Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

ไม่คิดว่าจะได้ดูวงนี้ที่บ้านเรา Turnover กับโชว์สุดประทับใจแห่งปี

  • Writer: Krit Promjairux
  • Photographer: Krit Promjairux and Wuttikul Taweephao

 

23 กรกฎาคม 2560

cowrd1

เหนือความคาดหมายมาก ๆ สำหรับการมาเยือนครั้งแรกของ Turnover วงดนตรีอินดี้ร็อก 4 ชิ้นจากเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ที่บัตรถูกขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว

สำหรับโชว์ที่กรุงเทพ ฯ ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการทัวร์คอนเสิร์ตสนับสนุนอัลบั้ม Peripheral Vision อัลบั้มเต็มชุดที่สองของทางวงที่ออกมาตั้งแต่ปี 2015 ก่อนทางวงจะเดินทางกลับบ้านพักผ่อนเตรียมตัวสำหรับการปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่สามที่มีชื่อว่า Good Nature ซึ่งกำหนดไว้ว่าจะออกมาในวันที่ 25 สิงหาคม 2017

_dsc0927

งานนี้จัดขึ้นที่ Brownstone ที่นอกจากจะเป็นห้องซ้อมดนตรีและคาเฟ่ที่เปรียบเสมือน community ดนตรีและศิลปะประจำย่านอ่อนนุชแล้ว ล่าสุดทางร้านมีการเปิดฮอลล์สำหรับเช่าจัดคอนเสิร์ตซึ่งได้การตอบรับจากโปรโมเตอร์/ผู้จัดการดนตรีอิสระเป็นอย่างดีหลังจากเริ่มให้บริการตั้งแต่ช่วงปลายมีนาคมที่ผ่านมา

ผู้ชมเริ่มทยอยกันมาตั้งแต่บ่าย ส่วนหนึ่งเป็นแฟนเพลงที่มารอซื้อบัตร 50 ใบสุดท้ายซึ่งทางทีมงานกันไว้จำหน่ายหน้างานสำหรับคนที่ซื้อรอบ pre-sale ไม่ทันหรือยังตัดสินใจไม่ได้ในช่วงก่อนหน้านี้ โดยมีการเริ่มแจกบัตรคิวสำหรับซื้อก่อนเวลาขายจริงช่วง 5 โมงเย็น และคิวซื้อบัตรเต็มอย่างรวดก่อนเวลาเปิดขาย ยังไงก็ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่มารับคิวไม่ทันมา ณ ที่นี้ด้วย

_dsc1090

อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจสำหรับงานครั้งนี้ก็คือ Turnover เป็นวงดนตรีทีมีฐานแฟนเพลงที่ค่อนข้างหลากหลาย กลุ่มแฟนเพลงของพวกเขามีปรากฏตัวให้เราเห็นในงานนี้มีตั้งแต่ กลุ่มคนฟังเพลง dream pop, shoesgaze กลุ่มผู้ใช้กล้องฟิมล์ (อันนี้เดา อ้างอิงจากผู้คนที่เราพบเห็นผู้คนในงานห้อยกล้องฟิล์มไว้ที่คอเป็นจำนวนมากอย่างมีนัยยะ) เด็กสเก็ตไปจนถึงแฟนเพลงฮาร์ดคอร์-พังก์ น่าจะเป็นผลพวงจากตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ทางวงมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงซาวด์ ไม่ยอมย่ำอยู่กับที่ จากวงดนตรีป๊อปพังก์ที่สามารถหาฟังงานได้จาก EP ชุดแรก จนถึง Magnolia อัลบั้มเต็มชุดแรกของทางวงเมื่อปี 2013 มาสู่การรับอิทธิพลจากดนตรี post-punk และ dream pop ใน Peripheral Vision ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากแฟนเพลงกลุ่มเก่าและแฟนเพลงกลุ่มใหม่ที่ชื่นชอบดนตรีสายฟุ้งและสโตนเนอร์ ทำให้ความสวยงามอย่างหนึ่งของคอนเสิร์ตครั้งนี้คือการเห็นผู้คนหลากหลายกลุ่มมาสนุกด้วยกันในงานนี้เดียวกันนี้นี่เอง

waveandso1

นอกจาก Turnover แล้ว งานนี้ยังมีวงเปิดฝั่งบ้านเราอีกสามวงด้วยกัน เริ่มกันที่วงแรก Wave and So ศิลปินดูโอ้จากค่าย Parinam Music ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสชมฝีไม้ลายมือกันเป็นครั้งแรก ดนตรีของ Wave and So ออกไปทางดรีมป๊อปฟังสบายแต่ก็มีจังหวะที่กระชับ ชวนโยก ซาวน์กีตาร์ลอย ๆ ชวนฝันตามสมัยนิยม หลังจากคอนเสิร์ตผู้เขียนกลับไปลองฟังงานของวงในรูปแบบออดิโอดูบ้าง พบว่าซาวด์ดนตนรีเวอร์ชันเล่นสดกับสตูดิโอต่างกันอยู่มาก จากที่ได้รับชมเล่นสดภาคดนตรีมีความแข็งแรงและมีความเป็นดนตรีร็อกมากกว่า ยืนฟังเพลิน ๆ ดี

cloudbehind2

ต่อด้วย Cloud Behind วงนี้เคยได้ยินชื่อมานานแต่ไม่เคยได้มีโอกาสดูเล่นสด เป็นวงที่ผู้เขียนประทับใจที่สุดในบรรดาวงเปิดทั้งสามวงนี้ แม้ทางวงจะไม่ได้มีการสาดพาวเวอร์คอร์ดหรือมีเสียงแตกหนัก ๆ เท่าไหร่ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงของภาคดนตรี กีตาร์โซโล่บาด ๆ ฟุ้ง ๆ หอน ๆ ถูกคลุมด้วยเสียงซินธิไซเซอร์ที่เล่นคลอกันไปอย่างลงตัว บวก lighting ที่สาดส่องลงมาจากเวทีช่วยสร้างบรรยากาศ ทำให้บทเพลงที่ถูกเล่นออกมามีภาพที่ใหญ่และกว้างมาก ชวนให้นึกถึงวง progressive rock ติดกลิ่นไซคีเดลิกอย่าง Pink Floyd ที่ตรึงคนดูให้อยู่กับที่ได้อยู่หมัดแม้ว่าภายในฮอลล์วันนั้นจะร้อนเหลือเกิน ทางวงซัดกันไปร่วม 8 เพลงคาดว่าวันนี้ทางวงน่าจะได้แฟนเพลงหน้าใหม่ ๆ กลับไปเยอะทีเดียว

folk1

วงเปิดลำดับสุดท้าย Folk 9 ซึ่งเป็นวงร่วมค่ายเดียวกันกับ Wave and So มาในดนตรีสไตล์เคียงกันกับวงแรก โชว์มีตะกุกตะกักนิดหน่อยในช่วงแรก เนื่องจากแอมป์กีต้าร์ฝั่งนักร้องนำอยู่ดี ๆ ในช่วงท้ายของเพลงแรก ก่อนจะติด ๆ ดับ ๆ จนดับสนิทไปเลยในเพลงต่อไป จนทางทีมงานต้องเปลี่ยนไปใช้แอมป์สำรอง ในด้านการเล่น อย่างที่บอกไปว่ามีสไตล์คล้ายกับ Wave and So คือเป็นวงมีสไตล์ออกไปทาง jangle pop/dream pop แตกต่างหน่อยตรงที่มีคนดูหลาย ๆ คนที่ยืนดูร้องไปเพลงคลอไปกับวงได้ ทางวงได้หยิบเพลงฮิตของวงอย่างเพลง Chinatown และ Memory เรียกเสียงเฮจากคนดูได้เป็นระยะ เนื่องจากข้างในฮอลล์วันนั้นร้อนมากและอากาศไม่ถ่ายเทเท่าไหร่ ผู้เขียนเลยจำต้องออกไปสูดอากาศข้างในช่วงท้ายของโชว์จึงไม่ได้อยู่ดูจนจบ ขออภัยวงมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ไว้คราวหน้าเดี๋ยวขอแก้มือใหม่นะ

received_10211742500429439

เมื่อเดินออกมาบริเวณหน้าฮอลล์ก็พบว่ามีแฟนเพลงของ Turnover กำลังจับกลุ่มนั่ง/ยืนกันอยู่ทั่วบริเวณ ช่วงประมาณเกือบ ๆ สี่ทุ่มสมาชิกวง Turnover ทั้งหมดเดินเป็นแถวตอนออกมาจากร้าน Brownstone พร้อมกับอุปกรณ์ดนตรีของตัวเอง คนดูที่ยืนออกันอยู่ประตูทางเข้าต่างแหวกทางให้ทางวงเดินเข้าฮอลล์ไปพร้อมกับเรียงปรบมือและโห่ร้องต้อนรับอย่างอบอุ่น สมาชิกวงทั้งหมดจะหายเข้าไปหลังประตู หลังจากนั้นทีมงานผู้จัดจริงเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ให้คนดูมาเริ่มตั้งแถวหน้าประตูทางเข้าฮอลล์ โดยแบ่งกลุ่มคนดูตามสีริสแบนด์ซึ่งจะปล่อยให้เข้าตามลำดับ สีเขียว คือกลุ่มคนที่ซื้อบัตรพรีเซลล์จะเป็นกลุ่มแฟนเพลงที่จะได้เข้าเป็นกลุ่มแรก ตามมาด้วย สีส้ม ผู้ที่ซื้อบัตรหน้างาน 50 ใบสุดท้าย ก่อนจะจบด้วยสปอนเซอร์ที่มีป้ายห้อยคอที่จะเข้าไปเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งคนดูต้องยืนรอนานพอสมควร จากกำหนดการณ์ที่วงจะควนจะเริ่มทำการแสดงตอนสี่ทุ่มตามเวลาในใบประกาศ ทำเอามองนาฬิกาบนข้อมืออยู่หลายรอบ ฟังจากเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากข้างในเดาว่าวงน่าจะไม่ได้ซาวด์เช็กกันตอนช่วงบ่ายก่อนงานเริ่ม และกำลังซาวด์เช็กกันอยู่ ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงกว่าจะเริ่มปล่อยคนดูเข้าไปในงานซึ่งทุกคนรีบกรูเข้าไปกันอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ถึงห้านาทีคนดูทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในฮอลล์

turnover1

“Hello, Bangkok. How are you guys doing tonight? We are Turnover from the United States of America” Austin Getz ฟรอนต์แมนและมือกีตาร์ของวงกล่าวทักทายและขอบคุณคนดูรวมถึงทีมงานนี่ทำให้งานนี้เกิดขึ้น ก่อนจะเริ่มเล่นอินโทรเพลง Cutting My Fingers Off แทร็คแรกจากอัลบั้ม Peripheral Vision เป็นเพลงเปิดโชว์ที่คนดูร้องตามกันกระหึ่มแบบคำต่อคำจนถึงจุดพีคในท่อนคอรัสท้ายเพลง “To make you go, To make you go, I don’t want to make you go” ที่ทุกคนร้องตามอย่างบ้าคลั่งและเริ่มมีการต่อตัว บอร์ดี้เซิร์ฟ เสตจไดฟ์กันในบริเวณด้านหน้าเวที หลังจากจบเพลงแรกทางวง ทางวงซัดต่อด้วย Humming อีกหนึ่งเพลงจังหวะสบาย ๆ ที่ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลจากอัลบั้มเดียวกัน

received_10211742475628819

ระหว่างที่ผู้คนกำลังมีความสุขและอินไปกับคอนเสิร์ต มีการกระทบกระทั่งระหว่างคนดูบริเวณด้านขวาของเวที Nick มือกีตาร์ของวงเห็นท่าจะไม่ดีเลยหยุดเล่นและรีบลงมาห้ามมวย สร้างความแตกตื่นให้กับคนดูยืนอยู่ด้านหลังที่ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างมา พอ Austin เห็นว่าอะไรขึ้นก็หยุดสั่งให้วงหยุดเล่น “Yo yo yo yo yo, everybody in that fucking crowd get the fuck out! Get the fuck out! No fighting, both of you. If you wanna fight get the fuck out.” ก็ที่จะตามด้วยเสียงโห่ของคนดูที่เหลือไปยังคนที่มีเรื่องกัน ผู้เขียนไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น เท่าที่มองเห็นจากหลังน่าจะเกิดจะการบอร์ดี้เซิร์ฟแล้วไปโดนกันจนเจ็บตัว ในคอนเสิร์ตที่คนแน่นอย่างนี้กระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อยากให้ทุกคนใจเย็น ๆ รวมถึงคนที่สเตจไดฟ์และบอร์ดี้เซิร์ฟควรระมัดระวังเวลาเล่นเพราะอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุกับทั้งตัวผู้เล่นและคนดูที่ยืนดูได้ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้มีใครเกิดขึ้น

received_10211742494149282

หลังจากทุกอย่างสงบลง Austin ชูสองนิ้วขึ้นมาก่อนจะเปลี่ยนทำมือรูปหัวใจ “Love and Peace” เขาพูดซ้ำ ๆ ก่อนที่จะเล่นต่อจนจบเพลง และต่อเนื่องไปกับ Like Slow Disappearing และ Super Natural ซิงเกิ้ลล่าสุดจากอัลบั้มใหม่ Good Nature ที่พวกเราชาวไทยได้ฟังกันเป็นที่แรก ๆ พอทุกอย่างสงบลงทุกคนก็เริ่มสนุกกันต่อ โดยทางวงคอยถามคนดูอยู่ระยะตลอดทั้งโชว์ว่าทุกคนโอเคนะ มีใครต้องการน้ำดื่มไหมเพราะในฮอลล์วันนั้นร้อนจริง ๆ ก่อนจะยื่นขวดน้ำมาให้คนดูด้านและบอกให้ดื่มและส่งต่อ ๆ กันไป

received_10211742500429439

พอได้เสียงริฟฟ์กีตาร์เพลงต่อไปขึ้นเท่านั้นแหละ คนดูเริ่มเฮกันอีกครั้งกับเพลง New Scream ซิงเกิ้ลแรกและอีกหนึ่งเพลงที่ทำให้หลาย ๆ รู้จักกับ Turnover จากอัลบั้ม Peripheral Vision ที่คนดูต่างร้องตามกันอย่างสุดเสียง Humbest Pleasures หนึ่งในสองเพลงที่บรรจุอยู่ในแผ่นเสียงไวนิล 7” ที่ทางวงปล่อยออกมาเมื่อปี2016 ก่อนจะตามมาด้วย I Would Hate You If I Cloud เป็นอีกเพลงคนดูร้องตามกันลั่น ส่วนตัวนิด เพลงนี้เป็นที่ผู้เขียนชอบที่สุดของ Turnover ที่ในที่สุดได้มีโอกาสฟังสด ๆ สักที เป็นความรู้สึกที่โคตรดีที่ได้ยินซาวด์แทร็คของชีวิตตัวเองในช่วงนึงแบบสด ๆ อยู่ตรงหน้า

_dsc1075

เข้าสู่ช่วงท้ายของโชว์ที่เปิดมาด้วยเพลงจังหวะสนุกๆอย่าง Take My Head ที่เครื่องติดจนผู้เขียนต้องกรูเข้าแจมในพิทไปแท็คกับเขาด้วย ตามด้วย Diazepam เพลงเบา ๆ ที่ให้คนดูได้พัก ก่อนจะกล่าวขอบคุณทีมงานและแฟนเพลงทุกคนที่ทำให้การมาเยือนเอเชียครั้งแรกเป็นประสบการณ์ที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม และเริ่มเล่นเพลง Hello Euphoria เป็นเพลงสุดท้าย ซึ่งพอเล่นจบคนดูต่างยังคงไม่หนำใจตะโกนขออังกอร์กันต่อตามธรรมเนียม ทางวงจึงปิดโชว์ในค่ำคืนนี้ด้วย Dizzy on The Comedown จบโชว์ได้อย่างสวยงาม ซึ่งหลังจากจบเพลงดังกล่าว ยังมีคนดูตะโกนขอให้เล่นอีกอย่างต่อเนื่อง หลายคนตะโกนชื่อเพลง Most of Time เพลงฮิตของวงจากอัลบั้ม Magnolia อย่างต่อเนื่อง ซึ่งวงไม่ได้หยิบมาแสดงสดกันนานแล้ว ผู้เขียนที่ตอนนั้นยืนอยู่เกือบหน้าสุดก็แอบลุ้นในใจว่าจะเล่นหรือเปล่า เพราะที่นี่เป็นโชว์สุดท้ายแล้วถ้าเล่นจะ exclusive มากๆ หลังจากยืนตะโกนกันอยู่พักนึงทางวงจึงตอบกลับมาอย่างสุภาพว่าเตรียมเพลงกันมาแค่นี้ ไว้เจอกันโอกาสหน้า ซึ่งก็ไม่เป็นไร แค่ได้ดูวงนี้สด ๆ ที่กรุงเทพ ฯ ก็ถือว่าคุ้มค่าสุด ๆ แล้ว

_dsc1054

แม้อาจจะมีความล่าช้าในช่วงท้ายงาน กับอากาศที่โคตรร้อนในฮอลล์และเหตุกระทบกระทั่งกันในงาน แต่ในภาพรวมโชว์นี้ถือว่าเป็นอีกโชว์ที่ประจำมาก ๆ ของปีนี้ โดยเฉพาะแฟนเพลงของวง Turnover ฟินคงกันไปอีกนาน เพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ดูวงนี้สดกันเร็วขนาดนี้ โปรดักชั่นไม่ว่าจะเป็นซาวด์และ lighting ทำออกมาได้ลงตัว ได้อรรถรสมาก ขอขอบคุณทีมงานผู้จัด Holding On Record และ Forever & Always ที่พาวงมาดูในบรรยากาศใกล้ชิดแบบนี้ครับ

Facebook Comments

Next:


Krit Promjairux

kicking and screaming in Pistols99 อยากใช้ชีวิตเหมือน William Miller ในหนังเรื่อง Almost Famous.