Article Story

‘Please Verify That You Are Not A Robot’ อัลบั้มเต็มชุดที่สองจาก Solitude Is Bliss

ในที่สุด Solitude Is Bliss วงดนตรีอัลเทอร์เนทิฟ ไซคีเดลิก โพรเกรสสิฟร็อก จากเชียงใหม่ ก็ได้เวลาปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่สองมาให้แฟน ได้รับฟังกันอย่างจุใจหลังจากรอคอยกันมานาน กับสไตล์ดนตรีที่เปลี่ยนไป ทั้งความรู้สึกที่ได้รับจากสุ้มเสียง สีสันที่พวกเขาเลือกจะถ่ายทอด ไปจนถึงการเรียบเรียงภาคดนตรีที่แม้จะไม่ค่อยกระโชกโฮกฮากเหมือนแต่ก่อน ทว่าแสดงถึงความใส่ใจรายละเอียดในทุกตัวโน้ตและห้องเพลง กับ 12 แทร็คที่มีความหลากหลายฟังได้ไม่มีเบื่อ ขอเชิญทุกคนไปรับฟัง Please Verify That You Are Not A Robot พร้อมกันได้แล้ว บัดนี้

Please Verify That You Are Not A Robot

Show Time

เป็นการพาคนฟังเข้าสู่เรื่องราวบทใหม่ของ Solitude is Bliss แบบไม่มีความเกรงต่อคนฟังว่าจะเกิดอาการเหวอ (แต่เราชอบมาก กล้าดี) เพลงนี้มีการเรียบเรียงที่ร้ายกาจมากแม้จะมีเมโลดี้ร้องที่สดใส เพราะดนตรีคือการผสมเอาอัลเทอร์เนทิฟร็อก มาไว้กับวิธีดีดสายที่ฟัง ไปก็มีความหมอลำ คีย์บอร์ดมาความมัวเมา แล้วสัดส่วนในเพลงก็เปลี่ยนไปเรื่อย การลงท่อนร้องในห้องเพลงก็ประหลาดไปหมด แล้วเบสพุ่ง ในเพลงที่สอดประสานมากับเธเรมินในเพลงคือชวนป่วนประสาท จากนั้นกีตาร์แจ๊สที่แทรกเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย บีตกลองที่ตีสลับจากแจ๊ส สู่ฟังก์ และร็อกสาด ที่การร้องใส่อารมณ์ไม่แคร์ใคร ส่วนผสมยุบยับตรงนี้แหละที่ทำให้แทร็คแรกของพวกเขาเพลินหูชวนให้เราติดตามเพลงที่เหลือ

Dream on, Ice Cream

เสน่ห์ของดนตรีไซเคเดลิกกับโพรเกรสซิฟร็อกแบบ Solitude is Bliss กลับมาในเพลงนี้ บางช่วงตอนทำให้นึกถึงเพลง ระบายกับเสียงเพรียก จากชุดแรก มีพาร์ตดนตรีที่เลือกใช้ซาวด์ใส เข้ามาทำให้เราเห็นเป็นสีรุ้งแบบที่เขาร้องในเพลง แฝงไว้ด้วยท่อนสุดทริปที่เกริ่นมาก่อนด้วยการเคาะขอบสแนร์ ก่อนจะพาเราหลุดไปอยู่ในแดนมหัศจรรย์ผ่านเสียงพรมนิ้วลงคีย์บอร์ด แล้วก็ได้ล่องลอยในท่อนหนืด ของสโลวร็อกสุดรื่นรมย์ ว่าง่าย อารมณ์ประหนึ่งฟัง Pink Floyd ผสมโรงกับ The Beatles ชุด Magical Mystery Tour

เพียงสิ่งเดียว

เพลงที่ถูกนำมาเล่นสดในโชว์พักหลัง ของพวกเขาก่อนที่จะปล่อยอัลบั้มชุดนี้ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างท่วมท้น และสังเกตได้ว่าหลาย คนจะร้องตามได้ในเวลาไม่นาน ความน่าสนใจคือเมโลดี้ฟังง่ายและไพเราะในตัวของมัน แต่กลับมีเนื้อหาที่ดูออกไปในทางลบ ทว่าเราก็ไม่เข้าใจความหมายของมันทั้งเพราะเพราะเพลงก็มีความนามธรรม จนเราตั้งข้อสงสัยว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร (จะเป็นสิ่งเดียวกับในโฆษณาก่อนหนังฉายในโรงอันนั้นหรือเปล่านะ) กลับมาที่พาร์ตดนตรี การร้องเสียงสูง ของเฟนเดอร์สอดประสานกับเสียงซินธิไซเซอร์ได้อย่างถูกที่ถูกทาง ส่งรับกับท่อนร้องฮัมเป็นเมโลดี้ของท่อนเวิร์สได้อย่างงดงาม แอบมีการใส่เสียงคล้ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส่งสัญญาณวี้ด ในช่วงประสานเสียง ก่อนจะดึงกลับเข้าฮุกที่พลังพุ่งพล่าน แต่เป็นพลังที่ทำให้รู้สึกว่าเฟนเดอร์พ่นไฟออกมาเป็นสายรุ้ง ก่อนจะคลี่คลายในท้ายเพลงอย่างเรียบง่าย แต่ก็แอบแฝงไว้ด้วยเมโลดี้เมา ตามสไตล์

Real Robot

อารมณ์ถูกตัดกลับมาแบบเหงา หม่น งง ให้ความรู้สึกเหมือนฟังชุด Amnesiac ของ Radiohead ทั้งการทอดเสียงร้อง เสียงกีตาร์ไฟฟ้าที่ล้อไปกับเสียงคีย์บอร์ด แต่ที่ชอบมาก คือมีการตัดเข้าเสียงประสานเพื่อสร้างเลเยอร์ที่น่าสนใจ กลายเป็นแอมเบียนต์ชวนฉงน พร้อมกับเสียงกังวานของกีตาร์โปร่ง และยังคงเก็บลูปกีตาร์กับคีย์บอร์ดก่อนหน้าไว้ครบถ้วน ช่วงท้ายมีความเป็น world music จากเสียงกลองและลิกกีตาร์ที่งัดมาเล่น มีอารมณ์แบบ มนต์สิทธิ์ คำสร้อย มือนี้อย่าให้ใครมาจับ แถ่แด๊แด๊ด แท้แดแด่ แบบเอาออกจากหัวไม่ได้ แต่ตอนท้ายเพลงก็สาดเอาความเป็นอัลเทอร์เนทิฟร็อกเท่ กับเสียงซินธิไซเซอร์คล้ายการส่งสัญญาณจากสถานีอวกาศที่ชูขึ้นมาเป็นตัวเอกในท่อนโซโล่ร่วมด้วยกลองสุดคลั่ง

Glory Will Come Last

โอ้โห ดนตรีได้ฟีลวงการาจร็อก 2000s อย่างนั้นเลย เซอร์ไพรส์มากกับการได้ฟังซาวด์แบบนี้จาก Solitude Is Bliss แล้วก็มีการร้องรับส่งสวนกันน่ารักมาก แล้วก็วิธีร้องดูซื่อ แบบเพลงสตริงคอมโบสมัยก่อน บวกกับซาวด์กีตาร์ทื่อ ชวนคิดถึง Saliva Bastard หรือวงการาจทั้งหลายจาก Panda Records ก็ไม่ปาน กับอีกความเท่คือไลน์เบสในเพลงนี้ แล้วก็มีท่อนเร่ง กลองตีแครชในพรีฮุก แล้วส่งเข้าฮุกที่มีเสียงกรุ๊งกริ๊งพร่างพราว แล้วชอบมากที่ร้องว่าว้าวากับรอก่อนเชื่อมกันแล้วก็เฟดเอาต์กันไป เป็นเพลงสนุก สำหรับเด็กแก่ในอัลบั้มนี้ที่เราขอแนะนำ

Apple

ได้ฟีลแบบเพลงโฟล์กปลายยุค 60s ต้น 70s ยังไงยังงั้น สไตล์การร้องและเมโลดี้เพลงสดใส ฟังแล้วผ่อนคลายด้วยเสียงประสานและเสียงคีย์บอร์ด ชอบความเรียบง่ายของเสียงกีตาร์ กลอง และการร้องฮัมไปเรื่อย เหมือนเป็นยุค movement ของร็อกเกอร์ยุค Woodstock อะไรเทือกนั้น ดนตรีเพราะมากโดยแทบไม่ต้องมีลูกเล่นอะไรเลย

Note From the Garret (2.00 AM)

จ้ะ EP เรามี 4.00 AM อัลบั้มแรกเรามี 3.00 AM ดังนั้น ชุดสองเราก็มี 2.00 AM จ้า ดนตรียังคงความหม่นแต่เรียบง่ายไว้ด้วยกีตาร์โปร่ง มีเสียงประสานและซาวด์ดีไซน์สุดเคว้งคว้างทำให้จมอยู่ในภวังค์ที่ร้องวนว่าหลอกตัวเองฟังแล้วเห็นภาพบรรยากาศที่เราติดอยู่ในห้องใต้หลังคาแบบที่ เบียร์ มือกีตาร์ร้องเอาไว้ เป็นเพลงที่ได้ฟีลแอมเบียนต์ดาร์ก ที่ฟังดูน้อยแต่ยิ่งใหญ่เหมือนกันนะ

Flow State

เป็นอีกเพลงที่เบียร์อาสาร้องเอง (เนื้อเสียงของเฟนเดอร์กับเบียร์จะคล้าย กัน คือจะมีความขึ้นจมูก แต่เบียร์จะเสียงแหลมสูงกว่า) ปล่อยความ world music รัว เลยอัลบั้มนี้ จากที่จม อยู่ก็ถูกดึงกลับมาที่เพลงโจ๊ะ ฟังแล้วอยากลุกขึ้นมาเต้น เนื้อหาในเพลงก็มีความไซเคเดลิกอยู่เต็มเปี่ยม มีเสียงเครื่องสายที่เราได้รู้มาว่านั่นคือเสียงซึงที่ถูกเอามา reverse ทำเป็น backmasking แล้วยังมีเสียงซิตาร์สุดโดดเด้ง ชอบเสียงหวีดหวิวและลูปที่รบกวนการฟังตลอดเวลา ได้ความ Tomorrow Never Knows มาก แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะแม่ คือมันสนุกมาก กับการแผดร้องตอนท้ายเพลง ม่วนขนาด

Yellow Line

ดนตรีเท่ ที่ผสมเอาอัลเทอร์เนทิฟร็อกอเมริกันสไตล์ มีความลุ่มลึก ดูหม่น ลึกลับ เป็นอีกเพลงที่เบสโดดเด่น ท้ายเพลงเท่มาก เพียงแค่ว่าลูกเล่นไม่แพรวพราวเท่าแทร็คอื่น แต่ชอบมากกับตอนท้ายที่ดีดคอร์ดนิดนึง แล้วก็เสียงร้องกระเส่าในเพลงนี้โคตรเท่เลย ก่อนจะปิดท้ายด้วยเสียงดิจิทัลของคีย์บอร์ดจิ้มน้อย ละมีเสียงแบบวิ้ง ๆๆ กรุ๊งกริ๊ง วิ่งวนในหัว

Monsicha

เรานึกถึง Luke ขึ้นมาทันที แต่เมโลดี้ช่วงกลางเพลงคือเพราะมาก ฟังแล้วขนลุกน้ำตาซึม ช่วงท้ายเพลงมีความเป็นเพลงสรรเสริญ กับการที่ทุกเครื่องดนตรีประโคมเล่นออกมาอย่างไพเราะ ฟังแล้วรู้สึกหัวใจพองโต แต่เอาตามตรงเพลงนี้ก็มีความ Dear Prudence ของ The Beatles ไปอีก

สกุณา (Golden Whistle)

โอ้ย การเปรียบเทียบเชิงสัญญะในเพลงนี้ค่อนข้างชัดเจนและร้ายกาจ อยากจะให้ไปลองตั้งใจฟังกันเองดี นอกเหนือไปจากนี้คือดนตรีเท่ชิบหายเลยพี่น้อง การไล่สเกลกีตาร์ ความดุดันของเบส คีย์บอร์ดป่วนประสาท ฟังไปฟังมาก็ได้ฟีลแบบ Lucy In The Sky With Diamonds แล้วเพลงนี้ยังเด่นด้วยการประสานเสียงสุดเริงรมย์ใจ แต่ฟังไปเพลิน ได้ไม่ทันไรก็พบกับความกวนโอ๊ยสุด ด้วยการที่พวกเขายัดเอาท่อนดนตรีสุด cheesy ประหนึ่งเพลงป๊อปบัลลาดจากค่ายใหญ่เข้ามาในเพลง (ขออุทานในใจดัง ว่าสั๊สเกรียนมาก ชอบ) แล้วก็ตบกลับมาที่ความเวิ้งว้างชวนฉงนตามแบบฉบับของวง เอาจริงว่าชอบมากกับท่อนดิ๊ดปิ๊ดปี้ ดีดิบปิปปี้ชัดขนาดนี้ใครไม่เก็ตก็บ้าแล้วววว

Actions Speak Louder Than Words

เดินทางกันมาถึงเพลงสุดท้ายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว บอกตามตรงว่าเพลงในชุดนี้มันเพลินมากจริง ฟังยิงยาวได้แบบไม่รู้สึกขัดหูหรือเหนื่อยอะไรเลย ค่อนข้างเซอร์ไพรส์กับการที่มีดั๊บด้วยเพลงนี้ การเกากีตาร์ประหนึ่งฮาร์ปในดนตรีคลาสสิกก็สะกดเราได้อยู่หมัด ไหนจะมีเสียงเครื่องสาย ท่อนฮุกและท้ายเพลงลูปกีตาร์กับเรียบเรียงคล้ายบาโร้กเพราะมีเสียงฮาร์ปซิคอร์ด เป็นอะไรที่อิ่มเอมเหลือเกิน แล้วตอนท้ายก็ตบกลับมาเป็นอัลเทอร์เนทิฟร็อกสุดเซ็กซี่พร้อมเสียงร้องฮัมคลอไปจนจบ แต่บอกตามตรงว่าการเลือกเพลงนี้มาเป็นเพลงจบก็ทำให้เราซึมไปเหมือนกัน

ทั้ง 12 เพลง จากอัลบั้ม Please Verify That You Are Not A Robot คือความน่ายินดีที่เราโหยหามาแสนนาน แม้ว่าดนตรีในชุดนี้จะได้รับอิทธิพลมาจากวงชั้นครูมากมาย แต่พวกเขาก็ถ่ายทอดออกมาในแบบของตัวเองที่เราไม่ขัดซักนิด ทั้งขอบขีดของความสามารถ และวิธีที่เลือกสรรมาบรรยายความเป็น Solitude Is Bliss ผนวกเข้ากับสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจ แถมยังหลงเหลือกลิ่นอายของ EP และอัลบั้มชุดก่อนหน้าที่ทำให้เราค่อนข้างต่อได้ติด

แต่ขอบอกไว้ก่อนว่านี่เป็นเพียงส่วนนึงในความคิดของเรา อยากให้เพื่อน ได้ลองฟังเองแล้วตีความกันดู แต่ถ้าอยากรู้ความหมายจริง ๆ ของแต่ละเพลง ขอรออ่านบทสัมภาษณ์ที่จะพาไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังของทั้ง 12 เพลงจากอัลบั้มนี้ บอกเลยว่าคาดไม่ถึงแน่นอน ส่วนวันพุธนี้ก็อย่าลืมไปเจอกับพวกเขาที่ Mutual Bar พร้อม acoustic set ที่ไม่ได้หาดูได้ที่ไหนง่าย และวันพฤหัส ที่ Black Cabin แบบ Full Show แถมทั้งสองงานนี้ยังมี Stoic มาเล่นเป็นวงเปิดด้วยแหละ ห้ามพลาดเลยนะ !!

อ่านต่อ

Solitude is Bliss : Spiritual Journey

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้