Article Interview

‘รอยยิ้มเธอยังอยู่’ เพลงเศร้าที่ทำให้เราคิดถึงรอยยิ้มในวันวานจาก เวิลด์ นพรุจ

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

เราอาจไม่คุ้นชื่อของ เวิลด์ นพรุจ กันเท่าไหร่นัก เพราะเขาคือศิลปินรายแรกหลังจากการกลับมาของ Believe Records แต่ถ้าเกิดใครติดตาม The Voice Thailand season 5 ก็น่าจะเห็นศิลปินลูกทีมโค้ชโจอี้คนนี้มาบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าใครเป็นแฟนดนตรีโฟล์กก็น่าจะเคยได้ยินวงที่ชื่อ จินตะ และ Walk by Myself ซึ่งเขาก็คือหนึ่งในสมาชิกของวงดนตรีดังกล่าว และครั้งนี้เขาจะมาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการในฐานะศิลปินเดี่ยวครั้งแรกกับ Fungjaizine

ก่อนหน้านี้ทำเพลงคัฟเวอร์ลง YouTube

จริง ไม่ค่อยชอบอัดคลิปเท่าไหร่ครับ แต่พอมีคนอยากฟังก็ต้องทำ ส่วนใหญ่ก็แฟน ๆ ที่ตามจากรายการ The Voice พอมาลองทำจริง ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร (หัวเราะ) ซึ่งผมก็รู้จักกับ พี่ฟั่น—โกมล บุญเพียรผล จนชวนมาอยู่ค่ายเพราะเขาเห็นเราจากรายการเหมือนกัน 

อะไรทำให้ตัดสินใจไปประกวด The Voice

โดนเพื่อนแกล้งครับ ไม่ได้ตั้งใจมา พอมามันก็เครียดดี (หัวเราะ) มันบอกว่าให้เราส่ง เดี๋ยวมันส่งด้วย แล้วก็ตั้งโทรศัพท์อัดคลิปแล้วเราก็เล่นกันเลย อยู่  ผมก็ติด ซึ่งผมติดคนเดียว น่าจะเพราะเพื่อนมันถอดเสื้อถ่ายเลยไม่ติด (หัวเราะ)

ความรู้สึกตอนที่ผ่านเข้ารอบออดิชัน

มันงง มากกว่าครับเพราะมันเกิดจากความไม่ตั้งใจ ผ่านไป 5-6 วัน เขาโทรกลับมา ตอนโทรมาผมยังไม่ตื่นเลยครับ (หัวเราะ) รับโทรศัพท์ เขาพูดอะไรมาเราก็ครับ อย่างเดียว แล้วเราโทรกลับไปถามเขาอีกทีตอนค่ำแล้วว่าผมต้องทำอะไรบ้าง มันเป็นเรื่องงง ไปหมด ก็ไปแบบงง ไปเรื่อย ตอนนั้นน่าจะอยู่ ปี 2-3 ไม่เคยมีกิจกรรมอะไรในวงการมาก่อนเลย มีแค่ทำเพลงเองอยู่ก่อนหน้านี้กับเพื่อนชื่อโปรเจกต์ Walk by Myself ตอนนี้หยุดทำไปแล้ว แต่ที่มาทำกับ Believe Records นี่ก็เป็นทีมเดิมแหละครับ แค่เปลี่ยนมู้ดดนตรีมาเป็นอีกแบบนึง คือทีแรกพี่ฟั่นชวนผมมาก่อน แล้วผมก็บอกว่ามีเพื่อนที่ทำด้วยกันอยู่ พี่ฟั่นก็บอกให้ชวนมา แล้วถามว่าจะเป็นวงหรือเป็นเดี่ยว ก็ตัดสินใจเป็นวงกับเพื่อนแหละ แต่ใช้ชื่อผมคนเดียว เพราะก็มีคนเคยได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว ในนี้ก็มีจิ๊บ วงจินตะ เป็นคนสำคัญในโปรเจกต์แหละ

ตอนนั้นอยู่ทีมโค้ชคนไหน

พี่โจอี้บอยครับ ถึงการทำงานจะดูเป็นคนละแนวกัน แต่เขาไม่บิดอะไรในตัวเลย ให้ทำเอง คิดเองทุกอย่าง ผมคิดมาแล้วเขาก็โอเคหมด มันเหมือนไม่ได้ปรับอะไรเลย ให้อิสระเต็มที่ เป็นโฟล์กมาตลอด ตอนเล่นดนตรีกลางคืนหรือเล่นที่ไหนก็เป็นโฟล์กหมด

แบบนี้แสดงว่าก็รู้จักแก๊งศิลปากรเยอะ สนิทกับใครและเคยร่วมงานกับบ้าง

ก็พวกในวงจินตะนี่แหละ แล้วก็มีแฮม ฐานิต ครูเพลง เป็นรุ่นน้อง แต่งเพลงกานดาให้ป้าที่เป็นมะเร็ง เขานึกถึงเราอยากให้เราไปร้อง ก็ไป ก็มีทำเล่น อยู่เยอะครับ ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นเพลงของรุ่นน้องที่เสียชีวิตไปเขาเขียนไว้ แล้วเขาทำเพลงไม่เสร็จ เสียไปก่อน ก็มีรุ่นน้องอีกคนที่เป็นเพื่อนของคนนี้อยากให้ผมทำเพลงนี้ต่อ แล้วเขาจะทำเป็นสารคดี แต่ไม่เกี่ยวกับค่ายนะครับ อันนี้เป็น side project

ทำไมถึงอินกับแนวเพลงนี้

เพราะเป็นคนเล่นกีตาร์มาตลอดด้วยมั้งครับ ก่อนจะร้องเพลงก็เริ่มมาจากเล่นกีตาร์ก่อน เลยชอบเสียงกีตาร์และชอบเล่นกีตาร์มากกว่าร้องเพลง ดนตรีโฟล์กมันก็ได้ใกล้ชิดกับกีตาร์ เรารู้สึกผูกพันกับเสียงนั้นเลยอินกับโฟล์ก

รู้ตัวตอนไหนว่าร้องเพลงได้

ไม่รู้เลยครับ พอเล่นกีตาร์ไปได้สักพักเราก็อยากร้อง เราแค่ร้องไปเรื่อย โดยไม่ได้ฝึก ไม่ได้อะไรกับมัน จนอยู่ ก็กลายเป็นคนเล่นกีตาร์ร้องเพลงไปเอง

จริง แล้วก็ไม่ได้ใหม่กับวงการมาก เพราะเคยไปเล่นที่งาน Keep on the Grass มาแล้ว

ครับ แต่ว่าอันนั้นไปเล่นในนามเพื่อน เล่นกับวงจินตะ มันก็แล้วแต่สภาพของเวทีแต่ละที่ครับ บางที่มันก็ต้องคิดเยอะหน่อย บางที่พอบรรยากาศมันส่งเสริมก็แทบไม่ต้องคิดอะไร

 

เวลาเล่นกลางคืน รู้สึกยังไงที่คนมาร้านบางทีทรีตเพลงเราเป็นแค่ background music ไม่ได้สนใจขนาดนั้น อยากให้คนสนใจไหม หรือเราเข้าใจว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำมาหากินที่ต้องเจอ

ผมเป็นคนเลือกสถานที่ที่เหมาะกับตัวเอง ร้านที่ไปเล่นเลยไม่มีความรู้สึกนั้น กลายเป็นร้านที่คนทุกคนรู้ว่าจะต้องมาฟังอะไร เราเลยมีความสุขกับการเล่น ไม่ได้มีความรู้สึกว่าไปเล่นร้านเหล้าหรือบาร์ ตอนนี้เล่นอยู่ร้านเดียวเนี่ยแหละครับที่ผมสบายใจ ชื่อ Pizzicato ทุกวันพุธ อยู่ลาดพร้าวซอย 10 ครับ

คนชอบบอกว่าเพลงของเวิลด์มีความเศร้าหม่น จริง แล้วเป็นคนแบบนั้นไหม

แต่ละคนก็ไม่น่าจะมีความเศร้าอย่างเดียวเนอะ ก็เป็นคนที่มีหลายอารมณ์แหละครับ อาจจะเป็นเพราะเพลงที่นำเสนอไปมันเป็นภาพนั้นมากกว่า มันเลยดูเหมือนเราติดอยู่กับความเศร้า แต่จริง เดี๋ยวเพลงต่อ ไปจะมีสดใสตามมาเหมือนกัน (หัวเราะ) จริง ผมไม่ดาร์กนะ เป็นคนกวนตีนมาก แสบเลยแหละ แค่คนไม่ค่อยได้เห็น

เพลง รอยยิ้มเธอยังอยู่ มีที่มาจากอะไร

คอนเซ็ปต์แรกเริ่มของเพลงนี้มันมาจากรุ่นน้องของผม คนที่กำลังทำ side project ให้เขาอยู่เนี่ยแหละ ผมไม่มีความทรงจำกับน้องคนนี้มาก แต่ตอนที่รู้ว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วเราเสียใจ อยากจะเขียนเพลงให้เขา เหมือนเป็นการเขียนเพื่อยกความเสียใจนี้ออกจากหัวใจของตัวเองด้วย คิดอะไรไม่ออกเลย พยายามคิดถึงวัยเด็กมันก็มีไม่พอที่จะเอามาเขียน แต่คิดออกอย่างนึงคือรอยยิ้มของเขา เขาเป็นคนนึงที่ยิ้มจริงใจมาก แล้วในทุกครั้งที่เจอกันเขาจะยิ้มมากกว่าพูด เราเลยได้คอนเซปต์แรกเริ่มขึ้นมา แต่ต้องย้อนเวลากลับไปอีก ชีวิตผมเจอความสูญเสียมาเยอะเหมือนกัน ตอนเด็ก เลยมีแฟนคนแรก แฟนเสียชีวิตไป พอเขียนไปเขียนมามันก็กลับมาเรื่องตัวเอง เหมือนได้คอนเซ็ปต์มาจากน้อง แต่ก็ได้เรื่องราวมาจากตัวเองด้วยเหมือนกัน

Post pop คืออะไร

พี่ฟั่นเรียกครับ ทีแรกมันไม่มี post pop แต่แกอยากเรียก ผมก็โอเคพี่ post pop ก็ได้ เท่ดี จริง มันมีความเป็น post rock อยู่แต่ไม่ได้เพียว จ๋า จริง ขนาดนั้น มันเป็นการประยุกต์ จริง ดนตรีสมัยนี้มันก็เป็นการรวมหลายแนวไว้ด้วยกันอยู่แล้ว พี่ฟั่นอาจจะคิดว่ามันถูกผสมจากอันนั้นอันนี้หลาย แนว ผมว่านะครับ (หัวเราะ)

แล้วตัวเองอยากจะเรียกว่าอะไร

จริง มันก็อยู่ในโฟล์กนะสำหรับผม เพราะมันนำด้วยดนตรีที่เป็นอะคูสติกอยู่ ก็น่าจะอยู่ในโฟล์ก แต่นั่นแหละครับ มันดูมีคอนเซ็ปต์ดี (หัวเราะ)

รู้สึกยังไงที่สมัยนี้ใคร ก็เป็นศิลปินโฟล์กได้ เพลงโฟล์กของเวิลด์ต่างจากคนอื่นยังไง

โฟล์กมันคือการเล่าเรื่องครับ มันต่างตั้งแต่ผู้เล่าแล้ว เรื่องราวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาษาไม่เหมือนกันแน่นอน แล้วแต่ว่าใครจะเล่าเรื่องไหน เรื่องเดียวกันแต่คนละภาษากันก็ได้

ของเวิลด์เกี่ยวกับอะไร

เรื่องใกล้ตัวหมดเลยครับ ถ้าไม่ใช่เรื่องตัวเองก็จะเป็นเรื่องที่ฟังเขาเล่ามา ถ้าไกลไปอีกก็เป็นเรื่องที่อ่านมาแล้วตีความสรุปในแบบตัวเอง

เจอเรื่องไหนที่อ่านแล้วชอบมาก

อ่านที่สะเทือนใจสุดน่าจะเป็น จนตรอก มั้งครับ ของชาติ กอบจิตติ อ่านแล้วร้องได้หลายหน้าเลย เป็นชีวิตของคนจริง เราได้ยินคำว่าจนตรอกมาเยอะ แต่ชีวิตในหนังสือเล่มนี้มันเกินคำว่าจนตรอกไปอีก มันมากกว่าการลำบาก จะโทษว่าโดนฟ้ากลั่นแกล้งแล้วก็ได้ คนอะไรมันจะโชคร้ายขนาดนี้ เราว่าเขาเขียนมาจากประสบการณ์ของเขาจริง มันมีฉากผูกคอตายในหนังสือ แล้วเรารู้มาว่าคนเขียนเขาเคยผูกคอตายจริง คือมีหมออะไรมานั่งรอบ เขาอยากผูกเพื่อให้รู้ทุกวินาทีก่อนจะตาย แล้วในหนังสือเขียนบรรยายมาดีมาก พูดถึงลูกกระเดือกที่กำลังจะแตก โห ทำได้ไงวะเนี่ย (หัวเราะ) เราชอบหนังสือที่มันเขียนจากเรื่องจริงแล้วมันเห็นบรรยากาศจริง

เคยคิดอยากเป็นศิลปินจริง ไหม อะไรทำให้เลือกเรียนดนตรี

ไม่ได้คิดเลย แค่คิดว่าจะอยู่กับมันทุกวัน ต่อให้ไปทำงานอื่นก็จะอยู่กับมัน ไม่ได้คิดฝันว่าจะไปถึงไหน

ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ของวงการ คาดหวังจะได้อะไรจากตรงนี้

เหมือนตอนเรียนเลย ตอนมาทำกับ Believe Records เรามีพี่ฟั่นเป็นโปรดิวเซอร์ ตอนเราเรียนเรามีอาจารย์หลาย คนเป็นโปรดิวเซอร์ เหมือนเราแค่เปลี่ยนอาจารย์ รู้สึกมันเป็นการเรียนรู้ไปเรื่อย ไม่ได้คิดว่ามันจะไปถึงไหน คิดแค่เรียนตลอดเวลา มันเลยสนุก

มีศิลปินที่มีอิทธิพลกับเราไหม

พวก Damien Rice, Glen Hansard, Bahamas เราฟังเยอะมาก ต้องฟัง เวลาทำเพลงต้องฟังเยอะ เพื่อเอามาผสมให้เกิดเป็นผลงานที่เราชอบจากสิ่งที่เราฟังจริง มันเยอะ แต่ถ้านึกถึงไอดอลก็คิดไม่ออก

ผลงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

น่าจะมีเพลงมีจังหวะเพลงที่สอง ไม่ฟังแล้วจิตตกขนาดนี้ (หัวเราะ) เรายังฟังบ่อยไม่ได้เลยนะ คนอื่นก็น่าจะฟังบ่อยไม่ได้ เพลงนี้มันเฉพาะช่วงเวลามากกว่า

ตอนได้ดู mv รู้สึกยังไง

โห ชอบนะ คนทำ mv เก่งมาก ด้วยเนื้อหาเพลงมันเศร้าสัส อยู่แล้ว แต่ mv ไม่ได้พยายามเศร้าเลย มันแค่ตัดภาพไปตัดภาพมาให้เห็นความเปลี่ยนแปลง เราเลยรู้สึกว่ามันลงตัวมาก

จะมีเล่นที่ไหนไหม

เดือนหน้าน่าจะมีเล่น ถ้าไม่ผิดพลาดนะครับ อยู่แถวเกษตร ชื่อร้านครัวพีพีอะไรสักอย่าง เป็นร้านที่ชอบจัดดนตรีโฟล์ก

ฝากอะไรถึงคนอ่าน มีแฟนคลับเยอะไหม

ไม่ค่อยได้ฝากอะไรถึงแฟน เลย พูดไงดี (หัวเราะ) ก็มีไม่เยอะนะครับ แต่ก็มีอยู่ ก็ขอบคุณทุกคนที่รอฟังเพลงนี้เป็นปีเลย กว่าจะเสร็จ แล้วก็ขอบคุณคนที่เพิ่งมาฟังแล้วชอบ เศร้าได้ แต่อย่าจมกับมันนานเกิน ไม่ใช่ข้อดี ถ้าเกิดฟังแล้วร้องไห้ก็ให้มันเป็นสิ่งปลอบใจ อย่าไปเศร้ากับมันต่อนะครับ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้