DIB; Deep in Ballad
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: วิศัลย์ศยา ลอยไสว
5 กันยายน 2558
อีกงานที่น่าสนใจจาก ฤทธิ์เฮด อีเวนท์ออร์กาไนเซอร์ที่ถือว่าค่อนข้างใหม่สำหรับเรา เป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อแหละ แต่บอกเลยว่าไลน์อัพนี่ดึงเรามาก ๆ เป็นการรวมตัวของบรรดาวงดิ่งวงเดือดที่พอเอ่ยชื่อแล้วเป็นต้องร้องโห จากการที่เราเคยฟังผลงานของเขาผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ก็คิดว่าไม่อยากพลาดเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นโอกาสดีที่หลาย ๆ คนจะได้ดูหลาย ๆ วงจากเชียงใหม่ในกรุงเทพ ฯ กันเป็นครั้งแรก (เราเองก็เช่นกัน) การไปงาน DIB นี้จึงพกความคาดหวังในความฟินเข้าไปด้วยเต็มกระบุง
แรกสุด เราแอบเหวอกับสถานที่จัดงาน เพราะแทบไม่มีอีเวนท์ดนตรีที่ไหนเลยที่มาจัดที่สโมสรข้าราชบริภารย่านท่าเตียนแห่งนี้ “ใครมันบ้าจัดคอนเสิร์ตกันที่นี่วะ เขามีแต่จัดงานแต่งทหาร” อาจารย์ขลุ่ยแห่ง Migrate to the Ocean กล่าว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรกับสถานที่จัด แค่อาจจะแปลกในบรรยากาศไปบ้าง อย่างตอนฉายสปอตไลท์ขาว ด้วยความที่ตัวโถงเป็นสีขาวเป็นส่วนใหญ่ทำให้เหมือนมีคนเปิดไฟเฮาส์ดื้อ ๆ บางช่วงบางตอนในการชมการแสดงเลยมีความเขิน ๆ ที่ขณะกำลังโยกอย่างเมามันอยู่ก็ได้เห็นหน้าคนรอบ ๆ หันซ้ายหันขวาเพราะกำลังเหวอไฟแบบเราเหมือนกัน แต่ความดีงามอีกอย่างของสถานที่จัดคือเดินทางไม่ลำบากนัก และอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงพักเบรคใครใคร่จะไปยืนชิวสูบบุหรี่กันก็มักจะไปนั่งห้อยขาริมระเบียง ซึ่งมันเวิร์คมาก ๆ แอบคิดว่าถ้างานจัด outdoor นี่คงเพลินไปอีกแบบ
มัชฌิมา
ก่อนโชว์แรกเริ่มแสดงตามเวลาในตาราง มีการกล่าวเปิดงานเล็กน้อยพร้อมเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วก็นำเข้าสู่ช่วงเวลาสุดหม่น กับบทเพลงจากวงแรกอย่าง มัชฌิมา เราขอใช้คำว่า “รอคอย” ที่จะได้ดูวงนี้เล่นสดมานานแล้วหลังจากโดนเพลง กาแฟดำ เล่นงานไปจนตาค้าง ซึ่งการแสดงของพวกเขาสามารถเอาคนดูได้อยู่ ยิ่งช่วงที่เล่นเพลง อย่ากลัว ของ ริค วชิรปิลันธิ์ เรานึกว่าโอชินเป็นร่างจำแลงของพี่ริคจริง ๆ คือคนอะไรร้องเพลงใส่อินเนอร์ได้พุ่งพล่านขนาดนั้นอ้ะ emotional จริง มัชฌิมาเป็นวงสี่ชิ้นที่เล่นได้เหนียวแน่นเข้มแข็งมาก กีตาร์ตัวเดียวล็อคคนดูได้อยู่หมัดจริง ๆ แล้ววันนี้พวกเขาก็มากับเพลงใหม่ที่เคยพูดถึงในคอลัมน์ “เห็ดใหม่” อย่าง ไม่มีวันธรรมดา รวมถึงงานคัฟเวอร์ Heart-shaped Box จาก Nirvana ที่ส่วนตัวรู้สึกว่าอาจจะใส่พลังความกราดเกรี้ยวเฉกเช่นศาสดาโคเบนได้มากกว่านี้ แต่โดยรวมถือเป็นโชว์ที่ดีโชว์หนึ่งที่เล่นเปิดงานได้อย่างน่าประทับใจ
Solitude is Bliss
ต่อกันด้วย Solitude is Bliss ที่เราเคยได้ดูพวกเขาระเบิดความเมามาแล้วในงาน เห็ดสด 2 อ่านไม่ผิดค่ะ เพราะเมาจริง ด้วยซาวด์ psychedelic สุดเวิร์ลด์กับสปอตไลท์ที่เล่นเอามึนตึ๊บ สำหรับวงยังคงเล่นกันได้ดีและพาคนดูหลุดลอยไปกับเพลงของพวกเขาได้ (ตอนนั้นเราเองก็เริ่มเบลอ ๆ แล้วเหมือนกัน) พวกเขาเล่นเพลง ระบายกับเสียงเพรียก อันนี้ขนลุกมาก ต้องใช้คำว่าซาวด์มันได้ ผสมผสานเอาความไทย ๆ กับความนีโอไซค์ที่พุ่งพล่าน กึ่มมาก รู้สึกว่ารอบนี้จะ arrange ใหม่ มีรายละเอียดอะไรยุบยับกว่าครั้งโน้น โยกไม่รู้เรื่องแล้วจ้า แล้วก็ชอบโมเมนต์ที่คนดูกอดคอกันร้องเพลง 4.00 A.M. เสียงดังลั่นฮอล ให้ความรู้สึกว่าพากันจมดิ่งดีในเพลงเมโลดี้ชวนฝันแต่เนื้อหาเศร้าเพลงนี้ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด และปิดท้ายกันในเพลง Vintage Pic อันนี้ยิ่งดีใหญ่ คือนอกเหนือไปจากวงจะเล่นดี คือคนดูอินมาก เต็มที่มาก เสียงตะโกนร้องกึกก้องฮอลเลยจริง ๆ อย่างกับว่าทุกคนกำลังโหยหาตัวเองในอดีตกันอย่างพร้อมเพรียง
Migrate to the Ocean
ตามมาด้วย Migrate to the Ocean ซึ่งเรามักจะได้ยินเสียงร่ำลือถึงการแสดงสดของวงนี้ว่า ถึง พอวันนี้ได้มาดูสดเป็นครั้งแรก เออ ถึงจริง หมายถึงว่า performance ของนักร้องนำทำเอาเรานึกไปถึง พี่น้อย วงพรู แต่อาจารย์ขลุ่ยของเราไปไกลกว่านั้น ความรู้สึกประหนึ่งเจ้าลัทธิ ที่เราพร้อมจะเต้นท่าตามอาจารย์ไม่ว่าจะทำท่าไหน ถ้าใครยืนอยู่แถว ๆ หลังฮอลแล้วเห็นกลุ่มคนดีด ๆ บ้า ๆ หนึ่งในนั้นก็มีเรารวมอยู่ด้วย คือมันสนุกนะ เหมือนเราได้มีปฏิสัมพันธ์กับการแสดงตรงหน้า ชื่นชมการเขียนเนื้อเพลงและการเรียบเรียงดนตรีของวงนี้ อาจจะใช้คำว่า poetic ได้เลยล่ะ ส่วนเพลงก็เดือดชวนนึกถึง alternative rock รุ่นใหญ่ ส่วนตัวฟินกับเพลง อากาศยาน สิ่งที่สำคัญ กับ ไปทะเล ในโชว์นี้มาก ได้โอชิน จาก มัชฌิมา มาแจมด้วย และแน่นอนว่าจะไม่พูดถึงเพลง เหตุผลที่ทุกคนสวดมนต์ ไม่ได้ เป็นโชว์ที่ถึงจริงอย่างที่เขาว่า
Pry & May-T Project
แล้วไม่นานก็เป็น พราย-เมธี ขนเพลงที่หลาย ๆ คนชอบมาเล่นในแบบใหม่ ๆ ซาวด์มีความร่วมสมัยขึ้นมากกับการเล่น full band ในวันนี้ แถมคราวนี้พี่พรายมาพร้อมวิกสีบลอนด์ ทว่าก็ไม่ลืมคอนเซปต์ทาหน้าและเพ้นท์ตัวด้วยสีน้ำเงินแบบทุกครั้ง แต่เสียดายที่เพลง จริงเพียงจริง เวอร์ชันนี้ดูสดใสมีความหวัง ไม่ดาร์คเท่าเวอร์ชันก่อน แค่เปลี่ยน mood and tone ของเพลงไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะ ดี แต่ส่วนตัวเราชอบแบบหม่น ๆ เป็นปกติอยู่แล้ว แล้วมีเพลง First Time ที่พี่พรายประกาศกร้าวว่า เพลงนี้จะดังเมื่อเขาจากโลกนี้ไป แต่บอกเลยว่า พี่ยังอยู่ เพลงนี้ก็ดัง และพวกเราในที่นี้ชอบมาก อีกความพีคคือ ได้พี่เบิร์ด Desktop Error มาเล่นเบส มีพี่ตุล และพี่บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ขึ้นมาแจมด้วย เพลงอื่น ๆ เราก็รู้สึกว่ามีสีสันหรือกลิ่นใหม่ ๆ ในแบบที่ไม่คุ้นเคยที่เราว่ามันดีมากกับยุคใหม่ของ พราย-เมธี นี้ ที่สำคัญ เพลง …ก่อน ยังคงทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและรวดร้าวกับความหมายที่ซ่อนอยู่ในเพลงนี้ได้เสมอ
Desktop Error
ปิดท้ายด้วย Desktop Error ที่เราไม่ได้ดูพวกเขาเล่นสดมานานแล้ว บอกเลยว่าคิดถึงมาก ๆ เหมือนกลับมาเป็นอิ๊กในยุคที่ฟังเพลงพวกนี้ในปีแรก ๆ ชอบความรู้สึกที่ทุกคนรอบ ๆ เราสามารถตะโกนร้องทุกเพลงของ DE และโดดไปพร้อม ๆ กันอย่างสุดตัว เปิดตัวกันมาเดือด ๆ กับเพลง ทุกทุกวัน ต่อด้วย เช้า ดีใจมากที่เล่นเพลงนี้ แล้วเป็น ปัจจุบันนา น้ำค้าง (สองเพลงนี้ในวันนี้ขอจัดให้เป็นโชว์ยอดเยี่ยมของ DE บรรยากาศมันได้ เพลงมันมา) ส่งท้ายกันด้วย ควันจางลา และ ต่างด้าว ก่อนที่ไฟเฮาส์จะเปิดพร้อมส่งคนดูกลับบ้าน
ถือเป็นโชว์ที่ดีงามทีเดียว ความคาดหวังที่แบกมานั้นไม่สูญเปล่าเลย คุ้มค่าแก่การรอคอยจริง ๆ ชอบที่ศิลปินหลาย ๆ วงในงานนี้สามารถส่งพลังมาถึงคนดูแบบที่เรารู้สึกได้ และการแสดงก็สุดยอดกันทุกวง สำหรับส่วนอื่น ๆ ในงานอย่างกลุ่มคนดูก็ถือว่าไม่คุ้นหน้ากันเท่าไหร่ ซึ่งดีนะ เหมือนเรามาเปิดโลก เปิดหู อยู่ในสังคมคนฟังเพลงอีกฟากกันบ้าง ดูว่าเขาชอบอะไร แต่งตัวยังไง ไฟกับเวทีและวิชวลเข้ากับโชว์ของแต่ละวงดี เสียดายแค่ไฟขาวที่บอกไปตอนต้นตอนนั้นอย่างเดียว ส่วนเพลงจากดีเจที่เปิดช่วงพักวง ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร ทำไมเลือกเพลงมาเปิดได้ดีขนาดนี้ เป็นพวก chill out, dream pop บ้าง แต่เหวอนิด ๆ ที่พอ DE เล่นจบ เปิด See You Again หน้า Paul Walker นี่ลอยมาเลย แต่พอเปิดคัฟเวอร์ร็อค Dancing Queen, Yesterday Once More หรือ The Beatles กับ In My Life นี่เรากับเพื่อนถึงกับต้องชวนกันเต้น นี่มันแก๊งเด็ก oldies ชัด ๆ ประทับใจ