Article Nowadays

14 ปีแห่งความสุขในเส้นทางสายดนตรีของ หนึ่ง อภิวัฒน์ นักร้องนำ ETC

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Chavit Mayou

“พี่ฝากเนื้อฝากตัวกับฟังใจด้วยนะครับ” นี่คือคำกล่าวแรกของ หนึ่ง อภิวัฒน์ พงษ์วาท หรือหนึ่ง ETC ที่หลาย ๆ คนรู้จักกล่าวกับผม โดยวันนี้เรามีนัดหมายสัมภาษณ์พูดคุยกันถึงโปรเจกต์ใหม่ของชายคนนี้  ซึ่งความรู้สึกแรกของผมคือตกใจว่า เอ๊ะ วง ETC เขาแยกย้ายกันแล้วเหรอ เพราะฉะนั้นแล้วบทสัมภาษณ์นี้ผมจึงไม่ขอเกริ่นอะไรมาก ในพาร์ตแรกนี้ขอชวนมาไขคำตอบด้วยกันเลยครับ ขอกดปุ่ม record เริ่มการบันทึกเสียงตอนนี้เลยครับ

img_2001

จุดเริ่มต้นของการทำ side project ที่มีชื่อว่า ThruDaNyte  

มันเริ่มขึ้นเมื่อปี 2015 ครับ ตอนนั้นผมได้มีโอกาสไปออกซิงเกิ้ลที่ค่าย Mono Music แล้วได้ทำอัลบั้ม EP ไว้ชื่อว่า Close Your Eyes and See ทำไว้ทั้งหมด 6 เพลงแล้วก็ปล่อยออกมาทั้งเพลง ชุดวิวาห์  และ รักอยู่  ก็จะมี 4 เพลงที่เหลืออยู่ยังไม่ได้ปล่อยอย่างเป็นทางการ เพราะตัวผมเองก็ต้องกลับไปทำเพลงกับวง ETC ด้วย ช่วงนั้นผมจะอยู่ทั้ง 2 ค่ายเลยทั้ง Mono Music และ IAM เราเองก็ต้องแบ่งเวลาให้ทางวงไปเยอะหน่อย ทำให้ไม่ได้ปล่อยเพลงในโปรเจกต์เดี่ยวของผมที่เหลือ อีกทั้งมันก็จะมีเพลงนึงที่ไม่ได้ติดลิขสิทธิ์กับทางค่าย Mono Music ชื่อเพลงว่า Disco Oh Now เนี่ยล่ะ พอมาปีนี้ก็เลยรู้สึกว่า อยากจะทำเพลงของตัวเองบ้างแล้ว ก็เลยทำช่องตัวเองขึ้นมาสนุก ๆ เป็นพื้นที่ทดลองงานส่วนตัวโดยใช้ชื่อว่า ThruDaNyte และปล่อยเพลง Disco On Now ไปพร้อม ๆ กันเลย  

ทำไมต้องใช้ว่า ThruDaNyte

คิดว่าอยากจะเปิดกว้างมากกว่า มันก็ไม่เชิงค่ายเพลงเนอะ เหมือนเป็นพื้นที่เล็ก ๆ เป็นห้องทดลอง ก็อาจจะมีน้อง ๆ ที่เราไปเจอแล้วรู้จักมาแจมกันในโปรเจกต์ต่าง ๆ ในอนาคตอีกทีนึง ซึ่งก็มีน้อง ๆ ที่คุยกันอยู่ ทำเพลงแนว pop, neo soul ก็อาจจะเอามาลงในแชแนลเราครับ

คนส่วนใหญ่นึกว่า หนึ่ง อภิวัฒน์ แยกวงออกมาจาก ETC อยากตอบคำถามนี้กับคนทั่วไปอย่างไรบ้าง 

จริง ๆ คำถามเนี่ย ผมตอบไปช่วงปี 2015 บ่อยแล้วนะ ตอนที่เริ่มจะทำผลงานเดี่ยวของตัวเองเนี่ย มันก็มีคำถามเยอะแยะเลย ผมก็ฝ่าด่านตรงนั้นได้มาประมาณสองปีละ ซึ่งพอมาออกเพลงปีนี้ปรากฏว่า มันไม่มีคำถามนี้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งตัวเราเอง ตัวเพื่อนในวงเอง รวมไปถึงคนที่อยากจะรู้ว่าเราแยกออกจากวงรึเปล่า เพราะตอนนั้นไปสัมภาษณ์ตามสื่อต่าง ๆ เขาก็จะมีประเด็นเรื่องนี้ชูขึ้นมาตลอดเลย พอชูมามันก็กลบเรื่องเพลงเราไป แต่เอาจริง ๆ เราก็เข้าใจทุกคนนะครับที่คิดกันในเรื่องนี้ แค่อยากจะบอกว่าแยกมาทำโปรเจกต์เดี่ยวเฉย ๆ ตอนที่จะมาทำตรงนี้ผมก็เคลียร์กันกับเพื่อนมาเรียบร้อยแล้วว่า ทำไมเราถึงอยากทำสิ่งนี้ พอเวลาผ่านไปทุกคนก็เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มชีวิตเรา มันเป็นสีสันที่แตกต่างจากตอนที่เราทำ ETC เลย ตอนนี้ผมก็เชื่อว่าทุกอย่างที่ทำมันก็ตอบคำถามในตัวของมันเองไปหมดแล้วล่ะครับ มันมีแต่เรื่องดีกับดี เปรียบง่าย ๆ มันก็เหมือนกับผมมาลองเปิดร้านอาหารสูตรพิเศษให้ทุกคนได้ลองชิมกันดูก็เท่านั้นเองครับ 

ความแตกต่างของแนวเพลงที่เกิดขึ้นในโปรเจกต์นี้ 

งานเดี่ยวมันก็จะต่างกันแน่นอนครับ ตรงนี้ผมจะเจาะลึกไปในสิ่งที่เราชอบ ผมชอบเพลงแนว soul แนว funky พวก groove ต่าง ๆ เราโตมากับเพลงของวง Soul After Six หรือศิลปินอย่าง Michael Jackson พอมาทำกับตรงนี้ก็ตั้งใจว่าอยากจะเฉพาะเจาะจงแนวนี้เลย เป็นอีกสีสันเลย

Disco Oh Now เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร 

เพลงนี้ถือเป็นแนว disco ในอุดมคติที่เราคิดไว้เลยล่ะครับ เวลาพูดถึงดนตรีแนวนี้ ภาพแรกที่เราเห็นคือแสงสียามค่ำคืน ซึ่งจากตรงนี้มันค่อนข้างที่จะครอบคลุมคอนเซ็ปต์ช่องของผมเช่นกันที่ชื่อว่า ThruDaNyte โดยคำนี้มันเป็นศัพท์สแลงด้วยนะครับ เพลงนี้มันก็จะพูดถึงช่วงเวลากลางคืนที่ได้อยู่กับคนรัก ได้อยู่กับเพลงที่ใช่ อยู่กับบรรยากาศแสงสีต่าง ๆ ทุกอย่างมันดูเหมาะสมดีที่จะเป็นเพลงแรกครับ

ได้ต้าร์ Paradox มาเขียนเพลงนี้ให้ด้วย

พี่ต้าร์เป็นคนเขียนเพลงเก่งมากนะ เขาเป็นคนที่ใช้คำได้สนุกดีครับ มันดูแบบอยู่ได้ทุกยุคทุกสมัย เลยชวนมาแจมด้วยกันดู เขาจะมีฟีลเขียนเพลงแนวเด็กวัยรุ่นได้ดีมาก ๆ  

ได้ออกสเต็ปเต้นใน mv นี้ด้วย 

ใช่ ๆ (หัวเราะ) ต้องซ้อมหนักเลยนะ จริง ๆ ผมเป็นคนชอบเต้นอยู่แล้ว ว่างเมื่อไรก็จะไปเรียนเต้นอยู่เสมอ แต่พอเวลาเราไปอยู่กับวง ETC การแสดงออกมันก็อาจจะไม่ได้เห็นมุมนี้กันมากเท่าไหร่นัก มันจะมีหลาย ๆ ปัจจัยที่ทำให้เราไม่ได้เต้นได้ขนาดนี้ แต่พอได้มาทำตรงนี้เราก็ได้ใช้เวลากับมันอย่างเต็มที่ เพลงนี้ได้มีโอกาสนัดน้อง ๆ ที่เขาเป็นแก๊งเต้นมาแจมด้วยกัน เขาก็ช่วยออกแบบท่าเต้นให้ แถมในด้านของเอ็มวีเราก็ลุยกันเองอีกด้วย ผมก็ควักเงินเองทั้งหมด พาผู้กำกับไปบุกตะลุยราตรีในกรุงเทพกัน เป็นสตูดิโอกองโจรมาก วันนั้นมีรถตู้คันนึง มีไฟ มีกล้อง จอดปุ๊ปทีมงานทุกคนลุย เราลงทุนทำทุกอย่างเองเลยครับ 

img_1984

ในแง่ของการทำงานที่ได้เรียนรู้จากการเป็นศิลปินเดี่ยว ต่างกับการทำวงดนตรีเยอะไหม

ถ้าเรื่องการคิดนี่ต่างกันเยอะเลยครับ การทำงานแบบวงมันจะเป็นการทำงานที่ค่อนข้างต้องประชุมกันบ่อย มันมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่เสมอ มีการเลือกตัวเลือกต่าง ๆ พอสมควร แต่พอมาทำงานเดี่ยวเองมันก็จะประหยัดเรื่องเวลาครับ การตัดสินใจต่าง ๆ ที่ทำได้เร็ว แต่มันก็ต้องบอกตัวเองให้ชินเสมอว่า มันไม่มีคนมานั่งเคาะมานั่งเลือกกันแล้วนะ เราต้องตัดสินใจเอง ตอนแรก ๆ ก็ยากเหมือนกัน แต่พอทำไปได้ประมาณสามเพลงมันก็จะทำให้เราชินกับการทำงานตรงนี้แล้ว เหมือนทำให้ตัวเองรู้จักตกตะกอนทางความคิดให้เร็วที่สุดนั้นเอง ทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพที่สุด ตัดความไม่มั่นใจออกไป มันก็ช่วยทำให้เราคิดได้เร็วขึ้นครับ 

การใช้ชื่อว่า AP1WAT เป็นชื่อศิลปิน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นหน้าใหม่ในวงการรึเปล่า 

ผมรู้สึกแบบนั้นเลยครับ ผมไม่ได้อยากให้คนฟังรู้สึกว่านี่คือ หนึ่ง ETC คนที่ร้องเพลงเศร้า ๆ นะ ผมอยากให้เขารู้เลยว่านี่คือแบรนด์ใหม่ของเราที่ถูกสร้างขึ้นมาเลย มีการวางแผนโปรโมตต่าง ๆ อย่างจริงจัง อย่างวันแรกที่ปล่อยเพลงออกมาก็ลุ้นมากว่า ยอดวิวจะขึ้นเท่าไร มันลุ้นสุด ๆ เลยกว่าจะขึ้นไปได้ 100 วิวยากมาก (หัวเราะ) แต่ก็สนุกดีครับ ผมเพิ่งเริ่มทำตรงนี้มันต้องใช้เวลา ทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะโอเคครับ มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต เพิ่งรู้ว่า ปัจจัยหลาย ๆ อย่างในการทำงานมันมีอะไรบ้างก็เรียนรู้กันไปจากตรงนี้ล่ะ 

กระแสตอบรับจากคนฟังกับเพลง Disco Oh Now 

แฟนคลับชอบครับ พวกเขารู้สึกว่ามันมีความหลากหลาย มันเป็นงานอีกชนิดนึงที่เราได้ทำออกมา หลายคนก็ทักเข้ามาในเฟสบุ๊กว่า ‘เฮ้ยเพลงพี่แม่งเฟี้ยวว่ะ ชอบว่ะ’ ฟังแล้วมันดูแตกต่างจากที่เคยฟังดี ก็รู้สึกดีนะครับ รู้สึกว่ามันเป็นจุดมุ่งหมายที่เราอยากให้คนได้ฟังตรงนี้จริง ๆ

มาที่อีกซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมา Close Your Eyes เรื่องราวของเพลงนี้เป็นเช่นไร 

เพลงนี้มันเป็นอีกหนึ่งเพลงที่อยู่ในเซ็ต 6 เพลงที่ทำกับ Mono Music ที่ผมเล่าไปตอนแรกเลยครับ ผมอัดเพลงนี้กับน้องใหม่ ดาวิกา ตอนปี 2015 ผมยังดัดฟันไม่เสร็จเลย (หัวเราะ) Close Your Eyes ก็เป็นอีกเพลงที่มันยังไม่ได้ถูกปล่อยออกมา พอช่วงนี้ได้มีโอกาสปล่อย Disco Oh Now แล้วทางค่ายเขาก็เลยมาปล่อยเพลงนี้ไปด้วยใกล้ ๆ กันไปเลย มันคือธีมเดียวกันหมดครับ 

ร่วมงานกับ ใหม่ ดาวิกา ได้อย่างไร

เราอยากจะลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนดูครับนั้นก็คือ การ featuring ข้ามสาย ข้ามแนวเพลง ข้ามทุกอย่างเลย ไปทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ทีนี้เพลงนี้เราก็คิดอยู่ว่าท่อนแร็พจะเอาใครดี เราอยากได้เป็นผู้หญิง ถ้าเป็นนักร้องดังเขาก็ติดค่ายกันหมด เลยไปดูพวกดาราแทน คิดว่าใครดี ปรากฏว่ามีโอกาสได้เจอกับ ที วง Jetset’er เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับน้องเกล้า ผู้จัดการของใหม่ เขามาบอกว่า ผมรู้จักนะ เราก็เลยลองให้ไปถามดู ปรากฏว่าเขาสนใจ เขาบอกว่า เอออยากมีเพลงให้ใหม่ร้องด้วยเหมือนกัน แต่ยังไม่มีศิลปินคนไหนไปร้องด้วยแบบจริงจังก็เลยไปลองชวนมาดู จากนั้นเลยได้ร่วมงานด้วยกัน เขาก็เป็นซุปเปอร์สตาร์นะ เราร่วมงานกับคนสวยก็เกร็งเป็นธรรมดา ตื่นเต้นครับ ตอนแรกผมคิดท่อนแร็ปในเพลงนี้ประมาณ 8 บาร์ให้ใหม่มาร้องท่อนสั้น ๆ แต่ผมเสียดายอุตส่าห์มาทั้งที เดี๋ยวแฟนคลับจะไม่ฟินเท่าไร ผมก็เลยไปดีไซน์การร้องสักอย่างนึงให้เขาอยู่ด้วยทั้งเพลงเลย เพลงนี้มันก็เลยเป็นเพลงน่ารัก ๆ ที่เราภูมิใจมากและก็ไม่คิดว่าจะได้มาแจมกับใหม่ ดาวิกา เหมือนกันเสน่ห์อะไรของดนตรีแนว disco ที่ทำให้ หนึ่ง อภิวัฒน์ สนใจ 

ผมชอบความเป็น funky ครับ ผมเป็นมือกลองจะอินกับเสียงกลองแนวนี้มาก เล่นแล้วมันสนุกมือ สนุกในการโยกการหน่วงต่าง ๆ ซึ่ง funky ก็จะมีเสน่ห์ของมัน อยู่บ้านผมก็จะอยู่แต่กับกลอง จะชอบแจมกับตัวเอง ชอบเสียงกีตาร์ที่มันสอดรับกันกับเครื่องดนตรี รู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นเสน่ห์ที่เราชื่นชอบมาก ๆ เหมือนมันมีเสน่ห์ของความเป็น space ดนตรีแนว funky เนี่ยมันจะให้ความรู้สึกเหมือนเราพุ่งไปข้างหน้า ตรงนี้มันเป็นเสน่ห์ของเสี้ยววินาทีที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ

คิดถึงโชว์ของ AP1WAT ไว้บ้างรึยัง

คิดไว้บ้างเหมือนกันครับ ว่าจะทำเป็น showcase เล็ก ๆ แบบที่ไม่ได้เป็นวงแน่นอน เพราะถ้าเป็นวงมันก็จะไปชนกับวง ETC เดี๋ยวนี้รูปแบบโชว์มันเยอะมาก ผมก็เห็นหลาย ๆ วงเขาก็มีคีย์บอร์ด มีคอมพิวเตอร์ มีกีตาร์อะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็สนใจ พอทำขึ้นมามันก็น่าจะสนุกดี ตอนนี้ก็กำลังจะเริ่มซ้อมกันแล้วครับ

img_2004

คุยกันมาถึงตรงนี้แล้วเราก็ไขคำตอบถึงเรื่องราวของ หนึ่ง อภิวัฒน์ กันได้สักพักแล้ว ทีนี้จะไม่ให้พูดถึงวง ETC ก็คงจะไม่ได้ วง ETC ปีนี้ก็มาถึงปีที่ 14 กันแล้ว แน่นอนว่ามันต้องมีช่วงเวลาที่สุขและทุกข์ปนกันไป ทีนี้เรามาดูกันว่า  พาร์ตของ ETC ตอนนี้พวกเขาเดินทางไปถึงไหนแล้ว และชีวิตของผู้ชายวัย 39 ตอนนี้เป้าหมายของเขาคืออะไร ไปดูกันครับ 

มองวงการเพลงบ้านเราตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

เท่าที่มองรู้สึกว่ามันมีความหลากหลายมากขึ้น เด็กเก่งเยอะมากแล้วก็มันมีความเป็นเอกลักษณ์มากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยครับ ความเป็นค่ายเพลงมันน้อยลงไป แต่ก็จะมีค่ายหลัก ๆ อยู่นะ ค่ายมหาชนอะไรแบบนี้ แต่ในความเป็น artist ที่โผล่ขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์ศิลปินจริง ๆ เลยนะ มันมีเยอะมาก ผมก็ฟังเด็กยุคใหม่ ตาม ๆ อยู่พวก Rap is Now เขามีชุมชนของเขา ผลิตเด็ก ๆ ที่ชอบเพลงแร็ปออกมาเต็มไปหมดเลย แล้วเด็กแต่ละคนก็ปล่อยของกันออกมาไม่ธรรมดาด้วย ตามไปฟังแล้วรู้สึกเก่งมาก ชาร์ตเพลงทุกวันนี้มันก็มีเพลงหลาย ๆ แนวแล้ว เพลงแร็ปก็ดังได้ เพลงเท่ ๆ แบบ The Toys ก็ดัง เพลงเจ๋ง ๆ อย่าง Max Jenmana ก็ดี คนเหล่านี้เขาคือกลุ่ม genration ใหม่แล้วอ่ะ ทุกอย่างดูดีขึ้นมาก ๆ 

วงดนตรีหน้าใหม่ที่ชอบฟังมีบ้างไหม

วง MEAN ครับ ชอบที่เขาทำซาวด์แบบนี้มันเป็น ETC รุ่นใหม่เลย แล้วก็อีกวงดนตรีแนว 80s หน่อย ชื่อ Telex Telexs ครับ 

อยู่ในวงการมา 14 ปีแล้วเป็นเช่นไรบ้าง

เคยรู้สึกอยู่ช่วงนึงเหมือนกันครับว่า เฮ้ยเราจะทำยังไงต่อดี เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงชีวิตเลย ช่วงวง ETC เริ่มมีครอบครัวกัน เจอกันน้อยลง ไม่ได้สุมหัวทำงานกันแบบแต่ก่อน เหมือนมันเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงชีวิต เราก็มีช่วงที่เป๋ไปเหมือนกัน รู้สึกว่า เฮ้ยมันเกิดอะไรขึ้นวะ หมดไฟเหรอ จนแบบมาทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองเนี่ยล่ะที่ทำให้กลับมามีไฟอีกครั้ง อย่างช่วงอัลบั้ม 4 ที่เริ่มแยกย้ายอยู่คนละบ้านกัน มันเป็นช่วงที่หมดสัญญากับค่ายเก่าด้วยทุกอย่างก็เริ่มรวน ช่วงนั้นกินเวลานานมาก 2-3 ปีเลย เป็นช่วงที่ตัวเราเองก็ยังเล่นคอนเสิร์ตไปเรื่อย ๆ นะ เราได้ตังค์ แต่ผลงานมันไม่ออกมาเลย เราก็ทัวร์ไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นระเบิดเวลากำลังนับถอยหลังอยู่ มันก็เลยทำให้เราต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว มันเป็นช่วงที่วงรู้สึกกันแบบประมาณนึง แต่พอผ่านช่วงนั้นมาได้วงเราก็กลับมาสู้กันใหม่

จำวันที่เพลง สิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจ ไปประกอบรายการแพนด้าได้รึเปล่า

(หัวเราะ) ตอนนั้นงงนะ แต่มันก็ป็นจุดที่โอเคเหมือนกันครับ งานมันเยอะมาก บางช่วงก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ พอนึกย้อนกลับไป ออกไปเล่นอย่างเดียวเลย มันไม่ได้มีสติที่จะแบบพิจารณาว่ามันถึงไหนแล้วจริง ๆ ว่ะ แต่ก็รู้สึกดีครับมีให้ฟังทุกเช้าเลย 

img_1977

เพลงของ ETC คือเพลงชาติคนเศร้าและคนเหงา 

รู้สึกภูมิใจครับ รู้สึกว่าเรามีเพลงที่หลาย ๆ คนบอกว่ามันคือเพลงคลาสสิกในแง่ของความรู้สึก (หัวเราะ) เราก็ดีใจครับ มันคือเพลงที่เราสามารถเล่นตอนไหนก็ได้ 

ETC อัลบั้มต่อไปจะออกเมื่อไร

ทยอยกันอัดอยู่ครับ ต้นปีนี้ตั้งแต่ออกอัลบั้ม On This day มา 4 เพลงก็มีเพลงที่ทยอยอัดอยู่ประมาณ 5-6 เพลงครับ ต้นปีคิวงานของวงก็เยอะมากเลยทำให้ทยอยอัดช้า วงเราเป็นศิลปินที่ทำอัลบั้มกันช้านิดนึง (หัวเราะ) แต่ปีนี้ได้ฟังกันแน่นอนครับสำหรับอัลบั้มเต็ม 

พูดถึงเรื่องราวของแฟนคลับกันหน่อย 

แฟนเพลงก็ยังอยู่ดีครับ ทุกวันนี้จะมีแก๊งที่ตามไปทุกงานอยู่ บางแก๊งก็เรียกได้ว่ามีครอบครัวกันไปแล้ว เริ่มเจอกันนาน ๆ ทีบ้าง มากับครอบครัว มากับลูกบ้าง แฟนเพลงเหมือนเขาโตมาด้วยกันกับเราเลย เริ่มมีแฟนคลับใหม่ ๆ เด็กรุ่นใหม่เข้ามาบ้างแล้ว เมันเกิดการสืบทอดในแฟนคลับแล้วครับ 

เป้าหมายของหนึ่ง อภิวัฒน์ มีอะไรอีกไหม

เป้าหมายของผมคือแต่งงานครับ อยากแต่งงานแล้ว (หัวเราะ) ตอนนี้ก็พยายามสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ น่าจะอีกไม่นาน แต่ถ้าพาร์ตดนตรีก็ยังไม่ครบนะ เพิ่งเริ่มเหมือนกันโปรเจกต์เดี่ยวเนี่ยไป น่าจะออกดอกออกผลได้ ปีหน้ามันน่าจะดีขึ้น เราก็ต้องมาดูกันว่าที่เราเดินทางมามันจะเป็นอย่างไร

ฝากอะไรถึงคนอ่านหน่อย

อยากจะให้ลองเข้ามาฟังดูนะครับ สำหรับแชแนล ThruDaNyte คิดซะว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ แบรนด์ใหม่เลยละกัน ไม่ต้องถือว่าเป็น หนึ่ง ETC นะ หลายคนก็เคยมาบอกว่า ทำเพลงช้าสิ เนี่ยทางพี่เลย ตรงนั้นก็ขอบคุณที่แนะนำมา แต่ในสิ่งที่เราอยากนำเสนอมันก็จะมีอีกหลายอย่างที่หลายคนไม่รู้ จริง ๆ มุมนี้ก็เป็นมุมที่แข็งแรงมากที่สุดอีกมุมนึง แต่มันอาจจะไม่ได้แข็งแรงจนคนอื่นเห็นทั่วประเทศละครับ จุดนี้ก็คือจุดที่ผมอยากนำขึ้นมาแสดงให้ดูว่าเนี่ยคือ สิ่งที่ผมเป็น ผมโตมาแบบนี้แล้วเริ่มต้นก็ร้องเพลงแบบนี้มาตลอด มาอยู่กับวงก็จะมีเพลงช้าที่นำขึ้นมาเท่านั้นเอง ตอนนี้ก็เริ่มสร้างตรงนี้เพิ่มขึ้นมาด้วยครับ ก็ฝากติดตามสำหรับคนที่อยากฟังเพลงกลิ่นอาย funky ก็ลองฟังดูครับ

img_1988

สิ้นสุดการสัมภาษณ์ผมกดปิดเครื่องบันทึกเสียงและจับมือพี่หนึ่ง อภิวัฒน์หนึ่งทีก่อนจะบอกเขาว่า “วันนี้เป็นเรื่องราวที่สนุกมากอีกหนึ่งครั้ง หวังว่าเราคงมีโอกาสได้พบกันอีก” สุดท้ายนี้ผมเองก็ฝากโปรเจกต์เดี่ยวของพี่หนึ่ง อภิวัฒน์กันไว้ด้วยนะครับ พี่เขาตั้งใจจริง ๆ เปิดหูเปิดใจและรับฟังกันนะครับ / สวัสดี 

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง