Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

ICEAGE อีกครั้งของวงพังก์จากเดนมาร์ก ที่กลับมาพร้อมความเดือดอีกเท่าตัว

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographers: Nathawat Bun-art and Praew Nicharee

น่าเสียดายที่จริง แล้วที่การมาของ Iceage ครั้งที่สองที่กรุงเทพ ฯ นี้เป็นงาน Bangkok Island ซึ่งเป็นคนเสิร์ตที่จัดคอนเสิร์ตบนเรือ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ได้รับแจ้งในช่วงเช้าวันเดียวกันกับที่คอนเสิร์ตกำลังจะเกิดขึ้นว่ามีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ สาเหตุคือเครื่องยนต์ของเรือมีปัญหาและเพื่อความปลอดภัยของผู้ชมทำให้ต้องย้ายที่จัดมาอยู่ที่ The Overstay ซึ่งเป็นโฮสเทลและไลฟ์เฮาส์ตรงจรัญสนิทวงศ์ 40 ไกลมากกก คือถ้าไม่อินวงจริง ก็อาจจะยอมแพ้ไป มีฟรีเบียร์ 1 ขวดเป็นการปลอบใจ แต่ก็ไม่มีการแจ้งตารางเวลาว่าวงไหนเล่นกี่โมง สอบถามมาก็รับทราบเพียงคร่าว เท่านั้นว่าวงแรกเล่นสองทุ่ม ทีแรกก็คิดว่าจะเป็นวงที่ชื่อ Rock Shreller วงอิเล็กทรอนิก้าที่ไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่แต่ก็น่าสนใจ แล้วถึงเป็น Dogwhine วงอัลเทอร์เนทิฟ experimental pop ที่เป็นวงที่ติดตามมาพักนึงและพบว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ดีขึ้นทุกครั้ง

และด้วยเราติดภารกิจก่อนหน้าทำให้ต้องคอยอัพเดตกับเพื่อน ที่มาถึงแล้วว่าวงขึ้นเล่นหรือยัง ก็เห็นว่าขึ้นเลตประมาณนึง พอเสร็จงานก็พุ่งมาถึงงานเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งพบว่า Dogwhine เล่นจบไปแล้ว งงมาก และที่กำลังเล่นอยู่คือ Rock Shreller ที่ทั้งซาวด์ชวนปวดหูและอากาศอบอ้าวภายในร้านยิ่งทำให้หัวร้อน ต้องออกมานั่งพักข้างนอกสักแปปก่อนจะเข้าไปฟังต่อ พบว่าเป็นวงอิเล็กทรอนิก้าที่มีน้องสาวของ Jenny The Voice หรือ Jenny and the Scallywags ชื่อ Fiffi Lackgren เป็นนักร้องนำ เพลงก็เป็นจังหวะที่พอโยกได้แต่ส่วนตัวรู้สึกว่ายังไม่ค่อยลงตัว แต่ก็ดูต่อจนจบ ก็รอติดตามต่อว่าวงจะพัฒนาไปทางไหน

(ขออภัยที่ภาพประกอบน้อยมาก สนุกเกินจนไม่ได้หยิบมือถือมาถ่าย)

iceage

เวลาประมาณห้าทุ่มครึ่ง เราเข้าไปยึดพื้นที่บริเวณหน้าเวทีเพราะคิดว่าจากสภาพการณ์แล้ว แอร์ไม่เย็นขนาดนี้ ที่คับแคบแทบจะหายใจไม่ออกขนาดนี้ แต่ถ้าอยากเห็นวงชัด และไม่เป็นลมไปซะก่อนก็ต้องยืนตรงนี้แหละ ไม่นานเราก็เห็นสมาชิกแต่ละคนค่อย เดินมาอยู่หน้าเซ็ต Johan มือกีตาร์ เดินแบกเอฟเฟกต์มาเซ็ตเอง รวมถึง Jokob มือเบส Casper มือกีตาร์อีกคน และ Dan มือกลอง สักพักเราก็เห็น Ellias ฟรอนต์แมนเดินออกมากระดกเบียร์รอ น่าแปลกมากที่ปฏิกิริยาคนดูนิ่งมาก ตอนวงยังไม่พร้อมก็ไม่ได้ส่งเสียงเรียกหรือกรีดร้องแบบที่เราเห็นในคอนเสิร์ตใหญ่ เข้าใจได้ว่าเวนิวเล็กมากและมีความใกล้ชิดกับศิลปินประมาณนึง แล้วคนดูค่อนข้างให้เกียรติศิลปิน ถือว่าเป็นเรื่องดีเลยแหละ

เสียงกีตาร์ของโยฮันดังขึ้น และเอลเลียสก็เข้ามายืนหน้าเวทีพร้อมกับคว้าไมค์สวัสดี พวกเรา Iceageตามมาด้วยเสียงร้องของแฟนเพลงในทันที ด้วยความที่ยืนหน้าสุดซาวด์อื้ออึงถูกสาดใส่หน้าของเราเต็ม แดนรัวกลองส่งเพลงร็อกแอนด์โรลเดือด Abundant Living จากอัลบั้ม Plowing into the Field of Love ที่ต้องบอกว่าเวอร์ชันเล่นสดดิบและดุกว่ามาก คนดูเครื่องติดกันตั้งแต่เพลงแรกกันเลยทีเดียว และด้วยความที่ยืนหน้าจนเกินไปก็โดนไมค์เอลเลียสโขกหัวไปหนึ่งปึ้ก ตามด้วยเสียงฉาบบาดหูและกลองหนักหน่วงของเพลง Beyondless ชื่อเดียวกับชุดล่าสุด เพลงนี้แดนโชว์ศักยภาพมือกลองของเขาได้เต็มเหนี่ยวให้คนได้โยกกันหนึบหนับ มีท่อนดรอปให้เหวี่ยงหัวหนัก กันอีกรอบก่อนจะจบเพลงไปแบบอลัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดสายกีตาร์โหยหวน ก่อนจะสับแหลกเข้าเพลง The Lord’s Favorite กับพังก์ที่มีจังหวะ train beat เท่ ที่ตอนนี้คนดูเริ่มมอชกันแล้วค่ะ เหล่าชายฉกรรจ์ด้านหลังโดดอัดกันไปมาอย่างเมามัน มีคนร้องตามได้อย่างพร้อมเพรียงกับท่อน ‘One-hundred Euro wine, I do believe in heaven and I do believe its time’ แล้วในท่อน ‘favorite one’ ท้ายเพลงก็ชุลมุนสุด เราจากที่ยืนหน้าสุดก็ต้องร่นถอยมาแถวนึงไม่งั้นโดนผลักหน้าทิ่มแน่

Thieves Like Usเอลเลียสบอกกับเราแบบนั้น แล้วซาวด์กีตาร์สุดย้วยยานกับเมโลดี้น่ารักแต่แอบมีความเมาก็ถูกบรรเลงขึ้น ก่อนจะเร่งจังหวะขึ้นเรื่อย ให้ได้โดดกันยับในตอนท้าย ก่อนที่เสียงกีตาร์เคว้งคว้างลึกลับจะบรรเลงขึ้นกับ Hurrah สุดจะสโตนเนอร์ร็อกกันเลยในเพลงนี้ แล้วคนก็เริ่มปะทะกันดุเดือดอีกครั้งกับท่อน ‘Cause we can’t stop killing, and we’ll never stop killing, and we shouldn’t stop killing, hurrah!!! ทำให้บรรยากาศรอบ เริ่มระอุ ไปจนถึงขั้นอึดอัดหายใจลำบาก แต่ทุกคนก็ยังสู้ยิบตาในร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนบางคนเริ่มถอดเสื้อกันเลยทีเดียว เพลงต่อไปเอลเลียสบอกว่าเป็นเพลงใหม่ เล่นเป็นครั้งแรกเมื่อคืนที่โชว์สิงคโปร์ ชื่อ Vendetta ที่สุดแห่งการผสมผสานระหว่างอัลเทอร์เนทิฟกับไซคีเดลิกร็อก เพลงเท่มาก ถึงจะไม่เดือดแต่ก็โยกกันยับ มีท่อนที่ร้องประมาณ บลา ๆๆๆ ให้คนดูพองมตามได้ ต่อด้วยเพลง White Rune จากชุด New Brigade ซึ่งเซอร์ไพรส์มากที่หยิบงานเก่ามาก มาเล่น ท่อนท้ายก็ระเบิดความคลั่งออกมาจนแท็กกันรุนแรงใช้ได้ ไม่แน่ใจว่าเพลงนี้หรือเปล่าที่มีคน crowd surfing จบเพลงถึงกับหอบแฮ่กเลยทีเดียว แล้วซาวด์กีตาร์หน่วง ของเพลง Morals จากชุด You’re Nothing ก็ถูกเล่นเหมือนจะให้พักหายใจ จังหวะกลองหนัก และสม่ำเสมอสะกดเราให้โยกเบา แต่ก็แค่ต้นเพลงแค่นั้นแหละ อว้อยยยย โดดต่อจ้ะพี่!

เสียงกีตาร์หึ่ง เชื่อมเข้าสู่สโตนเนอร์ร็อกซิงเกิ้ลใหม่ Balm of Gilead ที่ฟังสดแล้วมันหัวหลุดกว่ามาก โอ้ย ก่อนจะมีเสียงกีตาร์ที่เล่นให้เหมือนกับชามิเซ็งแล้วเข้าช่วงอินโทรของเพลงฮิต Pain Killer ที่มี Sky Ferreira มา featuring ด้วย (แต่นางไม่ได้มางานนี้ด้วยนะ) ซึ่งแน่นอนว่าเพลงนี้ทุกคนกระโดดและร้องตามได้โดยพร้อมเพรียงในท่อน ‘Alright, alright’ กีตาร์พุ่ง ของเพลงนี้มันน่าดีดดิ้นซะเหลือเกิน ถึงเพลานี้ต้องหยิบยาดมขึ้นมาช่วยชีวิตเลยแหละ เพลงต่อไปนี่ถึงจะได้พักหายใจจริง กับ NY ‘G’ เหมือนจะเป็นเพลงใหม่ เล่นไปได้ท่อนนึงก็พบว่ากีตาร์โยฮันเสียงไม่ออก เลยขอเอาใหม่ ฟัง ไปมีความเป็นบริตร็อกมาก ไม่ปฏิเสธว่าแอบนึกถึง Oasis เหมือนกันในเพลงนี้ไม่ว่าจะเมโลดี้ หรือลิกกีตาร์โซโล่อะไรต่าง แต่เพราะมาก ก่อนจะเล่นเพลงหนักหน่วงอีกเพลงอย่าง Ecstacy โอ้ย ร่างพี่น่วมไปหมดแล้วววว เอลเลียสปีนมอนิเตอร์ร้องท่อน ‘Pressure, pressure, oh god no pressure’ และมีแฟนเพลงเข้าไปกรูดึงมือเขาจนเกือบหน้าทิ่ม สองแถวหน้าอย่างเราก็ต้องคอยเซฟไว้นะคะ

ในระหว่างที่วงพัก มีคนตะโกนว่า ‘more!’ แล้วเอลเลียสก็หันไปมองนิ่ง ฟีลพระเอกหนังแอคชัน ประมาณว่า ได้ เดี๋ยวมาดูกัน แล้วอินโทรสุดหน่วงของเพลง Catch It ก็ขึ้นมา ทุกคนกรีดร้องเป็นบ้าและโยกตามกันเฮือกสุดท้ายพร้อมกับร้องท่อน ‘catch it, catch it, catch it’ กันคอแทบแตก กับท้ายเพลงที่โหดร้ายทารุนกับความมันแบบดิบเถื่อนที่ทานไม่ไหว ก่อนจะกลับไปดรอปโชว์ไลน์กีตาร์เท่ เล่นในจังหวะเดียวกับช่วงอินโทร และดึงเข้าท่อนฮุกอีกครั้งจบไปอย่างสวยงามพร้อมเสียงเอฟเฟกต์กีตาร์ค้างเติ่งพอ กับอารมณ์ของคนดู

สิ้นเสียงขอบคุณของเอลเลียสไม่ทันขาดคำ ทุกคนพร้อมใจกันอังกอร์ แต่เหมือนวงจะเหนื่อยจากความเดือดของเพลง เอเนอร์จี้คนดู และสถานที่ที่ร้อนมาก แทบจะเป็นลมทำให้พักนานสักหน่อย แต่พอกลับขึ้นมาพร้อมจะเล่นเพลงสุดท้ายก็พบว่า แดน มือกลองหายไป ก็เลยต้องตะโกนร้องเรียกแดนกันยกใหญ่จนออกมาเล่นเพลง Plowing into the Field of Love ในท่วงทำนองที่หนักหน่วงกว่าในออดิโอสิบเท่าได้ โอ้ย คิดถึงรอบแรกที่พวกเขามาทัวร์พร้อมเพลงอัลบั้มนี้เมื่อปี 2015 มาก ซึ่งก็เป็นเรื่องเศร้าที่ทั้งสองรอบพวกเขาไม่ได้เล่นเพลง Against the Moon ซึ่งถือเป็นหน่ึงในงานของวงที่เราชอบมาก และหลังจบคอนเสิร์ตหลายคนเองก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากฟังเพลงนี้ แต่จากที่ได้คุยกับ แคสเปอร์ มือกีตาร์คนล่าสุดของวง เขาพูดติดตลกว่าที่จริงมีแต่ขีดฆ่าออกเพราะมีเด็กผู้หญิงไทยสองคน (เรากับรุ่นน้องที่เข้าไปงอแง) อยากฟัง ฮ่า จริง แล้วคือเพลงนี้มันเนิบนาบและไม่ค่อยเข้ากับเพลงอื่น ในเซ็ตเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร เพราะการเรียงเซ็ตแบบนี้แหละถึงทำให้กราฟความสนุกของโชว์พุ่งขึ้นเรื่อย (กราบขอบคุณที่มีช่วงให้พัก) รวมถึงคนดูที่สนุกไปกับโชว์แทบทุกคนและร้องตามได้ด้วย ทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งโชว์ที่ดีที่สุดที่ได้ดูในชีวิตเลย

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้