Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

‘Music of the Spheres Tour’ การกลับมาทัวร์คอนเสิร์ตอีกครั้งของ Coldplay

 

การกลับมาทัวร์คอนเสิร์ตอีกครั้งของสี่หนุ่ม Coldplay จากประเทศอังกฤษ หลังจากอัลบั้มก่อนหน้านี้ “Everyday Life” ทางวงได้ประกาศที่จะไม่ทัวร์คอนเสิร์ตเลย เหตุผลก็เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นจุดยืนที่สำคัญต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมโลกในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า โดยที่ทางวงได้ทำการแสดงสดทิ้งท้ายไว้ที่ประเทศจอร์แดนซึ่งมี Live Boadcast ผ่าน YouTube ให้แฟน ๆ ได้ดูกันทั่วโลก ก่อนที่ครั้งนี้พวกเขาได้กลับมาแสดงสดอีกครั้งพร้อมด้วยอัลบั้มใหม่ “Music of the Spheres”

“Coldplay’s Music of the Spheres Tour in Buenos Aires” เป็นคอนเสิร์ตที่เกิดขึ้นในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า ความพิเศษคือทางวงได้ทำการแสดงที่เมืองนี้ถึง 10 วัน โดยที่คอนเสิร์ตจุผู้ชมได้ถึง 70,000 คน คงไม่ต้องบอกว่าทำให้แฟนเพลงของพวกเขาในอาร์เจนติน่ารู้สึกว่ามันสุดยอดขนาดไหน และความพิเศษอีกอย่างก็คือคอนเสิร์ตที่บัวโนสไอเรสนี้มีการถ่ายทอดสดให้แฟนทั้วโลกได้รับชมพร้อมกันในโรงภาพยนตร์ด้วย

ก่อนเริ่มคอนเสิร์ตทางวงยังได้ย้ำถึงจุดยืนสำคัญที่มีต่อความรักษ์โลก ด้วยยังเน้นย้ำถึงประเด็นการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยที่สุด มีการติดตั้งจักรยานผลิตไฟฟ้าให้แฟนเพลงช่วยปั่นและติดตั้งพื้นสำหรับรับแรงการเคลื่อนไหวที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าไปใช้ในคอนเสิร์ต เรียกได้ว่าไม่ได้แค่คำพูดแต่ทุกอย่างที่วงทำก็แสดงให้เห็นถึงจุดยืนและความรักษ์โลกของพวกเขาอย่างจริงใจ

พอการแสดงเริ่มขึ้น ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมแฟน ๆ ถึงเฝ้ารอวันที่ Coldplay จะกลับมาทัวร์คอนเสิร์ตอีกครั้ง เปิดฉากด้วยแสงไฟจาก “Xyloband” อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งจะเปลี่ยนสีตามเพลงที่สาดส่องไปทั่วท้องสนามและยังมีเสียงร้องจากแฟนเพลงในกรุงบัวโนสไอเรสที่กระหึ่มดังไปทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว ทำให้ได้รู้ว่าสิ่งที่สุดยอดนอกเหนือจาก Performance ของวงก็คือแฟนเพลงที่เข้าไปช่วยเติมเต็มให้โชว์มีพลังมากยิ่งขึ้น

แม้จะเป็นทัวร์อัลบั้มใหม่อย่าง Music of the Spheres แต่ Coldplay ก็ยังนำเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่ามาแสดงอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็น “Paradise”, “The Scientist”, “Viva la Vida”, “Yellow” ทำเอาแฟนเพลงได้เต็มอิ่มไปกับบรรยากาศเก่า ๆ ที่เคยได้สัมผัสให้หายคิดถึงและยังได้ดูโชว์เพลงใหม่ ๆ อย่าง “Higher Power”, “Human Heart”, “My Universe” ที่มาเต็มทั้งแสง สี เสียงกันเลยทีเดียว

ต้องยอมรับว่า Coldplay เป็นวงดนตรีที่ทำเพลงออกมาสื่อสารกับแฟนทั่วโลกได้เป็นอย่างดี ดูได้จากโชว์แต่ละเพลงที่มีกิมมิคต่างๆ มากมายใส่เข้าไป แถมด้วยเวทีที่มีมากถึง 3 สเตจ สลับวนกันไปมาตามช่วงเซ็ทลิสต์ของเพลงที่เล่น การแต่งตัวเป็นเอเลี่ยนในช่วงคอนเซ็ป “Everyone is an alien somewhere” ที่สื่อถึงการเคารพคนทุกๆ ประเภทในโลกนี้ รวมไปถึงการใช้หุ่นเชิดวง The Weirdos จาก MV เพลง “Biutyful” ก็เอามาคนมาเชิดเป็นหุ่นจริง เรียกได้ว่าทุกโชว์จะมีเซอร์ไพรส์ที่เราคาดไม่ถึงได้ตลอดจนทำเอาเราขนลุกและไม่รู้ว่าจะไปสุดตรงไหนจริง ๆ

ส่วนแขกรับเชิญพิเศษก็ทำให้ประทับใจได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น H.E.R ที่มาร้องในเพลง “Let Somebody Go” พร้อมกับการโซโล่กีต้าร์สุดตราตรึงใจ รวมถึง Golshifteh Farahani นักแสดงหญิงจากอิหร่านที่มาร่วมร้องในเพลง “Baraye” ของ “Shervin Hajipour” ที่เล่าถึงเหตุการณ์ Mahsa Amini หญิงสาวชาวเคิร์ดที่ถูกตำรวจจับกุมและทำร้ายจนเสียชีวิตเพราะไม่สวมฮิญาบ ซึ่งระหว่างการแสดงได้ขึ้นภาพวิดิทัศน์ข้อความทวิตเตอร์ที่มาจากประชาชนที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล เชื่อว่าช็อตนี้ทำเอาใครหลายคนน้ำตาไหลให้กับความเป็นมนุษย์ร่วมโลกด้วยกันแน่นอน แขกรับเชิญคนสุดท้ายก็คือ JIN จากวง BTS ที่มาร้องเพลงที่เขาแต่งเองอย่าง “The Astronaut” ที่ได้เสียงตอบรับจากแฟนๆ ในอาร์เจนติน่าเป็นอย่างดี โดยที่เขาได้แสดงเพลงนี้เป็นที่แรกที่สำคัญถือเป็นการอำลาแฟน ๆ ก่อนที่ตัวเขาจะเข้ากรมรับใช้ชาติเป็นเวลาสองปีด้วย

ช่วงที่ชอบที่สุดในโชว์วันนี้คือช่วงที่สี่หนุ่มเดินมาที่เสตจ C ซึ่งเป็นเวทีที่เล็กที่สุดและก็ใกล้ชิดแฟนเพลงมากที่สุดเช่นกัน พวกเขาเล่นเพลง “Don’t Panic” เพลงจากอัลบั้มแรกของพวกเขา ทำให้นึกถึงตอนมาเล่นในไทยเมื่อปี 2017 พวกเขาก็เล่นเพลงนี้ในเวทีเล็กเหมือนกัน ความพิเศษของเพลงนี้คือสมาชิกในวงร่วมร้องเพลงไปด้วยกันทำให้เราสัมผัสได้ถึงมิตรภาพของพวกเขาที่เล่นดนตรีด้วยกันมาร่วม 20 กว่าปีแล้ว

จะเห็นได้ว่าพวกเขาเติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้นในทุก ๆ อัลบั้ม ถ้าอัลบั้มแรกพวกเขาคือวงดนตรีจากอังกฤษ อัลบั้มล่าสุดพวกเขาก็กลายเป็นตัวแทนกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปแล้ว พวกเขาไม่หยุดที่จะใช้เพลงเป็นตัวกลางในการเข้าถึงกับแฟนเพลงทั่วทั้งโลก รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นความสร้างสรรค์ในผลงานของพวกเขาทั้งในตัวบทเพลง แสง สี และเพอร์ฟอร์แมนซ์บนเวทีที่ทำให้เราประทับใจได้เสมอ ส่วนที่สำคัญที่สุดของของโชว์ Coldplay เลยก็คือการที่ผู้ชมจะได้รับพลังบวกอย่างมหาศาลทั้งจากตัวเพลง ตัวศิลปิน จากโชว์ หรือแม้แต่พลังงานจากผู้ชมด้วยเช่นกัน พวกเขาถือเป็นวงระดับโลกโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ อีกต่อไป และการเป็นวงที่มีชื่อเสียงของพวกเขาได้ส่งต่อพลังบวกให้คนทั่วโลกพร้อมกับยืนเคียงข้างเพื่อนมนุษย์เวลาสังคมโลกเกิดปัญหาต่าง ๆ เปรียบดังท่อนสุดท้ายของเพลง “Humankind” ที่ร้องว่า  “We’re only human but we’re capable of kindness, So they call us humankind…”

เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
Music Changes the World ศิลปินที่ใช้ดนตรีขับเคลื่อนสังคม
สิ้นสุด 14 ปีที่รอคอย Coldplay : A Head Full of Dreams Tour Live in Bangkok

 

 

 

Facebook Comments

Next:


Pongsathorn Chutachuen

หวังว่าลิเวอร์พูลจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีคกับเขาสักที