Article Story

ชวนสาย Blues, Rock N’ Roll แวะ Sun Studio ตามรอย Elvis Presley ที่ Memphis

  • Story and photos by Montipa Virojpan

3 Days in Memphis—Home of the blues. Birthplace of rock n’ roll.

เราคิดมาเสมอว่า Memphis คือแดนคนเถื่อนมันมาจากความเชื่อผิด ของเพื่อนร่วมงานชาวรัสเซียในร้านอาหารที่เราไปเป็นเด็กเสิร์ฟในเมืองเล็ก ชื่อ Gatlinburg รัฐ Tennessee ด้วยเหตุผลที่ว่าเมมฟิสมีประชากรแอฟริกันอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เราเชื่อว่าการเป็นคนดีหรือคนไร้ศีลธรรมมันไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติมั้ง แต่สุดท้ายแล้วเราก็พาตัวเองมาเหยียบเมมฟิส และยังไม่เจออะไรที่เป็นแจ็กพอตอย่างที่เพื่อน กลัวกันพูดไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจขับผ่านที่พักไปประมาณ 4-5 คัน

สองสัปดาห์ก่อนแผนพักร้อน 5 วันจะเริ่ม เรากับเพื่อนชาวไทยชั่งใจกันนานมากว่าจะไปเที่ยวที่ไหน Florida เป็นจุดหมายที่หลาย คนอยากไปเยือนระหว่างการมา Work & Travel ที่ร้าน Bubba Gump Shirmp Co. ร้านเดียวกันกับที่ถูกพูดถึงในหนังเรื่อง ‘Forrest Gump’ นั่นแหละ แต่เราก็ติดเงื่อนไขตรงเงินที่มีอยู่ ถ้าจะไปฟลอริด้าจริง คงหมดไปกว่าครึ่งหนึ่งของที่หามาได้แน่ ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ใกล้ แทน Michigan เป็นที่แรก ที่โผล่มาในหัว เพราะเคยมีลูกค้ามากินที่ร้านแล้วบอกว่าอยากให้เราไปเที่ยวเมืองเขา มีที่พักให้ ชวนเพื่อนไปได้ แล้วจะพาทัวร์ด้วย แต่ก็ติดที่ค่าตั๋วที่แพงแสนแพง และจริง แล้วมันไกลกว่าฟลอริด้าอีก หวยเลยมาลงแบบงง ที่เมมฟิส เพราะเป็น ‘Home of the blues. Birthplace of rock n’ roll.’

ทันทีที่ตัดสินใจว่าจะไปที่นี่แน่ แบบตัวคนเดียว ก็มีหลายต่อหลายคนบอกว่า ‘มันอันตรายนะ จะไปจริง เหรอเราก็แอบหวั่น แต่น้ำพุกับคารีนเพื่อนคนไทยของเราก็ตัดสินใจมาเสี่ยงตายด้วยกัน ก่อนนั้นประมาณ 5 วันเราก็จองรถทัวร์ Greyhound ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งเอกชนของอเมริกาที่มีชื่อเสียในแง่ความสะดวกสบายและการบริการประมาณนึง (ชื่อเสียจริง ไม่ได้พิมพ์ผิด) แต่เราโนแคร์เพราะงบจำกัด และจองที่พักที่ Econo Lodge ในตัวเมืองด้วยแพ็กเกจถูกแสนถูกเป็นที่เรียบร้อย

กลับมาที่หน้าคอม เราต้องทำการบ้านหนักมากเพราะเป็นการเที่ยวต่างแดนด้วยตัวเองครั้งแรก และเพิ่งรู้มาว่าเป็นเมืองที่ติดอันดับ top 5 เมืองที่อันตรายที่สุดในสหรัฐ (อา.. ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าที่เพื่อนรัสเซียมันท้วงติงกันเป็นเพราะเหตุนี้) แต่จุดนี้คงเปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว เลยเช็กระบบขนส่ง ผังเมือง ที่เที่ยว ของกิน ทำลิสต์ไว้ยาวมาก ดูอีเวนต์ที่จะจัดในเมืองช่วงที่จะไป ปรากฏว่ามีงาน World’s BBQ Championship คือนอกจากที่นี่จะดังเรื่องเพลงบลูส์ ร็อกแอนด์โรล โซล คันทรี แล้วยังดังเรื่องบาร์บีคิวด้วย

วันสุดท้ายของการทำงานที่ Bubba Gump ก็มีเรื่องดี หลายเรื่อง อย่างการได้เจอลูกค้าที่น่ารักมากอยู่หลายโต๊ะ เหมือนเป็นแรงขับให้เราพร้อมไปเปิดรับประสบการณ์ใหม่ที่รออยู่ข้างหน้า ส่วนวันเดินทางจริงเราติดรถเม็กเพื่อนร่วมงานชาวมองโกลให้เขาขับมาส่งที่ท่ารถ Greyhound ใน Knoxville เม็กพาพวกเราเที่ยว West Town Mall ที่เป็นแบบห้างทั่ว ไป กับ Market Square ที่อารมณ์คล้าย สยามสแควร์ขนาดย่อมกันนิดนึงก่อน แต่ที่เด็ดสุดคือมีแบรด์เสื้อ Urban Outfitter เพิ่งมาเปิดใหม่ และเสียดายมากที่เมื่อเสาร์ที่แล้วมี Washed Out มาเล่นใน opening party (สุดท้ายได้มาดูสด ที่งาน Maho Rasop ที่ผ่านมา) แต่ก่อนจะเดินทางก็มีเรื่องให้เฟลกันต่อเมื่อเดินผ่านโรงละคร Bijou Theatre แล้วเห็นว่า Father John Misty จะมาเล่นในคืนนี้ที่กำลังจะเดินทางพอดี (แต่หลายปีต่อมาหลังจากที่เขียนบทความนี้ก็ได้ไปดูที่เฟสติวัลอื่นแล้วเช่นเดียวกัน เย่)

พอถึงท่ารถ พวกเราบอกลาเม็กแล้วยื่นตั๋วที่ปรินต์ออกมาให้พนักงาน รถคันที่เราได้นั่งเป็นรถรุ่นเก่า ไม่มีปลั๊กไฟ ไม่มีไวไฟ เอาง่าย ว่าง่อยมาก คนที่นั่งข้างหลังเราก็นั่งคุยกันเสียงดัง หันหลังไปพูดแบบสุภาพ ว่าขอโทษนะคะ เบาเสียงนิดนึง จะนอนค่ะ’ (เสียงสองพร้อมยิ้มอ่อน) แล้วสองลุงป้าก็สวนกลับมาว่าก็ย้ายไปนั่งข้างหลังแทนสิแล้วก็ขำกัน รู้สึกโดน discriminate เบา แต่เราขี้เกียจต่อความเลยต้องข่มตาหลับค่ะ สุดท้ายก็หลับ ตื่น พอเช้ามืด เราก็สะลึมสะลือตื่นมาดูวิวข้างทาง อยากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับที่บ่นไปเมื่อกี้แล้ว เมมฟิสสวยมาก ทุ่งหญ้าเขียว เนินเขากว้างสุดลูกหูลูกตา แต่พอถึงสถานีค่ะ โอ้โห สถานีชิคมาก ดูไฮโซ เหมาะกับที่จะเป็นเมืองท่องเที่ยวต้นตำรับ Elvis Presley สุด

จากนั้นไม่นานเราก็หาข้าวเช้ากินในสถานีแล้วขึ้นรถเมล์นั่งต่อไป Downtown ก็ใจตุ้ม ต่อม ประสาคนตื่นที่ใหม่ว่ารถจะมาไหมหวา ยิ่งโดนค่ารถเมล์ไป $1.75 ก็ช็อกเล็กน้อยเพราะแพงกว่าที่แกตลินเบิร์กมาก แต่พอขึ้นมาแล้วถึงก็รู้ว่าเขาวิ่งระยะยาวและคิดอัตราเดียวตลอดสายเลยแพง เอาจริงว่าการขึ้นรถเมล์เมมฟิสทำให้คิดถึงเมืองไทยมากคือเป็นสภาพรถติดแอร์แต่คนขับฝีเท้ารถแดงอะค่ะ คารีนบอกว่า ที่เขาบอกว่าเมมฟิสอันตรายนี่ไม่ใช่คนดำน่ากลัวหรอก แต่จะตายเพราะรถเมล์ซิ่งนรกยกล้อมากกว่า สวดมนต์มาได้ตลอดทางก็โล่งใจเมื่อถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ เช็กอินเรียบร้อย แต่ไม่ทันไรก็ได้ตุ้ม ต่อม กันอีกรอบที่ลิฟท์ค่ะ ความดีงามคือเปิดเพลง Muzak สุดรื่นรมย์ (แบบที่เขียนในบทความนี้เด๊ะ ) แต่สภาพลิฟต์นี่จะพังแหล่ไม่พังแหล่ ถึงห้องพักก็ล้างหน้าแปรงฟันพร้อมออกลุย สตาร์ทวันแรกของ ‘Memphis low cost trip’ กันที่ 10 นาฬิกา เปิดดูแพลนที่วางไว้ว่าที่แรกที่เราจะไปคือ Sun Studio

เรากับเพื่อนพากันเดินไปตามแผนที่ที่ปรินต์มาจากเน็ต หลงไปหลงมาจนไปเดินบนถนนเปลี่ยว นึกว่าหลงอยู่ในหนังซอมบี้เพราะมันไม่มีคนเลย แล้วกันดารมาก ด้วยความตื่นที่ใหม่ พอเห็นคนเดินมาเป็นกลุ่ม ดูหน้าโหด ข้างหน้า เราก็พากันข้ามถนนไปเดินอีกฝั่ง เจออีก ก็ข้ามอีก แต่ไป มา ก็ไม่กลัวแล้วเพราะทั้งเมืองนี้มีแต่พวกเราที่เป็นเอเชียน ที่เหลือเขา local จริง  

แดดแรง เหงื่อไหล ขาเริ่มล้า เริ่มท้อ เราบ่นกระปอดกระแปดเพราะความ panic ในเพื่อนมนุษย์และความเหนื่อย พอคารีนเห็นป้ายรูปกีตาร์ใหญ่ เท่านั้นแหละ กรี๊ดเลยจ้า ในที่สุดก็มาถึง Sun Studio สถานที่ที่สร้างชื่อให้ศิลปินในตำนานหลาย คนทั้ง Elvis Presley, B.B. King, Johnny Cash บอกตรง ว่าขนลุกทันทีที่เหยียบเข้าไป กลิ่นห้องเก่า มา บรรยากาศ 40s 50s 60s ก็มา มันทำให้เราชวนนึกย้อนไปว่าสมัยที่ศิลปินเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเคยหายใจอยู่ในอาคารเล็ก หลังนี้

อีกเหตุผลที่เลือกมาที่นี่เพราะในบล็อก ilovememphis.com บอกว่า ทุกคนต้องมาลองมิลก์เชกของที่นี่ให้ได้ พอเดินดูนิทรรศการกันจนฟิน มีตั้งแต่ประวัติก่อตั้ง Sun Studio การปั้นศิลปินแต่ละคน ได้ฟังเสียงบรรยากาศที่ The Million Dollars Quartet (jam session ของศิลปินทำเงินผู้โด่งดังทั้ง Elvis Presley, Jerry Lee Lewis, Carl Perkins และ Johnny Cash ร่วมทำด้วยกัน) คุยกันตอนทำเพลง

พอเดินจบก็มาคิดได้ว่า เราสามคนเป็นกรุ๊ปที่เด็กที่สุดเลยนี่หว่า มีแต่รุ่นลุงป้าตายายมาทั้งนั้น ตอนที่ได้ลูบคลำไมค์ที่เอลวิสเคยอัดเสียงสมัยอยู่กับ Sun Records กันพอประมาณ ก็ได้เวลาลองชิมมิลก์เชกที่เขาร่ำลือ ดูดไปอึกแรกเท่านั้นแหละ อื้อหือ มันฟินมาก ไอศกรีม 4 สกู๊ปใหญ่ ปั่นนม ใส่ Hershey’s syrup เข้มข้น หวาน มัน เอาใจหนูไป $4 นี่ถูกกว่าที่แกตลินเบิร์กอีกค่ะ

พออิ่มหนำสำราญ เป้าหมายต่อไปคือ Graceland แดนเอลวิส ทีแรกว่าจะไม่ไปแล้วเพราะค่าเข้าแพงมาก แต่เคราะห์ดีเพราะที่นี่ให้ความสำคัญกับนิสิตนักศึกษา มีส่วนลดพิพิธภัณฑ์เกือบทุกที่ ซึ่งไหน มาถึงแล้ว ก็ขอจัดแพ็กเกจที่ถูกที่สุดละกัน

ความดีงามคือที่ Sun Studio ก็มีบริการ free shuttle ไปยัง Graceland, Beale Street, Rock N’ Soul Museum และ Downtown ระหว่างนั่งรอรถเราก็เจอคุณฝรั่งผมทองคนนึงยืนรอด้วย แล้วนางทำแผนที่ปลิว เราจะเข้าไปช่วยเก็บ แต่นางเอาเท้าเกี่ยวไว้ทัน ก็หันยิ้มให้กันนิดนึง เราเลยถามนางว่าจะไปบ้านเอลวิสหรอ นางบอกใช่ ไป มา ก็ได้รู้ว่านางชื่อโมนิก้า เป็นครูสอนภาษาสวีดิช มาจากสวีเดน นี่เป็นนักปั่นจักรยานเที่ยวรอบโลกด้วย โมนิก้ามาคนเดียว ปกติเธอจะปั่นไปไหนมาไหนเอง แต่วันนี้ปวดเข่าเลยนั่งรถเอา โมนิก้าเป็นคนที่คุยแล้วเกิดแรงบันดาลใจจนเราอยากปั่นเที่ยวรอบโลกแบบเขาบ้าง เราถามเธอว่าปั่นคนเดียวกลัวไหม เธอบอกว่าไปไหนก็อันตรายหมดแหละ ทุกคนบอกฉันอย่างนี้ทั้งนั้น ก็มันเป็นที่ใหม่ เราเองก็แปลกที่ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ขอแค่มีสติก็พอเท่มาก แล้วเราก็ยึดคำของโมนิก้ามาใช้ในการท่องเที่ยวเดินทางตลอดจนถึงทุกวันนี้

พอถึงที่หมายเราก็คลาดกับเธอ ที่ Graceland เป็นนิทรรศการที่ทำให้คนที่ไม่เคยฟังเพลงเอลวิสอย่างคารีนรู้สึกอินได้ โดยการเดินเที่ยวรอบบ้านเอลวิสเขาจะให้เราฟังเสียงบรรยายจากวิทยุที่ให้ติดตัวคนละอัน มีเสียงเอลวิสในเทปด้วย

เราได้ดูทุกซอกทุกมุมของบ้าน ยกเว้นชั้นบนเขาห้ามขึ้นเพราะน่าจะเป็นแพ็กเกจ VIP ตอนที่ได้เข้า Hall of Fame นี่ถึงกับฟินน้ำตาไหล พอเดินออกมาก็ไปเจอหลุมศพตระกูลเพรสลีย์ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอ ไม่งั้นคงเตรียมของมาวางเป็นอนุสรณ์ให้แล้ว

จนแล้วจนรอดก็พลาดสิ่งนึงที่บล็อก ilovememphis.co บอกให้ทำที่นี่ คือการเขียนกำแพงบ้านเอลวิส มานึกได้ตอนอยู่บนรถที่ขับออกมาแล้ว แล้วมันขับผ่านกำแพงที่เต็มไปด้วยลายมือของผู้มาเยี่ยมเยียน เราเลยทำได้ก็แค่มองตาละห้อย แต่แล้วก็วกมาเจอโมนิก้ากันอีกครั้ง คุยกันต่ออีกนิดหน่อยเขาก็ถ่ายรูปพวกเราเอาไปลงบล็อกเขาแหละ ตามดูได้ที่ crazyguyonabike.com เซิร์ชว่า Monica Nyberg เสียดายที่ตอนนั้นก็ไม่ได้ขอถ่ายรูปด้วยกัน จนเราเผลอหลับแล้วเขาก็ลงรถไป ป่านนี้คงปั่นข้ามรัฐไปไหนต่อไหนแล้ว

พอถึง Beale Street อีกสถานที่ที่เป็นไฮไลต์ของเมมฟิสที่ล่อให้เดินเล่นหลงแสงสี ถ้า Downtown Memphis คือสยาม Beale Street คือข้าวสารบ้านเรา อย่างไรก็ดี การเดินผ่านป้ายไฟ Memphis ที่เลื่องชื่อ กับ Coyote Ugly Bar และลาน Pepsi Pavilion ที่มีวงบลูส์มาเล่นสดเก๋ การกระโดดกลางลานหน้า FedEx Forum มันคือความฟินอย่างหาที่สุดไม่ได้

ระหว่างรอกินข้าวเย็นก็ลังเลว่าจะไปไหนต่อ เล็ง Gibson Factory ซึ่งเป็นโรงงานทำกีตาร์ที่ใหญ่มากแต่ดันหมดรอบทัวร์ของวันนั้นแล้ว เลยมาเข้า Rock N’ Soul Museum แทน เสียไป $11 ไม่ได้ลดราคา และพบว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าเบื่อมาก เหมือนมาดูพาร์ตสั้น ของ Sun Studio ซ้ำ กับเรื่องราวของค่ายเพลงอื่นนิดหน่อย รวมถึงต้นกำเนิดเพลงเทือกนั้น แบบเผิน แต่ไม่บันเทิงเลย พอออกมาจากที่นั่นก็คิดเหมือนกันทุกคนว่า ขอ refund ตั๋วได้มั้ยน้า

แล้วเราก็ออกมาเตร่ริมถนน เจอ pop up gallery เล็ก นี่เป็นงานของศิลปินกลุ่ม Apexart ที่ขนกันมาจาก New York งานเก๋ ที่เอาประเด็นสังคมมะกันมาถ่ายทอดไปร่วมไปกับศิลปะร่วมสมัย เขาว่าจะมีงานจัดทั่ว เมมฟิส ลองเช็คดูได้ที่ www.apexart.org จากนั้นก็เริ่มท้องร้อง พากันไปกินข้าวที่ Beale Street เลือกเข้าร้าน King’s Palace Cafe เพราะมีดนตรีสด สั่งไก่มากินจานเบิ้มมาก แพงมาก กินไม่หมด เฟล แต่ฟินเพลงนะ เป็นสไตล์บลูส์แท้ แม้จะเล่นคัฟเวอร์ แล้วก็ไปเดินเลียบแม่น้ำ ดูพระอาทิตย์ตกที่แม่น้ำ Mississippi เพราะอีกหนึ่งอย่างที่บล็อกนั้นบอกคือ ให้เอานิ้วจุ่มน้ำ เพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่พวกเราก็บ้าทำกันจริง

พอตอนจะเดินกลับบ้านกะว่าถึงห้องจะวางแผนสำหรับวันต่อไป แต่เอาเข้าจริงพอเปิดประตูเข้ามาก็งีบที่โซฟาหลับคาไอโฟนเลยค่า

วันที่ 2 ที่เมมฟิส เห็นวิวพระอาทิตย์สะท้อนตึกระฟ้า มองไปไกลอีกหน่อยเห็นแม่น้ำมิสซิสซิปปี เปรมมากกกก

สำหรับวันนี้กะให้เป็น green tour คือเที่ยวดูสวนดอกไม้ สวนสัตว์ อะไรก็ว่ากันไป เปิดแผนที่ดู Google Map คำนวณเวลาอย่างดี แต่พอออกไปรอรถนานมากกกก แต่พอรถมาก็ซื้อตั๋ว day trip คุ้มจริง $3 เที่ยวได้รอบเมือง จะไป Midtown, Downtown, Germantown, Southeast ราคานี้ใช้ขึ้น trolley รอบดาวน์ทาวน์ได้ด้วยค่ะ รักมาก ก็นั่งรถชั่วโมงกว่า มั่วเส้นทางมากจนเลยมาป้ายนึงเขาเลยบอกให้เดินย้อน จริง เราเช็กข้อมูลมาถูกต้องแล้วนะว่าต้องขึ้นสายนี้ แต่เผอิญว่าเจอแจ็กพอตที่คันนี้ไม่ได้วิ่งเส้นทางปกติ ต้องเดินต่ออีก 15 นาทีก็เจอจุดหมายค่ะ มาถึงแล้ว Dixon Garden and Gallery กับ Memphis Botanic Garden

เลือกเข้าที่แรกก่อน มีสวนสวย ให้เดินดูทั่ว ขอบอกว่าสวนกุหลาบหอมมาก ลมพัดกลิ่นฟุ้งทั้งสวน แล้วเข้าไปในโซนแกเลอรี อยากบอกว่ามันเก๋มากกก งานศิลปะของนางที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสายน้ำ และงานจัดแสดงเครื่องประดับ Bijoux จากฝรั่งเศส มันมีลายเส้นดราฟต์ที่ละเอียดมาก จนจำเทคนิคเขาจะมาวาดงานตัวเอง แบบทำได้ไง คนปี 14xx-17xx เขาล้ำขนาดนี้เลยหรอ แม้แต่ของที่ทำเสร็จแล้วยังโคตรละเอียด บางงานนึกถึงเครื่องประดับนางรำเลยฮะ สวยแบบอยากเอากลับบ้าน พูดถึงตัวพิพิธภัณฑ์ เหมือนเป็นคฤหาสน์ที่เจ้าของรวมทุนกับสหายช่วย กันจัด มีของโชว์เยอะมาก ดีไซน์ดีมาก หรูมาก ถ้ามีเวลาคงอยู่ทั้งวัน แต่ก็มีอีกหลายที่รออยู่

Memphis Botanic Garden จัดสวนเป็นโซน ไฮไลต์เลยอยู่ที่ My Big Backyard เป็นสวนน่ารัก จัดกระถางต้นไม้กับอุปกรณ์ในสวนเป็นเหมือนห้องต่าง ๆในบ้าน เหมาะจะมาเที่ยวเป็นครอบครัวมาก

เราก็เดินเล่นลืมร้อน ผ่านมาถึงสวนไอริส สวนกุหลาบ สวนไฮเดรนเยียร์ (ที่ไม่มีดอกแล้วสวนญี่ปุ่นปลอม มีปลาคาร์ปอดอยากกับห่าน และหงส์ที่ตัวใหญ่มาก ทะเลสาบบิวะตรงนั้นก็ปลอม เห็นใจความพยายามพี่เขาแหละค่ะ เดินจนครบก็วนกลับมาทางเข้า อาลัยอาวรณ์ที่ร้านอาหารกับการรู้ว่า Earth Wind & Fire จะมาเล่นที่นี่คืนนี้ แต่อยู่ไม่ได้แล้วเพราะกลับดึกจะไม่มีรถ ทำหน้าหงอยจนพอใจแล้วก็เดินตามหาป้ายขึ้นรถจะไปที่ต่อไป

เริ่มหน้ามืดเพราะความร้อน จนกระทั่งเจอคนเดินถือสปาต้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ข้างทางรถไฟ คราวนี้กลัวจริง หายมึนเลย รีบเดินหนีแบบไม่หันไปมอง เจอห้าง Dillard’s เลยกะเข้ามาหาน้ำกิน พบว่า Cherry Frozen Lemonade ของ Auntie Anne’s ที่นี่ฟินมากค่า ขณะที่ออริจินอลเลมอนเนดหวานลืมตาย เดินมารอรถกันต่อราวกับจะต้องรอ forever พอรถมาถึงก็นั่งไป Pink Palace กะว่าจะไปท้องฟ้าจำลองในนั้น พอไปถึง 4 โมง ยามนางบอกว่าแล้วปิดค่ะ อัลไล ฉันเช็กมาแล้วว่าปิด 5 โมงนะยะ เขาบอกเปิดแต่พิพิธภัณฑ์ ก็ง่อยกันไป

เดินดูนิด ไม่มีอะไร แค่โชว์ชุดสวย ยุคเก่าแล้วพากันกลับดาวน์ทาวน์ ตั้งใจว่าวันนี้ต้องได้กินร้านในตำนานที่เบรตต์เพื่อนที่ร้านแนะนำมา 

ทางเข้าตามที่จดพิกัดมาลึกลับนิดนึง แต่พอหาเจอก็ยิ้มหน้าบาน ชื่อร้าน Charles Virgo Rendevous ว่ากันว่าเป็น world-famous BBQ เลยค่ะ พอมาถึงก็บ้าถ่ายรูปกันใหญ่ เข้าไปในร้าน บรรยากาศเมมฟิส 40s มากกกก รักเลย จาน sausage & cheese นี่ฟินสุดสามโลก เป็นไส้กรอก อเมริกันชีส ฮาลาปินโญ่ แล้วก็แตงดองมาเป็นของว่าง ต่อด้วย Large World-Famous BBQ Pork Ribs มันหอมมาก เนื้อนุ่มมาก เสียดายรสไม่เข้าเนื้อ แต่ฟินซอส ฟิน Bean N Slaw

หารทุกอย่างกันสามคน เลยออกมาจากร้านแบบ กูมาถึงถิ่นแล้วก็จริงแต่ไม่ค่อยอิ่ม เลยไปต่อ Maggie Moo’s ร้านไอศกรีมที่เคยกินหนเดียวตอนเด็ก ที่มาเปิดในเซ็นทรัลลาดพร้าวแล้วเจ๊งไป ไอศกรีมอร่อยไม่เปลี่ยนแต่สีของหวานทุกอย่างที่นี่ปลอมจนกลัวจะเป็นมะเร็งกัน และยังไม่ทันกิน ขอโหวตให้แม่งเป็นไอติมที่แดกยากที่สุดในโลก คือไม่ทันทำอะไร พี่แกก็โคนรั่ว ละลายออกมาจากทุกที่ทาง เรากินรส Red Velvet Cake ละลายทียังกะไปฆาตกรรมใครเขามา เลือดนองเลยค่ะ

กินเสร็จก็ไปหาห้องน้ำเข้าที่โรงแรมหรู The Peabody แอร์หนาวเว่อร์ แต่บรรยากาศเขาดีจริง เห็นคนเล่นเปียโนแล้วสงสาร คือต้องยิ้มให้เมื่อมีคนเดินผ่านแม้คน นั้นไม่ได้สนใจเขา หรือเขามีความสุขกับเปียโนของเขากันหว่า แต่เขาเล่นดีมากนะ พอออกมาก็มาเดินย่อยริมแม่น้ำ นอนเกลือกพื้นหญ้าได้แปปเดียวก็ต้องลุกขึ้นมาคันคะเยอ และเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวเลยรอขี้น trolley เลียบแม่น้ำ ใช้ตั๋ววันอันนั้นแหละ เจอเด็กผิวสีกลุ่มนึง พวกน้อง บ้ามาก นอนกลิ้งมาจากเนินข้างทางรถไฟ กลัวมันกลิ้งมาแล้วรถวิ่งมาพอดีชิบบบบ

ปรากฏขึ้นรถมาก็คุยกัน เป็นเด็กสนุก น่ารัก ใส อายุ 6-12 ถามว่าเราชื่อไร ชอบฟังเพลงอะไร รู้จักนักร้องคนนี้ไหม แล้วก็ร้องเพลง Where Is The Love? ของ The Black Eyed Peas กันมาตลอดทาง น้องเท่มาก ดีใจที่ได้ร้องด้วยกัน ก่อนลงถ่ายรูปเกือบไม่ทัน มือสั่น แสงน้อย เบลอเลย จำได้ว่านั่งรถผ่านร้านอาหารไทยที่อร่อยที่สุดในเมมฟิสและ American Apparel พรุ่งนี้จะต้องแวะให้ได้

เริ่มต้นวันที่ 3 กันงัวเงีย รีบตื่นมากินเบเกิลโฮลเกรนให้อิ่ม ทีแรกว่าจะไปโบสถ์แต่ไม่มีใครตื่นสักตัวค่ะ พอเสร็จทำโน่นนั่นนี่ก็ออกมาขึ้นรถไปสวนสัตว์ มาถึงตรงทางเข้านี่แทบบ้า เพราะตรงนั้นมันเป็นพื้นที่ของ Memphis College of Art เจอ Memphis Brooks Museum of Arts อยากเข้ามาก แต่เพื่อนลงคะแนนเสียงว่าบาย เราเลยต้องบายด้วย แง

เดินมาอีกหน่อยเจอ Levitt Shell เป็นเวทีจัดคอนเสิร์ต ที่นั่งเป็นสนามหญ้า ซึ่งที่นี้ใช้จัดคอนเสิร์ตแรกในชีวิตของเอลวิส เด็กไทยตื่นเต้นใหญ่ขึ้นไปถ่ายรูปบนเวที เดินต่อมาก็เจอสวนสัตว์ซักที ขอบอกว่าเขาจัดดีมาก แบ่งเป็นโซนสัตว์เหมือนบ้านเรา ยึดธีมหลักเป็นอียิปต์โบราณตามชื่อเมืองเมมฟิส เข้าไปข้างในก็มีโซนพันธุ์แมว แน่นอนค่ะ อิฉันไปติดอยู่ตรงกรงเมียร์แคทนานมาก

ต่อมาก็โซนนก โซนแพนด้าทำเป็นธีมสวนจีนน่ารักมาก โซนอเมริกาเหนือมาหมดเลย หมีขั้วโลกอันนี้ฟินจริง ตัวใหญ่มากกก ดูมันดำผุดดำว่ายจับปลา มีหมาป่าสีขาว นกอินทรี เหมือนเขาปลูกฝังชาตินิยม การรวมชาติ ความสามัคคี การอนุรักษ์ในโซนนี้ด้วย

มีโครงการประกวดออกแบบโปสเตอร์นิทรรศการให้เด็กแข่งกันแล้วเอามาโชว์ ปรากฏว่าเด็กบ้านเขาวาดรูปสวยมาก ต่อมาก็กรงแอฟริกัน ช้างแอฟหุ่นดีเพรียวลมกว่าช้างไทย ผิดคาดมาก แล้วไปเฟลสุดที่อควาเรียมอะ นึกว่าจะยิ่งใหญ่ ที่แท้เป็นตู้ปลาโง่ ผิดหวังเลยแง 

เสร็จแล้วเราก็อาลัยอาวรณ์พิพิธภัณฑ์บรูคส์ เดินหลงไปหลงมาจะไป Broad Avenue ฝนตก เดินไกลมาก รอรถนานมาก พอถึงก็พบว่า Art District ของที่นี่ไม่มีอะไรเลย แล้วเดินดูไม่ได้ด้วยเพราะแต่ละที่ห่างกันมาก ต้องมีรถ เลยตัดสินใจกลับ แล้วตอนนั้นหิวมาก กลับมาว่าจะไป World’s Championship BBQ Cooking Contest แต่นั่นแหละค่ะ ความเฟลยังไม่จบลงเท่านี้

พอเสียค่าเข้างานมา $9 แล้วพบว่ามันเป็นงานประกวดที่ยังไม่เริ่มแข่ง บัตรเข้ารายวันแต่จัดสามวัน แถมมีของขายเด๋อ ไม่ขายบาร์บีคิวร้านดัง ที่เราคิดกันคือ 9 ดอลนี่จะได้เดินชิมฟรีทั้งงาน โอ่ยยยย อารมณ์เสียมากเพราะเฟลเสียเวลาตั้งแต่เช้า นี่มาเสียค่าโง่อีก สุดท้ายซื้อน่องไก่งวงกินกับคารีน ก็ไม่แย่ อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย (นี่น่าจะเพราะโมโหหิวด้วยล่ะ ฮ่า ) ก็ไปต่อกันที่ National Civil Rights Museum เลยดีกว่า

ทันทีที่ไปถึงรับรู้ถึงความเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำอันดับหนึ่งของเมมฟิส คือจัดนิทรรศการดีสุด พอจบวิดิโอแนะนำ เกริ่นทั่งหมด เริ่มนิทรรศการที่ชั้นบนสุด เป็นนิทรรศการการสืบสวนคดีฆาตรกรรม Dr. Martin Luther King Jr. เจ๋งปนหลอน เพราะเขาเอาอาคารที่ห้องของผู้วางแผนฆ่ามาจัดแสดง ที่นอน ห้องน้ำ รอยมาร์ก คราบเคริบอะไรอยู่ครบหมด มองไปฝั่งตรงข้ามเห็นโรงแรมที่ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง โดนฆ่า มีหลักฐาน เบาะแส ขั้นตอนการตามคดีโดยละเอียด ดู ไปเริ่มขนลุก ใจหายเหมือนคราวที่ไปพิพิธภัณฑ์สงครามที่ฮิโรชิม่า ชั้นล่างเป็นผลสำเร็จจากการเรียกร้องสิทธิ์ ทางเข้ามีประวัติการถูกกดขี่ เหยียดผิว สัญญาทาส ออกมาอีกฝั่งเป็นโรงแรม Lorraine ที่จริง ที่เขาถูกสังหาร เราขึ้นไปยืนตรงที่ ดร. ถูกยิงจริง เห็นรอยลบคราบเลือด ภายในห้องถูกจัดเหมือนเหตุการนั้นเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน โหดไหมล่ะ แต่เดินดูได้ไม่ละเอียดนักเพราะตอนไปพิพิธภัณฑ์เขาใกล้จะปิดแล้ว เราเลยรีบซื้อโปสการ์ด เขียนส่งให้ตัวเองและเพื่อน  แล้วรีบไปหาสแตมป์ตอนที่ที่ทำการไปรษณีย์กำลังจะปิดเหมือนกัน โชคดีสุด ที่ส่งทัน

ขากลับว่าจะเดินเล่นแถวนั้นก่อน ตาดันเหลือบไปเห็น The Cheesecake Corner ร้านที่เล็งไว้ก่อนจะมาว่าต้องมาโดนให้ได้ เค้กชิ้นละ 8 ดอลกว่า ใหญ่มาก เนื้อนุ่มแน่นเนียนมาก เรากิน cherry cheesecake ไม่หวานเกินไป หอมเชอร์รี เขาโรยกราแฮมแคร็กเกอร์ ไอซิง ครีมสดให้ด้วย ปล คนขายเป็นหนุ่มผิวสีที่หล่อและเท่มาก สำหรับเรา ดูน่าไปเป็นนายแบบมากกว่ามาขายขนม กินเสร็จนี่อิ่มทั้งพุงอิ่มทั้งตาเลยค่ะ เลยไปเดินย่อยกันที่ถนน G.E. Patterson ขอบอกว่าถนนสายนี้ชิคจริง มี Memphis College of Art อีกวิทยาเขต มีออฟฟิศสถาปนิกด้วย ข้าง มีร้านเสื้อวินเทจชื่อ Hoot + Louise น่ารักสุด ขายของตั้งแต่ยุค 50s – 90s คนขายแนวมาก ในร้านนางเปิด The Killers ฟังเราเลยเข้าไปชวนคุย มีของกระจุกกระจิกน่าสอยต็มไปหมด เด็ดสุดคือชุดว่ายน้ำ เห็นแล้วอยาก refund บิกินีที่ได้มาจาก Pacsun ทันที สุดท้ายได้กระเป๋าใส่แผ่นไวนิลมา เป็นลายนกฮูกสีน้ำเงิน น่าร้าก พอเดินจากร้านนั้นก็มาเจอ American Apparel ให้ได้คลั่งกันอีกรอบ เข้าไปเดินเล่นนิดนึงก่อนกลับโรงแรมเพื่อเตรียมออกมาตะลุยไนท์ไลฟ์

ถ้าไม่มา Beale Street ตอนกลางคืนนี่เท่ากับว่ามาไม่ถึงเมมฟิส บอกเลยว่าเดินตอนกลางวันไม่ฟินเท่านี้ มีตำรวจติดอาวุธพร้อมลุยเมื่อมีเหตุจลาจล มีบูธขายเบียร์ทุกยี่ห้อเรียงรายตามถนน กับเด็กเชียร์เบียร์นุ่งสั้นเห็นแก้มก้น เด็กไทยหลงราตรีสามคนเดินลัลล้ากลางสายฝน เราเข้าไปเดินดูร้านแผ่นเสียงที่มีป้ายเขียนว่า Memphis ที่เห็นรูปกันจากหลาย ที่ที่ดัง นั่นแหละ ลุงคนขาย ไม่สิ ปู่คนขายแนวมาก blues in his blood จริง เราเข้าไปคุยด้วย แกใจดีมาก แอบคิดว่าถ้าลุงไม่อยู่ร้านนี้คงขาดสเน่ห์ไปเลย ลุงทำให้เรานึกถึงป้าโดแห่งร้านโดเรมีที่สยามจริง นะ เดินดูเสร็จก็ออกมาหาข้าวกินมื้อสุดท้ายให้น้ำพุ ไม่รู้มันเอาท้องที่ไหนใส่ ชีสเค้กผมยังไม่ย่อยเลยครับ ทีแรกลังเลว่าจะกินร้านไหน ใจเราอยากนั่ง Blues City Cafe เพราะดนตรีสดเล่นมันมาก แต่อีกร้านฝั่งตรงข้ามอย่าง B.B. King’s Cafe ก็ดัง แต่ดนตรีก็คัฟเวอร์บีบีคิงอะแหละ สรุปน้ำพุเลือกร้านดัง เสียค่าวงไป 5 ดอล ผลคืออาหารห่วยแตกและเพลงเหมือนนั่งอยู่ Bubba Gump แค่เล่นสด แต่เขาเล่นดีนะ

เสร็จว่าจะไปดู Coyote Ugly Saloon ว่าจะเป็นเหมือนในหนังมั้ย สรุปเข้าไม่ได้ต้อง 21 and over ตอนนั้นอายุยังไม่ถึงกันจ้า สุดท้ายหิ้วท้องกลับมา Pepsi Pavilion อีก ปกติจะมีวงเล่นสด แต่วงเลิกเล่นไปแล้วเลยตัดสินใจวิ่งกลับบ้านเพราะรู้สึกว่ามีคนเดินตาม ซึ่งจริง คงไม่มีอะไรแต่กลัวไว้ก่อนก็ดี

ถึงห้องอย่างปลอดภัย นอน และตื่นขึ้นมาเตรียมออกเดินทาง ต่อไปจะเป็นการเล่าแบบบีตนรกกินข้าวเสร็จมารอรถ รถไม่ทันมาเจอคนมาไถตัง พอเดินหนีก็ตะโกนโวยวาย เดินมาอีกจะถึงป้ายรถก็เจอคนบ้า แถมฝนตกอีก มาแพนิคกันเอาวันสุดท้ายในเมืองเถื่อนเนี่ย ปรากฏเดินผ่านคุก คุกจริง ครับ เจอตำรวจเราก็เล่า ๆๆๆๆ เขาเลยพาขึ้นรถตำรวจมาส่งท่ารถแล้วนั่งมา Greyhound terminal รอบนี้ดีใจได้รถใหม่ มีเน็ต มีปลั๊กไฟ เก้าโมงครึ่งออกเดินทางจากเมมฟิสถือเป็นการจบทริปอย่างปลอดภัย แถมขากลับ ขึ้นรถมาแล้วดีเลย์สุดอะไรสุด ถึงช้ากว่าชั่วโมงนึงเพราะมันจอดให้คนแวะฉี่เยอะมาก รู้งี้นั่งรถรอบดึกมาดีกว่า แล้วพอถึงก็แวะเดินเล่นย่าน Old City ใน Knoxville กินร้านอาหารอิตาเลียนชื่อ Lil Vivie อร่อยและถูกมาก กิน full course หมดไป 10 ดอล ดีและอิ่มลืม Flourless Chocolate Cake คือที่สุดของร้านนี้ แล้วค่อยเรียกแท็กซี่มารับที่ Market Square คนขับตลกดี คุยไปคุยมาวิทยุแจ้งมาว่าจะมีพายุเข้า ทอร์เนโดเอย ลูกเห็บเอย เวรละ ในใจคิดตลอดว่า What the hell (hail) แต่สุดท้ายพี่แกก็พาเรากลับถึงแกตลินเบิร์กอย่างปลอดภัย

ย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเมืองนี้ เรารู้สึกว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัยจริง ที่ทุกคนเตือนก็เพื่อให้เรามีสติ และขอบอกว่าพยากรณ์อากาศกับ Google Map ที่อเมริกาใช้ได้จริง ใครมาเที่ยวคนเดียวถ้าศึกษาข้อมูลดี โดยเฉพาะระบบขนส่ง เป็นอะไรที่ง่ายมาก คนที่นี่ก็ใจดีเต็มใจบอกทาง ถึงเราไม่ถาม เห็นเราชี้ เขาก็ถามซะเลยว่าจะลงที่นี่หรอ น่ารักมาก เป็นทริปที่เสี่ยงตายจริงแต่ประทับใจ ถ้าให้กลับมาอีกก็คงจะมาเพราะแค่สามวันมันเที่ยวได้ไม่หมด เรียกว่าทริปนี้เป็นทริปเที่ยวสวน ทัวร์พิพิธภัณฑ์ ตามรอยเอลวิสก็คงไม่ผิด ทริปหน้าจะเก็บตกให้หมด ขอขอบคุณบล็อก ilovememphis.com จากใจ เราได้ทำสิ่งที่บอกใน checklist ไปแล้วถึงจะไม่ครบแต่ก็เปรมไม่ใช่น้อย ขอบคุณน้ำพุกับคารีนที่มาหลงทางด้วยกัน

memphis

สุดท้ายนี้ คิดไม่ผิดจริง ที่มาเมืองที่มีสถิติอาชญากรรมสูงแต่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ดนตรีและมนุษยชาติ มีเรื่องราวทุกมุมถนน มีศิลปะ มีวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่สำคัญ มีชีวิต ถามว่าคุ้มมั้ยที่มาเสี่ยงตายที่นี่ เราว่าคุ้มนะ เพราะมันหาประสบการณ์แบบนี้จากที่อื่นไม่ได้ ไม่ใช่แค่ที่นี่ จริง ก็ทุกที่แหละ มีโอกาสไปไหนก็ไป ดีใจนะที่ได้มาเจอกัน เมมฟิส

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 16 พฤษภาคม 2556

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้