Nowadays

รสชาติที่คุ้นเคยในแบบ Lemon Soup

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Neungburuj Butchaingam

จากที่ฝากผลงานติดหูอย่าง ระหว่างทาง, บางคน, ทุกวัน, ถูกหรือผิด ไว้ให้เราร้องตามกันได้อยู่บ่อย ๆ ก่อนจะแยกย้ายห่างหายหน้ากันไปทีละคนเพื่อทำภารกิจของตัวเอง และมีสมาชิกหลายคนแวะเวียนมาสร้างสรรค์ผลงานรสชาติใหม่ ๆ ให้ได้ลองชิมระหว่างที่บางคนไม่อยู่ แต่เมื่อเดือนก่อนก็มีเพลงใหม่ปล่อยออกมา ถือเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับแฟนเพลงที่เมื่อได้ฟังครั้งแรกก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือการกลับมาของ Lemon Soup ยุคแรก เราเลยชวน บิว จักร กาย สมาชิกดั้งเดิมมาจิบเบียร์หลังเลิกงานกันที่ ร้านบ้านเพื่อน เอกมัย พร้อมพูดคุยเกี่ยวกับการ come back ครั้งนี้ของพวกเขา

1

หายไปไหนกันมา

จักร: หายไปตั้งแต่ปี 2009 หลังจากอัดอัลบั้มชุดที่สองกับสมอลล์รูมเสร็จ ก็ขอชิ่งไปเรียนต่อ ตอนนั้นอยากเรียนหนังสือที่อังกฤษ หายไปสามสี่ปี เพิ่งกลับมาไทยเมื่อปี 2012 พอกลับมาก็ทำงานเป็นผู้เป็นคน ส่วน Lemon Soup ก็ไม่ค่อยได้ออกผลงาน ใจจริงก็อยากกลับมาทำต่อ แต่ทุกคนก็แฮปปี้ที่ยังเป็น line-up ตอนนั้นอยู่ เลยปล่อยไปก่อน ถ้าจะทำวงอีกที เดี๋ยวว่ากัน แต่บิวต้องเป็นตัวสำคัญก็เลยรอบิวก่อนดีกว่า

บิว: จักรกลับมาผมก็ไม่อยู่พอดีในอีกสองปีต่อมา เพราะต้องไปเรียนต่อให้จบ ตอนนั้นแกนกลางวงก็เลยอยู่ที่กายอย่างเดียว มันก็เลยยังไม่ลงล็อค

กาย: ผมไม่ได้หายไปไหนครับ ยังอยู่ Lemon Soup เหมือนเดิม รอพี่บิวกลับมาครับ ระหว่างนั้นก็ไปทำงานประจำเหมือนกัน

บิว: ฉะนั้นตอนนี้ Lemon Soup ทั้งสามคนก็เป็น situation ที่จะเรียกว่าเป็น part time musicians ละ ไม่ได้เป็นนักดนตรีอาชีพแล้ว แต่ว่าเริ่มกลับมาทำเพราะคิดว่ายังทำได้ แล้วก็สนุกดี

จักร: ก็ดีนะฮะ พอกลับมาทำแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่มีแรงกดดันเหมือนสมัยก่อน คืออิสระกว่าเดิม ตอนเด็ก ๆ สมัยทำกัน เรารู้สึกว่ามีการคาดหวังและมีเพื่อนร่วมงานเยอะ เหมือนตอนเด็ก ๆ เรียนหนังสือแบบไม่ต้องทำเพื่อหาเงินสักเท่าไหร่ ทำงานก็มีเงิน มีเงินก็มาทำเพลง ไล่ตามความฝัน แค่นั้นน่ะครับ

กาย: ตอนนั้นพวกเราจบมาก็ไม่มีงานด้วย คือคิดว่าถ้าทำก็ต้องจริงจังหน่อยสิวะ ต้องทำเป็นอาชีพโว้ย แต่ว่าตอนนี้เรามีอาชีพแล้ว ยังไงก็เลี้ยงชีพได้ เลยรู้สึกอิสระกว่าเดิมเยอะ

บิว: เอาแค่ไม่เจ๊งกันเอง

ตอนยังไม่ได้ออกเทป ยังไม่ได้เป็นศิลปิน เราก็ชอบการเล่นดนตรีให้คนอื่นดูอยู่แล้ว เพราะงั้นแฟนเพลง คนดู คนฟัง คือส่วนหนึ่งของความสุขใน Friday night ของเราเหมือนกัน

กดดันจากความคาดหวังของแฟนเพลงด้วยหรือเปล่า

บิว: พอมันมีการลงทุนอะไรที่เป็นกิจจะลักษณะ พอทำแล้วมันก็ต้องหวังผล เช่น มันก็ต้องมีงานเล่น เพลงก็ต้องฮิต การทำเพลงเลยเป็นการทำในอีกลักษณะ

จักร: เพราะจริง ๆ แล้วการทำเพลงมันเป็นศิลปะที่เราต้องขายเพื่อให้คนเสพ ยิ่งมีผู้มาลงทุนกับเรา การลงทุนมีความเสี่ยง มันก็อยู่ในกรอบ ไม่ใช่ว่ากรอบนี้มันไม่ดีนะ มันเป็นกรอบที่ดี แต่มันก็ทำให้เราต้องมีคุณภาพดีมาก ๆ ตัวงานมันก็จะออกมาอีกลักษณะหนึ่ง

กาย: เหมือนว่า feeling มันจะต่างกัน อย่างเราวาดรูปหนึ่งรูปเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งพอใจ กับเราวาดรูปหนึ่งรูปเพื่อให้ตัวเองพอใจ

บิว: พอใจก่อนนะ แล้วพอจะมีคนชอบรูปที่เราวาดกันเล่น ๆ ก็ถือเป็นกำไรแล้ว แบบ เฮ้ย เราชอบ ก็มีคนชอบด้วย ถือเป็นกำไร เพราะตัวตนเวลาเราแต่งมันก็เป็นสิ่งที่เราชอบแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ได้พยายาม หรือแบบ เฮ้ย กลับมาทำ ไม่สนอะไรแล้ว มาใหม่ ต้องเต็มที่เว้ย เอาให้ศิลป์ ฟังไม่รู้เรื่องเลย เราก็มีวิธีคิดที่เป็นเพลงป๊อปอยู่ดี เพราะเราชอบตัวเพลงที่มันสื่อสารอยู่แล้วไง

จักร: แต่ก็ตลกดีที่แบบหลังมันก็เหมือนแบบแรกนั่นแหละ ตัวเพลง วิธีคิด มันเหมือนกัน เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างในอดีตมันก็หล่อหลอมเราให้เป็นอย่างทุกวันนี้ มันก็ไม่ได้แตกต่างกันจากตอนนั้น

พอแฟน ๆ ได้ฟังเพลง To-do List ก็บอกกันว่า Lemon Soup ยุคแรกกลับมาแล้ว

จักร: มันก็เป็นความบังเอิญน่ะครับ เราก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำให้เหมือนยุคแรกนะ พอเราทำเสร็จแล้วก็ เฮ้ย เหมือนเลย ปี 2015 เลยทำให้เรารู้สึกอะไรหลาย ๆ อย่างว่าสุดท้ายแล้วอะ เราก็เป็นแบบนี้แหละ มันก็ค่อย ๆ ค้นพบตัวเองกันไป

บิว: เราทำได้อยู่แบบเดียว (หัวเราะ) บางทีจุดหมุนอยู่ที่คนรอบข้าง เราอาจจะอยู่จุดนี้มานานแล้วแหละ เอนซ้าย เอนขวา ไม่ได้มากนัก แต่ว่าความชอบของคนรอบข้างตามยุคตามสมัยมันก็เปลี่ยนไป ช่วงที่เราออกตอนนั้นคนชอบแบบนี้ อีกสองปีต่อมาคนชอบอีกแบบ พอดีช่วงนี้คนมาชอบแบบที่เราเคยเป็นเมื่อตอนสิบปีก่อนโดยที่เราไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากก็เป็นไปได้

ตอนนี้สมาชิกคนอื่น ๆ ที่มาเป็น line-up รองหายไปไหนกันหมด

กาย: แต่ละคนก็มีทางของตัวเอง

จักร: เรามาไล่ทีละคนกันเลยดีกว่า

บิว: ไล่ออกหรอ (หัวเราะ) อะ ๆ มาเล่าให้ฟังแต่ละคนเลยดีกว่า อย่างใจ๋ line-up แรก ที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่เล่นดนตรีด้วยกันแล้ว แต่ว่าใจ๋ยังเป็นคนซัพพอร์ตอยู่ เขาไปเรียนต่อหลังจากจักรไป ประมาณชุดที่สามครับ แล้วเขาน่าจะพบความชอบของเขาอีกแบบ เลยไปเรียนต่อ communication arts ที่ San Francisco เรียนทำโฆษณา ทำกราฟิกฮะ ตอนนี้ก็เลยบรรจุให้เป็นสมาชิกวงในตำแหน่ง art director กับ graphic designer ซะเลย แต่ก็ยังถือเป็นสมาชิกวงอยู่ ทำเดโม่อะไรก็ส่งให้ใจ๋ฟัง เพราะสุดท้ายเขาต้องเป็นคนฟังเพลงทั้งหมดเพื่อจะสร้างภาพ งานกราฟิกออกมาให้วง ปกอันนี้ใจ๋ก็ทำเองทั้งหมด หน้าปกคือใจ๋กับแฟน ถ่ายที่โน่นเลยก่อนเรากลับมา แบบ เชี่ยเอ๊ย ถ่ายไม่ทัน งั้นเอารูปนี้แหละ (หัวเราะ) จริง ๆ อาจจะถ่ายไว้นานแล้ว

จักร: จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินจ้าง (หัวเราะ)

บิว: ชุดสองที่คนเข้ามาแทนผม เข้ามาเล่น live ให้ ชื่อน้องเบ็นฮะ เบ็นเล่นดนตรีกับวงในชุดสอง แล้วชุดสามเขาอยากทำอะไรอย่างอื่นที่เป็นของเขาเอง เขาก็ออกไปทำวงของเขาชื่อ Smile Lies ตอนนั้นมันต้องเลือกแล้วว่าโอเค ทำวง จะอยู่วงอะไร จะเป็นสมาชิกตรงไหน เขาก็เลือกไปทำวงตัวเอง กลาง ๆ ชุดสามเขาก็ออกไป แล้วเหลือกาย ปอนด์ ซึ่งปอนด์เป็นมือกีตาร์อีกคนมาช่วยเล่นแทนเบ็น ตอนนั้นปอนด์ทำ Lemon Soup 90s อยู่ เพิ่มอายุขึ้นไปทำ 80s ไปอยู่ Polycatแล้ว เป็นมือกีตาร์ซัพพอร์ตคนปัจจุบัน

จักร: เขารู้สึกชอบอีกแนวนึงมากกว่าก็เลยไป แล้วอีกคนนึงครับ ตอนที่บิวไป ก็จะมีนักร้องคนนึงชื่อป่อง มาร้องแทนบิวในชุดสามทั้งหมด พอป่องทำหน้าที่เสร็จก็อยากไปเรียนหนังสือเหมือนกัน วงนี้เป็นเด็กรักเรียนครับ (หัวเราะ)

กาย: ค้นพบตัวเองว่าชอบเรียน

บิว: ผมก็เรียน 11 ปีนะกว่าจะจบ ชอบเรียนเหมือนกัน ป่องก็ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เขาน่าจะเป็นสมาชิกในตำนานฮะ มันจะมีวงฝรั่งวงนึง Earth, Wind & Fire ที่มีชื่อวงอยู่ แต่สมาชิกมันจะสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ บางทีนักร้องก็เปลี่ยน คนเล่นก็เปลี่ยน ไม่เหลือวงเดิมอยู่เลย แต่ก็เอาชื่อมา โปรดิวเซอร์น่าจะคนเดิมแหละ หรือค่ายน่าจะคิดว่าเพลงแบบนี้ สไตล์แบบนี้ กับวงนี้น่าจะเหมาะอยู่

กาย: อันนี้ผมรู้จักอีกวงด้วย Baby V.O.X

บิว: อันนั้นก็ด้วย (หัวเราะ) มันก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่ช่วงนึง แต่ตอนนี้กลับมา take over แล้วครับ

จักร: พอพวกเรากลับมา ทุกคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง พอดีเป็นช่วงที่เราเป็นอิสระเสรี เราก็คิดถึงเพื่อนเก่านี่แหละ คิดว่าทำกับเพื่อนเก่าดูละกัน จะได้สร้างงานออกมาเรื่อย ๆ เพราะว่าโดยพื้นฐานแล้วเบ็น ปอนด์ ป่อง เขาก็เริ่มต้นมาด้วยการเป็นแฟนเพลงของ Lemon Soup เนี่ยแหละ การที่วง Lemon Soup มาชวนเขาไปทำงานด้วย มันก็เป็นช่วงนึงของชีวิต เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่

บิว: เพราะยังไงถ้าปอนด์อยากมาทำก็มาได้ แต่จริง ๆ คิดว่าปอนด์น่าจะสนุกกับอะไรที่เขาทำมากกว่า เบ็นด้วย ป่องก็ด้วย พอเขาเจออะไรที่ใช่ก็แยกย้าย ก็ยินดีที่ได้เป็นสมาชิกร่วมกันอยู่ช่วงนึง แต่คนเดิม ๆ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นหน้าที่ มันเป็นลูกชาย ของพวกนั้นอาจจะเป็นหลาน มาเยี่ยมหลาน ก็โอเค เดี๋ยวมาแวะหากันได้ แต่อันนี้ลูกชายเรา

ด้วยความที่ Lemon Soup ไม่ใช่วงที่เป็นนักดนตรีขนาดที่เก่งที่สุด ต้องเล่นอะไรเก่ง ๆ เราเลือกทางที่จะ innovate ขึ้นมาในแบบที่เราพอจะสามารถทำอะไรได้ แล้วสิ่งนั้นตอนเริ่มมาเราแค่จะทำอะไรง่าย ๆ แต่พอเราทำวงมาเรื่อย ๆ มันเหมือนเป็นการ develop skill ขึ้นมาว่า เราทำแบบนี้แหละ สไตล์เรา

Feedback จากแฟน ๆ ช่วงที่สมาชิกหายไปเป็นยังไงบ้าง ยิ่งชุดที่สามที่เปลี่ยนนักร้องนำ

บิว: ไม่น่าจะมี feedback ที่ว่า โอ้โห เปลี่ยนไปเยอะจัง หรือว่า พี่บิวไม่อยู่ไม่ดี เพราะสุดท้ายตัวเพลงมันทำหน้าที่ของมัน ตัวเพลงมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะคนเขียนคือผมคนเดิมที่เป็นหลักอยู่ดี โอเค arranging อาจจะมีการเปลี่ยน สไตล์เปลี่ยนไปนิดหน่อย ส่วนใหญ่ไม่เจอ feedback ลบอย่างนั้นว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกวงเลย

จักร: แต่ถ้าพูดกันตรง ๆ Lemon Soup ตั้งแต่แรกมาน่าจะเป็นวงระดับกลาง ๆ ที่มีแฟนเพลงที่ชอบก็คือชอบเลย แล้วสิ่งที่ทำหน้าที่มาตลอดสิบปีก็คือเพลงของ Lemon Soup อยู่แล้วตั้งแต่ชุดแรก ไม่ได้ไปที่ตัวสมาชิกหรือความเป็นวงสักเท่าไหร่

บิว: แฟนเพลงที่เรามีอยู่จำนวนหนึ่งก็จะชอบเราแบบนั้นเลย เพราะฉะนั้นเราจะเปลี่ยนนิดหน่อยเขาก็จะโอเค ไม่ได้ไปทำอะไรมั่วซั่ว ยังรู้สึกกับวงเราเหมือนเดิม อาจจะงงตอนแรกเฉย ๆ ว่าหายไปไหน ทำไมไม่บอกกูดี ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็โผล่กลับมา ตอนนั้นมันเป็นเรื่องของสื่อด้วยมั้งครับ จะมาบอกว่าคนนั้นไปไหน คนนี้ไปไหน มันเยอะเกินไป ก็ลองเนียน ๆ ไป ทำความรู้จักคนใหม่เลยไหม มันไม่ถึงขั้นที่วงจะต้องมาแถลงข่าว

ลำบากไหมช่วงที่ต่างคนต่างไม่อยู่แล้วต้องหาสมาชิกมาเล่นแทน

กาย: บังเอิญว่าเป็นจังหวะที่เข้ามาพอดี ไม่ใช่ว่ามีคนออกไปแล้วต้องมานั่งหา คือจะมีคนเข้ามาก่อนจังหวะที่เขาจะออกไปกันเสมอ

จักร: แต่เหมือนคุยกันไว้ก่อนไง ผมว่า Lemon Soup เป็นวงที่ไม่ struggle นะ เป็นวงที่ spontaneous มาก เพราะมันมีจังหวะของมัน ไม่เคยรู้สึกว่าตกที่นั่งลำบากแบบ ตายแล้ว ไม่มีคน การทำงานในชุดนี้ก็เลยง่ายมาก เราไม่ชอบอะไรยุ่งยากอยู่แล้ว รู้สึกว่าชีวิตจริงมันยุ่งยากมากอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งเพราะเราออกไปลุยชีวิตจริงมาด้วยแหละ

บิว: เป็นช่วงที่ match พอดี อย่างเบ็น จักรก็เป็นคนหามาให้ก่อนที่จะไป สุดท้ายตอนนั้นถามกั๊ปว่ามีมือกีตาร์คนไหนไหม สุดท้ายก็โชคดีที่มันเล่นได้เลย โดยที่ไม่ต้องจูนว่ามึงก็เล่นแบบนี้อยู่แล้วนี่หว่า กั๊ปก็บอกว่าเออ ก็ชอบเพลงพี่อยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะโชคดีแบบนี้ จะคุยกันรู้เรื่องอยู่แล้ว ชอบเพลงแนวนี้อยู่แล้ว

ที่ว่าได้กลับมาทำเพลงในแบบที่ชอบ คือเพลงแบบไหน

บิว: ต่างคนต่างชอบ อย่างผมชอบเพลงป๊อป เมโลดี้ เนื้อร้อง ป๊อป 2000s 90s 80s 70s หรือ international pop อะไรที่มันเพราะ ก็แต่งเพลงที่ฟังเวลาเล่นแล้วมันเพราะ เวลาจักรเล่นกีตาร์ จักรก็จะเล่นกีตาร์แบบที่มันชอบเลย คือแบบนี้แหละ

จักร: จริง ๆ ผมชอบเพลงเพราะ แบบบิวเลย เพลงอะไรก็ได้ที่เข้ามาในหูแล้วเพราะ ชอบฟังแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่พื้นฐานด้วยความที่ Lemon Soup ไม่ใช่วงที่เป็นนักดนตรีขนาดที่เก่งที่สุด ต้องเล่นอะไรเก่ง ๆ เราเลือกทางที่จะ innovate ขึ้นมาในแบบที่เราพอจะสามารถทำอะไรได้ แล้วสิ่งนั้นตอนเริ่มมาเราแค่จะทำอะไรง่าย ๆ แต่พอเราทำวงมาเรื่อย ๆ มันเหมือนเป็นการ develop skill ขึ้นมาว่า เราทำแบบนี้แหละ สไตล์เรา ก็เป็นสไตล์ที่เกิดขึ้นมาเองจากความง่าย ๆ แล้วแกะเพลงคนอื่นไม่เป็นด้วย พอแกะไม่เป็นก็เลยยิ่งเข้าทาง เล่นได้แต่แบบตัวเอง

บิว: ก็ไม่น่าจะเหมือนใครเพราะว่ามันขี้เกียจแกะ ไม่ต้องมานั่งหา reference จะเล่นให้มันเหมือนสไตล์นี้ จะไม่ค่อยเหมือน แต่มีส่วนคล้ายสิ่งที่เราฟังมั้ย มันก็น่าจะคล้ายจากการฝังเข้าไป ยิ่งฟังเยอะก็ได้ influence ของจริง

ความเป็น Lemon Soup ในครั้งนั้น กับปัจจุบันนี้ แตกต่างกันบ้างไหม

Lemon Soup: ไม่ต่าง (หัวเราะ)

จักร: คือสมัยก่อนที่เราทำเพลงกับค่าย ต้องคอยประเมินผลงานของเราให้ถึงในระดับหนึ่ง เขามี objective ที่แน่นอนว่าเราต้องทำถึงระดับไหน มันก็เหมือนกับการส่งแบบ ตรวจงาน แล้วก็แก้ไขไปเรื่อย ๆ พอตอนนี้เรากลับมาทำเองก็ไม่มีคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้น ซึ่งคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นก็คือพวกเรากันเอง หรือเต็มที่ก็มีเพื่อนสนิท ให้ลองฟัง มันเหมือนการไปเรียนมหาลัย ที่มีอาจารย์ แต่พอเราจบมาในชีวิตจริงเราไม่มีใคร เราก็ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ความรู้ในตอนนั้นเราก็เอามาใช้ในตอนนี้แหละ สรุปความแตกต่างคือกระบวนการทำงานที่น้อยลง แล้วการทำงานที่ flexible ขึ้น ความคาดหวังน้อยลง และ productive มากขึ้น คล่องตัวขึ้น แต่ก่อนไม่ทุกข์นะ แต่เรามีความสุขมากขึ้น

บิว: ถ้าเลือกได้จักรก็อยากมีอาจารย์ตรวจแบบตอนที่ทำส่ง แต่มันก็ไม่มี ก็ต้องสู้ด้วยตัวเอง แต่ถามว่างานมันแย่หรือต่างจากตอนที่มีอาจารย์มาคุมมั้ย ก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น

กาย: คือสุดท้ายเราก็เป็นนักดนตรีทำเพลงมากันประมาณสิบปี คือเราไม่ได้เริ่มใหม่แบบถ้าไม่ได้มีคนคุมแล้วมันจะเละเทะ เราเป็นคนที่เหมือนเรียนจบมาแล้ว เพราะงั้นมันก็จะมีคุณภาพของมันแหละ

ตอนนี้คงไม่กลับไปอยู่ค่ายแล้ว

บิว: ใช่ครับ มีเพื่อนหลายคนบอกว่าค่ายนี้เปิดใหม่ น่าจะเหมาะกับมึง ไปไหม… ไม่เป็นไร (หัวเราะ) เพราะว่า อีกเรื่อง ถ้าอยู่ค่ายเนี่ย อย่างน้อยคุณต้องเข้าค่ายมาคุยงานกันอาทิตย์ละสองวัน ถ้าโปรโมตคุณจะเลือกไม่ได้นะ ต้องออกให้เต็มที่ แบบนี้มันจะ flexible กว่า แบบมีคิวมั้ย ถ้าไม่ว่างก็แค่ขอโทษเขา ไม่ว่างจริง ๆ อย่างวันนี้ต้องนัดให้สัมภาษณ์หลังสองทุ่มโอเคไหม คือพวกเราทำงานประจำ ถ้าไม่โอเคเดี๋ยวสัมภาษณ์ออนไลน์กันก็ได้ ไม่ซีเรียส

จักร: ซึ่งเราก็ทดลองอยู่เหมือนกันนะ มันอาจจะเป็นแก่นของการทำเพลงก็ได้ ความสุขเกิดขึ้นจากการเป็นอิสระเนี่ยแหละครับ งานน่าจะดีขึ้น

2

คำจำกัดความของวงตอนนี้

จักร: ถ้าเป็นแนวเพลง เราไม่พูดดีกว่า เพราะเราก็ไม่รู้ ผมว่า Lemon Soup คือบทเพลงที่มีท่วงทำนองที่สวยงาม มีเนื้อหาที่กินใจ มีความเป็นบิวอยู่ บิวเป็น front man ซึ่งเขามีมุมมองต่อโลกใบนี้ที่ไม่เหมือนใคร ผมยอมรับเลยนะ ทั้งผมทั้งกายไม่มีใครมีมุมมองแบบบิว แล้วคิดว่าบิวคือคนที่ถ่ายทอดสิ่งนี้ได้ดีที่สุด แล้วก็มีดนตรีที่มีความสด เพราะพื้นฐานเราเป็นวงดนตรี 4 ชิ้น กีตาร์ กลอง เบส แล้วเราก็เล่นได้แค่นี้ไปตลอดกาล (หัวเราะ) ก็คงไม่มีใครมาเล่นพิณ เล่นซอ คงไม่มีเครื่องดนตรีอื่น เน้นความสด

บิว: อาจจะมีความ unique อะไรบางอย่าง ถ้าฟัง Lemon Soup กันก็น่าจะเข้าใจ ถามว่ามันกระโดดออกมาจากงานสาย innovative ที่มันดู experiment หรือสุดโต่ง ก็อาจจะไม่ แต่ว่ายังไงก็คิดว่าตอนนี้ Lemon Soup สิบปี น่าจะมี signature ของตัวเอง ถ้า situation ของวงก็คือ เพลงคืองานอดิเรกที่จริงจัง มันคือที่ที่ทำให้เราได้พักจากงานประจำแล้วมาเจองานอดิเรกที่ทำจริงจังก็ได้นี่หว่า เช่น มีก๊วนตกปลากัน Lemon Soup ก็คือก๊วนตกปลา หรือแก๊ง big bike อ้าว ทำงานกัน วันเสาร์อาทิตย์ขับ big bike ไปเที่ยวน้ำตกกัน แต่เราคือแก๊งทำเพลง แค่นั้นเอง แต่งานอดิเรกชิ้นนี้ เราทำกันเอง ฟังกันเอง 4 คน แบบ big bike ขับไปกันเองมันไม่ได้ มันก็ต้องสื่อสาร

จักร: แต่เราแค่อยากแบ่ง big bike ของเราให้คนอื่นด้วยเท่านั้นเอง

กาย: ถ้าให้นิยามคำสั้น ๆ มันคือ Friday night ของการทำงาน ตอนนี้เรารู้สึกได้ถึงฟีลนั้นว่ามาเจอกันแล้วมัน enjoy หลังเลิกงาน สุดสัปดาห์

ตอนปล่อยเพลง To-do List ออกมา เรายังมีความกดดันว่าคนจะชอบไหมอยู่หรือเปล่า

บิว: มันก็ต้องมีอยู่แล้วแหละ จะบอกว่าไม่มีเลยก็เกินไป ถ้าเราทำกันสามสี่คนก็จะคิดว่า เพราะจังวะ แล้วอยากให้คนอื่นได้ฟัง เหมือนทำอาหารแล้วอร่อย มันคือการลุ้นว่าถ้าเอาให้คนอื่นชิมมันจะอร่อยมั้ย แต่ถามว่าต้องดังไหม ไม่ได้คิด คิดแค่ว่าคนจะชอบกินไหม เพราะเราไม่ได้เปิดร้านอาหารแล้ว เราทำแจกข้างบ้านแล้วไง แต่ถ้าเปิดร้านอาหารอีกรอบ แล้วเมนูนี้ทำให้คนไม่เข้ามาในร้านก็คิดหนักละ

จักร: ส่วนหนึ่งมันคือเมนูแรกที่เราทำ ก็เลยรู้สึกนิดนึงว่า เอาวะ อย่างน้อยก็ยังใช้ชื่อเดิมอยู่ เราเองก็ไม่อยากทำอะไรให้มันห่วย มันก็เป็นการคาดหวังอย่างนึงละ

กาย: มันคือการที่เราทำอะไรแล้วเราคาดหวัง แต่ไม่กดดัน

แต่พอออกมาแล้วก็มีกระแสตอบรับดี

บิว: เรื่องสื่อนี่มันให้โอกาสในการทำงานด้วยแหละ ถ้าเรามีสื่อประมาณนี้แล้วเราออกเท่าที่ออกได้ มีคนเห็นประมาณนี้ผมก็แฮปปี้แล้ว

การแสดงสดครั้งล่าสุดที่ Cat Expo เหมือนเป็นการกลับมาเล่นครั้งแรกในรอบหลายปี

จักร: สนุกเลย

บิว: เล่นห้าโมงยี่สิบ คนนี้มาถึงห้าโมง อีกคนมาถึงสี่โมงห้าสิบห้า

ได้ soundcheck กันไหม

จักร: ก็ซาวด์กันแบบไม่ครบ แต่สนุก แบบ รู้สึกดี ตื่นเต้นเหมือนเด็กเลย ดีใจนะที่อุตส่าห์มีคนมาดูเยอะแยะ บรรยากาศที่อยู่หน้าเวทีแล้วคนเพียบเลยนี่มัน… เออนะ เขาไม่ได้ทิ้งเราไปไหน

บิว: ก็เป็น Friday night ของเรา เหมือนเล่นครั้งแรกเลย จริง ๆ ห่างจากที่เล่นครั้งล่าสุดนี่คือ มีแอบไปเล่นก่อนหน้านี้เมื่อสามสี่เดือนก่อน ตอนงาน 10 ปี Smallroom แต่ถ้ามีคนดูจริง ๆ จังขนาดนี้ก็น่าจะหกปีมาแล้วมั้ง ที่เป็น line up เดิมจริง ๆ ตอนเริ่มต้นน่ะครับ

3

การกลับมาครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จไหม

บิว: ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้คาดหวังความสำเร็จ (หัวเราะ) ผมว่ารูปแบบของคำว่า success เราไปถึงแบบหาง ๆ ไง แต่ว่าตอนนี้ พอคำว่าความสำเร็จมันแคบลง เราก็ไปถึงมันง่ายขึ้นแล้ว

จักร: ประเด็นคือความสำเร็จคืออะไร ถ้าความสำเร็จคือยอดขาย หรือความฮิต ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่มีใครมาตัดสินให้ แต่ผมว่าก็ประสบความสำเร็จที่สุดแล้วล่ะตั้งแต่ทำวงมา ถ้าเรารู้ว่า level ความสำเร็จของเราคืออะไร เราก็ไปถึงตรงนั้นง่ายขึ้น

กาย: สรุปว่าสำเร็จ เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือ Friday night คือเราแฮปปี้ แล้วตอนนี้เราก็แฮปปี้

ตอนที่ CD ขายหมด รู้สึกยังไง

บิว: เครียดนะครับ ว่าพวกจองไว้นี่เราลืมกันไว้ให้หรือเปล่า (หัวเราะ) อาจจะหลุดไปอันสองอันก็ขอโทษด้วย แต่คงไม่ทำเพิ่มแล้วครับ คือ Friday night มันต้องมีต้นทุน เราจะขับ big bike ถ้าเรามีคนซัพพอร์ตได้ ที่เราคืนให้เขาแล้วเขาคืนให้เรากลับมาได้ จะดีมาก ซึ่ง 200 แผ่นที่ขายได้เนี่ย คือการตอบโจทย์ว่าเราทำสิ่งที่เราชอบให้คุณ คนฟังได้ชอบ โดยที่ผมไม่ต้องเอาชีวิตผมมาแลก ถ้าเจ๊งปุ๊บก็จะเริ่มถามว่า แล้วยังไงต่อวะ งั้นเราไม่ทำแผ่นไหม ไอ้ทำเพลงมันคงไม่หยุด แต่เราจะทำเป็นดิจิทัลมาไหม เพราะถ้าเกิดดาวน์โหลดอย่างเดียวแล้วเราไม่มีต้นทุนอะไร พวกเราโอเคกับมัน เราก็ทำเพลงกันต่อไป แต่เราเป็น old school ไง อยากทำอะไรที่มันมีเป็นชิ้นเป็นอัน พอมันมีแบบนี้ปุ๊บ พอละ ถ้าได้ตามนี้ไปเรื่อย ๆ ผมว่าผมอยู่ได้สบาย ไม่ได้เอาเงินจากการขายแผ่นมาประทังชีวิต ต้นทุนที่เราได้คืนมาบางอย่างเดี๋ยวเราจะเอาไปเซ็ตสตูดิโอทำเพลงกันแล้ว เพราะตอนนี้เราใช้บ้านเพื่อนสตูดิโอกันอยู่ ก็เหมาะนะครับเพราะวันนี้มาสัมภาษณ์กันที่ร้านบ้านเพื่อน ที่นี้คอนเซปต์ในการทำงานคือที่บ้านเพื่อน

จักร: ไม่มีต้นทุนอะไรเลย จริง ๆ เรามากันมือเปล่ามาก เอ้อ แต่ต้นทุนของเราคือตัวชิ้นงาน ส่วนเพื่อนเราให้สถานที่ แล้วก็ให้เวลามาช่วยอัดเพลงให้ ส่วนเรื่องขายซีดีก็ไม่ได้เอาทุนเหล่านั้นมากินข้าว แต่แค่เอาไปทำเพลง ผลิตผลงานต่อ ถ้าจะกินข้าวเราไปหาเองก็ได้ แค่นี้พอแล้ว มันก็เป็นการชี้แนวทางให้เราผลิตผลงานต่อไปนั่นแหละ แต่สิ่งที่กลัวคือกลัวแผ่นมีปัญหา ไปฟังแล้วแผ่นโดด อันนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีของวง เป็นความด้อยคุณภาพ แต่คงไม่มีหรอก

บิว: เราจะไม่พยายามหาเงินมากินข้าวด้วยการเล่นโชว์ ผมว่ามันเป็นความลำบากของวงสมัยนี้เหมือนกันที่บางโชว์เขาไม่ได้มีความสุขในการเล่นหรอก เขาต้องไปคัฟเวอร์เพลงเพื่อให้คนในสถานที่ต่าง ๆ นั้น enjoy เราอยากไปเล่นงานที่คนอยากให้เราไปเล่น คืนความสุขกันทั้งสองฝ่าย คนอยากดูก็ได้ดู เราไปเล่นก็ได้เล่นกับคนที่อยากดูเรา ไม่ใช่หยิ่ง ไม่ขายงานนะ เรากลัวไปเล่นในที่ที่คนไม่ enjoy กับเรา เรารู้สึกผิดมากกว่า แบบ ขอโทษครับ ไม่น่ามาเล่นเลยครับ (หัวเราะ)

กาย: พูดง่าย ๆ ว่าเราทำ 200 แผ่น คุณก็เติมเชื้อเพลิงมาให้เราทำต่อ

บิว: ทีนี้ผลตอบแทนเวลาเราไปอัดบ้านเพื่อนผมจะใช้วิธี share know how อย่างผมไปทำงานกับอ๊อฟ Rat Records มิกซ์ให้ผม แต่วันไหน Rat Records อยากได้ know how เรื่องการเขียนเนื้อภาษาไทย ผมก็ทำให้มันฟรีด้วยวิธีนี้มากกว่า ไม่ได้แลกกันด้วยเงิน แล้วการทำเพลงหลังจากนี้ สนับสนุนให้ทำงานโดยการแลก know how กัน การเอาเงินมาแลกกันมันก็เป็นวิชาชีพได้ แต่ถ้าทำเอาสนุกก็แลก know how กันดีกว่า

พูดถึงเพลง To-do List กับเพลง มากเกินพอ ใน EP

บิว: To-do List เป็นเพลงที่เขียนขึ้นมาใหม่เลย หลังจากที่ตกลงปลงใจกันแล้วว่าจะมาทำเพลงกันอีกครั้ง เมื่อก่อนแต่งเพลงเพลงนึง นัดวันสามสี่คนมาคุย แต่ตอนนี้แต่ละคนต่างก็ไม่มีเวลา ก็ให้ทำส่วนของตัวเองไป จักร aranging กีตาร์ ผมไม่ยุ่ง ผมไม่ดูด้วย ผมถนัดเขียนเนื้อ ทำนองมาก็ให้ฟัง ไม่ต้องแก้ ถ้าบอกไม่เพราะ เดี๋ยวแต่งใหม่เลย ถ้าได้ ก็ทำต่อ เอาให้กายไป arrange กลอง process นี้ก็ทำให้การทำงานเร็วที่สุดสำหรับคนที่มีเวลาว่างไม่พร้อมกัน

จักร: ผมว่ามันเร็วที่สุดแล้วก็เป็นตัวของตัวเองที่สุด เพราะวงLemon Soup คือสามสี่คนนี้ทำของตัวเองโดยไม่ได้คาดหวัง แล้วมันจะเวิร์กด้วย

กาย: ถ้าพูดถึงตัวเพลง To-do List รู้สึกอินกับเพลงเพราะมันดูเหมาะกับการที่กลับมาใหม่ ด้วย riff ตอนขึ้นมัน strong เนื้อร้องทำนองชัดเจน ฮุคติดหู แล้ว remind ถึงฟีลที่เราชอบ ความรู้สึกต่อเพลงนี้เลยค่อนข้างสมบูรณ์แบบต่อ position ที่จะกลับมา

บิว: ส่วนเพลง มากเกินพอ มันเป็นเดโม่เก่าที่พวกเราทำกันไว้นานแล้ว แล้วก็รู้สึกว่ามันดีมากจนอย่าเก็บมันไว้เลย เอากลับขึ้นมาทำกันใหม่ดีกว่า จริง ๆ อยากดันมาหลายรอบแล้วยังไม่มีจังหวะ พอเรามาทำเป็นงานอดิเรกแล้วก็เอาเลย สบช่อง

จักร: มาทำใหม่ในช่วงอายุสามสิบกว่าก็จะได้อีกแบบ ก็มา arrange เพลงอะไรนิดหน่อย

บิว: เนื้อหาก็ loser อะฮะ (หัวเราะ)

จักร: ไม่ loser ก็ถ่อมเนื้อถ่อมตัว ไม่คาดหวังอะไร

บิว: เพลงจะเหมาะกับพวกอาหวังฮะ ตอนแรกจะตั้งชื่อเพลงนี้วา อาหวัง ก็จะดูตลกเกิน Lemon Soup

ถ้าทำตอนที่ยังใหม่ ๆ เพลงจะต่างออกไปไหม

บิว: ก็คงจะต่างกันที่ arranging ครับ แต่ว่าตัวเพลงก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี เพราะฉะนั้นการหยิบเดโม่เก่า ๆ ของ Lemon Soup มาทำใหม่ ก็จะไม่รู้สึกขัดเขิน เพราะมันไม่เคยเปลี่ยน

จักร: มันเหมือนการมองโลกใหม่อีกครั้ง เหมือนการไปเที่ยวที่ไหนสักที่ เราไปมองมันวันนี้แล้วรู้สึกแบบนึง พอสี่ห้าปีผ่านไป ไปเที่ยวที่เดิมอีกครั้ง เราก็มองมันเปลี่ยนไป จะได้ความหมายใหม่ เราไปมองสิ่งที่เราเคยมอง มันก็เหมือนหยิบของเก่ามาทำเนี่ยแหละครับ

ตอนนี้แต่ละคนทำอะไรกันอยู่

กาย: ก็ดูสถาปัตย์ interia ครับ ช่วยดูช็อป อยู่ที่ Jim Thompson ครับ

จักร: ผมเป็นสถาปนิกครับ ทำงานออกแบบโครงการอยู่ที่เขาใหญ่

บิว: มีผมคนเดียวที่ยังอยู่ในแวดวงเพลง แต่งเพลงให้ชาวบ้าน แล้วก็ทำ production เพลงที่ Tigger Music กับพี่เชาว์ (เชาวเลข สร่างทุกข์) แต่ว่าวง Lemon Soup จะไม่ออกกับค่ายพี่เชาว์แน่นอน (หัวเราะ) ไม่ควรจะออกเทปกับบริษัทที่ตัวเองทำอยู่

จักร์: ผมว่าเหมือนอย่าขายรถมือสองให้เพื่อน อย่าขายตรงให้เพื่อนด้วย (หัวเราะ)

4

เราไม่ได้เริ่มใหม่แบบถ้าไม่ได้มีคนคุมแล้วมันจะเละเทะ เราเป็นคนที่เหมือนเรียนจบมาแล้ว เพราะงั้นมันก็จะมีคุณภาพของมันแหละ

ก่อนที่จะกลับมาคิดถึงแฟนเพลงไหม

กาย: คิดถึงตลอดครับ อย่างตอนขึ้นเวทีครั้งแรกมันก็เป็นภาพเดิม ๆ ที่หายไปนาน คิดถึงเหมือนกัน

บิว: ตอนยังไม่ได้ออกเทป ยังไม่ได้เป็นศิลปิน เราก็ชอบการเล่นดนตรีให้คนอื่นดูอยู่แล้ว เพราะงั้นแฟนเพลง คนดู คนฟัง คือส่วนหนึ่งของความสุขใน Friday night ของเราเหมือนกัน

จะได้ฟังอัลบั้มเต็มเมื่อไหร่

บิว: Cat Expo ปีหน้าแน่นอน

จักร: ผมตั้งใจจะให้ทุกอย่างเสร็จก่อนปลายปีหน้า ซึ่งกลางปี 2016 ต้องเป็นรูปเป็นร่างครบถ้วน แล้วก็ต้องขัดเกลาอีกนิดนึง ดูจากสปีดและความ productive ของเรา น่าจะสองเดือนได้หนึ่งเพลง คงไม่ไกลเกินความสามารถ รูปแบบเนื้อหาแนวเพลงเหมือนเดิม สองเพลงนี้เป็นยังไง อีกแปดเพลงที่เหลือก็ไม่ต่างกันมาก แต่ไม่ใช่ย่ำอยู่ที่เดิมนะ เป็นแนวนี้แหละ แต่เราเรียกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เด็กสมัยนี้เขาจะเรียกแนวเยอะ ซึ่งเราไม่คิดมากหรอก ให้คนฟังตัดสินกันดีกว่าว่าจะเรียกเราเป็นแนวอะไร

บิว: ผมว่ามันยากมาก การที่จะ define อะไรตรงนี้ มันเป็นส่วนผสมกัน เป็นความชอบมากกว่า มันดูเป็นสูตรถ้าจะพูดว่าผมชอบตรงนั้น ตรงนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงของหลาย ๆ วง ก็เป็นเพลงป๊อป ฟังยังไงก็ต้องรู้สึกว่าป๊อปแหละครับ

มีอะไรจะฝากถึงแฟน ๆ ไหม

บิว: ขอบคุณทุกคนที่กลับมาฟังเราเหมือนเดิม ดีใจที่ได้เจอกันอีกรอบ ถ้าเด็กที่ฟังฟังใจกลุ่มใหม่ ๆ ที่เพิ่งมาฟังเพลงสามสี่ปีหลังที่ยังไม่รู้จัก ก็ยินดีที่ได้รู้จักครับ ถ้าพอจะซัพพอร์ตกันได้ก็ค่อยซัพพอร์ต มารู้จักกันก่อน แต่ถ้าชอบเพลงมาก ๆ แต่ซัพพอร์ตไม่ไหว โหลดก็ได้ (หัวเราะ)

กาย: จะฟังทางไหนก็เป็นแฟนเพลงเราทั้งนั้นแหละครับ แต่ใครอยากสนับสนุนเรา ตอนนี้แผ่นไม่มีแล้ว ตามไปได้ที่ iTunes ได้เลย ฟังในฟังใจก็ได้ เข้ามาฟังกันเยอะ ๆ จะได้มีต้นทุนในการทำงานที่เรามีความสุขเพื่อให้ทุกคนมีความสุขครับ

จักร: ประโยคสุดคลาสสิกคือพวกเราตั้งใจทำงานนี้มาก (หัวเราะ) แต่ว่าสิ่งที่ต่อจากประโยคนี้ไม่เหมือนเดิม อาจจะพูดว่าฟังเยอะ ๆ นะ พวกเราตั้งใจทำกันมาก ขอให้มีความสุขกับมันแล้วกันครับ ก็แชร์ความสุขกันนะจ๊ะ

5

หลังจากอิ่มหนำกับลูกชิ้นปลาระเบิดและเบียร์ลาวเย็น ๆ กันในบรรยากาศที่แสนจะเป็นกันเองกันเป็นที่เรียบร้อย ทีมงานฟังใจก็ขอแยกกับทางวงก่อน เพราะเราอยากให้ Lemon Soup ได้ใช้เวลา Friday night ของพวกเขาให้เต็มอิ่มเหมือนได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าที่คุ้นเคยอีกครั้ง

สำหรับแฟน ๆ ที่คิดถึงการแสดงสดของพวกเขา ก็เข้าไปติดตามอัพเดทตารางทัวร์ของวงหรือติดตามความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ได้ที่เฟซบุ๊ก Lemon Soup และสามารถรับฟังเพลงของพวกเขาได้บน ฟังใจ ได้เช่นกัน

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้