Article Interview

การกลับมาของอรอรีย์ พร้อมอัลบั้มเต็ม Un Jour ที่บ่มเพาะมานานกว่า 10 ปี

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Narawit Suksawat

เห็ดหวน กลับมาแล้วหลังจากห่างหายไปหลายเดือน หนนี้เราจะไปพบกับศิลปินอีกคนผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งยุคอัลเทอร์เนทิฟในบ้านเราอย่าง อรอรีย์ ที่หลบไปทำอัลบั้มเต็มชุดที่สามโดยใช้เวลานานกว่า 10 ปี ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะมาพูดคุยกับเรา เรียกน้ำย่อยก่อนไปฟังงานใหม่ล่าสุดอัดแน่น 9 เพลงให้หายคิดถึง

zine3

หายไปไหนมา

ตอนที่หายไปจากอัลบั้มสองคืออยากพัก คิดกับตัวเองว่าไม่อยากทำเพลงแล้ว เพราะว่าไม่ชอบวงการ ซึ่งไม่เกี่ยวกับดนตรีเลย เราชอบทำงานเพลง ตอนเราทำเพลงไม่ได้คิดไปถึงอะไรพวกนี้ พอไม่เคยทำงานวงการดนตรีมาก่อนก็ไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง แต่พอทุกอย่างที่มันเป็นธุรกิจเราต้องเจอคนเยอะแยะไปหมด ไม่ชอบดีลกับคนที่พูดไม่รู้เรื่อง เราอาจจะมีความเป็นศิลปินมากกว่าเป็นนักธุรกิจ เชื่อว่าไม่ใช่พี่คนเดียวที่เป็นแบบนี้ ศิลปินส่วนใหญ่ก็เจอ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งดนตรีหรือนักแสดง อันนี้เหมือนอยากให้เราไปออกสื่อมากจนเกินไป เราคิดว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ทำ คือพี่เป็นคนที่อยากทำงานเพลงจริง  ถ้าเราไม่อยากคุยเราก็ไม่คุย ไม่อยากยิ้มก็ไม่ยิ้ม ทำแบบนั้นมันเหมือนเป็นคนตามใจตัวเอง ฟังดูแล้วไม่ดีเลย แต่มันไม่ได้เห็นแก่ตัว คือเรารู้จักตัวเองดีพอที่อะไรบางอย่างเราไม่สามารถจะทำได้ ก็จะเริ่มมีคนพูดว่าเรา แต่ไม่ได้ว่าตรง  เราว่ามันไม่ใช่ ก็เลยเบื่อไง พี่ก็ไม่อยากฝืนตัวเอง ซึ่งพอตัดสินใจแล้วเราก็เลิกทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับเพลง คือก็ยังฟังเพลงวิทยุ แต่ไม่ถึงกับขวนขวายหาฟังหรือไปคอนเสิร์ต ขายอุปกรณ์ทั้งหมดทุกอย่างที่มีอยู่ เหลือกีตาร์อะคูสติกที่เป็นตัวแรกที่ซื้อมานานแล้วไว้ตัวเดียว เพราะอยากรู้ว่าดนตรีมันใช่เราหรือเปล่า ก็ต้องทดลองกับตัวเอง เพื่อน  ก็น่ารัก เป็นห่วง ชอบมาบอกว่ามีงานนั้นงานนี้ ไปทำไหม พี่ก็ปฏิเสธหมดเลยเพราะยังไม่อยากทำ

แล้วตอนปี 1997 มันเป็นช่วงฟองสบู่แตก ก็เอฟเฟกต์ทุกคน เอฟเฟกต์ค่ายเราด้วย งานชุดที่สองเราออกประมาณปลายปี 1998 พอไปเทียบยอดขายกับอัลบั้มแรกมันก็ไม่ค่อยดีเพราะคนเริ่มไม่ซื้อแล้ว เริ่มมีพวก MP3 ด้วย เราเซ็นสัญญาไว้แค่สองอัลบั้ม ก็คิดว่าโอเค พัก จบ ไปเดินทาง ทุกคนจะมีช่วงที่หาคำตอบว่าเกิดมาทำไมอะไรแบบนั้น พี่เองก็คิดว่าหรือว่าตัวเองจะไม่เหมาะกับการเป็นนักดนตรี พอกลับมาก็เลยลองทำกิจการสารคดีทีวีของครอบครัวดูว่าชีวิตเราจะมีความสุขกว่าหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ครอบครัวก็ดีกับเรามาก ตอนเรียนจบกลับมาใหม่  เขาก็อนุญาตให้ไปทำงานในสิ่งที่เรารัก ไม่ได้กดดันเราว่าจะต้องกลับมาทำธุรกิจทันที พอตอนนี้เลยลองมาทำงานออฟฟิศ เข้างาน 8 โมงเช้า เลิก 6 โมง เพื่อดูว่าเราจะเหมาะกับมันมากกว่าเล่นดนตรีไหม เพราะช่วงนึง เราคิดว่าชีวิตเรามันไม่ปกติถ้าเทียบกับคนทั่วไป เรานอนตอนกลางวัน ทำงานตอนกลางคืน ตอนนั้น Bakery อยู่สยาม กว่าจะอัดร้องเสร็จคือตีห้าขับรถกลับมาสวนทางคนอื่นเขาไปทำงานกัน พี่เลยคิดว่าอะไรหลาย ที่ไม่ปกตินี้มันดึงความไม่ปกติเข้ามาในชีวิตเราหรือเปล่า

zine2

พอประมาณสิ้นปี 2005 Pru ทำอัลบั้มที่สอง Zero และชวนให้มาร้องเพลง โปรด ด้วยกัน ตอนแรกจะปฏิเสธเพราะก็ปฏิเสธมาหลายคนแล้ว แต่สุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์ ผู้บริหารค่าย Bakery) บอกว่าเอาเพลงไปฟังก่อน แล้วถ้าไม่ชอบค่อยว่ากัน พอฟังตอนนั้นยังมีแต่ทำนองก็คิดว่าเพลงโอเค แล้วสุกี้บอกว่าพี่บอย โกสิยพงษ์จะแต่งเนื้อให้ ทุกคนรู้ว่าแกเป็นคนที่เขียนเพลงได้เก่งมาก แกจะดูคนแล้วเขียนเนื้อเพลงให้เหมาะกับเขา พอเราเห็นเนื้อเพลง โปรด แล้วเรารู้สึกว่าเขียนดี แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจตกลงในทันที จนพี่น้อยฝากการ์ดมาให้พี่ เขาเขียนมาประมาณมัดมือชกว่า ‘ถ้าอรไม่ร้องก็จะไม่มีเพลงนี้ เพราะเราคิดให้คนร้องคืออรคนเดียว’ แล้วงี้เราจะปฏิเสธยังไง (หัวเราะเราก็ ร้องก็ได้ แต่ร้องอย่างเดียว ไม่เล่นคอนเสิร์ต ไม่เล่นมิวสิกวิดิโอนะ เขาก็โอเค แต่ตอนหลังเขาก็ผิดสัญญา เอาเราไปเล่นคอนเสิร์ตกับเขาในงานอัลบั้ม Zero และตอนนั้นก็เป็นจุดที่ยังไม่ได้คิดว่าจะกลับมา คิดว่าแค่ทำให้เพื่อนเพราะเพื่อนก็ทำอะไรให้เรา ดีกับเรา เราก็อยากทำดีตอบแทนเขา

แต่งานนั้นแหละทำให้เราได้มาเจอรุ่นน้องวง Flure คือเท็ดดี้ กับวิ เขาเป็นศิลปิน Bakery เหมือนกันแต่เป็นช่วงรอยต่อ คือเราออกไปแล้ว พวกเขาเพิ่งมา เลยไม่เคยเจอกัน แต่รู้จักวงนี้เพราะสุกี้โปรดิวซ์งานให้แล้วเอาให้เราฟังก็รู้สึกว่าวงนี้ดี พอได้รู้จักกันก็ติดต่อกันมาเรื่อย  จนปี 2006 ตอนนั้นมีงาน Fat Festival Flure ก็ไปเล่น แล้วเขาให้วงเลือกว่าจะ featuring กับใคร วงก็เลือกเรา เราก็โอเคเดี๋ยวไปร้องด้วย เพราะก็เริ่มกลับมามีความรู้สึกดี กับการทำเพลง เราก็เริ่มแต่งเพลงอัดเก็บไว้ แล้วก็คิดว่าจะแต่งเพลงใหม่เพื่อขึ้นงานนี้เลยดีกว่า กลายมาเป็นเพลง มีเธอ แต่ตอนนั้นเรายังไม่มีสมาชิกวง ก็เป็น Flure เล่น แล้วมีจุ Abuse the Youth มาตีกลองแทนเอิร์ธที่ตอนนั้นไปเรียนที่ออสเตรเลีย เราก็ไม่ได้เสพดนตรีมาประมาณ 7 ปีเราก็สนุก ทุกคนก็สนุก เท็ดดี้เลยชวนเราฟอร์มวง ทำอัลบั้ม ก็มี จุ กับวาล ที่เป็นเพื่อนเท็ดดี้สมัยไฮสคูลมาเล่นเบส จากตรงนั้นก็เป็นจุดที่เริ่มจะทำอัลบั้มใหม่ ประมาณปี 2007 ก็กระหน่ำแต่งมา 30 กว่าเพลง ก็แฮปปี้ แล้วเริ่มซ้อมกัน แล้วเวลาทำเพลงเราจะไม่เอาเงินที่ทำงานกับครอบครัวมายุ่งเลย ซึ่งมันก็ทำได้ ตอนนี้พี่ไม่มีค่าย ก็เอาเงินทั้งหมดที่ได้มาจากเพลงชุดก่อนลงกับทำเพลงชุดใหม่

zine7

ก่อนหน้านี้ไปอยู่ค่าย Bakery ได้ยังไง

ตอนนั้นพี่เพิ่งเรียนจบกลับมาจากอังกฤษ ประมาณปลายปี 1994 เรามีเดโม่ คือชอบดนตรีตั้งแต่สิบขวบ แล้วพอ 14-15 ก็เริ่มเขียนเพลงมาเรื่อย  แล้วอัดเป็นเทปคาสเซ็ต ประมาณปี 1995 ก็มาเจอสุกี้ เขาก็เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเหมือนกัน ตอนนั้นเขาทำให้วงฮิปฮอปชื่อ TKO อยู่ เราก็เอาเดโมเราให้เขาฟัง เขาบอกว่ากำลังจะทำค่าย มาอยู่กับเราไหม ก็เลยมาเซ็นกับ Bakery 

พอกลับมาแล้วการตอบรับเป็นยังไงบ้าง

ตลอดเวลาสิบปีที่กลับมาก็มีงานเล่นมาตลอด พอคนรู้ว่าเราเริ่มฟอร์มวงก็มีติดต่อมาให้ไปเล่น ก็รู้สึกดีค่ะ ตอนอยู่ Bakery ไม่ค่อยได้เล่นตามผับหรือเฟสติวัล ยกเว้นที่ค่ายเขาจะมีให้เราทัวร์มหาลัยอะไรแบบนั้น ก็โชคดีที่คนไม่ค่อยได้ดูไลฟ์ตอนนั้น พอกลับมาทำเพลงอีกเลยมีงานเยอะ ซึ่งถ้าไม่มีแฟนเพลงคงเลิกไปนานแล้ว เพราะ process ที่กลับมาทำอัลบั้มปัจจุบันนี้มันตั้งสิบปี แล้วมันก็มีเรื่องราวอะไรเยอะ เพราะฉะนั้นพอเราได้ยินแฟนเพลงรู้สึกอย่างนี้กับเรา มันก็เป็นกำลังใจให้เราทำให้เสร็จ เขาชอบมาถามว่าเมื่อไหร่จะกลับมาทำเพลงอีก อยากฟังอีก หลายคนที่โตมากับเพลงเราบางคนก็เป็นนักดนตรีมีวงแล้ว เขาก็บอกเราว่าเราสร้างแรงบันดาลใจให้เขา ทำให้เขาอยากเป็นนักดนตรี ก็รู้สึกดีว่าสิ่งนี้แหละที่ทำให้เราอยากเป็นนักดนตรีตั้งแต่สิบขวบ เราไม่ได้อยากดัง ไม่ได้อยากรวย แต่เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่ช่วยคนได้ประมาณนึง เหมือนเป็นผู้ส่งสาร เราหยิบจับคลื่นความถี่บางอย่าง บางคนอาจจะเรียกว่าเป็นพระเจ้า หรือเป็นพลังงานที่ใหญ่กว่าเราที่สร้างพวกเรามา เขาส่งสารมาให้เราเป็นตัวกลาง ตัวกรอง แล้วเขียนมันออกมาเพื่อส่งต่อให้กับคนฟัง และน่าจะทำชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้นได้บ้าง 

บางทีศิลปะมันออกมาแล้วต้องทำไปเลย คือตัดสินใจกับปัจจุบัน วันนี้นับไปอีกสองวันมันก็ไม่ใช่ปัจจุบันแล้วของอีกสองวันนั้น ต้องทำตอนนั้นให้ดีที่สุดแล้วจบ

ในยุครุ่งเรืองของอรอรีย์ คิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนยกให้อรอรีย์เป็นไอคอน

ตอนนั้นพี่คิดว่าพวกเราเป็นพวกแรก  ที่จุดประกายเปลี่ยนแนวทางดนตรี แต่ละยุคก็มีของเขา สิบปีก่อนหน้าพี่ก็จะมีอัสนีวสันต์ แล้วมันก็เปลี่ยนมาเรื่อย  จากยุคที่ดนตรีซับซ้อน ยาก ที่คนเล่นต้องเก่งมาก  มาเป็นใครก็ได้ บางทีเล่นทั้งเพลงมีอยู่สองโน้ต สองคอร์ด ไม่ต้องร้องดีมาก ไม่ต้องเล่นเก่งมาก แต่ real มันเป็นจุดเปลี่ยนที่คนจะรู้สึกกับเราได้เยอะกว่า เพราะเขาสามารถโยงเรากับตัวเขาได้ใกล้กว่า

เป็นเรื่องที่อรอรีย์เป็นผู้หญิงด้วยหรือเปล่า

ใช่ ตอนนี้ก็ยังน้อยนะ แต่ underground เราไม่รู้ อาจจะมีบ้าง แต่ที่มัน mainstream ออกมาให้เห็นว่าทำเองจริง  แต่งเพลงเอง ร้องเอง เล่นดนตรีเอง ออกแบบอะไรต่าง  เอง มันมีไม่เยอะ โดยเฉพาะสมัยนั้นยุค 90s มันจะมีค่ายใหญ่ ๆ ไม่กี่ค่าย แล้วเขาจะมี format ของเขา ส่วนใหญ่เขาก็จะแต่งเพลงให้ แล้วคุณก็ไปเป็น entertainer เหมือนนักแสดงกับดาราที่ไม่เหมือนกัน สำหรับพี่คิดว่าเราเป็นศิลปินมากกว่าเพราะพี่ทำตามใจตัวเอง ถ้าไปถามศิลปินส่วนใหญ่ไม่ว่าจะวาดรูปหรืออะไรเขาก็จะทำตามใจตัวเองทั้งนั้น แต่ถ้าเราเป็น entertainer ปุ๊บ มันไม่ใช่ละ ต้องทำตามใจผู้ชม

ปกติวงยุคอรอรีย์ชอบทำเพลงแล้วปล่อยเป็นอัลบั้ม แต่ทำไมการกลับมาครั้งนี้ถึงปล่อยเป็นซิงเกิ้ล

คือจริง  พี่ไม่มีหลักการอะไรเลยอัลบั้มนี้ พี่ทำตามใจ (หัวเราะคือพูดกับตัวเองและคนที่ร่วมงานตลอดว่า ดนตรีจะพาเราไปเป็นอะไรที่ไหนก็แล้วแต่มัน ให้เพลงเป็นตัวกำหนดชะตาว่ามีงานนี้มา มีคนนี้เข้ามา จะเกิดอะไรต่อจากนั้นก็แล้วแต่ อย่างช่วงที่เริ่มจะออกซิงเกิ้ลแรก มันก็มีโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กอย่าง myspace เพื่อนก็แนะนำให้ไปเล่น แล้วก็มา facebook แล้วก็มีมาเรื่อย  แล้วด้วยความที่พี่กับเท็ดดี้ independent มากทั้งคู่ conflict ก็เยอะ ไม่มีวงไหนที่ไม่ทะเลาะกัน เพราะงั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนครีเอทีฟจะเป็นอย่างนี้ พอมันไม่ใช่คนเดียวก็ต้องคุยหาข้อตกลง ซึ่งตอนนั้นก็หาข้อตกลงไม่ได้เท่าไหร่ การมีประชาธิปไตยในวงมันไม่ค่อยเวิร์ก บางครั้งต้องมีคนนึงที่เป็นเผด็จการ ตอนแรกเลยคิดว่าจะรออัลบั้มเสร็จค่อยปล่อย แต่มันยังไม่เสร็จสักที เพลงมันก็มีมากเกินพอ แล้วพอมาดูแล้วจากปี 2007 มีเพลง มีเธอ จนมา สักวัน ปี 2013 แล้วเราก็คิดว่าถ้ารออะไรหลาย  อย่างให้มันเสร็จ แฟนเพลงต้องรออีกกี่ปี พี่ก็เลยขอเป็น fascist ละกัน ขอปล่อย สักวัน ก่อนเป็นของขวัญ ให้ลิงค์ ให้โหลดฟรีไปเลย จากที่หายไปรอบแรก 7 ปี ระลอกสองนี้ก็อีก 6 ปี ก็เป็นสิบปีกว่าแล้ว กับที่มีคนแนะนำว่ายุคนี้ปล่อยทีละเพลงดีกว่า มันจะอยู่ได้นานกว่าออกมาทั้งอัลบั้มที่จะอยู่แปปเดียวเดี๋ยวมันก็ไป ก็ โอเค ทีละเพลงก็ได้ ไม่ได้แคร์ว่าจะได้ผลลัพธ์ยังไง คือเราไม่มีค่าย ไม่มีการกดดัน แล้วพอมันประสบความสำเร็จก็สุขใจว่าคนรอเราขนาดนี้เลยเหรอ

ทุกเพลงนี่หมื่นวิวขึ้นทั้งนั้น

ก็ไม่นะ แต่อย่าง สักวัน นี่เป็นแสนเลย พี่ไม่รู้ใครไปช่วยปั่นหรือเปล่า แต่หลังจากนั้นมันก็ดรอปลงมาหน่อยเพราะปีนั้นก็มีวงปล่อยเพลงใหม่ออกมาหลายวง แล้วเราก็ต้องรีบทำอัลบั้มให้เสร็จไม่งั้นมันจะยาว คือทศวรรษนึงเลย แล้วพี่คิดว่ามันเป็น phase เก่าของชีวิต มันควรจะจบแล้วขึ้น phase ใหม่ได้แล้ว ก็อยากให้มันเสร็จเร็ว  แต่มันมีปัญหาเยอะ ทะเลาะกัน ต้องหาคนใหม่ มันก็ทำให้ยืดเวลาไปอีก หรืออัดเสร็จแล้วอยากอัดใหม่อีก มันมีความขัดแย้งกัน 

ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะช่วงนี้กระแส 90s กำลังกลับมาด้วย

ทุกอย่างมันคือวัฏจักร คือเดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรที่มาแล้วเราว้าว สมัยเรายังมีกรันจ์มีเฮฟวี่เมทัลเยอะมาก จะเรียกว่าเป็นตำนานที่ไม่มีใครเหมือนแล้วก็ได้ คือฟังแล้วรู้เลยว่าคือวงนี้ ความเห็นส่วนตัวพี่ว่าพอโลกมันมีเทคโนโลยีที่พัฒนาไปเรื่อย  ทำให้คนสบายขึ้น ไม่ใช่แค่เพลงที่มันง่ายขึ้น แต่ทุกอย่างมันขาดความละเมียด ละเอียด ขาดมิติ ขาดความซับซ้อน เพราะเป็นอะไรที่ใช้โปรแกรมทำ มันไม่ได้คิด พี่ก็อยากฟังเพลงใหม่  บ้างนะแต่มันไม่ค่อยเจอ

สมาชิกไลน์อัพปัจจุบันมีใครบ้าง

งานชุดนี้มีนักดนตรีเพื่อน  น้อง  มาช่วยกันเยอะ แบ่งเป็นสอง phase อันแรกก่อนทะเลาะ เท็ดดี้ Flure เล่นกีตาร์ เป็น sound engineer ด้วย จุ Abuse the Youth ตีกลอง วาลวาเลนไทน์ เล่นเบส

Phase สอง ครึ่งหลัง ไม่มีเท็ดดี้กับวาล จุยังตีกลองอยู่ แล้วมีเบิร์ด Desktop Error มาเล่นกีตาร์ และกล้วย Freeman เล่นเบส พวกนี้เขาสมญานามกันว่านักดนตรีร้อยวง‘ 

zine5

อัลบั้มเต็มจะมีกี่เพลง

ทั้งหมด 9 เพลง ปล่อยออกมาแล้ว 4 แนวเพลงก็เป็นแบบที่คุ้นเคยแหละ เพราะพี่ก็ทำในแบบของตัวเอง พี่เป็นคนเขียนเพลงที่ถ้าอะไรเข้ากับเรามากกว่าก็ทำ ไม่ทำตามแฟชัน แต่พี่ว่าทุกคนที่ฟังมันต้องเทียบเคียงกับตัวเองได้อยู่แล้ว เพราะชีวิตคนเราทั่วไปมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่

เพลงอัลบั้มใหม่จะต่างจากชุดก่อนยังไงบ้าง

ชุดแรกจะค่อนข้างดิบเลย Natural High คนพูดถึงเยอะ ชุดสองจะใสขึ้นมาหน่อยเพราะตั้งใจให้เป็นคนละโทนเลย แต่ชุดล่าสุดนี้ในฐานะคนสร้างงาน เราชอบชุดนี้ อินกับชุดนี้ และเป็นตัวเรามากที่สุด ก็ต้องรอให้อัลบั้มออกแล้วแฟนเพลงมาฟังจะได้รู้ว่าเขารู้สึกยังไง แต่อย่างชุดแรกนี่ทำเร็วมากใช้เวลาสามเดือน คือมันไม่คิดมาก เทียบกับชุดนี้ที่ทำสิบปี อีกอย่างที่อยากบอกคืออย่าคิดมากเกินไป เวลาน้อยไปก็ไม่ดี แต่นานเป็นสิบปีมันก็ไม่ดีเช่นกัน บางทีศิลปะมันออกมาแล้วต้องทำไปเลย คือตัดสินใจกับปัจจุบัน วันนี้นับไปอีกสองวันมันก็ไม่ใช่ปัจจุบันแล้วของอีกสองวันนั้น ต้องทำตอนนั้นให้ดีที่สุดแล้วจบ สำหรับพี่ของบางอย่างมันคือการ capture the moment มันควรจะปล่อยเลย ตอนออกมาสี่เพลงแรก เราเห็นคนพูดใน YouTube กันเยอะว่า ถ้าออกมาตอนนั้นดังแน่ เราว่ามันไม่มีคำว่าถ้า เพราะมันไม่ได้ออกตอนนั้น เราไม่ได้แต่งตามแฟชัน ต่อให้อีกสิบปีมันก็ยังเป็นแนวนี้แหละ เพราะเรามี signature ชัดเจน

มีคอนเซปต์ไหม

ไม่มีนะ พี่เขียนเพลงจากชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือสิ่งแวดล้อมที่เราสัมผัสมา แต่ตลกร้ายที่หลาย  เพลงเราเขียนไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนที่เขียนเหตุการณ์มันยังไม่เกิด แต่ตอนนี้มันเริ่มเกิดมาทีละเพลง  ก็แปลกดีเหมือนเป็นการพยากรณ์ ไม่รู้ว่าเชื่อเรื่องนี้ไหม แต่พี่เชื่อเรื่องจิตใต้สำนึก พี่ไม่เชื่อว่าเราเปลี่ยนอะไรข้างนอกได้ ต้องเปลี่ยนจากข้างใน เมื่อข้างในเราเป็นแบบนี้ มันก็จะสะท้อนออกมา สมมติเราเป็นคนที่มีความสุข ยังไงต่อให้ข้างนอกมันมีเรื่องเลวร้าย เราก็จะสุขระดับนึง แต่ถ้าข้างในเราไม่ดี ร้อนรุ่ม ต่อให้ข้างนอกมันสงบยังไงนะเราก็ไม่สงบ

ใครเป็นคนออกแบบ art direction

เป็นเพื่อนคนฝรั่งเศสที่เป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์ เขาอยากช่วย ก็ให้เอาไปทำ คอนเซปต์ที่พี่อยากได้คือเป็นรูปวาด เพราะไม่อยากโชว์หน้าตัวเอง แต่เขาวาดไม่เป็น ก็เลยทำเป็นการ์ตูนฝรั่ง (comic) เพราะพี่ชอบสะสมตอนเด็ก  เราก็คิดว่าไม่ได้ทำมิวสิกวิดิโอเป็นหลัก ก็ให้แต่ละเพลงมีแต่ละ design ของตัวเองบอกเรื่องราว แล้วก็เผื่อทำเป็น merchandise (เสื้อยืดขายด้วย

zine4

ใครมาร้องท่อนภาษาฝรั่งเศสในเพลง สักวัน

ตอนแรกในวงก็บอกว่ามันต้องเป็นภาษาไทยนะ จะได้ขายได้ พี่ก็ไม่สน อยากได้ฝรั่งเศสเพราะคำและซาวด์มากกว่าก็เลยให้เพื่อนชื่อ คริส เดกอง มาร้อง เขาอยู่วง Shining Star สำหรับพี่เขาเป็นนักร้องที่ร้อง r&b เก่งกว่าใครหลาย  คนในเมืองไทย จริง  มันมีคนอย่างนี้เยอะแต่ไม่ดังไง ดังบางทีไม่ได้อยู่ที่ความสามารถนะ เขาดูว่าจะสามารถขายคุณได้ด้วยไหม แต่คริสเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส พูดไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส ได้ พี่ฟังเขาร้องเพลงมาหมดแล้ว เขาพูดไทยเก่งนะ แต่พี่ไม่ชอบเขาร้องเพลงภาษาไทย พอร้องแล้วฟังออกว่าไม่ใช่คนไทยร้อง พี่เลยให้เขาร้องภาษาฝรั่งเศสที่เป็นภาษาที่เขาดูถนัด แล้วก็ให้เขาเขียนเนื้อภาษาฝรั่งเศสด้วยเลย

ตอนแรกที่อัด คริสกับเราก็ชอบร็อกกับกรันจ์เหมือนกัน มันเลยออกมาเป็นแนวนั้นหน่อย แต่มันก็ผ่านมาหลายปี ตอนมาร้องสดด้วยกันมันก็ออกมาทาง r&b เราก็บอกเขาว่าอย่า r&b มาก นี่มันร็อก (หัวเราะแต่ว่าโดยรวมคือพี่แฮปปี้กับเพลงนี้มาก มันเหมือนเป็นบทสรุปของอัลบั้ม แต่พี่เลือกปล่อยเป็นเพลงแรก เพราะรู้สึกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย พี่รู้สึกเหมือนเป็นหน่วยกล้าตาย ทหารแนวหน้าตัดกิ่งไม้ใบไม้แหวกนำไปก่อน ด้วยความที่พี่ไม่มีความกดดันเลยได้ทำอะไรที่อยากทำได้เยอะ แล้วถ้าเราทำได้มันก็เป็นอีกทางนึงให้คนอื่น เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องทำตามค่ายหรือกระแสขนาดนั้น พี่เข้าใจว่าหลายคนอยากเป็นนักดนตรีศิลปิน แต่เราก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายจริง  เขาคืออะไร อยากดัง อยากรวย อะไรก็แล้วแต่ แต่บางคนก็อยากมากจนยอมขายตัวเองเป็นสินค้า

ใน Youtube มีคอมเมนต์ว่า ‘ของจริงมันต้องยุค 90s แบบนี้เว่ย’ รู้สึกยังไงบ้าง

เห็นมีทะเลาะกันบ้าง พี่ก็คิดว่า อะไรกันนักกันหนา มาเกทับกันเรื่องดนตรีเนี่ยนะ เราไม่เคยพูดว่าสมัยนี้เพลงไม่ดี เพลงดี  ก็มีตั้งเยอะ แต่มันแค่ไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดให้เราอยากฟัง ก็ยอมรับว่าตอนนี้มันไม่มีวงที่เราชอบยกเว้น And So I Watch You From Afar แต่เราก็ไม่ได้จะดูถูกว่าเด็กสมัยนี้ไม่เก่งเท่าสมัยเราเพราะอะไรเดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนไปอย่างที่บอก ความละเอียดอ่อน ความขยัน อะไรงี้ ยอมรับ เพราะเราทำงานกับรุ่นน้องเยอะ พี่ไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องวัยหรืออายุ มันเป็นเรื่องพันธุ์มากกว่า อย่างพี่เรียกตัวเองว่าเป็น old school เพราะงั้นเราโตมาอย่างนี้ ตอนพี่เรียนดนตรี ครูพี่โหดมาก อย่างในหนัง Whiplash เนี่ยเป็นเรื่องจริง แต่พี่ไม่เคยโดนสอนขนาดเลือดออกมือ แล้วเรื่องตรงต่อเวลา ถ้าไม่ตรงเวลาก็ตกรถเมล์ ตกรถไฟ แต่พี่เป็นคนขี้เกียจ เป็นนักแต่งเพลงมากกว่านักดนตรี ไม่ค่อยซ้อม ขณะที่เพื่อนพี่เล่นดนตรีวันละ 6 ชั่วโมง ซ้อมทุกวัน หรืออย่างเบิร์ด Desktop Error นี่เป็นอย่างนั้นเลย คนที่เป็นศิลปินจริง  มันจะภูมิใจในวันที่มันผ่านจุดโหด  นั่นไปได้ เพราะเขาเชื่อว่าถ้าคุณไม่ทำอย่างนี้คุณจะไม่มีวันเป็น the best จะเป็นแค่คนที่เล่นได้ ไม่ใช่ Eric Clapton หรือ Jimmy Page จากตรงนั้นเลยทำให้เวลาเรามาทำงานก็จะเป็นคนตรงต่อเวลา ส่วนใหญ่คนที่ร่วมงานด้วยก็เป็นรุ่นน้อง ซึ่งคนยุคนี้ไม่ได้เป็นแบบเรา ไม่ค่อยซ้อม แค่ซื้อนั่นนี่มาทำ แล้วมันมีโปรแกรมมาเป็นยวงมันก็ง่าย คุณไม่ได้ผ่าน process ของความยากลำบาก แล้วมันจะ appreciate ในความสำเร็จได้ยังไง ความสบายมันไม่สอนใครอยู่แล้ว มันต้องเป็นความยากลำบากและความทุกข์ที่จะสอนเรา 

พอมีคนคัฟเวอร์เพลงของอรอรีย์แล้วรู้สึกยังไง

ก็รู้สึกดีค่ะ เราเล่นโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กเอง ได้เห็นว่าแฟนเพลงอายุน้อยลง ๆๆ แต่เราแก่ขึ้น เป็นไปได้ยังไง แสดงว่าเด็กสมัยนี้ฟังเพลงเก่า มีการศึกษาเพลงจริง ไม่ใช่ฟังตามแฟชัน ส่วนที่คัฟเวอร์บางเพลง พี่เป็น perfectionist เมื่อพูดถึงงาน พี่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่พี่ทำได้ จะเต็มที่ คิดทุกอย่างโดยละเอียด บางทีบางเพลงมันออกมาก็ไม่สามารถทำให้ดีกว่านี้ได้แล้ว นอกจากทำให้มันแตกต่างไปเลย มันก็ต้องคัฟเวอร์ให้เป็นคนละเรื่องไปเลย แต่ก็ดีนะคะที่เอามาเล่นมาร้องอะไรกันเยอะ  ก็ทำให้คนรุ่นใหม่ ๆ ได้รู้จักเพลงของเรา

zine6

สิบปีผ่านไป อรอรีย์เปลี่ยนไปยังไงบ้าง

สิบปีที่แล้วตอนนั้นเรายังมีคนที่โตกว่าที่อยากให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ที่เราอาจจะไม่ชอบ เวลาผ่านไปเราเจออะไรมากขึ้น เราอายุมากขึ้น เริ่มดีลกับคนได้มากกว่าตอนที่เราทิ้งวงการไป หรือเพราะเราโตขึ้นเขาเลยไม่ค่อยมาอะไรเราเท่าไหร่ โล่งขึ้นเยอะ แล้วมันก็ทำให้พี่ได้เจอคนหลายคน แล้วก็ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป 

อีกอย่างก็เรื่องอินเทอร์เน็ต มันทำให้สังคมไทยเร็วพอ  กับฝรั่งแล้ว อย่างสิบปีที่แล้วตอนพี่กลับมาใหม่  เราเหมือนซานตาคลอส เพื่อนพี่ที่อยู่ที่นี่เขาไม่เคยได้ฟังเพลงบางวงที่เราฟังเลยตอนอยู่เมืองนอก เอา Rage Against the Machine ให้ฟัง เหมือนเรามีอะไรที่เป็นออริจินัลสิ่งแปลกใหม่มานำเสนอ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่จำเป็นแล้ว โลกมันแคบลง เราก็ฟังอะไรแบบนี้ได้โดยตรงเลย เสพอะไรเร็วมาก แล้วเราก็เริ่มทำอะไรเองได้แล้ว มีแพลตฟอร์มอะไรเยอะแยะให้เรานำเสนอเพลงเรา การไม่ต้องมีคนกลางระหว่างเรากับแฟนเพลงมันคือสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว 

รู้สึกยังไงเวลามีคนบอกว่าอรอรีย์เป็นศิลปินรุ่นใหญ่

พวกน้อง  คิดว่าเราเป็นตำนาน เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราเป็นตำนานหรือเปล่า เราไม่ได้เป็นแฟนเพลง เราไม่รู้ เราอยู่กับตัวเราแล้วก็รู้ว่าเรานิสัยเป็นยังไง เราก็คิดว่าเราเป็นอย่างนี้ แต่รุ่นใหญ่ไม่รู้ว่าหมายถึงอายุหรืออะไร (หัวเราะ) จริง  มันก็มีรุ่นใหญ่กว่าเรา แต่พี่รู้สึกว่าชีวิตเราสวนกระแสตลอดเวลา เหมือนปลาแซลม่อนว่ายทวนน้ำตลอด ไม่ได้ตั้งใจนะ แต่เพื่อนบางคนชอบบอกว่าพี่ชอบทำอะไรยาก  อย่างชีวิตตัวเองเรื่องการเป็นนักดนตรี พี่เริ่มจากใหญ่มากจนมาเล็ก เพราะงานแรกที่เล่นเลยคือที่สนามกีฬากองทัพบกที่งาน DNA กลายเป็นงานในตำนานไปแล้ว มี Heavy Mod มี Modern Dog เราไปเล่นซัพพอร์ตเป็นอะคูสติก งานแรกก็สองหมื่นกว่าคนแล้ว พี่ไม่ประหม่าเท่าไหร่ถ้างานคนเยอะ  เพราะมันไกล หลังจากนั้นมันก็ค่อย  เล็กลงมา แต่งานที่ประชิดคนดูอย่างเล่นที่ Play Yard โอ๊ย ปากเราอยู่นี่ แฟนเพลงอยู่ใกล้หน้า จะตื่นเต้นมากกว่า สำหรับพี่คือถ้าคุณรอดมาได้ก็ really happy 

ความสบายมันไม่สอนใครอยู่แล้ว มันต้องเป็นความยากลำบากและความทุกข์ที่จะสอนเรา 

แต่ถ้าพูดถึงเส้นทางดนตรี เริ่มจากยิ่งใหญ่ อยู่ค่าย แต่ตอนนี้พอเรามาอยู่ปัจจุบัน เราทำเองไม่มีใครช่วยนอกจากครอบครัวและเพื่อน ๆ เลขา ผู้จัดการอะไรไม่มี ติดต่อเองหมด ทำเองหมด ส่วนใหญ่เวลาคนเขาเริ่มจะเป็นอย่างนี้ ด้วยเป้าหมายที่เขาจะไปอยู่กับค่ายให้ค่ายเลี้ยงดู มีเงินซัพพอร์ต มันควรเป็น the end แต่ของพี่เป็น the other way แต่มันก็มีความสุขนะ ยอมรับว่าเหนื่อย เราไม่ถนัดที่จะทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ขอทีละอย่าง แล้วพอมันเสร็จแล้วเราก็เออ ใช้ได้ เราทำได้แล้ว แต่ไม่ได้อยากทำเองทุกอย่างนะคะ อย่างชุดนี้ตอนใกล้เสร็จพี่ก็ไปคุยกับบางค่ายเหมือนกัน แต่เขาก็ปฏิเสธเราซึ่งเราเข้าใจไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเสียใจ พี่ตระหนักดีว่างานและตัวพี่มันมีกลิ่นชัดเจน เขาอาจกลัวจะควบคุมพี่ไม่ได้ก็เป็นได้ ตอนนี้พี่เลยฝาก BEC Tero ขาย streaming อยู่ เป็นการร่วมงานกันอย่างอบอุ่น ทุกคนที่นั่นน่ารักกับพี่มาก ซึ่งก็นั่นล่ะ คนดูเขาเห็นเราแค่ข้างหน้า เขาไม่รู้หรอกว่าเราต้องต่อสู้ยากลำบากแค่ไหน โดนด่า โดนดูถูกแค่ไหน แต่เวลาอยู่ตรงนี้เขาอาจเห็นว่าเราประสบความสำเร็จ เรายังไม่รู้เลยว่าเราประสบความสำเร็จหรือเปล่า เราไม่ได้เห็นอย่างที่คนดูเห็น 

zine1

นักดนตรีที่อรอรีย์ชื่นชอบตอนนี้คือใคร

And So I Watch You From Afar ไม่ได้อยากโปรโมตอะไรเลยแต่มันดีมากจริง  มัน inspire พี่ พี่ว่าพวกเขาเป็นอัจฉริยะมากนะ มันต้องไม่ใช่มนุษย์ พี่คิดว่ามันเป็นเอเลี่ยนหรือเทวดา ไม่เคยฟังเพลงวงไหนแล้วชอบทุกเพลง ทุกอัลบั้ม มันคุ้มมากที่จะซื้อ บางทีบางวง อัลบั้มนึงจะมีแค่สองสามเพลงที่ชอบ ก็เจ๋งแล้ว แม้แต่ Nirvana หรือ Soundgarden ที่เป็นวงโปรดพี่ บางอัลบั้มก็ไม่ได้ชอบทุกเพลงนะ สำหรับพี่มันสามารถแทน Nirvana ในยุคนั้นได้ แต่อันนี้มันเป็น post rock หรือ instrumental เป็นวงไอริชที่ไม่ร้อง แต่วงนี้เล่นดีมาก พี่คิดว่าถ้าพี่จะทำอะไรอีกพี่อยากทำแบบนี้ ไม่ต้องร้องแล้ว เป็นซาวด์อย่างเดียว 

จริง  ก็มีวง post rock แบบนี้หลายวง แต่วงนี้เขาบอกว่าเพลงที่ทำออกมาได้แรงบันดาลใจจากทุกเพลงและทุกอย่างที่เขาชอบ พี่อยากทำอย่างนั้น เราไม่ได้ชอบแค่ร็อกหรือกรันจ์อย่างเดียว เราก็เป็นเด็กวัยรุ่นยุค 80s กลาง ๆ เราก็ชอบป๊อปอังกฤษ ชอบวง Wham! ชอบ Bananarama อะไรงี้ อย่างเพลงพี่ แฟนเพลงที่ชอบมาก  เขาจะสังเกตว่าดนตรีเราหนักก็จริง แต่เมโลดี้เราบางทีมันก็ป๊อปนะ เพราะเราได้อิทธิพลอย่างนั้นมา 80s ส่วน 70s music เราได้มาจากแม่ 90s ก็คือยุคที่เราโตมา แต่พอยุคนี้มัน blank อะ ยกเว้นวงนี้แหละ เพื่อนแนะนำมาให้เมื่อสองปีที่แล้ว เขาเคยมาเล่นที่ RCA แต่ตอนนั้นพี่ไม่ว่างเลยไม่ได้ไปดู ตอนนี้โคตรจะเสียดาย

จากนี้ไปจะไม่เลิกเล่นดนตรีแล้วใช่ไหม

จริง  เลิกเล่นไปนานแล้ว แต่ยังไม่เลิกแต่ง พี่ไม่ใช่นักดนตรี แต่เป็นนักแต่งเพลงมากกว่า คนที่เป็นนักดนตรีกีตาร์จะเป็นเหมือนอีกอวัยวะนึง ถึงจะเก่งแล้วก็ยังเล่นยังซ้อมหก เจ็ด แปด ชั่วโมง แต่พี่ขี้เกียจ เดี๋ยวนี้จะหยิบมาเล่นตอนจะแต่งเพลงหรือมีโชว์ คือชุดนี้ยอมรับว่าเหนื่อยชิบเป๋ง สิบปี you know! แล้วมันก็เหนื่อยใจ พี่ไม่ชอบทะเลาะด้วย พอทะเลาะแล้วมันกัดกร่อน มันท้อ ยิ่งศิลปินอย่างเราเป็นคนเซนสิทิฟ มันก็ไม่รู้จะทำทำไม ไม่ได้อีโก้นะ แต่เพราะเราไม่ได้อยากดัง ไม่ได้อยากได้เงิน ตรงนั้นไม่ใช่เป้าหมาย ทำไมทำแล้วโดนด่า ทำไมทำแล้วไม่เข้าใจฉัน ทำไมเข้าใจฉันผิด แล้วแบบนั้นจะทำทำไม เหมือนหาเรื่องใส่ตัว ก็มีเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ในวงที่ช่วยกันบิลด์ พี่อรอีกนิดเดียว คิดถึงแฟนเพลงไว้นะพี่ เขารอพี่มาขนาดไหน เราก็โอเคฮึดสู้ขึ้น เสร็จจนได้ อีกไม่นานค่ะได้ฟังอัลบั้มเต็มแน่นอน

เร็ว นี้จะไปเล่นสดที่ไหนไหม

19 สิงหาคม จะมีคอนเสิร์ตเด็กเทป ที่ JJ mall แล้วก็ช่วงสิ้นปีแต่ยังไม่คอนเฟิร์ม ยังไงติดตามกันได้ในเพจค่ะ

สนใจเล่นเห็ดสดไหม

ยังอยากฟังพี่เล่นอีกหรอ (หัวเราะสนใจ  ถ้ายังไม่คิดว่าเราแก่ไปนะ

head

ฝากอะไรถึงแฟนเพลงหน่อย

เพราะแฟนเพลงเนี่ยแหละค่ะถึงทำให้เพลงเสร็จมาได้ มันทำมานานแล้ว แล้วอย่างที่บอกว่า อัลบั้มชื่อ สักวัน Un Jour ภาษาฝรั่งเศสจริง  ก็คือ a day นั่นแหละ คือวันนึงในชีวิตฉัน มันสรุปได้ว่า ตอนแรกคิดว่าจบอัลบั้มนี้ก็จะเลิกเล่นแล้วนะ แต่มันก็ยังมีคนอยากฟังคนร้องเพลงเพี้ยน  อยู่อีก (หัวเราะพี่ off key ตลอดเวลา เนื้อก็ลืม แต่งเองยังลืมเลย แล้ววันนึงมันก็เจอหลายคน วันนึงก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับมาทำเพลงอีก จากวันนั้น มาเป็นอีกวัน อีกวัน จนเป็นสิบปี พี่ว่ามันน่าทึ่งมากสำหรับคนที่ไม่อยากทำแล้ว เลิกไปแล้วด้วยซ้ำ พี่รู้สึกดีมากที่ได้ทำให้ความฝันของตัวเองเป็นความจริง คือ  จุดนึงที่สองอัลบั้มแรกออกมา พี่ก็ไม่รู้ว่าการที่คนบอกว่าประสบความสำเร็จคือยอดขายดีหรือมีคนรู้จัก สำหรับเรารู้สึกว่าก็ดีระดับนึง แต่ตอนนี้พี่รู้สึกว่าพี่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักดนตรีแล้ว เพราะพี่ได้ไปถึงเป้าหมายตัวเอง นอกจากช่วยให้คนฟังได้มีทางเลือก หรืออย่างน้อยเขาฟังเพลงเราแล้วอิน เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา ซึ่งศิลปะส่วนใหญ่มันคือการย้ำเตือนคนว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้ เราเห็นอะไร แล้วเราก็เอามาประกอบ อย่างอัลบั้มนี้สิบปีพี่รู้สึกดีมากที่พี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้น้อง  หลายคนกลายเป็นนักดนตรีและสานฝันตนเองได้สำเร็จเช่นกัน รู้จากหลายคนที่ได้มาทำงานร่วมกับเราว่าเราทำให้เขาเติบโต เราภูมิใจ เหมือนเป็นโรงเรียนอรอรีย์ (หัวเราะ) ไหนจะคนที่มาเล่นดนตรีให้เราอีก ขอบคุณมาก  โชคดีมาก  งานคอนเสิร์ตต่อไปจะมีมือกลองคนใหม่ เพราะตอนนี้จุก็เป็นเถ้าแก่เนี้ยไปแล้วและกิจการรถกำลังไปได้สวย

ตราบใดที่ยังมีคนอยากให้ไปเล่นก็จะเล่น แต่คิดไว้เหมือนกันว่าอีกสองปีอาจเกษียณ ไม่เล่นแล้วนอกจากนาน ๆ ทีถ้ามีอะไรน่าสนใจก็จะไป อยากไปเล่นต่างจังหวัด อาจจะแบกกีตาร์ไปกับเบิร์ดเล่นอะคูสติก ใกล้ชิดแฟนเพลงหน่อยอะไรแบบนั้น กรุงเทพ ฯ ยอมรับว่าเบื่อแล้ว มันไม่มี venue ไหนที่ทำให้เราตื่นเต้นมาก  แล้ว ที่แรกก็เล่นสนามกีฬากองทัพบกอย่างที่บอก พี่ว่าศิลปินหลาย  คนเป็นแบบนี้ อย่างช่วงประมาณปี 2000 มีคอนเสิร์ต Bakery รวมศิลปิน พี่ขึ้นไปแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้เล่นเยอะ ไม่ดีนะ มันควรจะมีความตื่นเต้นบ้าง ปั่นป่วนนิดนึง แต่ตอนนี้มันก็เล่นเยอะขึ้นแล้ว มันก็ยังมีที่ตื่นเต้นบ้างอย่างที่ Play Yard แต่นั่นแหละ ปีนึงพี่ก็ไม่ได้รับหลายงาน ไม่อยากเล่นกรุงเทพ  แล้ว คนมันก็เดิม  format ก็เดิม  นี่มันเหมือนติ่งของ old chapter ที่รอปิดจ็อบ มันควรจะมี next chapter ได้แล้ว นอกจากจะได้เล่นที่ที่น่าสนใจ แปลก  มาก  จะไป ตอนนี้ให้รุ่นน้องมาแทน ไม่เย้ว ๆ แล้ว แต่เขียนเพลงคงยังทำไปเรื่อย  และก็ ยังไงรอฟังอัลบั้มเต็ม เพลงที่เหลือด้วย สำหรับพี่พี่ชอบทุกเพลงเลย กลั่นมาแล้วจาก 30 กว่าเพลง ติดตามได้ในเฟสบุ๊กว่าจะมี pre-order หรืออะไรยังไง รอติดตามกัน ขอบคุณมากค่ะที่ยังรักและคิดถึงกันอยู่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้