Interview

ก้าวใหม่ของ Young Man and the Sea เตรียมปล่อยซิงเกิ้ล 25 เมษายนนี้

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Tunlaya Dunn

ช่วงเย็นในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวกลางเดือนเมษายน Young Man and the Sea มาเยี่ยมเราที่บ้านฟังใจพร้อมกับข่าวดีที่พวกเขากำลังจะปล่อยเพลงใหม่กับบ้านหลังใหม่ Universal Music Thailand เรามาฟังพวกเขาเล่ากันว่าเพลงใหม่และก้าวใหม่ของพวกเขาจะก้าวไปในทิศทางไหน

 

Young Man and the Sea จะปล่อยซิงเกิลใหม่

ตั๊ด: จะปล่อยเพลงวันที่ 25 เมษายนนี้ครับ เพลงชื่อ ยั้ง มันเป็นเพลงที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ ผมจะไม่ได้บอกว่าเป็นเพลงบอกเลิก หรือเป็นเพลงเศร้า จริง ๆ คนที่จะพูดอะไรแบบนี้มันต้องเป็นคนที่รักกันมาก ๆ เพราะถ้าไม่รักกัน ก็คงจะเป็นการบอกว่า เออมึงไปเถอะ กูโอเค เลิกกันไปดีกว่า แต่นี่ไม่ได้พูดอย่างนั้น มันจะพูดเหมือนว่า เรามาลองคิดดูไหม ที่เราอยู่ด้วยกันแล้วมันเป็นยังไง คือผมว่าคนที่จะพูดแบบนี้ได้มันคือคนที่เป็นคู่รัก อยู่ด้วยกัน เคยนั่งขี้อยู่แล้วแฟนเข้าไปแปรงฟันได้ มันต้องเป็นคนที่ดูดบุหรี่ด้วยกันได้ มันต้องเป็นความสัมพันธ์ซึ่งค่อนข้างลึกซึ้งพอสมควรที่จะพูดอะไรแบบนี้ได้ และเต็มไปด้วยเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ และเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ทั้งหมดก็จะอยู่ในพื้นฐานของความเข้าใจครับ

 

เพลงอื่น ๆ ที่เอาไปเล่นส่วนใหญ่จะพูดเรื่องชีวิต ทำไมหนนี้มาพูดเรื่องความรัก

มะเฟือง: ตอนแรกเราวางคอนเซปต์ว่าจะพูดเรื่องใกล้ตัว เรื่องชีวิตเรา ความฝัน แล้วหนึ่งในนั้นคือความรักที่ส่งผลกับเรามาก ๆ ที่คิดในแต่ละวัน เราก็เลยอยากนำเสนอความรักในแบบที่ ถ้าเกิดว่า Young Man and the Sea เป็นผู้ชายคนนึง เขาจะพูดเรื่องความรักของเขาในแบบของเรายังไง

ตั๊ด: มันคงไม่ใช่เรื่องการกระโดดข้ามเนื้อหาของเพลง แต่มันจะเป็นการเริ่มใหม่ของพวกเรามากกว่า มันเป็นเพลงแรกของเรา แล้วถ้าบอกว่ามันเป็นเพลงรัก มันก็คงเป็นความรักในวิธีมองแบบเรา จริง ๆ อยากพูดเรื่องนี้มานานแล้วครับ เรามีซิงเกิลเดียว คือเพลง คนสวน เมื่อเกือบหนึ่งปีที่แล้ว ที่เหลือไม่ใช่เลย เพลงอื่นโดนหลอกทำ ก่อนหน้าเวลาเราไปเล่นจะมีเพลง 28 ปลาทะเล ที่อยู่ใน YouTube เป็นความไม่รู้ของเราในวันนั้น เขาบอกให้มาถ่าย live session แต่เราบอกว่าเรายังไม่ได้ทำเพลงเลย แล้วเขาจะให้ถ่ายเลย เราก็เลยต้องเอาเพลงในสต๊อกมาเล่น เพลงอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะเรียกว่าซิงเกิลก็ไม่ได้ครับ มีเพลงเยอะมากที่เราไม่เคยอัดเลย ขนาดกับโทรศัพท์ยังไม่เคยอัดเลย แต่งเสร็จ arrange เสร็จ ก็เอาไปเล่นเลย แจมกัน แล้วก็คิดว่า ไม่ ยังไม่ดีมั้งน้า… ซึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่องของ feedback ว่าคนดูเอาไม่เอา เพราะว่ามันเป็นเพลงใหม่ วงใหม่ ก็ลำบาก เป็นเรื่องของตอนเราเล่นแล้วเรารู้สึกยังไงกับมัน พอไปออกรายการ เขาขอ 3 เพลง เราก็เลยต้องเอาเพลงพวกนี้ไปใช้ แต่อันที่จริงแต่ละเพลงมันอยู่ในขั้น develop อยู่ครับ ทุกวันนี้ยังเปลี่ยนเนื้อกันอยู่เลย ทำนองก็มีการตัดแต่งอยู่ ดนตรีก็ทำไปเรื่อย ๆ จริง ๆ ตอนนั้นเราก็มีเพลงที่ทำไว้ อัดเสร็จหมดแล้ว 6 เพลง เตรียมมิกซ์ มาสเตอร์ แล้วก็มีอุบัติเหตุ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีเลย เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ครับ ก็เลยทำให้เราต้องทิ้งทุกเพลงที่เราอัดเสร็จทั้งหมด ไม่ได้ทำต่อ แล้วผ่านมาหนึ่งปีเราก็อาศัยการเล่นดนตรีเรื่อย ๆ เราเป็นวงที่ชอบเล่นดนตรีเยอะ ๆ ครับ ในระหว่างทางเราก็จะเขียนเพลงใหม่กัน แต่สิ่งที่ดีที่สุดของเรื่องที่เกิดขึ้น กับการต้องทิ้งสิ่งที่เราอัดมาทั้งหมดนั้นแล้ว คือด้วยความที่เราเป็นคนแต่งเพลง เป็นคนเล่นเอง ลิขสิทธิ์ของตัวเพลงและทำนองยังเป็นของเรา พอเรากลับมาตั้งต้น ตั้งหลักกันใหม่ได้ เราก็อาจจะหยิบบางเพลงที่เราชอบและรักมันมาก ๆ เอามาทำใหม่อีกครั้งครับ

มะเฟือง: เราก็คิดโปรเจกต์ของเราไว้แหละ ทำไว้เสร็จหมด มีโอกาสปล่อยแค่เพลงเดียวเพราะมีปัญหาซะก่อน ถามว่ามีโอกาสทำใหม่ไหม ก็คงมีครับ แต่คงต้องมาอัดกันใหม่ เพราะอันที่อัดมันก็เป็นสมบัติของคนที่จ่ายเงิน ที่เรามีปัญหากัน ก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรกับมันต่อ ตอนที่ทำ 6 เพลงที่แล้วมันคือหนึ่งปีที่แล้วก่อนที่ Young Man and the Sea จะได้ไปผจญโลก ไปเจองานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งปีที่ผ่านมามันก็หล่อหลอมและเปลี่ยนแปลงตัวเรา ทำให้เกิดอะไรใหม่ ๆ ที่เหมาะกับเราในตอนนี้ แล้วเรารู้สึกว่า 6 เพลงเมื่อหนึ่งปีก่อนเนี่ย เบรกไว้ก่อนไหม แล้วค่อยมา develop ให้มันเป็นพวกเราในปีถัดมามากขึ้น

 

ตอนหนึ่งปีที่แล้วกับตอนนี้ Young Man and the Seaเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง

ตั๊ด: มหาศาลครับ

มะเฟือง: ถ้ามาลองนึกถึงปัจจัยการเกิดวงดนตรีที่เราเชื่อว่าดีอย่างนึงก็คงเป็นการใช้เวลาร่วมกันแหละครับ หนึ่งปีที่แล้วยังไม่ค่อยมีจิ๊กซอว์ตัวนั้นเท่าไหร่ ตอนนี้มันก็มีมากขึ้น อาจจะไม่สมบูรณ์ซะทีเดียว แต่มันก็พัฒนาไปเรื่อย ๆ มันก็คงต่างกันมากอยู่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องการฟอร์มวงของเราด้วยครับที่ต่างจากวงเพื่อน ๆ ที่อยู่ด้วยกันมา ถ้าให้เท้าความเลยมันเริ่มมาจากพี่ตั๊ด พี่โย ทำเพลงด้วยกันตั้งแต่สมัยที่พี่ ๆ เขาเรียนกันอยู่เลย เป็นเพื่อนที่มหาลัย แล้วแต่งเพลงเก็บไว้เยอะมาก เวลาผ่านไปนานมาก วันนึงก็อยากลองนำสิ่งที่เคยทำแล้วมีความสุขพวกนั้นกลับมาทำต่อให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา พี่ตั๊ด พี่โยก็เลยเริ่มเขียนเพลงใหม่ ทำวงจริงจังขึ้น แล้วตามหาสมาชิกวง ก็เลยเกิดโจ เกิดผม เกิดพี่มิกเพิ่มเข้ามา แล้วเราก็เริ่มออกเรือกันเลย ตอนออกเรือตอนนั้นสมาชิกวงยังใหม่มาก แต่ตอนนี้ก็รู้ใจกันมากขึ้น เหมือนหลาย ๆ เพลงของเราพัฒนามาจากการเล่นสดกว่าหลายสิบโชว์ที่ผ่านมา เหมือนตอนที่ได้เอาไปใช้งานจริง ๆ มันก็เห็นว่ามันขาด หรือต้องเพิ่มอะไร หรืออะไรดีอยู่แล้ว

ตั๊ด: ซึ่งถ้าย้อนกลับไปตอนนั้น เพลง คนสวน กับเพลง ยั้ง ที่เป็นเพลงที่หนึ่งกับเพลงที่สอง ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นเลย ผมจะแต่งกีตาร์โปร่งกับโยสองคน แต่งไม่คิดอะไร แต่งจีบสาว เพลง ยั้ง นี่คงเป็นเพลงที่ 50 กว่าแล้ว ตอนเด็ก ๆ แต่งไว้ 30 – 40 เพลง ก่อนที่จะทำ Young Man and the Sea มีเดโม่เพลง คนสวน เราก็แต่งใหม่อีกเป็นสิบ ๆ เพลง แล้วเราก็ยังแต่งไปเรื่อง ๆ ดังนั้นคงเป็นเรื่องของการที่เราทำโน่นทำนี่มา แล้วพอวันนึงมีโอกาสได้มาหลอมรวมกัน ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาที่เราบอกว่าเปลี่ยนแปลงไปมหาศาลเลย มันก็เป็นเรื่องเจ็บปวดเหมือนกันที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นเหมือนที่จินตนาการไว้ตั้งแต่วันแรกที่ได้ทำ แต่ในมุมนึงก็คือเราก็ชอบการเปลี่ยนแปลง คือถ้ามันไม่เปลี่ยนแปลงมันก็จะเหมือนเดิมเสมอ ทีนี้การหลอมรวมของเราจากการใช้ชีวิตร่วมกัน เล่นดนตรีเยอะมาก ทั้งไปเป็น house band เราไปเล่นงานต่างจังหวัด ได้ไปทัวร์เล็ก ๆ ของเราเอง ไปที่ที่คนไม่ฟังเลย หรือไปกันทั้งวง แต่ระบบเสียงได้ยินแค่กีตาร์โปร่งอย่างเดียว (หัวเราะ) พอมันผ่านหลาย ๆ อย่างมา เราก็เริ่มตั้งหลัก เราก็คิดว่าจะแต่งเพลง เรียบเรียงใหม่ด้วยกัน ทำกันเองแหละครับ ดังนั้นพอเราจะเลือกเพลงที่จะมาแนะนำตัวอีกครั้ง ก็เลยเลือกเพลง ยั้ง ซึ่งจะอยู่ตรงกลางระหว่าง EP album ที่เรากำลังจะออกครับ

 

เพลงนึงใช้เวลาแต่งนานไหม

ตั๊ด: เอาจริงขั้นตอนการแต่งก็ไม่ได้นานนักครับ หลัก ๆ ก็เขียนทำนองมา เขียนเนื้อ แล้วเรียบเรียงด้วยกัน แต่ขั้นตอนของเราจะไปละเอียดตรงการเรียบเรียงดนตรี เนื้อก็ยังแก้จนวันสุดท้าย จนเข้าห้องอัด ก็แก้ไปเรื่อย ๆ

 

ทำไมถึงเลือกเพลง ยั้ง มาทำ

มะเฟือง: พอผมฟังจากพี่โยครั้งแรกแล้วค่อนข้างรู้สึกกับสิ่งที่จะบอกในเพลงนี้ ชอบทั้งในแง่ที่เพลงเพราะ แล้วก็เนื้อเพลงที่พี่ตั๊ดเขียนมันทำให้รู้สึกว่ามันเป็นสารที่เราสามารถพูดออกไปได้เต็มปาก

ตั๊ด: คือผมกับโยจะขึ้นทำนองก่อน แล้วมะเฟืองก็จะขึ้นมา แล้วค่อยเขียนเนื้อไป จริง ๆ เราเขียนทำนองไว้ 7 – 8 เพลง ซึ่งได้ใช้แค่ 2 เพลง แต่ก่อนหน้านั้นถ้าย้อนกลับไปปีที่แล้วเราก็เต็มไปด้วยความคาดหวังว่าเพลงนี้จะดี เต็มไปด้วย judgement และความคิดที่เราจะทำเพลงแบบนั้น แบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วด้วยความที่หนึ่งปีที่ผ่านมามันทำให้เราอยากจะเลือกสิ่งที่เรารู้สึกกับมันจริง ๆ อย่างผม ครั้งแรกที่ได้ยินเมโลดี้ที่โยส่งมามันก็จะเป็น เหย่ เฮ้ อะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เป็นภาษาต่างดาว ซึ่งบางท่อนจะฟังไม่ออก ใส่เมโลดี้เข้าไปเองบ้าง แล้วเราก็รู้สึกกับมันได้ อีกอย่างมันเป็นเสียงใหม่ เสียงที่เราอยากได้ยิน พอเขียนเนื้อลงไปทุกคนก็โอเค

 

อินเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า

ตั๊น: จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเขียนเพลงที่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ครับ คือเกิดมาทั้งชีวิตยังไม่เคยเขียนเพลงเรื่องความสัมพันธ์เลย ถ้าเคยมันจะเป็นแบบเพลงบอกรัก เพลงเศร้าไปเลย แต่เพลงนี้มันคือ area ใหม่ที่รู้สึกกับมัน แล้วไม่ได้กะว่ามันจะออกมาเป็นเพลงอะไร แต่ในการเขียนเพลงเราก็แยกเบสิกออกเป็นสองอัน ถ้าในเชิงเนื้อหา ก็อิงกับความจริงตอนนั้น คือถ้าเราจะบอกกับผู้หญิงสักคน แต่ไม่กล้าบอก เราจะบอกเขายังไง ก็เลยเขียนเพลงนี้แทน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ก็เขียนจากเรื่องจริง ไม่ได้ฟังเรื่องใครมาหรือเปิดหนังสือ ในเชิงภาษาผมชอบสัมผัส ก็จะสร้างสัมผัสของมันขึ้นมาที่เชื่อว่ามันมีความละเอียดอ่อน หรือในท่อนฮุคที่เลือกใช้การลงเสียง อัง 5 ครั้ง เพราะมันมีความรู้สึกผูกพัน พอเสียง อัง มาแล้วรู้สึกเหมือนมีตะขอเกี่ยวไปเรื่อย ๆ มันรั้ง ยั้ง ขัง มันคือความเนิร์ดทางภาษาของผมเอง ไม่ได้มีใครรู้เรื่องเลย (หัวเราะ)

 

จริงอยู่เพราะหลาย ๆ เพลงที่ทำมาส่วนใหญ่เนื้อเพลงมีความเป็นกวี

ตั๊ด: คำว่ากวีอาจจะดูไกลตัวมาก แต่ความจริงมันไม่ได้เข้าใจยาก คือ “กวี” จริง ๆ เป็นภาษาบาลีมาจากคำว่า “กวิ” รากศัพท์ของมันตรงนี้แปลว่าความงาม ไม่ได้แปลว่าเป็นสัมผัสนอก สัมผัสใน หรือคำคล้องจอง พอมันเป็นความงามมันก็ถูกแบ่งออกเป็นสองสายในความเข้าใจของผม คือ meaningful เหมือนกลอนฝรั่งที่มันชมความงาม แต่คราวนี้พอมันเป็นภาษาไทย การเขียนร้อยกรองพวกนี้มันถูกออกแบบมาเพื่อขับร้องน่ะครับ เพราะว่าภาษาเรามันมีเมโลดี้อยู่ในนั้น ดังนั้นทั้งหมดมันก็คือการพยายามสร้างความงามของความหมายให้สอดคล้องกับความงามของเสียง ซึ่งเพลงสมัยใหม่ผมก็มองว่ามันมีความงาม ก็เป็นกวีหมด แต่อาจเน้นหนักไปทางความงามในเชิงความหมาย ความรู้สึก แต่ผมมาเน้นทักษะการเลือกใช้คำที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันมาใส่ คำคล้องจอง ไม่ได้เป็นกวีพิเศษอะไรหรอกครับ

 

สไตล์ดนตรีต่างจากซิงเกิลแรกไหม

โจ: พวกเราก็เป็นโฟล์คร็อกน่ะฮะ ในแง่ของสไตล์เพลง แต่อีกมุมนึงเราก็พยายามเลือกเสียงที่สอดคล้องกับเนื้อหา กับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ เรายึดจากทั้งเพลงเป็นหลัก เมื่อเรามองมันแล้วเราต้องการจะพูดถึงอะไร ส่วนใครจะเรียกเราเป็นแนวไหน เราแค่ต้องการให้มันสื่อถึงเขา ทั้งความงามด้านภาษา และแง่ดนตรี

ตั๊ด: ผมมองว่ามัน cross กัน ในเชิงเนื้อเพลงที่มันมีเสียงที่เป็นดนตรีด้วยจังหวะ สระสั้นยาว วรรณยุกต์ ด้วยความที่วิธีการทำงานที่เราทำกันเอง เครื่องดนตรีทุกชิ้นก็เหมือนเป็นเนื้อร้อง ดูเป็นคำที่ได้พูดพร้อม ๆ กัน ไม่ได้เป็นเรื่องของแนวเพลง แต่ต้องการแค่เป็นผู้ส่งสารด้วยภาษาทางดนตรีและคำของเรา ขึ้นอยู่กับทักษะและรสนิยม

มะเฟือง: ลักษณะของแนวเพลงที่ออกมาน่าจะเป็นสิ่งที่เราฟังหรือสิ่งที่เราโตขึ้นมา เหมือนเวลาเราอยากจะสื่อภาษาทางดนตรีที่ออกมาแล้วได้ความรู้สึกด้วย เราจะทำยังไงกัน สิ่งที่เราจะคิดได้ก็คือสิ่งที่เราประสบมาหรือได้ฟังมาทั้งชีวิตน่ะครับ ก็คือตะกอนของแต่ละคนที่มาผสมกันก็จะได้เสียงหรือแนวเพลงที่ฟังดูคล้าย ๆ จากที่เราฟัง ๆ กันมา

 

ทำไม artwork ของซิงเกิลนี้ถึงเลือกใช้รูปขอเบ็ดกับพื้นหลังสีแสด

ตั๊ด: เราร่วมงานกับรุ่นน้องครับ จริง ๆ เราอยากร่วมงานกับรุ่นพี่ แต่ติดที่ว่างบประมาณน้อยไปหน่อย (หัวเราะ) เป็นรุ่นน้องของโย คือโยเรียนกีตาร์คลาสสิก ที่ศิลปกรรม จุฬา ฯ มีน้องชื่อน้องหนึ่ง เป็นความดีงาม ความประเสริฐ และสมบูรณ์ของรุ่น น้องเคยมาถ่ายภาพให้เรา แล้วถ่ายสวยมาก ชอบมาก รู้สึกแค่นั้น แต่เพิ่งรู้ว่าจริง ๆ มึงไม่ได้เอกถ่ายภาพ แต่เอกกราฟิก นั่นก็เพราะรู้จักกัน แต่โดยพื้นฐานเราก็ต้องการจะสื่อสารนอกจากดนตรี ศิลปะก็อยากให้สื่อออกมาได้สอดคล้องกันด้วย ตอนที่เราปล่อยเพลง คนสวน ออกไปก็เกิดเรื่องราวมากมาย อันนี้เราก็ปักหลักตั้งต้นทำเพลงของเรา ลุกขึ้นยืนด้วยเราเอง ไม่ได้พึ่งใครอีกแล้ว การไปเล่นสดเราก็เก็บเงินมาทำอัลบั้มกันเอง แล้วหวังว่าจะได้กลับไปเล่นดนตรีอีกครั้ง เราก็เลยอยากจะตอกย้ำความเชื่อและชีวิตที่เราเอามาทำตรงนี้ ในคำว่า Young Man and the Sea ให้มันชัดเจนขึ้น เราก็เลยคุยกับน้องว่าเรามาดีไซน์งานชุดนี้กัน ก็เลยกลับไปที่ชื่อวงกับภาพของวง เด็กหนุ่มกับท้องทะเล ชีวิตเล็ก ๆ กับธรรมชาติของชีวิตที่มันยิ่งใหญ่ ชื่อวงพอมันย่อแล้วก็ได้ YMS ทีนี้ตัวย่อนี้ก็จะเอามาเป็นดีไซน์อะไรก็ได้ น้องเขาก็ไปดูภาพเก่าที่เป็นเด็กขี่ปลา แล้วหยิบส่วนนึงจากในนั้นที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือตะขอเบ็ด ซึ่งมันเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่เล็กมาก ๆ คือถ้าเราจะแทน symbolic กับความหมายของวงด้วย สิ่งที่เล็กที่สุดของมนุษย์ที่ต่อสู้กับสิ่งที่ใหญ่ที่สุดคือชะตาชีวิตของตัวเองมันก็คือตะขอเบ็ดเนี่ยแหละครับ มันก็มีเรื่องของความเด็ดเดี่ยวที่แหลมคม และสามารถให้ชีวิตไม่ใช่แค่กับตัวของคนที่ใช้เบ็ด แต่หมายถึงครอบครัว ลูก เมีย ของเขา เราก็ชอบตรงนี้และพัฒนามา แล้วที่เลือกใช้สีส้ม ปกติทุกคนที่พูดถึงทะเลก็จะนึกถึงสีน้ำเงิน แต่ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของคนที่ออกไปสู้ให้ได้ปลามา แล้วกำลังจะกลับบ้าน ก็หันไปเห็นท้องฟ้าสีส้ม มันเลยเป็นเรื่องของสีกับสัญญะที่เราต้องการจะพูดสิ่งเหล่านี้

แล้วมาร่วมงานกับ Universal Music Thailand ได้ยังไง

ตั๊ด: เอาเข้าจริง ๆ แล้วหลังจากที่เราไม่ได้ทำงานกับค่ายเก่า เราก็คิดอยู่ว่าจะทำยังไงกันต่อ สิ่งที่ไม่เคยคิดเลยคือการล้มเลิก ไม่เลิกแน่ ๆ เพราะว่าเราทำงานกันมา มีความเชื่อกันมา ก็เดินหน้าต่อ ก็ไปคุยกันหลายที่ครับ ก็มีโอกาสได้เจอพี่ ๆ ค่ายเพลง แล้วบังเอิญว่าเพื่อนที่เคยเป็นกราฟิกเก่าก็แนะนำให้เจอกับทาง Universal ซึ่งมันก็จะเป็นการทำงานในลักษณะที่ทำร่วมกันมากกว่า เพราะพวกเราทำเพลงเองแล้วก็เป็นเจ้าของเพลงกันเอง ทางนั้นก็จะซัพพอร์ตเพราะเราเหนื่อยเหลือเกินแล้วที่จะฝากเพลงของพวกเราที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิต ไปไว้กับการตัดสินใจหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ดูแตะไม่ถึง หรืออาจจะไม่เกิดขึ้น เราก็เลยเลือกทางที่เราน่าจะสบายใจที่สุด และมีโอกาสที่จะได้นำผลงานออกไปสู่วงกว้างในที่ที่เราไม่เคยไป เราเชื่อเสมอว่ามันยังมีที่ที่เราไม่เคยไปถึง โลกมันยังอีกกว้าง เพราะเราเป็นวงเล็ก ๆ วงใหม่มาก ๆ ไม่มีอะไรเลย ถ้าได้ทำงานร่วมกันในจุดที่เราไม่สามารถทำเองได้อย่างถนัดก็คิดว่ามันน่าจะดี

 

การทำงานหลังจากเข้าค่ายเปลี่ยนแปลงไปไหม

ตั๊ด: ไม่มีเลยครับ (หัวเราะ) ตอนที่ไม่มีค่ายนี่เปลี่ยนเยอะกว่า หมายความว่า Universal ทำงานกับเรามันไม่ได้เป็นค่ายที่มีพี่มานั่งบอกว่า มึงต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ข้อไม่ดีของมันคือเราอาจจะขาดการแนะนำให้คำปรึกษาไปในมุมหนึ่ง ค่ายอื่นก็ให้คำปรึกษาตลอดเลย (หัวเราะ) แต่ก็เหมือนช่วยกันทำงาน เป็นพาร์ตเนอร์ เป็นแรงสนับสนุนซึ่งกันและกันมากกว่า

 

เข้าถึงคนฟังมากขึ้นไหม

มะเฟือง: เหมือนหนึ่งปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ใช้บารมีจากการปล่อยเพลงเท่าไหร่เลยครับ การที่เราไปเล่นที่ต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นเพราะคนฟังเพลงเราแล้วอยากฟังเราเล่นสดเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะเราพยายามฝังตัวเองเข้าไปเล่นตามที่ต่าง ๆ หาที่เล่น ถ้าเกิดมีงานก็ไป เพื่อจะได้เล่นสดให้ได้มากที่สุด แล้วก็เล่นเพลงของตัวเองด้วยซ้ำ reaction ของคนดูที่ไม่รู้จักเพลงเราเลยก็จะเป็นปกติสำหรับเรามาก ๆ ครับ เหมือนที่ผ่านมาการทำให้มาเป็น Young Man and the Sea ทุกวันนี้ก็คือการต้องไปผ่านค่ายนั้นมาหนึ่งปีก่อนแค่นั้นเอง

ตั๊ด: เราเคยเล่นประจำที่ Parking Toys’ Watt เป็นชั่วโมงกว่า เล่นเพลงตัวเองหมดเลย ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านหรือเราแม่งบ้ากว่ากัน (หัวเราะ) เราก็ใส่ชื่อเป็น AR กันเอง โทรหารถตู้กันเอง พอมีคนโทรมาตาม คุณมะเฟืองคะวง อยู่ไหนแล้วคะ ขึ้นเล่นได้เลยค่ะ มะเฟืองวางสายแล้วแบกดับเบิ้ลเบสขึ้นไปเล่น พอโลกมันเปิดเราก็ได้อ่านเอกสารของเมืองนอก มันก็มีวิธีแบบนี้ที่วงต่างประเทศเขาก็ทำกันเป็นปกติ เราก็ศึกษาจากมัน แล้วก็อยู่ด้วยกัน แต่แน่นอนที่สุดว่ามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียของมัน พอเวลาที่เราต้องทำอะไรพวกนี้ไปด้วย มันก็ทำให้เราไม่ได้โฟกัสกับการสร้างเพลงได้ 100% เพราะเราไม่มีสมาธิ พอมีค่ายมาซัพพอร์ต เราก็เอา 100% ไปทำเพลง ทำอาร์ตเวิร์กที่เป็นศิลปะได้มากกว่าเมื่อก่อน

มะเฟือง: สุดท้ายวงดนตรีวงนึงมันก็ต้องมีทีมงานมากมาย ถ้าสุดท้ายเราจะลุยกันเองมันก็ไปได้ระดับนึง แต่มันจะดีกว่าถ้ามีพี่ ๆ มาช่วยจับนู่นจับนี่ในส่วนที่เขาช่วยได้ครับ

 

มีความเคลื่อนไหวอะไรเพิ่มเติมอีกไหมหลังจากปล่อยเพลง

ตั๊ด: 25 เมษายนเราจะปล่อยเพลงพร้อม MV ที่เราทำกับรุ่นน้องอีกคนที่คนรู้จักกันแนะนำมา แล้วเราก็จะดูเรื่องพวกนี้เองจากทุนที่เราหามาเอง แล้วจะปล่อยเพลงอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้ ทุก ๆ สองเดือน เราแต่งเพลง เรียบเรียงไว้หมดแล้ว รอเข้าห้องอัด รวมรวมทำ EP ชื่อ Wave and Wifeครับ เพราะ พี่มิกมีเมียมีลูกแล้ว (หัวเราะ) คือเราตั้งชื่อนี้เพราะว่าเราก็ไม่ใช่เด็ก ๆ กันแล้ว พี่มิกลูกสองเดือนฉี่ใส่หน้าแล้ว วงเราชื่อ Young Man and the Sea เราก็จะพูดถึงเรื่องคลื่นและเมียครับ คลื่นมันก็คือชีวิต ส่วนเสียก็เป็นสูตรสำเร็จของความรัก ซึ่งจริง ๆ แล้ว EP ที่แล้วที่ทิ้งไป เป็นเพลงเกี่ยวกับชีวิตเพลงเดียวเอง ดันไม่ได้ออก (หัวเราะ) คำมันได้พอดีครับ

 

จะมีไปเล่นที่ไหนไหม

ตั๊ด: ตอนนี้ไม่มีเล่นที่ไหนครับ เราว่าจะโฟกัสกับการทำเพลง เข้าห้องอัดอย่างต่อเนื่อง เล่นดนตรีที่พัฒนาขึ้นและปรับปรุงโชว์เรา ทำทั้งทีก็อยากทำให้ดีขึ้น เอาจริงหลังจากที่เราปล่อยเพลงนี้มาเป็นเดือนที่ 10 แล้ว เราเล่นอย่างบ้าคลั่ง ประมาณ 70 – 80 ครั้ง รวมที่เล่นประจำด้วย ได้เดินทางไปที่ที่ไม่เคยไป เจอความดาร์กมาอย่างโหดร้าย เช่น ไปเล่นที่เชียงใหม่ 5,000 บาท ได้ ค่ารถไม่ว่า เราลางาน ขับรถแยกกันขึ้นไป ตอนนั้นโจเป็นคนขับ เป็นโปรดิวเซอร์ด้วย เป็นทุกอย่าง (หัวเราะ) ก็ขับรถขึ้นไปสิบกว่าชั่วโมง ผมไปถึงก่อนก็โทรหาเขา เฮ้ยมึงถึงไหนแล้ววะ โจบอก สระบุรีแล้วพี่… เชี่ย มึงอย่าไปโคราช!!! ยูเทิร์นรถกลับเลย คือเข้าใจแล้วครับว่าทำไมต้องมีค่าย (หัวเราะ) คนเรามันทำทุกอย่างไม่ได้ พอถึงแล้วรู้ว่าได้เล่นเป็นวงที่ 18 งานเริ่มสองทุ่ม… ก็คิดว่าประมาณตีสี่เดี๋ยวเล่น เท่ ๆ พระอาทิตย์กำลังขึ้น แต่ถึงประมาณตีหนึ่ง เพิ่งวงที่เจ็ด (หัวเราะ) แล้วคนที่งานเขาบอกวงเรามาไกล เดี๋ยวแซงคิวให้เล่นวงที่ 8 เล่นครึ่งชั่วโมง ดีใจมาก เล่นเสร็จ เขาบอกเตรียมที่พักไว้ให้ 5,000 นั่นก็จะได้เป็นค่าเดินทาง ก็แวะไปกินโจ๊กในเมือง แต่พอกลับมา หายหมดเลย ติดต่อไม่ได้ ไม่มีที่พัก ก็ไปวนหาโรงแรม ตอนนั้นหนาวด้วย ชาวจีนบุกด้วย ไม่มีที่พัก ก็ขับรถกลับอีกสิบชั่วโมง เชี่ย ทำไมชีวิตมันดาร์กจังวะ ไม่เอาแล้ว ขับยี่สิบกว่าชั่วโมง ตาปรือ แล้วพี่เขาโอนเงินมาให้ 4,000 บาท เราก็แบบ อ้าว พี่ ไหนตอนนั้นบอก 5,000 พี่เขาก็บอก มันก็นิดเดียวเนาะ พันนึงเนอะ แต่โจมันโดนค่าน้ำมันไปมากกว่า 5,000 นะพี่ พี่เขาก็ตอบมานิ่ม ๆ เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก สมัยพี่เป็นนักดนตรีใหม่ ๆ พี่ก็โดนโกงแบบนี้แหละ (หัวเราะ) ก็จะเจอแบบนี้ แต่หลาย ๆ งานเราก็แฮปปี้ เป็นวงหน้าใหม่ คนดูเขาก็แฮปปี้ มี reaction ที่ดีกับเรา พอมันเล่นมาเยอะ ๆ เราก็ได้เก็บประสบการณ์มาทุกรูปแบบ ไปเจอเวทีโต๊ะปิงปอง เช้ดเข้ เป็นโต๊ะสองตัวต่อกัน แค่นั้นเลยเวที เครื่องเสียงไม่มี ไม่เป็นไร สบาย ๆ เอาแอมป์ไปตั้งกัน กลองก็เอาทอม กระเดื่องเอากลับด้านใส่ถุงเท้า คาฮอง ก็เล่นแม่งหมดครับ แล้วเราไม่เคยไปเล่นต่างจังหวัด เล่น ๆ อยู่มีคนเดินมา ถือแก้วเหล้าพันแบงค์มาให้ บอกว่า ขอ เชือกวิเศษ เราก็ เอ่อ… ถ้ากูรับเงินมึงคือกูต้องเล่นใช่มั้ย เจออะไรแปลก ๆ หลากหลาย แต่สิ่งที่ดีคือก่อนที่เราจะพักและจะเริ่มเดินทางกันอีกทีคือเจอมาหมดแล้ว กลุ่มคนฟังของพวกเราที่รักเรามากที่สุดตั้งแต่เราเล่นใหม่ ๆ เลยคือ โต๊ะ กับ เก้าอี้ เต็มร้าน ไม่มีคนนั่งเลย พอเราเจอคน 10 – 20 คนมาดูเรา เราเล่นเป็นหมาบ้าเลย ในที่สุดก็มีคนมาดู แต่พอหลัง ๆ มาเราก็จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากทุกที่มาทำโชว์ใหม่ แล้วตั้งใจว่าจะปล่อยเพลงพักนึงแล้วจะกลับไปเล่นสดครับ

 

ตอนไปเล่นที่ Wonderfruit ได้ feedback จากชาวต่างชาติยังไงบ้าง

มะเฟือง: เราเล่นเร็วด้วย ส่วนใหญ่เขามานั่งหลบแดดในร่มกัน

ตั๊ด: คนมาดูตอนซาวนด์เช็กเยอะว่าตอนเล่นจริงอีก (หัวเราะ) แบบ ยู เยี่ยมเลย

 

ชอบโชว์ที่ไปเล่นที่ไหนที่สุด

มะเฟือง: หลายที่ เอาจริง ๆ ที่แรกที่เราไปทัวร์กับ Jameson ไปเล่นกัน 10 ที่ตั้งแต่กรุงเทพ ฯ ถึงเชียงใหม่ ไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วเพราะเป็นเพลงใหม่และไปไกลบ้านมาก ร้านก็ไม่รู้จะเป็นยังไง กะไปเจ็บตัวอยู่แล้ว แล้วไปเล่นลำปางมีคนร้องเพลงเราได้ เป็นอะไรที่ไม่คาดฝันสุด ๆ

ตั๊ด: แล้วก็จะเจออะไรแปลก ๆ แบบคนร้องเพลงไม่ได้ เขาจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเนื้อเพลงแล้วร้องตาม แบบนี้ก็ได้ด้วยหรอ (หัวเราะ) แล้วตอนไปก็ไปกับฝรั่งคนนึง ก็ไปช่วยเขาแขวนป้าย แจกของ มันก็ได้เดินทาง หรือการไปเล่นที่ Singha Craft มันก็สนุกครับ พอได้เห็นคน แต่ก็สำนึกและสำเหนียกอยู่เสมอว่าเราเป็นวงใหม่มาก ๆ และไม่ได้มีประสบการณ์เยอะมากกับตรงนี้ ทุก ๆ งานเราก็จะทำมันแบบตั้งใจกันมาก ๆ ครับ

 

ฝากผลงานกันหน่อย

มิก: ก็ติดตามกันได้ที่แฟนเพจ Young Man and the Sea และ Instagram แล้วก็วันจันทร์จะมีช่อง YouTube ชื่อ YMSVevo จะมีเพลงแรกของเรา ก็ตั้งใจเนาะ เป็นวงใหม่ กับเพลงที่หนึ่ง ครับผม

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้