Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

ฟินกับคอนเสิร์ตครั้งที่ 3 ของ the fin. พร้อมควง Yogee New Waves มาสร้างคืนที่น่าจดจำให้คุณ

  • Writer: Peerapong Kaewthae and Montipa Virojpan
  • Photographer: Montipa Virojpan

25 มีนาคม 2561

img_0584

การกลับมาไทยอีกครั้งของ The fin. วงดรีมป็อปขวัญใจวัยรุ่นจากญี่ปุ่นในงาน The fin. +  Yogee New Waves Live in Bangkok โดย Seen Scene Space เจ้าเก่าผู้เสาะหาวงญี่ปุ่นน่าสนใจมาเสิร์ฟถึงหูคนไทยได้ทุกเดือน แม้ The fin. จะมาครั้งที่ 3 แล้วแต่พวกเราก็ไม่เบื่อที่จะได้เห็นฟังเสียงกีตาร์หวาน ๆ และเสียงซินธ์เข้ม ๆ ของพวกเขาเลย การกลับมาครั้งนี้ยิ่งเห็นพัฒนาการทางดนตรีของพวกเขาชัดเจนขึ้นด้วย แถมรอบนี้เขามาพร้อมกับ Yogee New Waves วงป็อปร็อก เร็กเก้ น้ำดีที่ทุกคนควรลองฟัง เพราะพวกเขาจัดเต็มเล่นกันสุดความสามารถ แทบจะเรียกได้ว่ามาสร้างฐานแฟนเพลงในไทยกันเลย พร้อม Somkiat วงไทยอนาคตไกลมาช่วยเล่นเปิดให้ด้วย จะมันแค่ไหนลองไปอ่านกัน

img_0523

ทุ่มครึ่งปั๊บ อินโทรมัน ๆ ก็ดังขึ้นเรียกร้องให้คนดูรู้ว่า Somkiat ขึ้นเวทีแล้วจ้า สังเกตว่าวงแต่งตัวชิวเหมือนวัยรุ่นริมทะเลซะนึกว่าเป็น Yogee New Wave น่ารักมาก ก่อนจะจัดเพลง ขอวอน 1 ที่ mashed up กับ ขอวอน 2 เพลงที่ทุกคนร้องตามได้แน่นอนเพื่อวอร์มอัพคนดูให้พร้อมผ่านความสนุกในคืนนี้ไปด้วยกัน แล้วทำได้เนียนมาก ซัดกันต่อด้วยเพลง แล้วแต่ ที่เอามาเล่นสดแล้วสนุกเหมือนกัน ต่อด้วยเพลงช้าอย่าง คิดถึง หวาน ๆ ซึ้ง ๆ ก็เอาคนดูอยู่หมัดเหมือนกันกับท่อน ‘โปรดตื่นมายิ้มให้กันอีกครั้ง อยากจะรั้งให้เธออยู่ แต่ก็รู้ว่าเธอต้องจาก’ โห คือทั้งเพลงมีความมินิมัลมาก แต่ท่อนฮุคทรงพลังแบบอยากจะเอาให้คนฟังตายไปข้าง พร้อมหยิบเครื่องเป่าขึ้นมาช่วยขับอารมณ์ของเพลงให้น่าสนใจยิ่งขึ้น และ Intro เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้มของพวกเขา ซึ่งก่อนเข้าเพลงก็บรรเลงออกมาได้แบบซับซ้อนหลากสีสันจนเราเซอร์ไพรส์การแสดงของพวกเขา

img_0526

อันที่จริงวงนี้เป็นวงที่มีความสามารถมาก ๆ แต่บางคนอาจนึกไม่ถึงมาก่อนเพราะอาจจะไม่เคยดูพวกเขา แล้วเพลงนี้ก็สนุกมาก ๆ กับท่อนโซโล่มัน ๆ เล่นอย่างแน่น ผสมเสียงอิเล็กโทรนิกเข้าไปให้ดีดมากขึ้น ต่อกับโคตรดี ที่ปั่นมาก ๆ เต้นกันยับ โคตรดีสมชื่อไปเลย จนถึงเพลงที่เรารอมานานกับ นิสัย อินโทรขึ้นก็ต้องโยกแล้ว แถมวงก็โชว์ของโดยการลดบีตของเพลงลงในท่อนนึง เรียกว่าเป็นการโชว์ความเก๋าของเพลงไว้ได้ และเราก็ต้องโยกตามอารมณ์ต่อได้อย่างไม่เคอะเขิน ส่งท้ายด้วย ช่างมัน และ ขอวอน2 ที่ปิดฉากความสนุกของวงได้อย่างดีงาม ฝีมือแน่นแบบนี้พร้อมจะมีคอนเสิร์ตของตัวเองได้แล้วแหละ แล้วอย่าลืมติดตามเพลงใหม่และอัลบั้มใหม่ของพวกเขาในปีนี้ด้วยนาจา

img_0546

รอกันไม่กี่อึดใจ Yogee New Waves วงป็อปร็อกจากญี่ปุ่น ก็ทักทายแฟนเพลงชาวไทยด้วยอินโทรสนุก ๆ จาก EP ชุดใหม่ ก่อนจะจัดเพลง World is Mine ที่เปิดด้วยจังหวะช้า ๆ จนคนดูตายใจ ก่อนจะเร่งจังหวะให้สนุกสนานจนทุกคนต้องเผลอเต้นตาม พอจบเพลงแรก คาสึยะ มือกลองก็นับจังหวะ หนึ่ง สอง สาม สี่ เป็นภาษาไทยเสียงดังก่อนจะต่อกันด้วยเพลงสุดฮิตของวงอย่าง Fantastic Show อยากฟังแบบสด ๆ มานานแล้ว ท่อนฮุกก็ตะเบงคอแตกว่า ‘I want to die. Why don’t you be mine?~’ โยกตามไปทั้งเพลง ต่อด้วย Ride on Wave ที่สนุกมาก ๆ ทุกคนตะโกนพร้อมกันว่า ไรด์ ออน เวฟฟฟฟฟ จัดไปสามเพลงวงก็พักคุยด้วยแป๊ปนึง พร้อมถามเป็นภาษาไทยชัดเจนว่า ‘เป็นไงบ้าง?’ เรียกเสียงกรี๊ดจากคนดูได้ท่วมท้น หลังจากนั้นก็จัดความมันยาว ๆ กับ Boyish

img_0557

จบเพลงนี้ คาเคะดุเตะ นักร้องนำบอกกับคนดูว่า อยากมาเล่นที่ไทยนานมากแล้ว และโชว์ที่นี่ก็เป็นโชว์สุดท้ายในทัวร์ของพวกเขาในปีนี้ แล้วก็เล่นเพลง Summer, Megumi no Amen, Drive into the Honeytime ที่ชวนเราโยกไปได้ตลอดช่วงนี้ และพักอีกรอบพร้อมบอกรักเมืองไทยเหมือนฝึกมาอย่างตั้งใจ ก็เรียกคะแนนจากคนไทยไปได้ล้นหลาม ไม่นานเท่าไหร่ก็จัด C.A.M.P เพลงช้ากินใจเพื่อให้คนดูได้พักบ้าง ตีนจะแตกแล้ว ก็โยกกันเบา ๆ ไปกับเพลงที่เท่มาก ๆ ต่อด้วย Climax Night และ How Do You Feel? ที่ช้า ๆ แต่สนุกและได้โชว์การลีดกีตาร์ที่หวานหยดย้อย คาเคะดุเตะ ก็ประกาศว่าวันนี้เป็นวันเกิดของ ทาเคมุระ มือกีตาร์เลยขอให้คนดูช่วยร้องเพลง Happy Birthday ให้ แล้วเซอร์ไพรซ์ด้วยเค้กวันเกิด สร้างโมเมนต์น่ารัก ๆ ให้กับคอนเสิร์ตนี้ได้น่าจดจำมาก พร้อมเล่นเพลงลัดซิงเกิ้ลของทัวร์ EP ใหม่ครั้งนี้อย่าง Bluemin’s Day ที่ทุกคนก็เต้นกันอย่างพร้อมเพียง ต่อด้วย Like 16 Candles และ Goodbye ที่สนุกมาก ๆ ต่อกันด้วย SAYONARAMATA ที่ชวนโยก แถมวงยังโชว์เจ๋งด้วยการเปลี่ยนแนวเพลงระหว่างเล่นอยู่หลายเพลง ทำเอาเปลี่ยนจังหวะเต้นเกือบไม่ทันแต่ก็ยังรอดและมันเหมือนเดิม ก่อนจะปิดท้ายด้วย Dreamin’ Boy ที่มันสุด ๆ เหมือนปล่อยของทั้งหมดที่เหลืออยู่ในเพลงสุดท้าย ทำให้โชว์ทรงพลังมาก ๆ พอเห็นพวกเขาลงจากเวทีก็รู้สึกคิดถึงทันทีเลย อยากดูอีก ฮือ

img_0555

แล้วก็ได้เวลาของ The fin. นับเป็นครั้งที่สามที่วงได้มาแสดงที่กรุงเทพ ซึ่งหนนี้ถือว่าสถานที่จุผู้ชมใหญ่กว่ารอบก่อน แต่ไป มา กลับเป็นงานที่กร่อยที่สุด โดย ยูโตะ ฟรอนต์แมนถึงกับพูดออกไมค์เองเลย ไม่ใช่เพราะคนน้อยแต่อย่างใดแต่อาจเพราะคนดูไม่ค่อยขยับเขยื้อนร่างกายหรือร้องตามพวกเขาเมื่อเทียบกับครั้งก่อน โดยเราก็เข้าใจว่าคนดูน่าจะเป็นอีกกลุ่มนึงด้วย เพราะกลุ่มแรก จากที่สังเกตโดยสายตาเป็นแฟนเพลงผู้หญิงซะเยอะ แต่หนนี้เป็นกลุ่มคนดูผู้ชายไม่คุ้นหน้า ก็พออนุมานได้ว่าคนที่ดีด น่าจะได้ดูในสองรอบก่อนหน้าจนอิ่มหนำกันไปแล้วทำให้ไม่มาในรอบนี้

แต่สำหรับเราเนี่ย ถึงแม้จะได้ดูพวกเขามาแล้วในครั้งแรกที่ Live House JJ Green ตอนนู้น เทียบกับที่ Fuji Rock เมื่อปีก่อน ก็พบว่า performance ของวงมีความก้าวกระโดด และยิ่งการที่พวกเขาปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่สอง There ออกมา สีสันของบทเพลงใหม่ ทำให้เราอยากมาดูพวกเขาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

img_0577

เวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ไฟเฮาส์หรี่ลงและสมาชิกทุกคนขึ้นมาประจำที่บนเวที จากการที่มือเบสของวงได้ถอนตัวไปจากปัญหาสุขภาพจิต คาโอรุ มือกลองของวงก็เปลี่ยนมาเล่นเบส และได้นักดนตรีต่างชาติมาช่วยเล่นกลองให้ ก็เป็นอะไรที่แปลกตาเมื่อเราเห็นภาพแบบนี้ในวงดนตรีจากญี่ปุ่น แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับพวกเขาก็ทำให้รู้ว่าจริง วงก็ไม่ได้มองตัวเองเป็นคนญี่ปุ่นขนาดนั้น และพวกเขาก็ตั้งรกรากอยู่ที่อังกฤษกันเป็นหลักด้วย และทันทีที่เสียงคีย์บอร์ดซินธ์ของวงดังขึ้นเป็นเมโลดี้สุดคุ้นหู แฟนเพลงก็ร้องลั่นให้กับเพลง Illumination จากนั้นก็เป็นเพลง White Breath จาก EP Through the Deep และ Veil กับ Curtains เพลงไซคีเดลิกป๊อปชวนสะกดจากอัลบั้มเต็มชุดแรกที่ทำให้เราต้องมนต์สะกดไปพักนึง และในที่สุดพวกเขาก็เล่นเพลงจากอัลบั้มชุดล่าสุด There อย่าง Pale Blue ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงที่ทำให้เราอยากมาดูโชว์ครั้งนี้ของพวกเขา วงก็เนรมิตความเวิ้งว้างชวนฝันออกมาได้อย่างงดงาม แม้จะเป็นเพลงเศร้าก็เถอะ

จบจากเพลงนี้ เรียวสึเกะ ที่พูดทักทายแฟนเพลงเป็นระยะ ก็หยิบโพยขึ้นมาพูดภาษาไทยยาว กับแฟนเพลง ชอบความพยายามและความเป็นธรรมชาติในการออกเสียงของเขามาก ได้ใจแฟนเพลงไปเต็ม แล้วจึงเล่นเพลง Through the Deep การได้ฟังหนนี้ทำไมรู้สึกว่ามันมีบีตของเพลงเฮาส์บรรเลงอยู่เป็นแบ็คกราวด์ที่ชัดมาก เพลินมาก ตามด้วยอีกเพลงโปรดจากอัลบั้มใหม่ Heat – It Covers Everything และ Height ไซคีเดเลียปั่นป่วนจิตใจ กับโซโล่กีตาร์ที่ฟังแล้วต้องขนลุกกราว ตามด้วย Snow (Again) ตอนนี้ไฟบนเวทีที่ว่าสวยมาก อยู่แล้ว ยิ่งมีความ cinematic ประหนึ่งฉากในหนัง ‘The Virgin Suicide’ โดยเฉพาะกับตอนท้ายที่ไฟยิงมายังสมาชิกแต่ละคนแบบเรียงตัว โห ขลังมาก และก็เป็นเวลาของเพลงชาติ Without Excuse ที่ทุกคนร้องตามกันได้อย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะเป็น Silver From Over the River

img_0565

ยูโตะบอกว่าเพลงต่อไปที่เขาจะเล่นคือเพลงที่เก่ามาก แล้วของวง คือ Misty Forest ซึ่งทำให้รับรู้ได้ถึงพัฒนาการในสไตล์ดนตรีของวงอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็พากลับมาที่ยุคใหม่สุดกับเพลง Afterglow ฟังในอัลบั้มก็ว่าดีแล้ว แต่ทำไมเล่นสดถึงดีขนาดนี้้้้้้ แทบจะตัวลอยติดเพดานวอยซ์สเปซ ท่อนที่เป็นช่วงที่ร็อกที่สุดของเพลงก็ทำเอาหัวปั่นเลย แล้วมาเยื้องย่างกันต่อที่ Outskirts แล้วจึงกลับมาที่เพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม Days With Uncertainty และอีกเพลงชาติ Night Time ที่เรียวสึเกะโซโล่กีตาร์เท่มากมายเด้ออออ แล้วพวกเขาก็หยิบเพลง Faded Light และปิดท้ายด้วยเพลงชื่อเดียวกันจาก EP Glowing Red on the Shore มาเล่น เซอร์ไพรส์มาก ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะเล่นเป็นเพลงสุดท้ายจริง เลยตะโกนอังกอรุกับคนดูใกล้ กันอยู่พักใหญ่ แต่แล้วพอ MIDI เพลงขึ้นและวงถ่ายรูปกับคนดูเรียบร้อยก็เดินลงเวทีไป ไม่มีเงาเสียงของเพลง Shedding ที่เรารอฟังมาตั้งแต่ต้นโชว์แม้ต่อน้อย ฮือ

img_0585

นับว่าเป็นอีกโชว์ที่ครบรส เต็มอิ่ม ได้ดูวงที่เป็นยอดฝีมือทั้งสามวงเล่นเพลงที่เราฟังในอัลบั้มออกมาในความรู้สึกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ต้องขอบคุณ Seen Scene Space ที่พาวงดี ๆ มาให้เราดูกันอยู่เสมอ ๆ รอบหน้าพวกเขาจะพาใครมาอีกก็ต้องรอติดตามกันนะ

Facebook Comments

Next:


Peerapong Kaewthae

แม็ค เป็นคนชอบฟังเพลงเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และก็ชอบแนะนำวงดนตรีหรือเพลงใหม่ ๆ ให้คนอื่นรู้จักผ่านตัวอักษรตลอดเวลา