Article Interview

มาลินดา คุณแม่นักดนตรีที่เท่ที่สุดในขณะนี้

  • เรื่อง ศศิลักษณ์ พิจิตรวรการ
  • ภาพ จารุพงศ์ จาระณะ

หลังจากโด่งดังในโลกออนไลน์เพียงข้ามคืน มาลินดา เฮอร์แมน สุภาพสตรีวัย 66 ปี จากร้าน Hey! Mom Bar ถึงขนาดได้รับฉายาให้เป็น ‘คุณป้าฮิปสเตอร์’ Fungjaizine จึงอยากชวนเธอมาพูดคุยถึงเรื่องราวน่าสนใจและมุมมองต่าง ๆ บนเส้นทางดนตรี ก่อนที่เราจะเริ่มบทสนทนากับแม่ลิน เจ้าตัวก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “คุยกับคนแก่ดีอย่างนึงนะ หนูไม่ต้องถาม เพราะเขาจะเล่าเองหมดทุกอย่าง” คาดไม่ถึงว่าถ้อยคำแสนธรรมดาจะเปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่น น่ารัก ผนวกพลังที่ขับเคลื่อนแรงบันดาลใจได้อย่างมหาศาล จึงไม่แปลกใจที่บรรดาวัยรุ่นต่างยกย่องให้แม่ลินเป็นไอดอล และเป็นแม่อีกคนหนึ่งของวงการดนตรี

static1-squarespace-25

คุณแม่เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อายุเท่าไหร่

แม่ลิน: ช่วงที่แม่เริ่มจับกีตาร์โปร่งครั้งแรกคือตอนอายุ 14 – 15 ตอนนั้นน้องชายอายุประมาณ 10 กว่าบอกว่า ‘พี่ลินเล่นกีตาร์ให้หน่อยสิ แดงจะตีกลอง’ เราก็เล่นด้วยกัน 2 คนพี่น้อง พอเจ็บนิ้วเราก็วาง กีตาร์ตัวนั้นใครจะลากเอาไปไหนก็เอาไป แม่เล่นแบบไม่เอาจริงเอาจัง แต่ก็มีเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่มาเล่นเป็นวงด้วยกันตอนนั้นอายุสัก 20 แต่เราก็ไม่คิดหรอกนะว่าอายุ 60 เราจะมาเล่นดนตรี และเจอกับลูกหลานเยอะมาก

คุณแม่เล่นดนตรีอะไรได้อีกบ้าง

แม่ลิน: เล่นเปียโนได้ แล้วก็ตีกลองได้บ้าง

แนวเพลงที่ชอบฟัง

แม่ลิน: แนวที่เราร้องเลยพวก Johnny Tillotson, Johnny Horton, Hank Williams, Elvis Presley, Cliff Richard

สมัยสาว ๆ แต่งตัวไหม

แม่ลิน: แต่งไหมนุ่น (หันไปถามลูกสาว)

นุ่น: แต่งค่ะ (หัวเราะ)

แม่ลิน: อยู่หน้ากระจกก็ปัดขนตา มาสคาร่า ปัดอยู่นั่นแหละ

นุ่น: แต่ที่ขาดไม่ได้คือน้ำหอม (ยิ้ม)

หลายคนชอบที่แม่เจาะจมูก

แม่ลิน: มันเจาะจนชินแล้วไง แม่ไม่ได้เจาะเอาสวยนะ แม่เป็นไซนัส แล้วคนแขกบอกว่าถ้าเราใช้ทองคำรักษามันจะช่วยได้ เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งแต่ใช้ไม่ได้กับทุกคน ตอนเด็ก ๆ สงสัยว่าทำไมเขามองหน้าจัง ก็เลยอ๋อ เขามองที่จมูก ลืมไปด้วยว่ามีตรงนี้ (หัวเราะ) แม่รักษาโรคหลายอย่าง ร้องเพลงเพื่อรักษาหน้าเบี้ยว รักษาสภาพจิตใจด้วย

static1-squarespace-26

อาชีพที่ทำก่อนมาเล่นดนตรี

แม่ลิน: เพื่อนชวนทำบริษัทรับเหมาก่อสร้าง หรือไปเปิดร้านอาหารก็ทำ คือเป็นคนไม่ฟิกซ์ตัวเองว่าต้องทำอาชีพนี้ แต่ถ้ามีคนจ้างไปร้องเพลง แม่ไม่แฮปปี้นะ เราชอบร้องแบบอิสระ

สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเปิดร้าน Hey! Mom Bar

แม่ลิน: สาเหตุเกิดจากตอนที่แม่ประสบอุบัติเหตุ หน้าเบี้ยว คุณหมอบอกว่าให้พูดเยอะ ๆ แนะนำให้เปิดร้านขายของเพราะมันมีการพูดคุยต่อรอง เราไม่ชอบ แต่เราก็ลองเปิดนะ ครั้งแรกก็ขายเสื้อผ้า เขาอยากให้เราพูดคำว่าเลขแปด ตอนนั้นจะพูดไม่ได้เลย ทานก๋วยเตี๋ยวน้ำลายก็ไหล ถือว่าหนักอยู่ พอถึงวันเกิดแม่ นักดนตรีก็จะมาที่บ้านกันเต็มไปหมด ลูกชายกับน้องชายก็บอกให้เปิดร้านสิ จะได้ excercise ปาก ตอนเปิดร้านใหม่ ๆ จะปากเบี้ยว แล้วเราก็ฝืนร้อง ตาก็จะหลับไม่ได้ ร้องไปทุกวัน ๆ มันก็ดีขึ้น มีสวยขึ้นบ้างแล้วเห็นไหม (ยิ้ม)

ตื่นเต้นไหมตอนที่เล่นร้านครั้งแรก

แม่ลิน: แม่ไม่ตื่นเต้นนะ ไม่รู้จะตื่นเต้นทำไมอายุก็ขนาดนี้แล้ว

คนที่เข้าร้านส่วนมากเป็นกลุ่มไหน

แม่ลิน: ชอบฟังเพลง แต่อายุแก่ ๆ แบบแม่ไม่ค่อยมี จะเป็นเด็กวัยรุ่นมากกว่า แฟนคลับแม่ก็ค่อนข้างวัยรุ่น ทุกวันนี้ก็คุยกับวัยรุ่นอย่างเดียว

เคยเจอลูกค้าแปลก ๆ บ้างไหม

แม่ลิน: เจอนะ อย่างที่ร้านมีลูกค้าเด็ก ๆ เข้ามา เราออกไปต้อนรับอย่างดีถามว่านั่งตรงไหนดี ตอบกลับมาว่า ‘ตรงไหนก็ได้’ ไฮโซสุด ๆ เราก็บอกว่านั่งข้างในจะร้อนหน่อย เขาก็ตอบว่า ‘นั่งตรงไหนก็ได้ที่จะให้นั่ง’ บางคนก็มายืนถามว่า ‘อยากจะรู้ว่าตัวจริงสวยเหมือนในคลิปไหม’ เราก็คิดในใจตัวจริงสวยกว่าในคลิปอีก (หัวเราะ)

ปกติจะเล่นประมาณกี่เพลง

แม่ลิน: อย่างเมื่อคืนก็เจอไปประมาณ 8 – 9 เพลง เยอะอยู่แต่ไม่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยนะ แม่จะเล่นจันทร์ พุธ เสาร์ แต่บางทีถ้าพี่โน้ตติดคอนเสิร์ตเราก็จะต้องเล่นแทน พี่โน้ตเป็นแบ็กอัพของบิลลี่ โอแกน

เราซีเรียสกับการวางแผนซ้อมดนตรีไหม

แม่ลิน: ไม่นะ เพลงอะไรที่ติดหูก็เล่นไปเลย ถามคอร์ดพี่โน้ตหน่อย อย่างที่ลงเฟซบุ๊กไปเพลง My love เราก็ไม่เคยร้องนะ แต่มีอยู่รายการนึงเขาอยากให้ร้อง ก็ให้พี่โน้ตบอกแม่ว่ามันร้องยังไง เที่ยวเดียวสองเที่ยว แล้วก็ซ้อมอยู่คนเดียว มีแมวตัวน้อย ๆ ฟังเราอยู่

ใช้เวลาซ้อมนานไหม

แม่ลิน: ไม่นาน ก็ซ้อมไปเรื่อย ๆ เวลาซ้อมเราอย่าไปเกร็งว่า ‘ต้องได้’ คือได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ร้อง ถ้าเราไม่ชิลล์มันจะทำอะไรไม่ได้เลย ที่คุณแม่บอกว่าจะไม่รับจ้างร้องเพลงเพราะแบบนี้ พอเรารับจ้างเราก็ต้องมีนาย พอเราไม่ทำตามสั่งใครจะจ้างเราใช่ไหมล่ะ แต่เรารู้เลยว่าเราไม่ชอบแบบนี้ ไม่ใช่ว่าใครมาสั่งเราไม่ได้มันไม่เกี่ยว แต่มันไม่ชอบไง ฟีลลิ่งในการร้องเพลงมันไม่ได้ ถ้าลูกเป็นเจ้าของร้านแล้วบอกแม่ว่าร้องเพลงนี้กัน แต่ถ้าแม่ไม่ชอบก็ไม่ร้อง คนที่ไม่ชอบยังไงก็ทำไม่ได้ ถึงได้ออกมาอารมณ์ก็ไม่ได้ เลยไม่เอาดีกว่า เราร้องที่อยากร้อง

static1-squarespace-27

ตั้งแต่เล่นดนตรีสมัยสาว ๆ มีช่วงที่หยุดพักบ้างไหม

แม่ลิน: มี มันเว้นอยู่เรื่อย ๆ ถ้าเป็นคนที่เล่นมาทั้งชีวิตป่านนี้มันเก่งทะลุไปแล้วสิ นี่มีอารมณ์อยากเล่นก็เล่น พอมีงานอื่นต้องทำเราก็เว้นไปหลายปี เริ่มมาจริงจังก็ครั้งนี้ แต่คอร์ดมาตรฐานเลย C Am D G7 มันร้องได้เป็นพันเพลงนะ แต่ทีนี้บางคนบอกว่าถ้าฉันเล่นอยู่แค่นี้แล้วไม่เก่ง ก็เป็นความสามารถส่วนตัวของเขา แต่เราจะไม่ อันไหนเล่นได้ก็เล่น อันนี้ถ้ามันต่ำเกินไปเราก็เล่น D มันจะมีสเกลของมัน แต่อันไหนมันรู้สึกลำบากก็ไม่เล่นเลยดีกว่า หมดอารมณ์

เคยสอนลูกเล่นดนตรีไหม

แม่ลิน: เคยสอนเขาตอนเด็ก ๆ แต่ปัจจุบันเขาสอนเรา พอเราข้องใจ ‘อันนี้มา Cm แล้วเราต้องไหลยังไง’ เขาก็จะบอกเรา รอบนึงเราก็จะจำได้

ตอนนี้แม่ฟังเพลงของเด็กรุ่นใหม่บ้างไหม

แม่ลิน: เพลงไทยไม่ค่อยได้ฟัง รุ่นเก่าเพลงไทยก็ไม่ค่อยได้ฟังอยู่แล้ว ที่บ้านจะฟังสากลเสียส่วนใหญ่ เกิดมาก็ ‘Whatever will be, will be’ ได้ยินมาตั้งแต่เด็กแล้ว

เราเคยวิจารณ์เรื่องการเล่นดนตรีกับลูกไหม

แม่ลิน: ไม่มีนะ เราจะคุยกันดีตลอด ตอนที่เขาเด็ก ๆ เรียนมหาลัย ‘แม่ชอบกีตาร์วง Sleep Walk มากเลย’ เขาก็ไม่รู้จัก แม่ก็จ้างเขา 500 เล่นให้หน่อย อยากให้เขาเล่นก็เลยไปซื้อมอนิเตอร์ห่อของขวัญวางไว้บนเตียงแล้วให้เขาลองเล่น

static1-squarespace-28

ทำไมถึงสนับสนุนให้ลูกเล่นดนตรี

แม่ลิน: สมัยก่อนคุณย่าคุณยายก็ห้ามแม่กับน้องชายนะ ‘เต้นกินรำกินไม่ชอบ ไม่มีอนาคต’ แต่แม่คงเป็นคนเพี้ยน ๆ หน่อยมั้งก็คือ ตายไปเงินมันเอาไปไม่ได้ ความสุขมันก็หาไม่ได้ง่าย ๆ แม่เลยไม่ได้สนใจว่า ลูกต้องจบวิศวะแล้วมาเลี้ยงดูเรา อดตายก็คืออดตาย เราก็นั่งร้องเพลงตามข้างถนนก็ได้ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เงินทั่วไปมันหาได้หมด แต่ความสุขน้อยคนที่จะเข้าถึง คุณแม่ก็เหมือนคนทั่วไปแหละ มันก็ต้องมีความทุกข์บ้าง แต่ส่วนน้อยที่เราจะทุกข์ ตั้งแต่เด็กจนโตทั้งครอบครัวก็ไม่ได้แฮปปี้ ครอบครัวก็เป็นปัญหาเหมือนเด็กรุ่นทั่วไปนั่นแหละ และเราเป็นครอบครัวที่แตกแยกตั้งแต่รุ่นเก่า มันหนักยิ่งกว่าคนรุ่นนี้ซึ่งครอบครัวแตกแยกยังดูธรรมดาใช่ไหม แต่รุ่นแม่ครอบครัวแตกแยกดูแปลก เราก็ต้องพยายามไม่ให้เกิดปัญหาอื่น ๆ เรื่องของผู้ใหญ่ก็คือเรื่องของเขา เราเป็นเด็กต้องรู้จักคิดแล้วว่าเรื่องของผู้ใหญ่เราไม่รู้เรื่อง เรามีหน้าที่ต้องทำตัวเองให้ดีที่สุด ไม่เดือดร้อนใคร อะไรที่เราคิดว่ามันเป็นความสุขที่สุดเราต้องคว้าเอาไว้ จนกระทั่งเราย้อนมองไปว่าเด็ก ๆ เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเราก็ออกมานั่งร้องเพลงตรงบันได เออมันก็หาย ร้องเพลงมันก็มีความสุข ไม่ต้องเอาใจไปใส่ไปยุ่งกับคนอื่น

ทัศนคติที่สวนกระแสจากคนรุ่นเดียวกัน

แม่ลิน: บางคนตำหนิเราในเฟซบุ๊ก ‘มาร้องรำทำเพลงทำไม ไปเข้าวัด สวดมนตร์ ไหว้พระ’ เราก็คิดว่า ถ้าวัดเปิด 24 ชั่วโมงจะไปนะ (หัวเราะ) กลางคืนเราเล่นดนตรี ให้เราไปวัดอะไร บ้ารึเปล่า เราก็อาจจะแหย่เขาไปหน่อย ‘คุณอึดอัดอะไรรึเปล่า อึดอัดก็ไม่ต้องเข้ามา คุณก็ไปอยู่ส่วนของคุณ’ แต่เราก็จะพูดกันดี ๆ นะ พอคนอื่นไปว่าเขาเราก็จะบอกว่าอย่าไปว่า เขาอาจจะขาดอะไรสักอย่างหรืออยากให้เราเป็นเหมือนผู้ใหญ่ของเขา เราถึงได้บอกว่าเขา ‘ขาดความเข้าใจ’ ครอบครัวใครครอบครัวมัน ถ้าคุณไม่ก้าวร้าวมาถึงลูกเราก็โอเค บางคนหาว่า ‘ลูกหลานไปไหนหมด ทำไมปล่อยให้แม่ทำอย่างนี้’ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะฉุนนะ แต่แม่ไม่ แม่จะบอกว่า ‘คุณนี่ขาดความเข้าใจนะ คุณมาก้าวก่ายเรื่องครอบครัวเขาเนี่ย ธุระก็ไม่ใช่’

บางคนคนติดภาพลักษณ์ที่คนสูงอายุต้องสวดมนตร์ไหว้พระอย่างเดียว

แม่ลิน: หลายคนตำหนิและต้องการให้เราเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของเขา ไม่ยอมเปิดโลกทัศน์ เขาคิดว่าสิ่งที่คนใกล้ตัวทำมันดีที่สุด ซึ่งจริง ๆ มันเป็นความเข้าใจที่ผิด อย่าไปทำแบบนี้ เราต้องให้เกียรติคนทุกคน เขาคิดอะไรต้องปล่อยให้เป็นเอกเทศของเขา ทำไมต้องทำตามอย่างที่ฉันบอกถึงจะเรียกว่าดี ไม่ต้อง อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีตัวที่วัดว่าอะไรดี ทำไมคุณแม่ถึงไม่ได้ต้องการเงิน ที่ลูกชายจะต้องเป็นวิศวกร  ต้องเรียนหมอเพื่อที่ฉันจะได้สบาย เราไม่คิดเหมือนคนอื่น ลูกจะเลี้ยงหรือไม่เลี้ยงก็เรื่องของเขา มนุษย์เราทุกคนต้องมีความกตัญญูอยู่ในใจอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเร่งเร้าว่าต้องมาดูแลเรา ต้องทำงานดี ๆ มนุษย์เราไม่มีใครยอมอดตายหรอก มันต้องขวนขวายหาตังค์โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ยังมีบางคนใกล้ตัวที่บอกคุณแม่ว่าให้เราห่างกับลูกชายของเขาไว้ซึ่งเป็นหลานเราเอง เพราะการสอนที่ไม่เหมือนกัน แต่หลัง ๆ ก็ซึมมาทางเราบ้าง เพราะเขาเห็นว่าลูกโตขึ้นแล้วอึดอัด เครียด อย่างพี่โน้ตเรียนจบ เพื่อให้รู้สึกว่าให้เราแล้ว แต่ตอนเรียนที่มหาลัยเขาก็อยู่ชมรมดนตรีตลอด แสดงว่าชัดเจนแล้วว่าเขาชอบดนตรี เราก็เป็นแม่ที่ตามใจ

static1-squarespace-29

อย่าละทิ้งความเป็นตัวเอง

แม่ลิน: บางคนชอบกดดันคนอื่นแล้วความสุขมันหายไป การไปทำงานกับคนที่คอยสั่งตลอด ทำให้เราหงุดหงิด พอเราเลิกวาระการจ้างก็โดนตัดเงิน เราเข็ด ไม่เอาแล้ว อยากเป็นตัวของเราเอง เราใฝ่ฝันว่าเราอยากเล่นดนตรีเปิดหมวกตามริมทางเลย เดินผ่านเพลงเพราะก็หยอดมาหน่อย สิบบาทยี่สิบบาทแล้วแต่คุณ แต่ถ้าไม่ชอบก็เดินผ่านเลย จะส่งสายตาเหยียดเราก็ไม่ว่า คนเป็นพันหมื่นแสนล้าน จะให้คิดเหมือนกันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าใจเราดี สิ่งดีมันก็อยู่ที่เรา และให้เกียรติคนทุกคนที่อยู่บนพื้นโลกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เป็นสัตว์อะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรามองเห็นคุณค่าของทุกคน ตัวเราก็มีคุณค่า นี่แหละดีที่สุด

มีคนบอกคุณแม่ไหมว่าเป็นผู้หญิงที่เท่มาก

แม่ลิน: ก็มี แต่คุณแม่อยากให้ทุกสิ่งเป็นโดยธรรมชาติมากกว่า อย่างเพื่อนบางคนก็มาจ้างแม่ แต่ถ้าเรารับทำเมื่อไหร่เราก็ต้องร้องเพลงที่เขาต้องการได้ แต่ถ้าเราทำด้วยตัวเราเองคนที่วิ่งมาหาก็จะชอบเพลงของเราที่นำเสนอให้ เราไม่รับจ้างจะดีกว่า คนเราสานฝันให้ตัวเองมันไม่วิเศษที่สุดแล้วเหรอ ไปทำเพื่อคนอื่นเพื่ออะไร เราต้องทำเพื่อตัวเราเอง เขารับได้ก็คือเรา ถ้ารับไม่ได้เราก็มีกลุ่มเพื่อนที่รับได้อยู่แค่นั้น อาจจะมีสัก 4 คน อีกร้อยอาจจะรับไม่ได้ สำคัญแค่ว่าเขารักเราไหม มีความจริงใจให้เราไหม อยู่กับเราเขามีความสุขไหม เราก็แคร์คนแค่ 3 – 4 คนที่อยู่ใกล้เราแล้วเขามีความสุข

พี่โน้ตมีเวลาให้คุณแม่ไหม

แม่ลิน: มี เราอยู่ร้านก็เจอกันอยู่แล้ว ซ้อมด้วยกันเล่นดนตรีด้วยกัน แฟนคลับก็มาหาเรา บางคนเขามาจากหัวหิน เขาก็บอกว่ามาหาย่าลินโดยเฉพาะเลย เอาของขวัญมาให้ แต่ไม่มีอะไรที่ถูกใจเราเลย มีของขวัญคนแก่ทั้งนั้น(หัวเราะ) แม่จะชอบอะไรที่กุ๊กกิ๊กดูวัยรุ่นหน่อย แต่แม่จะล้อเล่นกับเขาว่าเนี่ยซื้อชาจีนมาให้เห็นเป็นคนแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาก็บอกว่า ‘ไม่ใช่ครับ อยากให้บำรุงร่างกาย’ แม่ชอบล้อเล่นกับลูกหลาน เราจะมาอยู่กับความเครียดทำไม คุยกับลูกหลานแล้วสนุก แต่เราจะให้ข้อคิดกับลูกหลานด้วย เพราะผู้ใหญ่กับเด็กแต่ละคนนิสัยไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่จะให้อยู่แบบมีความสุขอย่างเดียวไม่โกรธมันก็ไม่ใช่คนแล้ว แต่เปอร์เซ็นต์อาจจะน้อยกว่า

กิจกรรมยามว่างหลังจากเล่นดนตรี

แม่ลิน: แม่แต่งหน้า กับเก็บขี้แมว ทำอยู่ 2 อย่าง (หัวเราะ) เก็บขี้แมวใส่ถุงผูกปาก เติมทราย เติมน้ำ เติมอาหารเม็ด พอถึงช่วงเย็นก็ต้องมีอาหารแมวแบบหลอด บีบแล้วก็ให้มันเลีย ๆ เดี๋ยวก็เก็บผ้าหมาฉี่ไปซัก พอจะออกจากบ้านก็พูดกับแมวว่า ‘บาเรีย เดี๋ยวแม่กลับมาเล่าให้ฟังด้วยนะว่าละครเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง’ มันรู้เรื่องนะ มันจะทำตาปริบ ๆ ละครที่พระเอกนางเอกอินเลิฟมันไม่สนใจหรอก แต่พอละครทะเลาะกันเมื่อไหร่ มันตั้งใจดูมากเลย สังเกตหลายช็อตละ เสียงล้งเล้ง ๆ เมื่อไหร่มันจ้องใหญ่เลย

static1-squarespace-30

ค่อนข้างทำงานหนักมีวิธีดูแลสุขภาพอย่างไรบ้าง

แม่ลิน: เมื่อก่อนกินเหล้ากินเบียร์ เวลาขับรถก็กระแทกตูดทุกวัน พอกระแทกปุ๊บอาการเมาหายเลย อาการไม่อยากเสียตังค์มันมา (หัวเราะ) แม่ก็เลิกเลย เป็นคนที่บอกว่าถ้าไม่กินคือไม่กิน เมื่อก่อนกินเพราะอยากเปิดร้านแล้วค้าขายได้ หมาเหมอมันหนีหมด เมาจนพี่นุ่นเบื่อ

ตอนคุณแม่เมาเป็นอย่างไรบ้าง

นุ่น: เป็นห่วงตอนกลับบ้าน บางทีตี 5 6 โมง ยังไม่ตื่น

แม่ลิน: แฟนพี่นุ่นเขายังเป็นหนุ่ม แต่ถ้าเขาเมา เราก็ต้องดูแลเขา (หัวเราะ)

ฝากถึงวัยรุ่นที่รักเสียงดนตรี

แม่ลิน: ดนตรี อย่าไปฝืนเล่นเพราะเท่ ให้เล่นเพราะใจเราอยาก และเล่นตามที่ใจเราสั่ง อย่าไปคิดว่าเข้ากับเพื่อนกลุ่มนี้ กำลังฮิตเพลงนี้ แล้วมันลำบากตัวเรา เอาที่เราชอบ ไม่มีใครเล่นด้วยก็ไม่เป็นไร แม่เล่นคนเดียวทำไมมีความสุข แมวหมาเป็นสิ่งมีชีวิตไหมล่ะ มันก็มีหูมีตาเหมือนเรา บางทีทั้งบ้านไม่มีใครอยู่ไปทำงานกันหมด ก็มีหมาสี่ตัว แมวหนึ่งตัว แมวก็จะเงี้ยวตามที่แม่เล่น พอเราดีกีตาร์แรง ๆ ตึง! เขาก็จะกระเด้งหัวขึ้นมาเอง เขาก็เหมือนพวกเรานั่นแหละ คุณไม่ต้องเป็นมนุษย์ที่ต้องสวยหล่อหรอก แต่คุณเป็นหมาแมวที่มีความสุขนอนฟัง ขนาดเขามีความสุข เราเป็นมนุษย์เราก็ต้องมีความสุขเหมือนกัน คุณแม่เชื่อว่าต้นไม้ ใบไม้ ผลหมากรากไม้ พูดคุยได้หมด อะไรที่เจริญเติบได้มันเป็นสิ่งมีชีวิต เขาอาจจะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ได้ เราก็ยืนคุยด้วย (หัวเราะ) แต่ไม่ว่าลูก ๆ จะอายุ 20 หรือ 50 คุณแม่จะรู้สึกว่าเท่า ๆ กัน ภาษาคุยของเรามันคุยกันได้ทุกวัย คุยกันเรื่องดนตรีไม่มีเบื่อ แต่คุยกันเรื่องธุรกิจเดี๋ยวก็ทะเลาะกันแล้ว ‘เฮ้ยเปอร์เซ็นต์แบ่งให้น้อยนี่หว่า’ แต่เรื่องดนตรีไม่ต้อง

static1-squarespace-31

ฝากถึงลูก ๆ หลาน ๆ ในฐานะคุณแม่

แม่ลิน: ลูก ๆ ถึงยังไงก็ต้องดูแลคุณแม่ ไม่ใช่ต้องเอาสตางค์มาให้นะ แต่ดูแลทางความรู้สึก เน้นอย่างเดียวว่าถ้าไม่มีแม่จะมีเราไหม นึกแค่นั้นแหละ แค่จิตรู้สึกไปสัมผัส ไปกอดเขาบ้าง แค่นั้นคนเป็นแม่ก็รู้สึกดีสุด ๆ แล้ว แต่บางคนเข้าใจว่าต้องให้ตังค์ มาละ หมื่นนึง 2 หมื่น แต่แม่นั่งมองละ ‘ไม่เคยจะมาจับมือ ไม่เคยมากอดสักที’ การสัมผัสนี่มันดีที่สุดแล้ว คุณแม่จะกอดลูกหลานทุกคนเวลามาร้าน และการสัมผัสแม่จะดูรู้ ลูกบางคนกอดเราแน่นเลย เหมือนได้ความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก แต่บางคนจะเขิน ไม่ต้องลูก การกอด เป็นการแสดงความรักที่จะจดจำกัน แต่พี่โน้ตตอนอายุ 15 เริ่มไม่จับมือแม่แล้วนะ เพราะคุณแม่ยังไม่แก่มากแล้วคนอื่นจะคิดว่าหลอกคนแก่ (หัวเราะ) เราเป็นคนชอบเทกแคร์ลูก ก็จะเห็นคนกลุ่มหนึ่งมอง เจ้าโน้ตก็จะเขิน แต่คุณแม่กับพี่นุ่นพี่โน้ตก็จะหอมกันเรื่อย ๆ

Facebook Comments

Next: