Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

ปล่อยให้เวลาหลุดลอยไปกับ Fleet Foxes ที่ Esplanade Theatre สิงคโปร์

  • Writer: Malaivee Swangpol
  • Photographer: Marcus Lin and Dominic Phua

14 มกราคม 2561

Fleet Foxes คือวงอินดี้โฟล์กที่ผสมสำเนียงดนตรีหลากหลายทั้ง Americana ร็อก คลาสสิก ซึ่งเมื่ออยู่รวมกันทำให้เวลาฟังเพลงของพวกเขาเหมือนหลุดไปอยู่ในยุคเก่า แบบการที่วงเรียกตัวเองว่าเป็น Baroque harmonic pop jams ก็ดูสมเหตุสมผล เราสารภาพว่าตอนแรกที่เห็นประกาศทัวร์เอเชีย แอบลังเลว่าจะไปดีมั้ยเพราะไม่ได้ติ่งขนาดนั้น แต่พอเสียงในหัวมันบอกว่า ‘ถ้าไม่ดูวันนี้แล้วจะได้ดูอีกมั้ยชีวิตนี้!’ ก็เลยกดตั๋วไปในที่สุด ดังนั้น ในวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมาเราเลยโผล่มาอยู่ที่ Esplanade Theatre หอแสดงดนตรีสุดหรูที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหรูจนเราแอบไม่เชื่อว่าวงเล่นที่นี่จริง ๆ หรือเปล่า แต่พอถึงเวลาสองทุ่มนิด ๆ ฮอลก็เริ่มเปิดเพลงอินโทรพร้อม ๆ กับไฟที่มืดลง แล้วการเดินทางไปเกาะ Mykonos ของเราก็เริ่มต้นขึ้น

ssa-fleet-foxes-marcus-15

วงเดินขึ้นเวทีพร้อมกับซาวด์เครื่องเป่า และเริ่มเล่น  I Am All That I Need, Arroyo Seco, Thumbprint Scar เพลงเปิดอัลบั้มล่าสุด Crack-Up ต่อด้วย Cassius ที่ฉายภาพเป็นรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ที่ดูเพลินมาก ๆ จากนั้นเปลี่ยนมาเป็นจังหวะสนุก ๆ กับ Grown Ocean ที่ไฟเปลี่ยนจังหวะไปตามเพลง ชวนตื่นตาสุด ๆ ตอนที่ฟินมาก ๆ คือช่วงที่ร้องคำว่า ‘Wide-eyed walker, don’t betray me. I will wake one day, don’t delay me. Wide-eyed leaver, always going’ แบบ a cappella เพราะจนขนลุกเลยทีเดียว จบเพลงนี้วงก็ทักทายคนดูอย่างเป็นกันเอง ‘Good to see you! We’ve never been to Singapore before’ จากนั้นอินโทรเพลง White Winter Hymnal เพลงชาติของวงก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพลงที่คนร้องตามดังมาก ภาพภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะบนจอด้านหลังยิ่งทำให้อินไปกับเพลง ท่อนฮุครอบสุดท้ายวงร้องเป็นแบบ a cappella ทำเอาเราขนลุกอีกระลอก

ssa-fleet-foxes-marcus-9

จากนั้นก็เป็นเพลง Ragged Wood เพลงที่สลับท่อนสนุกกับท่อนช้าได้ดีมาก โดยในท่อนช้าตรงกลางเพลงวงใช้ไฟสลัว ๆ ทำให้อินกับเพลงกว่าเดิม จากนั้นก็เป็น The Protector ที่เราได้เห็น Morgan Henderson มือเพอร์คัสชั่นหยิบเอาดับเบิลเบสมาสี แล้วก็พักกับ The Cascade เพลงบรรเลงเพราะ ๆ นำไปสู่เพลงจากอัลบั้ม Crack-Up เริ่มด้วย Mearcstapa เพลงลอย ๆ ตามด้วย On The Other Ocean (January / June) ที่ขึ้นเพลงด้วยไลน์เบสกับคีย์บอร์ดเท่ ๆ ไฟสีแดงชวนเราให้นึกถึงบรรยากาศร้าย ๆ ก่อนจะชวนร้องตามไปกับ Fool’s Errand และ He Doesn’t Know Why ท่อน ‘There’s nothing I can do’ ที่เราฟินกับท่อน unison มาก ๆ

ssa-fleet-foxes-marcus-6

ผ่านไปครึ่งทาง วงหยิบ Blue Ridge Mountain เพลงช้า ๆ จากอัลบั้มแรกมาเล่น ภาพเมฆฝนชวนเราลอยไปกับเสียงเพลง ก่อนจะให้วงไปพัก เหลือไว้แค่ Robin Pecknold นักร้องนำบนเวที เขาร้องเพลง Tiger Mountain Peasant Song ที่จบด้วยประโยค  ‘I don’t know what I have done. I’m turning myself to a demon’ ซึ่งเขาร้องออกมาได้อย่างเจ็บปวด พอหายซึมได้แปปเดียวก็ต่อเลยกับ Mykonos ที่เราได้เห็นมือกลองตีอย่างสนุกสนานเหมือนได้ปลดปล่อยหลังจากตีเพลงช้ามาหลายเพลง ท่อนฮุคเพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงที่คนร้องตามดังลั่น ตามด้วยเพลงสนุก ๆ Battery Kinzie และต่อด้วย Third of May, Ōdaigahara ที่ท่อนร็อกชวนเราโยกไม่รู้ตัว

ssa_013_0188

จากนั้นก็ฟังเสียงเกากีตาร์เบา ๆ ใน The Shrine, An Argument และตามมาด้วยเพลง Crack-Up ที่รวมพลังจากทั้งมือกลอง มือคีย์บอร์ด มาช่วยเล่นเครื่องเป่ากันคนละไลน์ สร้างสำเนียงอวกาศให้กับเพลง หลังจากนั้นวงก็ลงจากเวทีไปเพื่อรออังกอร์ บรรยากาศตอนที่ทุกคนร่วมใจปรบมือ ส่งเสียงเรียกวงนั้นอิ่มอกอิ่มใจเหลือเกิน ไม่กี่อึดใจ Pecknold ก็กลับขึ้นมาคนเดียวเพื่อเล่นเพลง Montezuma และ Oliver James ซึ่งในเพลงหลังคนดูร่วมกันปรบมือกันอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่ทั้งวงจะขึ้นมาสมทบในเพลง Drops In The River ที่มือกีตาร์เอาคันชักไวโอลินมาสีกีตาร์เพื่อสร้างเอฟเฟกต์เสียง และปิดโชว์อย่างสมบูรณ์กับ Helplessness Blues กับเนื้อหาชวนหลงรักกับประโยค ‘But I don’t, I don’t know what that will be, I’ll get back to you someday soon you will see’ ปิดโชว์ด้วยความอบอุ่นในหัวใจทุกคน ภาพสุดท้ายก่อนวงจะลงเวทีไปคือผู้ชมร่วมกัน standing ovation อย่างยาวนาน พอเราเห็นภาพนี้ก็ยิ่งรู้สึกคุ้มที่ได้มาดูที่นี่ในฮอลล์ที่เสียงดีมาก ๆ ในหมู่ผู้ชมคุณภาพ ไม่เสียงดัง ไม่ถ่ายคลิปรบกวนมากนัก ดีใจ 🙂

ssa_006_0086

หลาย ๆ เพลงจะถูกตัดให้สั้นลงเพื่อให้เล่นเพลงได้จำนวนมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ปลาบปลื้มน้อยลงเลย วงใช้วิธีเชื่อมเพลงเข้าหากันด้วย interlude สั้น ๆ ซึ่งสมูธมาก ตลอดคอนเสิร์ตเราจะได้เห็นทุกคนสลับเปลี่ยนเครื่องดนตรีตลอดเวลา โดยเฉพาะ Morgan Henderson ที่หยิบเอาเพอร์คัสชั่น เครื่องเป่าหลายชนิด ดับเบิ้ลเบส มาสลับเล่นตลอดเวลา ซึ่งเราจะเห็นสเตจเดินมาส่งกีตาร์กันให้ว่อน แต่ว่องไวมากจนไม่รบกวนการดูเลย สิ่งที่รู้สึกคุ้มที่สุดนอกจากการแสดงที่ดีมาก ๆ ของวง ก็คือระบบเสียงใน Esplanade Theatre ที่คมชัดมาก ๆ ฟังแล้วได้ยินชัดทุกเม็ดเหมือนเราไปนั่งฟังข้าง ๆ วงกันเลยทีเดียว จบงานเราเดินออกจากฮอลล์ด้วยบรรยากาศอบอุ่น ดีใจที่ได้ดู ถ้าใครเป็นแฟนวงนี้เชียร์ให้ดูสด ๆ จนถึงวันนี้เพลงยังไม่ออกไปจากหัวเลย

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่