Future Perfect การสร้างอนาคตวงการร็อกที่เข้มแข็งเป็นหน้าที่ของพวกเขา
- Story and photos by Phongpatch Thanattrai
- Group photo by ShoLar Photography
8 ธันวาคม 2560
เป็นอีเวนต์ที่อยู่ดี ๆ ก็เด้งขึ้นมาบนหน้าเฟซบุ๊กเราเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่พอดูไลน์อัพก็รู้สึกแบบ เฮ้ยย ไม่ไปไม่ได้ว่ะถึงจะเป็นวันธรรมดาก็เหอะ เพราะแต่ละวงจี๊ด ๆ ทั้งนั้น ขอไปดูหน่อยละกัน เราไปถึงงานประมาณทุ่มครึ่ง สิ่งแรกที่เห็นคือฮอลช่างเชื่อม ที่ช่างชุ่ย ช่างว่างเปล่า มีเพียงเหล่าพี่ ๆ น้อง ๆ ศิลปินที่นั่ง ๆ ยืน ๆ หงอยเหงากัน เราเลยเดินไปหาพี่โจแห่ง The Young Wolf แล้วถามว่า จะมีคนจริง ๆ หรอพี่…. คำตอบที่ได้คือ ‘กูก็ไม่รู้เหมือนกัน จัดวันธรรมดา แถมโปรโมตแค่อาทิตย์เดียว แต่ยังไงเราก็เชื่อนะ ว่าคนจะต้องมาดูงานดี ๆ แบบนี้’
ระหว่างรอครึ่งชั่วโมงเราเลยไม่รอช้า เดินหาเบียร์ทั่วช่างชุ่ยเพื่อเผาหัวตั้วแต่วงแรก พอกลับมาที่ช่างเชื่อมก็พบว่า เริ่มมีศิลปินและคนดูมาเตรียมตัวรอดูวงแรกกันบ้างแล้ว และพี่โจ The Young Wolf ก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นพิธีกรก่อนจับไมค์ประมาณ 2 นาที
ณ เวลา 20.20 น. วงแรกอย่าง Flammable Goods ก็พร้อมระเบิดความมันแล้ว เป็นครั้งแรกของเราเลยที่ได้ดูวงนี้เล่นสด เริ่มปลุกอารมณ์กันด้วยเพลงมีจังหวะอย่าง Dragger และต่อกันติด ๆ ด้วย Dreadful แม้จะเป็นวงแค่ 3 ชิ้นที่ไม่ได้ใช้ midi ประกอบในการเล่น แต่ซาวด์ที่ออกมามันแน่นและปลุกเร้าอารมณ์มาก ๆ เสียงร้องลอย ๆ และภาคริธึมที่หนักแน่นมันทำให้เรานึกถึงตอนกลางคืนในเมืองใหญ่ ๆ แถบยุโรป พอถึงเพลงที่สาม พี่โต๋นักร้องก็ได้วางกีตาร์และเปลี่ยนไปเล่นเปียโน เพลงที่เขาบรรเลงออกมาคือเพลง Just เป็นเพลงจังหวะช้าและล่องลอยมากขึ้นมาหน่อย ชวนให้ได้กลิ่นอายของท่อนแรกเพลง New Born จาก Muse เลยแหละ ต่อกันด้วยเพลงทีสี่ที่จังหวะหนักแน่นอย่าง Human งานนี้พีเจ้นมือเบสของเราโยกจนผมกระพรือเป็นสายไหมกันเลยทีเดียว แล้วก็มาถึงก่อนเพลงสุดท้าย พีเจ้นมือเบสก็ได้กล่าวว่า เวทีนี้จะเป็นเวทีสุดท้ายที่น้องบอล มือกลอง จะเล่นกับ Flammable Goods จึงขอใส่เต็มส่งท้ายไปกับเพลงสุดท้ายอย่าง Tiger ซึ่งถูกแต่งขึ้นมาให้เป็นเพลงแห่งการลาจาก เป็นการเล่นสดที่เราสัมผัสได้ถึงความ emotional มาก ๆ ทุกคนเล่นกันแบบเหมือนจะได้เล่นด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งมันก็เป็นอย่างงั้นจริง ๆ น้องบอลซัดกลองแบบงัดทุกอย่างที่มีอยู่ออกมา ตอนจบเพลงก็มีโซโล่ทิ้งทวนจากน้องบอล และพีเจ้นมือเบสก็เดินไปกอดน้องบอลจากข้างหลัง ในขณะที่พี่โต๋นักร้องก็ได้กล่าวว่า ‘We really love you’ หลังการแสดงจบ ทั้งสามคนได้ออกมากอดกันแล้วกล่าวว่า ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันแห่งการลาจาก แต่ Flammable Goods ก็จะยังคงเดินทางต่อ ถือว่าเป็นภาพที่ซึ้งและกินใจมาก ๆ สำหรับเรา แค่วงแรกยังทำให้เราอิ่มได้ขนาดนี้ แล้วอีกสองวงจะขนาดไหน
ระหว่างรอวงที่สองอย่าง Nobuna เซตเครื่องกัน เราก็ได้ออกไปตามหาสิ่งมึนเมามาเสพเพื่อให้ได้อารมณ์มากยิ่งขึ้น วงนี้เป็นวงที่เราสนิทที่สุดเลยก็ว่าได้จากการที่อยู่ด้วยกันมานานและร่วมงานกันมาเยอะ ไม่พูดมากละ พอเมาได้ที่อินโทรของวงก็ได้เริ่มต้นขึ้น สมาชิกค่อย ๆ ขึ้นมาบนเวทีทีละคน และระเบิดกับเพลงแรกอย่าง Crown of Blood ตอนนั้นเราไม่ไหวแล้ว เลยอาสาเปิดวงมอชพิตคนแรกเลย หลังจากนั้นฝูงชนที่เริ่มเยอะก็ตามกันมามอชกันอย่างบ้าคลั่ง และก็ต่อเนื่องไม่มีพักกับเพลงสุดติดหูเพลงที่สองอย่าง Your Masquerade เป็นเพลงที่หลาย ๆ คนร้องตามกันได้แล้วก็ยังมอชกันยับเหมือนเดิม ลดจังหวะกันลงมานิดกับเพลงที่สามซึ่งเป็นเพลงจากยุคแรกอย่าง The Rise เพลงนี้เราขอตัวออกข้างสนามไปนั่งพักกินเบียร์ก่อน เพราะสองเพลงแรกเหนื่อยจริง ๆ ฮ่า ๆ ต่อกันกับเพลงในอัลบั้มอย่าง Let There Be Darkness และซิ้งเกิ้ลภาษาอังกฤษล่าสุดที่ปล่อยออกมาอย่าง Gravity เพลงนี้ก็เล่นเอาน่วมเหมือนกัน จากการทำ wall of death ในท่อนเบรกดาวน์ซึ่งเราว่าเป็นเบรกดาวน์ที่เดือดที่สุดของ Nobuna แล้ว พักหูกันอีกซักรอบกับเพลงช้าที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่นอย่าง End of the Line (วงแรกอยู่ยุโรป อยู่ดี ๆ ตัดอารมณ์มาญี่ปุ่นเฉย) เป็นเพลงช้าที่ยังคงให้ความหนักแน่นและเข้าถึงอารมณ์มาก ๆ มาจนถึงช่วงท้ายแล้ว ทางฉั่ง นักร้องนำก็ได้เกริ่นเข้าเพลงต่อไป ซึ่งทุก ๆ คนก็คงรู้ว่าเป็นเพลงอะไร แต่ระหว่างที่ทุกคนกำลังจะเตรียมตัวมันไปกับเพลงนี้ ก็เกิดเหตุขัดข้องเล็กน้อยคือ md ดับก่อนเข้าเพลง ทางจิลมือกลองก็งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนหนุ่ม screamer ต้องเข้าไปเคลียร์คอมให้ซักพัก คนดูก็ไม่รอช้า ชาวร็อกชายทุกคนพร้อมกันตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เฌอปราง!!!!’ พร้อมกับที่คอมซ่อมเสร็จพอดี ทุกคนพร้อมกันบ้าคลั่งไปกับเพลง Koisuru Fortune Cookie เพลงคัฟเวอร์จากวงไอดอลชื่อดังอย่าง BNK48 แน่นอนว่าทุกคนร้องได้กันสุดเสียงจนเราทนไม่ไหว ถึงกับต้องปีนลำโพงเพื่อกระโดดบอดี้เซิร์ฟลงมาหลังจบฮุกแรก เราได้เห็นภาพที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนและไม่คิดว่าจะได้เห็นในวงการเมทัลคือ ชายหนุ่มเสื้อดำ (บางคนก็ไม่ใส่เสื้อ) 6-7 คนร่วมด้วยช่วยกันเต้นท่า BNK48 หน้าเวที ทำให้ผมรู้เลยว่า วงไอดอลนี้มันสะเทือนทุกวงการจริง ๆ นะ เพลงนี้จบกันไปแบบฟิน ๆ โดนใจชาวร็อกโอตะทั้งหลาย แล้วก็ปิดกันด้วยเพลงจากชุดแรกอย่าง My Battle Cry จบแบบเจ็บตัวกันไปจากมอชพิต เซอร์เคิลพิต และ wall of death ต้องบอกเลยว่าไปดู Nobuna มาหลายงานแต่โชว์นี้รู้สึกว่า มันอิ่มและจัดเต็มที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลย
อะ ยุโรปก็ไปมาแล้ว ญี่ปุ่นก็ไปมาแล้ว ก่อนจะกลับมาสู่ไทยแลนด์แดนไตรรงค์ของเรา ผมก็ได้ออกไปหาเบียร์กินอีกรอบ แต่ร้านมันปิดหมดแล้ว พี่โจ The Young Wolf ได้เดินเข้ามาหาพร้อมกับขวดว้อดก้าไต้หวัน 1 ขวด ข้างขวดเขียนตัวเบ้อเร่อว่า 58% ตอนแรกก็ลังเลอยู่ว่า ถ้ากินแล้วจะรอดมั้ยน้า…. แต่ด้วยความขัดสนและไม่มีทางเลือก และเพื่อปลุกอารมณ์ให้เดือดสุด ๆ กับวงต่อไป ผมจำเป็นต้องดื่มสิ่ง ๆ นั้น แล้วหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็ยังพอจะมีความสามารถในการเขียนบทความนี้ได้อยู่…..
มา!!!! วงสุดท้ายในคืนนี้มีดีกรีเป็นถึงวงที่ได้รับรางวัล Best Performance จาก Fungjai Awards อย่าง Bomb at Track ใครที่รู้จักวงนี้ก็คงไม่มีข้อกังขาใด ๆ กับการเล่นสดของพวกเขา ชนวนระเบิดได้ถูกจุดขึ้นตั้งแต่เพลงแรกเมื่อเต้ตะโกนอย่างสุดเสียงว่า ‘คำว่าสันติภาพนั้นไม่มีวัน’ วงมอชพิตขนาดมหึมาได้เกิดขึ้นกลางช่างเชื่อม ทุกคนในฮอลแทบจะร้องได้กันหมด ตามมาติด ๆ ด้วยเพลงเซอร์ไพร์สเพลงที่สองอย่าง My Generation จาก Limp Bizkit งานนี้ชาวหูเหล็กยุคมิลเลนเนียมต่างพากันกระโดดและร้องกันอย่างดุเดือด วงมอชพิตตรงกลางยังคงมีคนมาเต้นกันอย่างต่อเนื่อง ถือว่าถูกใจคนดูกันอย่างมากมาย ต่อกันกับเพลงดังเพลงที่สามอย่าง อำนาจเจริญ จัดได้ว่าเป็นเพลงที่ทุกคนรอคอยอีกเพลงท่อนฮุกก็ยังคงเดือดดาลสุด ๆ เช่นเคย ต่อกันกลับเพลง เดนนรก ทุกคนเตรียมเปิด wall of death ทันทีที่ข้นเริ่ม slap intro เบสขึ้นมา และตามมาติด ๆ ด้วยเพลงคัฟเวอร์อีกเพลงอย่าง Bulls on Parade จากวงรุ่นเก๋า Rage Against the Machine ไฮไลต์ที่ประทับใจจากโชว์เพลงนี้คงจะเป็นการที่เมษ มือกีตาร์ เดินออกมาโซโล่ด้วยถ่าน 9V ทำเอาคนดูหน้าเวทีส่งเสียงเฮให้เมษยกใหญ่เลย ต่อกันด้วยซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดอย่าง ฉวย ทุกคนพร้อมใจกันกระโดดสุดขาเหมือนว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ดูโชว์นี้ เอาล่ะ.. มาถึงช่วงท้ายๆแน่นอนต้องมีเซอร์ไพร์สอีกแน่ และแล้วปุ้ยก็วางกีตาร์แล้วก็ไปจับไมค์ เดินขึ้นไปชั้นคอนโทรลเลอร์ ตะโกนว่า ‘เชี่ยหยี!!! ไอ้สัส เพื่อนเล่นไม่เคยมาดูเพื่อนเลย ควย!’ (ท่าทางแกจะดื่มไปหนักจริง)
แล้วเพลงคัฟเวอร์อีกเพลงก็เริ่มขึ้นคือ เสือกทำไม จาก Dajim งานนี้มีเต้ร้องหลักอยู่บนเวที และมีปุ้ยร้องดั๊บอยู่บนชั้นลอยที่วางคอนโทรลเลอร์ (มึงตกเวที Scrubb แล้วยังไม่เข็ดอีกหรือไง) ทุกคนชอบใจกับท่อนปิดของเพลงมาก แต่ถ้าอยากรูว่าเค้าร้องกันว่าอะไร ก็ไปติดตามกันในโชว์หน้า ๆ ของพวกเขากันนะฮะ มาถึงเพลงต่อไปคือเพลง คุก เป็นเพลงในอัลบั้มที่ยังไม่เคยอัดด้วยซ้ำ เขาเล่นมาหลายโชว์แล้วเหมือนกันแต่พึ่งรู้ชื่อเพลง เพลงนี้มีเซอร์เคิลพิตวงใหญ่ถึงสองรอบ และรอบสอง เมษมือกีตาร์ก็ลงมาวิ่งด้วยซะงั้น จนถึงเพลงก่อนสุดท้าย เต้ได้เล่นโต้ตอบกับคนดูด้วยวลีเด็ดประจำปี 2017 คือ ‘เพราะความคิดคนมันห่วย สังคมเลยห่วยแตก’ ริฟฟ์อันหนักหน่วงของเพลง ฆาตกรคีย์บอร์ด ได้เริ่มบรรเลงขึ้น คนดูได้ใส่แรงทั้งหมดในการแท๊ก วิ่ง มอช กันจนอิ่มเอม ปิดโชว์ไปด้วยเพลง โจรในเครื่องแบบ หนึ่งในเพลงที่อยู่ใน EP แรก แต่….. เหมือนคนดูจะไม่จบง่าย ๆ ทุกคนตะโกนเอาอีก ๆๆๆๆ จนทางวงต้องใจอ่อน ขึ้นมาเล่นอีกเพลง เป็นเพลงที่ยังไม่มีชื่อเพลงด้วยซ้ำแต่เล่นที่นี่ที่แรก เท่าที่จำได้คือท่อนฮุกร้องแค่ หุบปาก ๆๆๆ ถึงจะไม่เคยฟังกันมาก่อนแต่ก็ปิดงานกันไปได้อย่างเดือดดาลกันเลยทีเดียว
งานนี้เรารู้สึกว่า เป็นงานเล็ก ๆ คนดูพอประมาณ แต่มันกลับอบอุ่นมาก ๆ ไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นคนดู ทีมงาน ซาวด์เอนจิเนียร์ หรือศิลปิน ทุกคนช่วยกันทำให้โชว์มันออกมาสมบูรณ์แบบ สร้างความสนุกสนานในคืนวันธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอีกต่อไป ท้ายที่สุด ทุกคนได้มาพูดคุยกัน ถ่ายรูปด้วยกัน แลกเฟซบุ๊ก แลกไลน์ แล้วก็กลับบ้านกันโดยสวัสดิภาพ งานนี้ถึงจะเป็นงานที่คนกลุ่มเล็กจัดให้ทั้งคนที่รู้จักกันและไม่รู้จักกันโดยมีตัวเชื่อมง่าย ๆ แค่คำว่าดนตรี แต่เรากลับได้มิตรภาพและความทรงจำดี ๆ กลับไปด้วย แค่นี้สำหรับเรามันก็อิ่มเอมจิตใจมาก ๆ แล้วแหละ อยากให้จัดงานดี ๆ แบบนี้ขึ้นมาอีกนะ