตร่งงงง

เนื้อหาของเพลงเรานึกถึงการตามหาคนคนนึงที่หายไป อาจจะเป็นคนรักก็ได้ ใครก็ได้ แต่เราใส่ใจกับเรื่องบรรยากาศของเนื้อเพลงมากกว่า เรานึกถึงหนังพวก ‘Pan’s Labyrinth’ ที่มันเป็นแฟนตาซีหน่อย เข้าป่า หลงทางเข้าเขาวงกต มันไม่มีแสงแดดเลยนะ มีแต่แสงดาว เราจะให้แสงดาวช่วยส่องไหม สีของพระจันทร์ยิ่งดูยิ่งโหดร้าย แล้วเนื้อหาของเพลงคือเธอหายไปไหน หรือจริง แล้วเธอหนีไปวะ ไม่มีใครเอาเธอไปหรอก เธอตั้งใจหนีไปเอง เลยถามว่า เธอไม่ได้หนีฉันไปใช่ไหม

ตอนที่จะเขียนเนื้อเพลงปกติจะนึกให้เป็นภาพก่อนหรือขึ้นมาเป็นหัวข้อก่อน

อู๋: แล้วแต่เลย อย่างเพลงนี้เราเขียนขึ้นประโยคแรกทำงานแบบ linear เลย verse แรกคือเค้นคำออกมาให้ได้ ทิ้งไว้แค่เพียงร่องรอยให้ตามหา เราก็รู้แล้วว่าเราจะพูดเรื่องอะไรต่อไป… เออ เราเป็นคนติดแฟนมาก เวลาแฟนไม่อยู่ก็จะชอบตามหาแฟนเรา อยู่ไหน แล้วก็นึกเรื่องของเราบวกเข้าไปด้วย

คิดว่าเพลงสามารถทำงานได้เหมือนภาพยนตร์ไหม

อู๋: เราว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นเลย เพราะว่าการเขียนเนื้อเพลงมันคือการเขียนบทหนังสั้น มันคือการเขียนพล็อตเรื่องนึง มันต้องมีการเล่าที่มาที่ไป บทสรุป แล้วก็บทเสริม สำหรับเราทุกเพลงมันต้องเล่าเรื่องให้คนเห็นภาพตามได้ เพราะว่าถ้าเราเขียนเพลงโดยไม่ใส่ใจเรื่องการสื่อสาร หรือว่าการ connect กับคนเลย เราว่านั่นคือเพลงที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเขียน แต่ก่อนเราแอนตี้เลยนะ เพลงต้องฟังไม่รู้เรื่องดิวะ มันต้องให้คนคิดเองดิ เปล่า มันไม่ใช่เลย ที่สุดแล้วเราต้องสื่อสารสิ่งที่เราต้องการจะให้คนรับรู้ให้ได้ แต่ในขณะเดียวกันมันขึ้นอยู่กับว่าตอนจบมันจะสรุปหรือเปล่า จะเป็นแบบไหน อาจจะจบแบบหนังพี่เจ้ย หรือจะจบแบบการ์ตูนดิสนีย์ จบแบบคนไม่ต้องคิดอะไรเลย หรือจบให้คนงง ให้ตีความได้ อะไรก็ตาม แต่สุดท้ายมันต้องสื่อสารให้ถูกต้องว่าเนื้อความมันคืออะไร

ชอบให้จบแบบตายตัวหรือปลายเปิด

อู๋: แล้วแต่เลย ว่าเราเล่าแล้วเราพอใจหรือยัง อย่าง อยู่ไหน ก็งงว่าสุดท้ายเจอหรือไม่เจอ แต่ว่าเธอหายไปแน่

เพลง คิดเอาเอง

อู๋: เพลงโปรดโบ๊ท เพลงนี้ตัวละครเป็นเพลงเดียวกับเพลง เกลียด ครับ เป็นเพลงที่พูดถึงเหมือนกับว่า เราแม่งคิดไปคนเดียวเลยว่ะว่าเขานึกถึงเราอยู่ เขาต้องให้ความสำคัญกับเราแน่ แต่สุดท้ายแล้วเปล่าเลย ทุก คืนนี่เขาโบ๊ทใช้คำว่า…

โบ๊ท: มันดำดิ่งไปกับความคิดอะ ตอนแรกไม่รู้เพราะอู๋เป็นคนแต่ง ผมมารู้เรื่องอารมณ์เพลงตอนอัดเบส มันต้องเป็นสมาธิที่ดำลงไปกับอารมณ์เพลง แล้วผมใช้เพลงนี้เวลาอยู่บ้านคนเดียวเพื่อจะล้างความคิดกับอะไรที่ผ่านมาในวันนั้น อยากจะลืมอะไร อันนี้มันช่วยเสริมสมาธิดี

ต่อ: น่าจะเป็นเพราะไลน์เบส คือโบ๊ตเป็นคนที่ฟังเพลงเน้นเบสอย่างเดียว (หัวเราะ)

อู๋: แล้วเราพยายามใช้คำว่า ‘คิด’ ในเพลงเยอะ อยากจะเล่นกับคำนี้ ส่วนดนตรีมันก็เป็นอินดี้โฟล์กแบบช้าเพลงนึงที่ค่อย เป็นค่อย ไปมาก ซาวด์กลองก็แทบจะเป็น brush เลย

ต่อ: น่าจะเป็นเพลงแรกที่แต่งออกมาแล้วช้าที่สุดในสามอัลบั้ม

อู๋: ใช่ แล้วมันก็ไม่มีท่อนอะไรเลอะเทอะเลย เหมือนจบฮุกที่สองแล้วกลายเป็น bridge แล้วฮุกสุดท้ายจบไปเลย เรียบเรียงเร็วมากเพราะด้วยความช้าของมัน เรากลัวคนเบื่อ เราเลยให้มันจบเร็ว

บูม: เราว่าความดำดิ่งของโบ๊ทคือมันมีจังหวะด้วย ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ป๊ะ (อู๋: คือเบสมันลงจังหวะแบบ whole note อะ ตึม ตึ่ม) ต้องลองโยกหัวตาม แล้วจะเห็นบรรยากาศมัน)

แอบรอ ทำไมถึงคัฟเวอร์เพลงของตัวเอง

อู๋: อัลบั้ม Flaws ของ Bombay Bicycle Club มีเพลงเก่าของวงมันด้วย แล้วมันก็เอามาทำอะคูสติก ซึ่งเราก็ก็อปไอเดียนั้นมา (หัวเราะ) ต้องถามคนเลือกเพลงว่าทำไมถึงเลือก (ต่อ: ตอนทำอัลบั้มนี้ก็มีโจทย์ว่าจะเอาเพลงเก่ามาทำใหม่ด้วย) ไม่ ไม่ใช่โจทย์ ตอนแรกเราประชุมกันห้องนี้เลย เรา ขี้เกียจทำเพลงใหม่ อยากหยุดการเขียนเพลงไปสักพักใหญ่ เลย แต่ทางค่ายรู้สึกว่าควรจะมีผลงานออกมานะ สามคนนี้ก็บอกว่าอยากมีเพลงใหม่ กลัวหายไป แต่เราชอบการหายไปอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่ว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าควรมีผลงานใหม่ แล้วเราไม่อยากทำซิงเกิ้ล เลยคิดอะไรที่เป็นตรงการละกัน ทำเป็นอัลบั้มอะคูสติก เอาเพลงเก่ามาทำใหม่ แล้วเพิ่มเพลงใหม่แค่เพลงสองเพลง แล้วตอนแรกสัดส่วนมันคือมี 9 เพลง เพลงใหม่สองเพลง แล้วที่เหลือเป็นเพลงเก่าหมดเลย ปรากฏว่าเราทำใจไม่ได้อะ ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นอัลบั้มอะคูสติกที่เหมือนกับทุก คนทำ มันดูไม่มีคุณค่า งั้นเราทำแบบ Bombay Bicycle Club อัลบั้ม Flaws ที่มีเพลงใหม่ด้วย แล้วก็มีเพลงเก่าด้วยผสมกัน นั่นคือทำไมถึงมีเพลงเก่าเกิดขึ้นมา (ต่อ: ทุกคนก็ดูตื่นเต้นกับเพลงเก่าที่เอามาทำใหม่นะ) เรารู้สึกว่าคนตื่นเต้นกับเพลงเก่ามากกว่าเพลงใหม่ด้วย แบบ โห นี่ชอบเพลง แอบรอ มากเลย ความลับของเงา ชอบมากเลย

ต่อ: เพราะว่าคนคุ้นอยู่แล้ว เป็นเวอร์ชันที่ฟังง่ายขึ้น นั่นแหละครับ มันเลยกลายเป็นโจทย์ส่งมาให้ผมทั้งสามคนไปลุยกันมานะ เลือกมาสามเพลง ก็ ผมเลือก แอบรอ เลือก เทศกาล แล้วก็อีกเพลงเลือก กล่องจดหมาย แต่ว่าสุดท้ายเพลงใหม่มันเยอะ เลยตัดเหลือสองเพลง

จริง เพลงที่ผมเลือกนี่มาจากความชอบส่วนตัวด้วย แล้วก็ตอนแรกคือคุยกันว่า เฮ้ย เราเลือกเพลงที่ไม่ใช่ซิงเกิ้ลมาทำไหม เพลงมันจะได้โผล่ขึ้นมาให้คนได้ยิน แต่สุดท้ายแล้วก็เลือกสิ่งที่ชอบออกมา แต่ว่าจะตีความเพลงเก่าออกมาแบบไหน ที่เลือก แอบรอ เพราะมองว่าเพลงนี้มันเป็นเพลงสนุก แต่พูดเรื่องแอบรัก มันคนละฟีลกับเรื่องที่พูดอยู่แล้ว ผมตีความเนื้อเพลงนี้ว่าเป็นเพลงที่คนที่แอบรอเศร้านะ รอแบบไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ รอที่จะบอกรักแค่นี้ มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ ก็ให้มู้ดอีกแบบ เหมือนเป็นอีกคนไปเลย แล้วไอ้ที่ใช้เปียโนอะไรเพิ่มเข้ามา จริง ก็ไม่ได้ถนัดเล่น เหมือนเราเล่นได้แค่ไหนเราก็เล่นแค่นั้น มันอาจจะไม่ใช่วิธีเล่นเปียโนที่ถูกต้องด้วยซ้ำ เล่นออกมาได้แบบนั้นก็อัดเลย ลองทำดู

เพลง พายุหมุน

อู๋: เราคิดเนื้อเพลงตอนเราฟังเดโมที่เป็นดนตรีเปล่า อยู่บนเครื่องบิน แล้วเรานึกถึงเรื่องระยำตำบอนทั้งหลายที่มันเกิดขึ้น ตอนนั้นว่ามันเหมือนอะไรวะ อ๋อ มันเหมือนพายุ ที่เวลามันพัดลงมาทีคือบ้านเบิ้น หลังคงหลังคา รถเริดปลิวหมด แล้วมันก็จากไป ไม่สนใจไยดีอะไรเลย ชีวิตเรา โมเมนต์นั้นคือพายุทำลายเรามาก ทุก ทาง ทุก เรื่อง ไม่มีสิ่งดี เกิดขึ้นเลย

ต่อ: เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบในความ deep down ที่สุดในอัลบั้ม ในเรื่องเนื้อเพลง เพราะว่าถ้าเกิดคนที่ผ่านอะไรแย่ มา แล้วมาฟังเพลงนี้จะรู้สึกว่ามันคือพายุหมุนที่ซัดเข้ามาหาเราจริง

อู๋: ดนตรีก็ไม่มีอะไรเลย เราแค่ตีคอร์ดด้วยวิธีที่เราใช้บ่อย วิธีที่โง่ ง่าย คือทุกครั้งที่เราจับกีตาร์โปร่ง แล้วเราจับคอร์ด มันจะออกมาเป็นคอร์ดอะไรแบบนี้ แล้วเราทำดนตรีไว้ก่อน ตั้งใจให้อัลบั้มนี้มีเพลงที่เล่าเรื่องด้วยกีตาร์โปร่งเยอะ อย่างเพลง เสียง ก็เป็นอย่างนั้น พายุหมุน ก็เป็นอย่างนั้น คือเริ่มมาด้วยเสียงร้องเรา กับเสียงกีตาร์ เหมือนเล่นคนเดียวขึ้นมาก่อน ด้วยความที่มันเป็นอัลบั้มอะคูสติกมันควรจะเป็นซาวด์อะไรแบบนี้ แล้ววงก็เข้ามาทีหลัง เรียบง่ายสุด เลย

แล้วก็อัลบั้มนี้จะมีไลน์ดนตรีทั้งหมดแค่ 5 ไลน์เท่านั้น อย่างเพลงเก่า ที่สองคนนี้ทำมา โบ๊ทกับชินทำมา คือใส่ถมเป็นสิบกว่าไลน์ สตริงอลังการ เราจะตัดออกให้เหลือ 5 เพราะตอนที่ทำอัลบั้มนี้มันยังมี 5 คนอยู่ แล้วเรากะว่าให้เล่นคนละไลน์เดียวเท่านั้น จะไม่เปิด backing track เลย ปรากฏว่าทำอัลบั้มเสร็จ เชี่ยเต๋าแม่งออก ออกทำควยอะไร (หัวเราะ) คือเราทำเพื่อให้มันมาเล่นอะ

ต่อ: ไลน์เปียโนอะไรก็ทำเพื่อมันอะ

โบ๊ท: เราพยายามให้มันง่ายที่สุดด้วยนะ

อู๋: ตอนแรกที่มันไลน์เยอะ ก็ตัดเหลือแค่นี้เพราะอยากเล่นสด แม้ว่าจะเสียงสตริงก็เล่นกับคีย์บอร์ดจริง เราไม่อยากติดกับโชว์ที่อยู่กับ backing track มากเกินไป เราคิดทุกครั้งที่เรียบเรียงเพลง กีตาร์สอง เบสหนึ่ง กลองหนึ่ง ถ้ามีเสียงสตริงคือไม่มีเสียงเปียโน ถ้ามีเสียงเปียโนคือไม่มีเสียงสตริง ไรเงี้ย พยายามทำให้มันมินิมัลที่สุด นั่นคือไอเดียการเรียบเรียงอัลบั้มนี้เลย แล้วแม่งก็ออกตอนที่ปล่อยเพลง พายุหมุน แม่งโคตรแสบเลย (หัวเราะ)

แล้วเขาจะกลับมาไหม

อู๋: ไม่รู้ ตั้งแต่วันที่มันออกเราไม่คุยกับมันสักคำ (พี่ฝน PR Genie Records: ตอนไปบอกมั้ย) บอก แต่คือถ้ามึงบอกก่อนที่กูจะทำอัลบั้มอะ กูจะได้ทำแค่ 4 ไลน์ไง นึกออกปะ ไม่ได้โกรธที่ไม่มีคนเล่นนะ ไม่เป็นไร เปิด backing track ได้ แต่โกรธตรงที่ว่าอันที่ 5 อะมึง เสือกออกตอนที่ทำเสร็จแล้วไง

งั้นตอนเล่นสดจริง ทำไมไม่หาคนมาเล่นแทนล่ะ

อู๋: เปิด backing track แหละครับ

ต่อ: คือไลน์มันน้อยเกินกว่าจะจ้าง back up มาเล่น

บูม: ไลน์มันง่าย จ้างมาก็คือมันง่ายเกิน เขามาเล่นโง่ อะ

อู๋: คือไลน์คีย์บอร์ดของ The Yers ตั้งแต่ชุดแรกมานี่คือไลน์ที่โง่สุด ด้วยความที่เราเป็นคนโง่ด้วย แล้วไอ้เต๋าก็ไม่ใช่นักดนตรีด้วย เราก็เลยต้องคิดไลน์ที่มันโง่มาก

โบ๊ท: เขาเป็นนัก performance (หัวเราะ)

เพลง เสียง

อู๋: เพื่อนเหงาเลยครับ เราเริ่มเล่นกีตาร์โปร่งแล้วก็ร้องคนเดียว แทบจะจบเพลงแล้วเพื่อนถึงเข้ามา ท่อนโซโล่ เสียง พูดถึงเราเจอคนที่พูดอะไรไปก็ไม่เชื่อเรา เรารู้สึกว่าเราเป็นคนที่แม้ว่าบุคลิกเราจะเป็นแบบนี้ พูดจาแบบนี้ แต่เราเป็นคนที่ที่สุดแล้วเวลาแนะนำอะไรใคร คนจะไม่เชื่อ ไม่ว่าเราจะเคยเจอเรื่องนั้นมาแล้ว คอนเฟิร์มได้แล้วว่าเรื่องนี้มันไม่ดีนะ ก็จะไม่มีใครเชื่อเรา เราก็เลยน้อยใจมาก ว่าทำไมเสียงที่เราพยายามจะบอกมันไม่มีคนยอมรับ ไม่ว่าจะพูดดังแค่ไหนก็ไม่มีคนฟังเราสักที แต่สุดท้ายมันมีคนคนนึงที่รับฟังเสียงของเราเสมอ ในขณะเดียวกันเสียงของเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราเช่นกัน ก็คือเสียงของแฟนเรานี่เอง เวลาพูดถึงเขาจะเก๊ก เล่นมือถือ (หัวเราะ) เอาจริง มันเป็น official เพลงแรกจริง ที่เราเขียนให้เขา เราไม่เคยมีเพลงไหนที่เนื้อหาเขียนให้เขา 100% อันนี้คือทุกคำพูดคือเขียนให้เขาจริง (แฟนพี่อู๋: ขอบคุณนะค้า) สำหรับเรามันไม่ใช่การเขียนเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับแฟน มันดันเป็นเรื่องที่ให้เขาจริง พี่เล็ก Greasy Cafe อาจจะเขียนถึงทราย (แฟนพี่เล็ก) หลายเพลง อันนี้คือเป็นเพลงแรกจริง ที่เราเขียนถึงเพลงเรา ว่าเรื่องราวของเรากับแฟนเราเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนโรแมนติกเขียนเพลงนี้ให้แฟนเรา ซึ่งในอนาคตอาจจะมีอีก

เพลง เกลียด

อู๋: เป็นเพลงที่เรามั่นใจมาก เลยว่าคนจะตื่นเต้นกับมัน ด้วยเมโลดี้ ด้วยเนื้อหา แล้วก็เป็นเพลงที่เราสะใจมากที่สุดในการเขียนเนื้อเพลง คือเราเกลียดใครคนนึงมาก เราหาวิธีบอกเขาผ่านบทเพลง ตอนแรกจะเขียนว่าเราเกลียดเขาขนาดไหน ตั้งแต่ต้นจนก่อนถึงฮุก มันเล่ามาตลอดเลยว่า เหมือนกับว่าก็แค่คนคนนึงเข้ามาในชีวิตกูแล้วก็ทิ้งกูไปมันจะอะไรขนาดนั้นวะ แล้วตอนแรกที่เราจะเขียนฮุก จะเขียนว่ากูเกลียดมึงชิบหาย เกลียดมึงเข้าไส้ ปรากฏว่าเราพลิกได้ว่า เฮ้ย เหี้ยแม่ง เขาไม่ได้รับรู้เหี้ยอะไรเลย เป็นเราเองเนี่ยแหละที่มัวแต่คิดถึงเขาอยู่ได้ เกลียดตัวเองมากกว่าที่คิดถึงเขา คนคนนั้นแม่งโคตรไร้ค่าเลยทำไมคิดถึงอยู่ได้ ก็แบบ เชี่ย สะใจว่ะ ที่กูได้ด่ามึงตอนแรก แต่ดีว่าตรงที่ว่าเราสามารถพลิกให้มันเป็นเรื่องของคนอื่นได้ด้วย ถ้าเราเล่าว่าเราเกลียดแต่คนนี้ มันก็จะเป็นเพลงเพลงนึงที่เอาไว้บ่น คนฟังก็จะแบบ บ่นเชี่ยอะไรของมึงวะ เราสะใจตรงที่ว่าเราสามารถพลิกเรื่องเป็นเรื่องของคนทั่วไปได้ แล้วเราก็เป็นด้วย

เราเคยมีเพลง r&b มาแล้วก่อนหน้านี้คือ TV แล้วก็อยากทำอย่างนั้นอีก แต่เพลงนี้น่าจะหนืดกว่า แล้วก็คนดำกว่า ซึ่งเราก็เอาคนดำมาช่วยโบ๊ทตกแต่งไลน์เบส นั่นคือเพียวจาก Polycat (หัวเราะ) คิดไลน์เบสที่เป็นตอนจบ

ต่อ: เป็นเพลงที่อัดยากที่สุดสำหรับผม เหมือนมันง่าย แต่มันเยอะไปหมด พอมันเป็นอะคูสติกแล้วมันชัดอะ ความต้องคมต้องอะไร

เจอปัญหาตอนเอาไปเล่นสดไหม

โบ๊ท: ผมเจอครับ ตัวเบสใช้การวางท่าทางอะไรแบบเนี้ย มันไม่ได้เป็นสรีระกับการเล่นของผม คือตอนอัดมันต้องนั่งเล่นกับเบสโปร่ง

บูม: คือเพลงจังหวะมันเหมือน r&b มีความดึง ความช้า อันนี้เขาเป็นสายแบบอัด ลุยอะ

ความลับของเงา

โบ๊ท: เป็นหนึ่งเพลงที่ผมเลือกครับ ตอนแรกความลับของเงาเป็นเพลงเร็ว เวลาไปเล่นก็เป็นเพลงมัน คนกระโดด แต่ผมอยากให้ทำเพลงนี้เป็นเพลงช้า แล้วชื่อเพลงมันคือความลับของเงา ผมอยากให้บรรยากาศมันมืดจริง แต่ตัวผมเองเวลาเสียใจ ผมจะชอบไล่ไปถึงความโกรธ ก็เลยไล่การอะเรนจ์แบบนี้เป็นแบบจากสบาย ไม่มีอะไร จนมาถึงตอนหลังเหมือนระเบิดขึ้น แต่ไม่ได้แบบว้าก เหมือนคนโกรธแล้วเดินไปจ้องหน้า อั้น แค่นั้นพอ

บูม: ตอนท้ายเหมือนอยากให้กลองแบบทุบหน้าอก ส่วนใหญ่ในอะคูสติกจะไม่ค่อยมีอะไรที่โฉ่งฉ่าง แต่ก็อยากให้มีอะไรที่ระเบิด ตู้มขึ้นไป ส่วนใหญ่เขาจะใส่อย่างเดียว

โบ๊ท: ปกติเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้ไง มีกีตาร์สองคนแล้วใส่มาสามไลน์ เครื่องสายใส่มาแบบหกเจ็ดชั้น เพราะผมเล่นกีตาร์ไม่เก่งก็เลยแบ่งโพสิชันโทนเบสกับเมโลดี้ เล่นด้วยกันไม่ได้ ก็แยกมาเป็นสองตัวแล้วให้เพื่อนช่วยประกอบให้หน่อย เดือดร้อนคนอื่นเลย (หัวเราะ)

ต่อ: ด้วยการที่เขาไม่ได้เล่นกีตาร์โปร่งที่มีการเกาหรือว่ามีรายละเอียดเยอะ เขาก็เลยใส่มาหลาย ไลน์ แล้วเวลาเราจะไปเล่นจริง หรือเอามาอัดจริง เราต้องเลือก แล้วก็ใส่อะไรให้ได้มากที่สุด แต่พอเล่นจริง แล้วมันยากมากสำหรับคนที่เล่นกีตาร์ปกติ เพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติของการเล่นของผมด้วย แต่เราก็ไม่ได้ลบไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยนะ ก็เล่นตามไลน์ที่เขาคิดมา ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ด้วยว่าเขาคิดอะไรแบบนี้ออกมาโดยที่เราคิดไม่ได้ ตอนนี้ก็ยังเล่นไม่ได้ (โบ๊ท: คิดไม่ได้ไม่พอ แม่งเสือกเล่นไม่ได้อีก) นั่นแหละ มันก็ต้องเล่นให้ได้ด้วย

เพลงสุดท้าย คลาย ซึ่งก็เหมือน Cry แต่เปลี่ยนไปเป็นกีตาร์กับเพลงยาวขึ้น

โบ๊ท: ชื่อเปลี่ยนเป็นภาษาไทยด้วย

อู๋: (ยกนิ้วโป้ง) ไม่มีใครทำการบ้านมาเลยครับ มี Fungjaizine ที่แรก ไม่มีใครรู้ว่า Cry กับ คลาย เมโลดี้เดียวกัน เป็นเพลงเดียวกัน จบ (FJZ: ขอคอนเซ็ปต์ด้วย) เอาจริงนะ คือเมโลดี้เพลงเนี้ย ช่วงนั้น Arcade Fire ออกเพลง Everything Now ตื่อดือดือ ดือดื๊อ ตือดื่อดือ (ฮัม) บอกได้ ดนตรีทุกเพลงบนโลกนี้คือการก็อปมาแล้ว ทีนี้เราติดเมโลดี้นี้ ฝังหัวมาก พอเราจับเปียโนมันก็กลายเป็น ตึ่งดึงดึง ดึ๊งดึง ดึง เราเล่นแล้วเราชอบอะ ชอบจังเลย พอมีเปียโนเพลงแรกมาแล้ว เพลงคลายเพลงสุดท้าย ก็เป็นเพลงสุดท้ายจริง ในอัลบั้มนี้ อยากมีเพลงบรรเลงสักเพลง ดูน่าจะเข้ากับอะคูสติกดี ก็เลยแจมกันแบบโง่ ง่าย

ต่อ: จู่ ก็เลยเรียกเพื่อน รวบรวม อะ มาบ้านกูหน่อย

อู๋: แล้วเอาเมโลดี้นี้เป็นตัวตั้ง ซึ่งเพลงมันก็มีแค่สามพาร์ตเอง intro เมโลดี้ แล้วก็ outro ซึ่ง outro เนี่ยเราตั้งใจมาก ถ้าใครฟัง streaming ไม่ได้ฟังซีดีอะ มันจะเด้งขึ้นไปแล้ววนกลับมาที่ intro เหมือนเพลง Cry คือท่อนต่อของเพลงนี้ จริง แล้ว intro ของอัลบั้มนี้มันคือ คลาย ข้างล่าง

เข้าใจว่าร้องไห้มาทั้งอัลบั้มแล้ว อยากให้ตอนท้ายมันคลี่คลายตามชื่อหรือเปล่า เพราะมีคนเคยบอกว่าการใช้เสียงกีตาร์จะให้ความรู้สึกที่เป็นด้านบวกกว่าเสียงเปียโน

อู๋: ตอนเราทำเพลงนี้เราไม่ได้คิดว่าเพลงนี้จะอยู่ตรงไหนด้วยซ้ำ แต่ตอนเราเรียงเพลงเราคิด แล้วก็ตั้งใจให้ชื่อเพลงมันเป็นคลายนั้น เพราะว่าคอนเซ็ปต์เนื้อหาของอัลบั้มนี้มัน Cry ร้องไห้ แต่ดนตรีมันผ่อนคลายมาก ในขณะเดียวกัน พอมันอยู่แทร็คสุดท้ายมันก็ได้อีกความหมายนึง คือมันคลี่คลายทุกอย่าง

Bonus track

อู๋: หนักใจมากที่มันมาอยู่ตรงนี้ แต่มันต้องอยู่ ความตั้งใจของเราคืออยากเอา คลาย มาไว้สุดท้าย แต่มันทำไม่ได้เพราะว่าถ้าทำแบบนั้นจะเป็นอีกฟีลนึงเลย ทีนี้ bonus track คือเทศกาล กับเสียสละ

ต่อ: เทศกาลเป็นเพลงที่เมโลดี้โคตรป๊อปมาแต่ไหนแต่ไร มันเป็นเพลงแรกที่เล่นคอร์ดแบบเมเจอร์ ไม่ได้หม่นขนาดนั้น แล้วตอนนั้นก็ทำเพลงนี้เป็นเพลงแรก พอทำออกมาก็นึกถึงฟีล Bombay Bicycle Club เฮ้ย เขาเล่นออกมาจังหวะไหน ก็ลองใส่ มา มันก็ อ๋อ วิธีการเล่นกีตาร์โปร่งแบบนี้มันก็เหมาะกับเพลงนี้นะ ลองเอาคอร์ดเอาอะไรมาใส่ดู พอออกมามันค่อนข้างสว่างมาก แบบหมูกระทะสไตล์ ด้วยเมโลดี้ ด้วยวิธีใช้จังหวะ ท่อนแรกมันมีเสียงเปียโน ตึ่งดึ๊งตึงดังตึ่งดึ่งดังดึ๊ง มันออกมาเพราะ ใส แบบที่เป็นผมอะ (หัวเราะ) แต่เขาลืมใส่กลองกับเบส มันเลยออกมาเป็นแบบนั้น

เพลง เสียสละ

โบ๊ท: เป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดของ The Yers คือตัวเพลงเดิมเป็นเพลงที่ค่อนข้างหม่นอยู่แล้ว ผมอยากได้หม่น และมืด และหนืด เย็นเข้าไปอีก ก็เลยโปรยไปแบบ วิธีการเรียงความคิดเหมือนเพลงความลับของเงา แต่อันนี้คือคนที่เสียใจแต่อยู่คนเดียวเงียบ จมอยู่กับความเสียใจแล้วสุดท้ายไประเบิดด้วยการให้อภัย เหมือนคนร้องไห้อยู่บ้านแล้วคิดได้ว่าไม่เป็นไร เดินออกไปหาคนที่ทำให้เสียใจแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ให้อภัย อันนี้จบอีกแบบนึง ดนตรีใส่มาเยอะแล้วให้เพื่อนถอดออก

ต่อ: ทุกวันนี้ยังเล่นไม่ได้เลย

จะมีคอนเสิร์ตอะคูสติกไหม

ต่อ: ซื้อซีดีมาแล้วก็จะได้บัตรลุ้นเข้างาน มีโค้ดให้ลงทะเบียน

อู๋: 29 กันยายน ความตั้งใจแรกคือเราอยากมีโชว์ที่เป็น unplugged ด้วย เลยอยากทำอัลบั้มที่เป็นอะคูสติก วงเราเป็นวงที่ไม่ชอบเอ็นเตอร์เทนคนเวลาเล่นสด แต่ตอนอยู่ Smallroom ออกอัลบั้มแรกแล้วเราต้องไปเล่นก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ว่ะ เราต้องกลายเป็นวงที่ blend ความเป็นตัวเองอยู่บนเวทีให้ได้และต้องเป็น entertainer ที่คนดูชอบให้ได้ เพราะบ้านเราวัฒนธรรมการดูคอนเสิร์ตด้วยความเป็นคนไทยมันเป็นอีกแบบนึง เราเป็นคนที่ปิดตัวเองเลยไม่ได้ แต่ถามว่าทุกวันนี้เราชอบที่จะเป็นแบบนั้นอยู่ไหม เราขวนขวายมาตลอด เวลาเราเล่นสดคือเราชอบที่จะไม่มานั่งเอ็นเตอร์เทน เสียงอยู่ไหน ขอมือหน่อย ปรากฏว่าปัจจุบันเราไม่สามารถทำโชว์เงียบ อย่างนั้นได้แล้วยกเว้นเราไปอยู่ในทีที่เหมาะสมเท่านั้น แต่มันหาโอกาสยากมาก เราเลยนึกถึงคอนเสิร์ตอะไรที่มันแบบว่า เราจะได้เล่นแบบที่คนดูตั้งใจดูจริง แล้วทุกอย่างไปแบบเงียบ นิ่ง เรื่อย ของมัน ไม่ต้องมานั่งบิ๊วคน เอ็นเตอร์เทนใคร เราสื่อสารกันด้วยดนตรีอย่างเดียว เราเลยนึกถึงคอนเสิร์ตอะคูสติก อยากให้เกิดขึ้นมาก กับ The Yers MTV Unplugged แบบที่ Nirvana เป็นวงที่เล่นเดือดมาก มาเล่นอะไรเรียบ ซึ่งก็ มาลงท้ายด้วยการเป็นคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มไปเลย Cry Secret Session รับแค่ 600 คน คือลงทะเบียนได้ 300 สิทธิ สิทธิละ 2 คน

เคยมีโชว์ไหนที่ The Yers เล่นไปเรื่อย ไม่คุยกับคนดู

อู๋: เยอะ แต่ว่าถ้าทำผิดที่ก็ฟาวล์เลย เราทำ GMM Live House เราเล่นนิ่งเลย ไม่ได้แปลว่าคนเล่นมันไม่สนุกนะ มันคือการสื่อสารด้วยดนตรีอย่างเดียว ตั้งใจฟังดิ กูกำลังสื่อสารกับมึงอยู่ เล่นเสร็จเจอคอมเมนต์ เล่นดรอปลงเยอะ ห่วยลงเยอะเลย ไม่ได้เรื่อง ใจอยากจะพิมพ์ว่า ควย คำเดียว แต่ว่า นั่นแหละ ด้วยความที่เราเป็นวงที่มีชื่อเสียงขึ้นมาในระดับนึง เราก็ต้องไปในสถานที่ที่มันไม่มีที่ไหนให้เราเล่นแบบนั้นได้แล้ว ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าช่วงเวลาที่เราปรับตัว เราก็เจอวิธีปรับตัวแล้วว่าต้องทำอะไรยังไง แค่ไหนคือเพดานของ  The Yers แต่คนดูต้องสนุกด้วย ไม่ใช่ปัญหาอะไรมาก แค่เราขวนขวายอยากได้โชว์แบบนั้นบ้าง

จะเอาเพลงเหล่านี้ไปทำเพลง The Yers ปกติไหม

อู๋: No way เราไม่อยากให้มัน special อะไรซำ้ซ้อนขนาดนั้น แค่นี้ก็ special แล้ว

รู้สึกยังไงเวลาที่เพลงคัฟเวอร์ดังกว่าต้นฉบับ ทั้งเพลงตัวเอง และเพลงของคนอื่น

อู๋: เอาจริงปะ ถ้าเลือกได้เราก็ไม่อยากคัฟเวอร์เพลงคนอื่น เพราะว่ามันไม่สนุกอะ มันมีกรอบอยู่ แต่ว่าพอมันเป็นโจทย์ที่เราต้องรับมา หรือว่าอะไรก็ตามแต่ เราก็ต้องเลือกเพลงที่มันสนุก เลือกเพลงที่มันทำแล้วมันต้องเพิ่มอะ มันไม่ใช่ลดลง แล้วก็ต้องให้คนรู้สึกว่าเราทำให้รู้สึกว่าไม่ได้มาทำให้ต้นฉบับเขาเสียด้วย มันเป็นอีกตัวเลือกนึง แต่อย่าง น้ำลาย นี่เราทำเพื่อเงินครับเพราะเขามาจ้าง (หัวเราะ) ทุกวันนี้ไม่เคยเล่นเลยครับ โฆษณาถุงยางอนามัย คือคนที่ไหนจะอยากเอาเพลงที่เป็นเพลงชาติของคนไทย เพลงเร็ว อย่าง น้ำลาย ที่เป็น anthem มาทำใหม่อะ ทำยังไงก็ทำไม่ถึงอยู่ดี แล้วเราแบบ พูดตรง ก็คือไม่ได้อยากทำขนาดนั้น แต่ได้เงินก็ดี แต่ก็ไม่เคยเอามาเล่นเลยนะ แต่เราก็แฮปปี้นะ ก็รู้สึกว่าเป็นน้ำลายแบบ The Yers ดี แต่คนก็ยังติดแต่ต้นฉบับอยู่ดี

จริงไหมที่เอาพลังเศร้ามาสร้างงานศิลปะแล้วได้มาสเตอร์พีซกว่าการเล่าจากความสุข

อู๋: จริงครับ วันก่อนครับ คือ เราว่าความสุขก็เล่าให้ทรงพลังได้ แต่เชื่อเราเถอะว่า การจะเล่าความสุขให้ทรงพลังได้ มันต้องมีความทุกข์อยู่ในนั้น รู้สึกไหมเวลาที่เราดูหนังที่มัน happy ending มาก เพราะอะไรเราถึงแฮปปี้มาก เพราะก่อนหน้านั้นมันทุกข์ใจมาก เลยไง สองสิ่งนี้มันต้องอยู่ด้วยกัน แต่ว่าเราดันเป็นคนชอบจมลงไปลึกที่สุดแล้วไม่โผล่หัวขึ้นมา คือเราเป็นโรคจิต อาจจะไม่ใช่โรคจิตหรอก เราว่ามีคนเป็นแบบเราเยอะ เวลาเราเห็นงานประเภทไหนที่มันเป็นงานโทนดำ ไม่ใช่แค่ภาพนะ เสียงด้วย หนัง การ์ตูน หรือแอนิเมชันทั้งหลาย งานศิลปะ เวลาเราเจออะไรที่มันมีมู้ดโทนสีดำ มีความหม่น เราแม่งมีความสุขมาก เลย เรารู้ตัวเองเลย สมมติอย่างไปหอศิลป์ ไปดูงานศิลปะ อันนี้สวยว่ะ แต่เวลาเราเจองานที่มันแบบ เชี่ย แม่งดาร์กชิบหายเลยว่ะ เราจะดูนานมาก นานสุด แล้วเชี่ยแม่ง โห เวลาเราเจออะไรแบบนี้เราติดอยู่กับมันนานมาก จนมีอยู่งานนึง น่าจะที่ญี่ปุ่น ที่ MORI เราเข้าไปดูงานของใครไม่รู้ มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมแล้วเป็นงานวิชวล ฉายสี่รอบ สี่ด้าน เข้าไปแล้วมันหลอนมาก มีเสียงฟิ้ว เราก็นั่งอยู่ในนั้นนานมาก เชี่ย กูรู้ตัวเองแล้วว่ะ กูชอบงานแบบนี้ ไอ้ที่กูเป็นแบบนี้เพราะกูชอบอะไรแบบนี้ อยู่ในนั้นแล้วมีความสุขชิบหาย เวลาเจออะไรหลอน ดาร์ก มัน inspired เรา

ต่อ: จริง เราเป็นคนป๊อปมาก สดใส แบ๊วขั้นสุด แต่เวลาอยู่กับวงนี้เราก็อินนะ ไม่ได้แปลว่าเล่นแล้วไม่มีความสุข เวลาเรา deep down เราก็ deep down จริง แต่คนเราเสพได้สองด้าน งานศิลปะผมก็เหมือนอู๋เวลาไป exhibition ผมจะชอบพวก installation ที่มันเงียบ แล้วก็ไม่มีอะไรเลย แต่ทำให้คิดเยอะ อยู่กับมันได้นาน เคยไปอยู่ที่นึงที่เกาหลี เป็น display มีต้นไม้ มีอะไร ยืนดูเกือบชั่วโมง นานมาก จนคนอื่นหนีกลับไปหมดแล้ว ผมก็ยังอยู่ตรงนั้น มีอะไรให้คิดเยอะมาก

บูม: แล้วผมเชื่อว่าความทุกข์มันสร้างงาน วรรณกรรมมันก็มี masterpiece หลาย อย่าง George Orwells หรือพันธุ์หมาบ้า คือการที่จะเขียนนิยายแบบนี้ได้มันต้องมีความทุกข์ หรือมีการมองโลกที่ไม่ได้สดใส มันก็เลยกลั่นออกมาเป็นงานแบบนี้ได้

โบ๊ท: การถ่ายทอดด้วยครับ ถ้าพวกเรายืนด้วยกันแล้วทำเพลงที่สดใสมาก พลังงานบ๊วกบวก แล้วให้อู๋เป็นคนเล่าเรื่องเนี่ย พลังมันไม่เท่ากับที่ทำอยู่แบบนี้ มันไม่มีใครพูดเรื่องแบบนี้

คิดยังไงกับการที่เราเป็นคนทุกข์เปิดเผย หรือเป็นคนทุกข์แบบปกปิดดีกว่า อย่าง Vincent van Gogh ใช้สีสดใสมากในงานทั้งที่เขามีความทุกข์

อู๋: โคตรดาร์ก

บูม: เก่งนะที่ทำให้สีออกมารู้สึกแย่ขนาดนั้นได้

คิดจะทำงานที่คอนทราสต์แบบนี้ไหม

ต่อ: ผมอาจจะไปทำเพลงป๊อปก็ได้

อู๋: เราชอบแบบ ถ้าในเชิงกวนตีน เราชอบนะ แต่มันจะไม่โผล่ในงานของ The Yers มันจะไปโผล่ตอนเราไลฟ์หรือตอนออกรายการ คือเราไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศนี้เวลาไปออกรายการจะต้องแบบ อะ ขอร้องสดสักท่อนนึง (หัวเราะ) กูเพิ่งตื่น ผมกูยังไม่แห้ง แล้วเข้ารายการเช้า ทำไมต้องมาบิ๊วให้กูร้องตอนนี้ด้วยวะ กีตาร์ก็ไม่มี เราแก้ปัญหาโดยการที่ว่า อะ โบ๊ท จัดไป เวอร์ชันพิเศษครับ มอบให้ที่นี่เท่านั้น แล้วโบ๊ทก็ร้องแบบกวนส้นตีนไปเลย

โบ๊ท: ผมเหมือนได้มีเรื่องพิชิตตัวเองมา ก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสได้เข้าสู่วงการบันเทิงบ้าง แล้วมันไปแบบไม่พร้อม แบบงง ไม่รู้ยังไงเลยพยายามนำเสนอแต่อะไรที่เราคิดว่ามันคูล แล้วมันแข็ง มันไม่จริง แล้วผมก็ไม่สนุก ผมก็กลับมาคิดว่า เฮ้ย ไม่ปิดละ ต้องปลดออก อยากทลายกำแพง ทำอะไรก็ทำเลย มันก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ว่ามันมีเสน่ห์ขึ้น มันไม่แข็งอะ ก็เลยเป็นธรรมชาติ ทำมาตลอด

อู๋: จะแสดงออกด้วยอะไรแบบนี้มากกว่า อย่างเราไปคอนเสิร์ตอันนึงที่เป็นไฟต์บังคับ เล่นตามโรงเรียน ทีมงานบอกว่าเราต้องเต้น ยืนนิ่ง ไม่ได้ พี่เจ๋ง Big Ass มาเขายังเต้นเลยน้า (บูม: เขากลัวเราจะมีปัญหา) ปรากฏว่าเราคือวงที่เต้นมันที่สุดอะ ซ้อมมาก่อนด้วย คือเขาคิดว่าเราจะไม่เต้น ปรากฏว่าเราใส่เลยอะ แล้วเคยดู mv Peace ปะ Lost on Me เราเต้นท่านั้นอะ แล้วทีมงานเขาตกใจเลย The Yers เต้นพร้อมกันด้วยอะ ซ้อมในห้องตรงนั้นเลย (ต่อ: ซ้อมหนักกว่าซ้อมดนตรี)

โบ๊ท: หน้าจริงจังด้วยนะ ไม่ได้ทำหน้าเขิน

อู๋: อะไรแบบเนี้ยเราพร้อมจะ contrast กับตัวเองหมด แต่ถ้าอยู่ในผลงาน The Yers จะทำอะไรแบบนั้นไม่ได้

ผลตอบรับอัลบั้มเป็นยังไงบ้าง

อู๋: เรากล้าพูดเลยครับว่าเราคืออัลบั้มที่ขายดีที่สุดในปีนี้ของ Grammy เราพูดได้เต็มปากเลย แค่ในระยะเวลาไม่กี่วัน เรามั่นใจเพราะรู้ตัวเลขมา เห็นแล้วว้าวอะแม้ว่ามันจะไม่ได้เยอะ เราว่ามันมาจากความที่เราน่าจะจริงใจกับการจะทำสินค้าอะไรขายสักอย่างนึงมาก เพราะ The Yers ทุกครั้งที่เราขายเสื้อ ซีดี merchandise เราจะจริงใจทุกครั้ง แล้วอัลบั้มนี้ เราพยายามทำแพ็คเกจให้เหมือนอัลบั้มที่แล้วที่โง่ ง่าย ไซส์ซีดีมาตรฐาน ในขณะที่ทุกคนตอนนี้ทำซีดีออกมาเป็นแบบ แผ่นใหญ่ยักษ์ แถมนั่นนี่ แพ็คเกตเว่อวัง เราพยายามทำให้เรียบง่ายที่สุดเลย แต่ความพิเศษคือเหมือนมี Japan bonus track อยู่ แต่ว่าไม่ใช่ คือใครซื้อซีดีจะมีเพลงที่หาฟังที่ไหนไม่ได้เลย เพราะเราไม่ได้เอาลง streaming นั่นคือความพิเศษอย่างแรก อย่างที่สองคือบัตรคอนเสิร์ต

อยากรู้คอนเซ็ปต์ซีดีที่เป็นคอลลาจ

อู๋: เขาคือคนที่ทำปกของ The Yers มาตลอดทั้งสามอัลบั้ม บอกโจทย์ว่าเราอยากได้ความบ้านเป็นอันดับหนึ่ง ความ homemade และ organic lo-fi คุณรมย์ศิลป์ สุขประเสิร์ฐ สุดยอด คือเราบอกเขาแบบนี้ แล้วก็เหมือนกับว่าเราอยากให้มันดูธรรมชาติมาก ดูแว้บแรกแล้วรู้เลยว่าเป็นอัลบั้มอะคูสติก เขาก็ถามว่าทำคอลลาจไหม เออ ผมก็ชอบงานคอลลาจอยู่แล้ว แต่ว่าตอนแรกคือพวกรอยขาดพวกนี้เรียบร้อยมาก ไม่ได้ ขอดูให้มันฉีกแบบฉีกจริง อันนี้คือการเอารูปถ่ายมาฉีกจริง แล้วเอามาปะ แล้วถ่ายมันใหม่ ทั้งหมดเลยทุกรูป แล้วก็เกือบจะทุกรูปถ่ายที่หน้าบ้านเราหมด อัลบั้มนี้จบที่บ้านเราหมดไม่ว่าจะเป็นการประชุม บันทึกเสียง ถ่ายปก อย่างน้ำในรูปนี้น่าจะมาจาก mv พายุหมุน ดอกไม้ กีตาร์นี่ถ่ายมาจากบ้านเราหมด ให้มันบ้านจริง กระดาษนี่ก็คือเนื้อเพลง คิดเอาเอง

สรุปจะได้พักทำอัลบั้มหรือยัง

อู๋: ก็คือหลังจากนี้ อาจจะมีซิงเกิ้ลที่มันจะเกิดจากคนมาจ้างเป็นแคมเปญ พวกนั้นอะมี แต่เพลงใหม่ในนาม The Yers ไม่ขึ้นกับองค์กรใดเลย ยังไม่มี เราจะปิดประตูที่ชื่อ The Yers ไว้สักพักนึง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เล่น ไม่ทัวร์ เลิกเล่นเฟซบุ๊ก ไม่ใช่ พักการเขียนเพลงไว้ก่อน รู้สึกว่า ตอนนี้ทุกคนคิดว่า กลัวการปิด กลัวการหายไป แล้วทำให้คนลืมเรามาก เราเชื่อว่าโคตรไม่จริงเลย เราว่าการหายไปและปิดประตูทิ้งไว้จะทำให้คนอยากรู้มากกว่าว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เราเชื่อในทฤษฎีนี้มาก เราก็คุยกับเพื่อนไว้แล้วว่าเราจะหยุด

รู้สึกยังไงที่ Bombay Bicycle Club วงแตก

อู๋: หือ อิจฉาไอ้โบ๊ท ไอ้โบ๊ทเคยดูครับ

โบ๊ท: ไปดูที่ Fuji Rock ญี่ปุ่น พูดกันเองก็ แตกทำควยอะไร (หัวเราะ) วงมันดีชิบหายเลยแยกกันทำไมวะ

อู๋: ใช่ แล้วเราก็ไม่ชอบ Mr. Jukes เลยอะ แล้วก็ไม่ชอบ Toothless ด้วย ชอบ Bombay Bicycle Club มากกว่า

สุดท้ายแล้ว ฝากถึง Cry Secret Session วันที่ 29 กันยายนนี้หน่อย

อู๋: ขอให้โชคดี ขอให้ได้สิทธินะ

 

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้