Article Interview

คัฟเวอร์สตาร์ Wishes On The Earth กับงานเพลงชุดแรกในชื่อ เอิ๊ต ภัทรวี

  • Writer: Montipa Virojpan / Gandit Panthong
  • Photographer: Son of Jumbo

สาวน่ารักเสียงใสที่เติบโตมาจากการคัฟเวอร์เพลงลง YouTube บัดนี้เธอกลายเป็นขวัญใจของใครหลาย ๆ คนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟังใจซีนเลยขอมาทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น เผื่อเราจะหลงรักเธอมากกว่าเดิม

ทำไมต้องเป็น Wished On The Earth

มันเป็นเพลงของ Beyonce ชื่อ Wishing On The Star ช่วง ม.5 เราชอบ Beyonce มากเลยตั้งเป็น username ก็อยากให้มีชื่อเราอยู่ในนั้น แล้วก็อยากให้มีความหมายดี ๆ ด้วยเลยเป็น Wishes On The Earth ความหวังบนโลกใบนี้ จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกสำหรับเด็กมัธยมที่ตอนนั้นก็คิดว่ามันโคตรเท่ ตอนนี้ก็อยากเปลี่ยนนะแต่ก็ไม่ทันเพราะคนรู้จักเราในชื่อนี้ไปแล้ว

wish-02

เริ่มคัฟเวอร์ตอนไหน

ตั้งแต่ ม.5 เหมือนตอนนั้น YouTube เพิ่งเข้ามาในไทย แล้วเราทำรายงานภาษาอังกฤษของโรงเรียน เขาบอกให้ทำเรื่องอะไรก็ได้โดยหยิบมาศึกษาให้ละเอียด เราก็ทำเรื่อง YouTube ใช้เวลาสองสัปดาห์ขลุกอยู่กับการดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง พอยิ่งดูก็ยิ่งอิน เริ่มเถลไถลออกนอกเรื่องการบ้านไปแล้ว ก็เลยได้เห็นว่าเขามีร้องเพลงกันด้วย ตอนนั้นมี Justin Bieber กับ Esmée Denters ที่เป็นนักร้องที่ดังมาจาก YouTube เราก็อยากทำแบบนั้นบ้าง พอหลังจากส่งรายงานเราก็เลยมาลองทำคลิปเอง เอา webcam มาร้องกับคาราโอเกะ พออัดไปแล้วเทคนึงก็มานั่งดูว่าเทคนี้ดีรึยัง พอทำไปเรื่อย ๆ ก็ติดเพราะมันสนุกดี

สมัยนั้นเริ่มมีคนไทยทำวิดิโอคัฟเวอร์บ้างหรือยัง

ตอนนั้นยังไม่เห็นเลยนะ ไม่รู้ว่ามีคนทำแล้วหรือยัง เราเองก็เป็นสาวก Disney ชอบ Myley Cyrus มาก ดู Hannah Montanah ทุก episode โคตรติงต๊อง (หัวเราะ) เราก็ร้องแต่เพลง Disney อย่างเดียวเลย คนที่มาพูดคุยกับเราหรือคนที่มาคอมเม้นท์ ก็เป็นคนจากฝั่งอเมริกาอย่างเดียว ซึ่งตอนนั้นมันน่าจะยังไม่มีคนไทยจริง ๆ เพราะมันยังไม่บูมเลย เพื่อนเราก็ยังไม่เล่นกัน เราบังเอิญได้ทำรายงานก็เลยได้มารู้จัก

อย่างนี้เราแทบจะเป็นคนแรกที่คัฟเวอร์เพลงในประเทศเลยหรือเปล่า

อาจจะมีอีกแต่เราไม่รู้ เพราะตอนนั้นยังไม่เห็นใคร

เราแค่ชอบที่มันเป็น message เหมือนเป็นไดอารี่ของเราที่ได้ออกมาทำเป็นเพลง

คิดว่ามาบูมเอาตอนไหน

สองปีถัดมาเริ่มเป็นช่วงที่คนรู้จัก น่าจะกำลังมาเลย ที่คณะเราเวลาทำหนัง ทำเอ็มวีรับน้องก็จะอัพคลิปลง YouTube แล้วช่วงนั้นมันก็มีคนมาดูคลิปของเราเยอะขึ้นเพราะอะไรไม่รู้ น่าจะเป็นที่ user ไทยเริ่มเยอะขึ้นแล้วมั้ง

อุปกรณ์อัดตอนแรก ๆ ใช้อะไรบ้าง

ตอนแรกที่อัดกับตอนนี้ต่างกันเยอะมาก ตอนนั้นมีแค่คอมเครื่องเดียว สีชมพูด้วย ก็เปิดหาคาราโอเกะจาก YouTube แล้วเปิดอีกหน้าจอนึงอัดเข้าไป คือตอนนั้นยังใช้ไมค์ไม่เป็น แบบเสียบเข้ารูหูฟังแล้วมันก็ไม่ได้เกิดเสียงใด ๆ ขึ้นมา ตั้งแต่ที่ยังไม่รู้อะไรเลย หลัง ๆ ก็ทำคาราโอเกะเอง บางทีเราอยากร้องเพลงที่ไม่มี ก็ลองศึกษาวิธีแบบเอาเพลงนี้มาแล้วตัดเสียงร้องทิ้งแล้วใส่ดนตรีเข้าไปเพิ่ม ทำเป็น backing track กลายเป็นงานอดิเรกไปแล้ว สนุกที่คนมาขอ backing track จากเราเยอะมาก มันเป็นอะไรที่ติดต่อกับโลกภายนอกได้จริง ๆ แต่ตอนหลังก็โดนฟ้องเละเทะเลย เขาบอกว่าถ้ามีอีกครั้งก็จะโดนแบน account เราก็เลยรีบเข้าไปลบวิดิโอเยอะมาก ลบบ้าง ตั้งเป็น private บ้าง เสียดายมาก ไม่รู้หายไปไหนบ้างแล้วแต่อาจจะมีหลง ๆ อยู่ในคอมบ้างแหละ หลัง ๆ จากคอมตัวเดียวแล้วก็เป็นเอากล้องไปอัด เพราะภาพมันก็ดีกว่ายกเว้นแต่เรื่องไมค์เพราะใช้เสียงจากหัวกล้องนั่นแหละ เอาไปอัดตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นห้องน้ำเพราะร้องในนั้นแล้วเพราะ เสียงมันก้อง ๆ แต่พอกดฟังจริงคุณภาพเสียงก็ไม่ค่อยดีมาก ลองผิดลองถูกทุกอย่าง ประมาณปีหนึ่งเข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬา ฯ ก็เริ่มได้เห็นว่าเขาทำกันยังไง ตอนปีหนึ่งคือทำเบื้องหลังพวกคอรัส ก็ไปสอบถามมาจากพี่ ๆ ที่เป็นนักดนตรีจริง ๆ เหมือนขโมยความรู้เขามาแล้วก็ขโมยของเขามาด้วย (หัวเราะ) ก็ยืมพวก sound card แค่ความรู้ชุดนั้นชุดเดียวก็รู้สึก enlightened มาก ๆ แล้ว คือเรารู้เลยว่าอยากจะลองศึกษาทางนี้ดู ก็ลองซื้ออันเล็ก ๆ มาก่อนแล้วลองอัดแยกดู ส่วนโปรดักชันที่เริ่มจริงจังนี่ได้ทำตอนประมาณปีสาม ตอนที่เข้าเรียนภาควิชาภาพยนตร์แล้ว ก็ได้เรื่องการตัดต่อภาพเนี่ยแหละ ซึ่งตอนแรกนี่ไม่มีเลย จะเป็นภาพมุมเดียว พอตอนหลังจะมีสองกล้องแล้วเอามาตัดต่อ

ทำเองทั้งหมดเลยหรือเปล่า

ก็มีคนมาช่วยบ้างนะ บางอันเราอยากไปถ่ายข้างนอกก็มีคนมาช่วยถ่าย บางทีก็จะให้คนนั้นคนนี้ช่วย arrange เพลง

wish-03

เพลงแรกที่ทำคัฟเวอร์คือเพลงอะไรและทำไมต้องเป็นเพลงนั้น

I Kiss A Girl ของ Katy Perry ซิงเกิ้ลแรกของเขาเลย เพราะเป็นเพลงที่เราร้องตอนเรียนร้องเพลง ก็ไปเรียนเพิ่มเพราะเริ่มค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับการร้องเพลง คือมีความฝันเลยว่าฉันอยากเป็นนักร้อง ไม่ได้เป็นความฝัน worldwide ขนาดนั้น แค่คิดกับตัวเองไว้ แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร บอกแค่กับครูสอนร้องเพลง

ทำไมไม่กล้าบอก

เพราะรู้สึกเขิน ๆ มันน่าอายมากที่จะบอกว่าเราอยากเป็นนักร้องสำหรับตอนนั้น เหมือนเทรนด์ของการเป็นวัยรุ่นที่ดียุคนั้นคือการตอบว่า ไม่รู้ค่ะ เหมือนการที่ใครอยากเป็นหัวหน้าห้องก็จะไม่อยากยกมือขึ้นมาทั้ง ๆ ที่อยากเป็นมาก ก็เลยไม่คิดจะบอกใคร

เพลงไหนที่คัฟเวอร์แล้วชอบที่สุด

ชอบหลายเพลงนะ ชอบ ปลายสายรุ้ง ของ Paradox คือความจริงแล้วเป็นคนเล่นกีตาร์ไม่เก่ง แต่พอเล่นเพลงนั้นแล้วดูเล่นเป็นขึ้นมาก็เลยชอบ ตอนร้องก็รู้สึกว่าเพลงมันเพราะเหลือเกิน แล้วก็มีเพลงพี่เล็ก Greasy Cafe ภายใต้ท้องฟ้าสีดำ อันนั้นก็เป็นตัวเพลงที่ชอบมาก ๆ ไม่รู้จักมาก่อน ขับรถกลับบ้านฟังวิทยุแล้วรู้สึกว่าเพลงนี้เพราะมากแบบไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นรถติดอารมณ์เสีย แต่คิดว่ากลับบ้านจะไปอัดเพลงนี้ ก็มีความรู้สึกดีขึ้นมาทันทีในรถ

ชอบ Production งานไหนของตัวเองที่สุด

ชอบตอนม.6 ที่สุด ประทับใจมาก เป็นเพลงจากหนังเรื่อง Mamma Mia มันเป็นครั้งแรกที่หัดทำ green screen คือซื้อผ้าม่านสีฟ้ามาที่บ้านแล้วเอาที่หนีบเสื้อผ้ามาหนีบเต็ม ๆ ที่ห้อง ก็หัดทำแล้วรู้สึกว่ามันเป็นเทคโนโลยีที่สุดยอดไปเลย การเอาข้างหลังออกแล้วใส่อะไรเข้าไปก็ได้ ซึ่งตอนนั้นก็แค่ทำด้านหลังให้เป็นสีดำแล้วเอาตัวเรามารวมกันสามคน ซึ่งรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นมากในวัยนั้น แล้วมันก็ยังน่าตื่นเต้นอยู่ในวัยนี้ เพราะมันเป็นวันที่เรามีความสุขอะ มันเหมือนเป็นช่วงจะสอบแอดมิชชัน แล้วเราเครียด ๆ ก็กลับมาทำ เป็นการคลายความเครียดของเราแล้วเราภูมิใจกับช่วงนั้น

ถึงแม้ว่าจะอายุ 24 แล้ว ก็ยังค้นหาอยู่ เพราะเหมือนซิงเกิ้ลแรกผ่านไป ซิงเกิ้ลสองผ่านไป พอซิงเกิ้ลสามออกมาแล้วมันก็ไม่เหมือนเดิมจากซิงเกิ้ลแรก ตัวเราก็เปลี่ยนไป อย่างฟังเพลงก็ไม่ได้ฟังคนเดิมแล้ว ฟังคนนั้นคนนี้ แนวก็อาจจะเปลี่ยนไป

หัดเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก ๆ เลยไหม

เรียนตั้งแต่ 7 ขวบ พ่อแม่เล่าให้ฟังว่าอยากเรียนไวโอลินมากแบบเราร้องไห้อยู่หน้าโรงเรียน แล้วก็จำไม่ได้ว่าทำไมถึงทำตัวแบบนั้น แต่เขาก็โอเค ก็ให้เรียนไวโอลินมาตั้งแต่ตอนนั้น ความจริงเราชอบฟังเพลงพ็อพด้วย ก็เลยอยากร้องเพลง แล้วประมาณ ม.1 ก็รู้สึกว่าชอบเล่นกีตาร์ร้องเพลงหลังห้องกับเพื่อนมากกว่าหยิบไวโอลินขึ้นมาซ้อมเยอะเลย ก็เลยค่อย ๆ เฟดการเล่นไวโอลินออกไป

เล่นเครื่องดนตรีอะไรได้บ้าง

ถ้าเรียนจริง ๆ ก็จะเป็นไวโอลินกับเปียโน ถ้าเป็นกีตาร์ก็จะเป็นแบบแนวเพื่อนสอนมากกว่า

ถ้าไม่ทำคัฟเวอร์จะทำอะไร

ช่วงนั้นทำอยู่หลายอย่างนะ คือร้องเพลงเบื้องหลัง เป็นคอรัสตามคอนเสิร์ต เราไปออดิชันได้ก็ไปทัวร์กับคุณเพชร โอสถานุเคราะห์ ถ้าอยู่ที่โรงเรียนก็เป็นคนตั้งใจเรียนมาก ๆ คนนึง เป็นคนที่อินกับการทำสารคดีตอนมัธยม เพราะเราเรียนโรงเรียนรุ่งอรุณ หลักสูตรค่อนข้างแหวกแนวนิด ๆ เพราะว่าจะไปเข้าค่ายบนเขา ทำสารคดีกลับมา ถ้าไม่ทำคัฟเวอร์ลงก็คงทำอะไรคล้าย ๆ แบบนั้น ความจริงมีอยู่เยอะมากใน YouTube ช่วงแรก ๆ ก็อัพโหลดไปเรื่อยแต่ไม่ค่อยมีใครมาดู (หัวเราะ)

อะไรคือสเน่ห์ของการเป็น vlogger

ช่วงนั้นคงรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่กว้าง ทำไปแล้วมีคนคุยกลับมาหาเรา เราเองก็เป็นคนชอบร้องเพลงในห้องน้ำอยู่แล้ว แต่ก็อยากได้รีวิวเหมือนกันว่ามันดีหรือเปล่าย้อนกลับไปมองเราตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเราได้ YouTube ขัดเกลามาเหมือนกัน เราร้องเพลงไม่เหมือนเดิม ส่วนนึงก็อาจจะมาจากรีวิวพวกนั้นก็ได้ รีวิวที่ไม่ชอบตรงนั้น ไม่ชอบตรงนี้ มันก็ shape ตัวเรา แล้วมันสนุกตอนที่คิดว่างานจะออกมาเป็นยังไงดีในครั้งต่อ ๆ ไปที่จะทำให้มีอะไรใหม่ ๆ ไม่ซ้ำกัน มันก็เหมือนเป็นโปรเจคที่ทำขึ้นมาเรื่อย ๆ

ทำไมถึงชอบเพลงพ็อพทำไมถึงอินกับ Disney

ตอนเด็ก ๆ ชอบดูอะไรที่บันเทิง ถ้าเป็นซีรีส์ที่มีเสียงหัวเราะอยู่แล้ว เราก็จะแฮปปี้ รู้สึกเพลิน ๆ เราเป็นคนไม่คิดอะไรมาก เพลงพ็อพก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันนะ แบบ เอาความบันเทิงเป็นหลักอยู่แล้ว แล้วก็ผู้หญิงทุกคนอยากเป็นเจ้าหญิงเล็ก ๆ เลยชอบ Disney แต่ก็พอโตขึ้นมาก็ฟังหลายแนวขึ้นกว่านั้นเยอะมาก ตอนนั้นใน YouTube จะมีคลิปไม่เยอะ ก็จะดูอยู่เท่าที่ลิงค์ ๆ มา

ตอนนั้นใครเป็นคนคัฟเวอร์ที่ดังแล้วเรายกให้เป็นไอดอล

Esmée Denters เป็นผู้หญิงที่ทำในยูทูบแล้ว Justin Timberlake เอาไปเซ็นสัญญา คือเขาร้องเทพมาก ๆ เราติดตามว่าเขาร้องคัฟเวอร์มาเรื่อย ๆ จนมีอยู่วันนึงเขาร้อง ๆ อยู่แล้วมี Justin Timberlake โผล่มาข้างหลัง เราก็รู้สึกว่ามัน amazing มากไรงี้ ด้วยความที่เราติดตามมาด้วยแหละก็มีความรู้สึกเหมือนเขาเป็นเพื่อนเราคนนึง มันรู้สึกเหมือนเราได้รู้จักกับเขา ก็เริ่มแก่แล้วแต่เขาก็ยังทำอยู่ แต่ตอนนี้เหมือนเขาจะรู้สึกแย่กับชีวิตหน่อย มันเหมือนเขาเข้าไปในวงการเพลงแล้วเซ็ง ๆ กลับมาทำ YouTube เหมือนเดิม เรารู้สึกว่ามันเจ๋งดีที่ตอนนั้นถึงตอนนี้เราได้เห็นกราฟชีวิตของเขาไปเรื่อย ๆ แล้วยังได้เห็นว่าเขาก็ยังพยายามที่จะทำสิ่งที่ชอบอยู่ แบบไม่เฟลหายไป

มองว่าการทำคัฟเวอร์เป็นช่องทางที่ทำให้เราเข้ามาในวงการนี้หรือเปล่า

ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยนะ รู้สึกว่าชีวิตจริงต่างหากที่จะทำให้เราได้ทำงานที่ชอบ การเข้าไปเรียนร้องเพลง การทำเบื้องหลังต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าไปหาสิ่งนั้น แต่ YouTube นี่ทำเล่น ๆ สนุก ๆ เพราะมันไม่มีใครดูจริง ๆ เป็นเราดู แล้วอาจจะมีคอมเม้นท์ไม่ถึงสิบ ตื่นเต้นมาก ถ้าวันไหนตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่ามีคอมเม้นท์เพิ่มคือดีใจไปทั้งวัน คือมันไม่ได้มีคนมา feedback จากที่ดูขนาดนั้นเลยไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้

แล้วทำไมอยู่ดี ๆ คนมาดูกันเยอะ

เราสะสมมาเรื่อย ๆ ด้วยแหละ แบบเราทำเพลงที่คนฟังอยากฟังมากขึ้น ฟังเพลงหลากหลายขึ้นก็เลยเข้าถึงคนที่หลากหลายมากขึ้น แรก ๆ ร้องแต่ Hannah Montana ก็จะได้แค่ติ่ง Disney มาดูใช่ไหม แต่พอโตขึ้นมาก็ฟังเยอะ แล้วเพลงที่เลือกมาทำก็ตรงใจคนมากขึ้น คนเล่น YouTube มากขึ้น เราก็ตั้งใจทำโปรดักชันนั้นมากขึ้น อะไรหลาย ๆ อย่าง พอมีคนมาดูปุ๊บก็มีการแชร์ มีการ subscribe มันก็กระจายไปมากขึ้น

wish-04

อะไรทำให้อยากมาทำเพลงของตัวเอง

ช่วงนั้นเขียนเพลงอยู่ที่บ้านอยู่แล้วตั้งแต่มัธยมเหมือนกัน คืออกหัก สอบตก ช่วงมัธยมอกหักบ่อยมาก ก็เลยแต่งเพลงเก็บไว้ประมาณ 8 เพลง เป็นความแค้นอะไรของเราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตอนนั้นอายุ 19 เหมือนอยากให้ทุกคนเห็นว่าเราตั้งใจทำสิ่งนี้นะ แล้วอยากให้เพลงที่เราแต่งมันออกมาเป็นเพลงจริง ๆ ก็เลยให้พี่ที่เขาทำงานเบื้องหลังด้วยกันช่วยเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ก็เอาเนื้อร้อง ทำนองอะไรไปให้เขาลองทำขึ้นมาเป็นเพลงจริง ๆ เขาก็ใจดีช่วยจนจบโปรเจค ก็นั่งโฟโต้ช็อปหน้าตัวเอง ปรินท์กันออกมา เอาไปขาย ตอนแรกเอาไปขายที่งานคืนสู่เหย้าคณะก่อน แล้วก็ไปงาน Fat Fest ไปยืมบูธของพี่โทนี่ผี เหมือนเขารู้จักกันกับเพื่อนเราอีกที เขาก็ใจดีแบ่งบูธให้เราครึ่งนึง เพราะเราไม่มีเงินจะไปเช่าบูธอยู่แล้ว เราก็เอาคอมไปตั้ง เอาหูฟังไปวาง ก็แบบ ใครเข้ามาก็มาลองฟัง

เสียงตอบรับอัลบั้มชุดนั้นเป็นยังไง

ก็โอเคนะ คือเพลงในนั้นก็เป็นเพลงแบบส่วนตัวมาก ๆ ไม่ได้พ็อพอะไรเลย ออกแนวดาร์ค ๆ หน่อย เป็นความอะไรของเราก็ไม่รู้ สมัยนึงเราก็เป็นคนดาร์ค ๆ อยู่ แล้วคนฟังส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ติดตามมาจาก YouTube เขาก็เหมือนอยากจะอุดหนุนเรา มันก็ดีที่พอทำ YouTube แล้วเหมือนเราสร้าง community ขึ้นมาอันนึง ก็ทำเพจในเฟซบุ๊ก แล้วก็ติดต่อกับคนในนั้นว่าใครอยากได้ก็จะส่ง EMS ไปให้

เพลงพ็อพใช่เราที่สุดแล้วรึเปล่า

เราแค่ชอบที่มันเป็น message เหมือนเป็นไดอารี่ของเราที่ได้ออกมาทำเป็นเพลง ก็รู้สึกฟินประมาณนึงเลย แต่พอเข้ามาทำกับแกรมมี่ ยังไงเราอยากทำเพลงที่สื่อสารกับคนได้มาก แต่ความจริงก็เป็นเมสเสจเดิมที่เราอยากจะบอกจริง ๆ ก็อยากเก็บตรงนั้นไว้อยู่

เข้ามาในค่ายได้ยังไง

ก็มีหลาย ๆ อย่างประกอบกัน คือมีซีดีอันนั้นด้วย แล้วก็ YouTube ซึ่งก็เริ่มมีคนรู้จัก มีคนให้ไปออกวิทยุ สัมภาษณ์นั่นนี่บ้างแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะบอกทุกคนสักทีว่าเราอยากจะเป็นศิลปินจริง ๆ นะ ก็เลยนัดที่ White Music ว่าอยากจะเอาเดโม่มาให้ฟัง ประกอบกับที่เขาเคยเห็นเราบ้าง ก็เลยได้มาคุยกับเขา แล้วได้มาฝึกหัดอยู่หนึ่งปีก่อนแล้วค่อยได้ทำเพลง

ความแตกต่างของการทำเพลงเองกับการอยู่ในค่าย

ต่างกันเยอะอยู่นะ ตอนที่เราทำเองเราไม่ได้คิดถึงใครเลย เหมือนเรารู้สึกอย่างนี้มา อยากแต่งเพลงแบบนี้จัง ซึ่งเราไม่ได้แคร์ว่าประโยคที่เราเขียนอยู่มันมีความหมายกับคนอื่นหรือเปล่าด้วยซ้ำ อย่างสมมติเสียใจเรื่องนึงก็จะเขียนเรื่องนั้นไปตรง ๆ เลย โกรธใครก็จะด่าเขาไปตรง ๆ ในเพลง ซึ่งถ้าเราทำแบบนั้นกับเพลงที่จะปล่อยให้กับคนหมู่มากฟังก็อาจจะไม่ค่อยเวิร์ค เพราะประโยคนั้นอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับใครยกเว้นเรา ซึ่งพอได้มาทำกับพี่ ๆ ที่เป็นโปรดิวเซอร์หรือนักแต่งเพลงก็ได้รู้ว่า เออ มันต้องคิดถึงตรงนี้ด้วย ต้องคิดว่าประโยคที่เรารู้สึกมาก ๆ นี่มันรู้สึกกับคนอื่นด้วยหรือเปล่า ถ้าเราพูดเมสเสจเดียวกัน แต่ว่าใหญ่ขึ้น ก็อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกมากขึ้น

เครียดหรือกดดันไหมตอนปล่อยเพลงออกไป

ไม่ค่อยนะ รู้สึกว่า ความจริงเราทำงานไม่ค่อยเป็นหรอก เราทำงานเหมือนเด็กที่ตื่นเต้นที่จะได้มีซิงเกิ้ลเป็นของตัวเอง ตื่นเต้นที่จะได้ไปเล่นที่นั่นที่นี่ เราเป็นคนทำงานไม่เป็นคนนึงแล้วรู้สึกว่ามันสนุกมาก ๆ คือตื่นเต้นไปกับทุก process ที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าเป็นซิงเกิ้ลแรกก็ไม่เครียดเท่าไหร่ แต่พอผ่านมาหนึ่งซิงเกิ้ลเราก็รู้ละ เหมือนเด็กคนนั้นก็เริ่มโตขึ้นแล้ว พอหลังจากปล่อยเพลงนึงแล้วจะต้องมี process อะไรอีกบ้าง ต้องไปแนะนำเพลงกับพี่ ๆ เดินสายโปรโมท ไปเล่นตามที่ต่าง ๆ บางที่อาจจะมีคนไม่รู้จักเพลงเรา พอซิงเกิ้ลสองก็เลยเครียด ๆ บ้าง

แต่ยังไม่รู้สึกแบบ Esmée Denters ว่าอยากกลับไปทำ YouTube อย่างเดียวเหมือนเดิม

ไม่นะ รู้สึกว่า อย่าง Esmée ที่เราติดตามเขามา ตอนนี้ของเรามันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของเขาก็ได้ เขาทำอันนี้แล้วไม่เวิร์คเขาเลยมาทำของตัวเอง ยิ่งมี YouTube ก็เริ่มใหม่ได้ตลอด เพราะมันเป็นช่องทางที่เราสื่อสารกับคนได้ตรง ๆ แล้วถ้าเขาชอบหรือไม่ชอบเขาก็จะ feedback กลับมาได้ทันทีเลย ก็เป็นช่องทางที่ดี แต่ว่าเราก็ยังค้นหาตัวตนอยู่เลยถึงแม้ว่าจะอายุ 24 แล้ว ก็ยังค้นหาอยู่ เพราะเหมือนซิงเกิ้ลแรกผ่านไป ซิงเกิ้ลสองผ่านไป พอซิงเกิ้ลสามออกมาแล้วมันก็ไม่เหมือนเดิมจากซิงเกิ้ลแรก ตัวเราก็เปลี่ยนไป อย่างฟังเพลงก็ไม่ได้ฟังคนเดิมแล้ว ฟังคนนั้นคนนี้ แนวก็อาจจะเปลี่ยนไป อย่างตอนซิงเกิ้ลแรกใครก็จะบอกว่าจะทำเพลงที่เป็นอะคูสติกอย่างเดียวเท่านั้น จะไม่ใส่ไลน์ซินธ์อะไรเลย จะรู้สึกว่าเพลงที่ดีของเราคือเพลงเพียว ๆ สามารถเอาเครื่องนั้นไปเล่นกันอยู่ริมทะเล มีความสุข ถ้าถามตอนนี้ ก็อินกับอะไรที่มีการสังเคราะห์ขึ้นบ้างได้แล้ว เหมือนเราเปิดรับสิ่งที่มีอยู่บนโลกมากขึ้น

เอิ๊ตเป็นคนชอบท้องฟ้ามาก ๆ แต่ถ้าให้เลือกก็อยากเป็นทะเลมากกว่า เพราะมันเป็นอะไรที่อยู่กับพื้นดิน มันจับต้องได้ เหมือนว่าเราจะวิ่งลงไปตรงนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ท้องฟ้ามันห่างไกลเรามาก ๆ

คิดจะทำเพลงแนวอื่นบ้างไหม

ความจริงก็ยังหาอยู่เลย ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ฟิกซ์ว่า เอิ๊ต ภัทรวีจะต้องเป็นเพลงพ็อพฟังง่ายเท่านั้น หรือจะเป็น easy listening เท่านั้น เพราะเรายังหาตัวเองไม่เจอขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะหาเจอแล้วแต่ก็รู้สึกว่าตัวเราเปลี่ยนไปทุกวัน

ทำไมถึงเลือกเพลง Please ของอะตอมมาคัฟเวอร์

เป็นเพลงที่ฟังแล้วชอบตั้งแต่แรกที่ได้ฟัง อยู่ในค่ายพี่เขาก็จะแอบเปิดให้ฟังแล้วเราก็รู้สึกชอบ กลับบ้านไปก็ร้องได้แล้วมันติดหูมาก คิดว่าถ้าเราร้อง เรามีไอเดียที่จะร้องมันในอีกแบบนึง ความจริงก็หลาย ๆ อย่างรวมกัน มีคนอยากให้เพลงนี้เป็นเวอร์ชันผู้หญิงด้วย แล้วเราก็ได้รับให้เป็นตัวแทนของผู้หญิงในการร้องเพลงนี้ อาจจะเพราะอยู่ค่ายเดียวกันด้วย

จะมีโปรเจคด้วยกันไหม

เพิ่งมีโปรเจคด้วยกันไป เป็น meet and greet ด้วยกัน แล้วก็ทัวร์ด้วยกันอยู่บ่อย ๆ เหมือนเป็นหน้าใหม่เหมือน ๆ กัน เพิ่งเข้ามาทำเพลง เพิ่งมีโชว์ ก็เลยแพคไปด้วยกัน เหมือนได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความจริงคือเราเนี่ยแหละที่ได้เรียนรู้ เพราะเขาเชี่ยวชาญในการเล่นสด แบบ เติบโตมาด้วยการเล่นสดตามร้านอาหาร ก็รู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งมาก ๆ เราก็น่าจะได้เรียนรู้อะไรไปจากเขาด้วยระหว่างการทัวร์

ซิงเกิ้ลต่อไปออกเมื่อไหร่

น่าจะต้นปีหน้า ก็ยังทำอยู่ค่ะ

จะไปร่วมงานกับใครหรือมีโชว์ในอนาคตไหม

มีกับอะตอม แล้วก็มีของตัวเองบ้าง เป็นงานอีเวนท์นั่นนี่

อยากให้ศิลปินคนไหนมาคัฟเวอร์เพลงของเรา

พี่ป๊อป ปองกูล อยากให้ร้องเพลง Sky & Sea เนี่ยแหละ คิดไม่ออกว่าเขาจะร้องยังไง เพราะเป็นผู้ชายเสียงใหญ่ คงไม่เหมาะกับ content นี้เท่าไหร่ ก็น่าจะแปลกดี

ทำไมถึงชื่อเพลง Sky & Sea

เหมือนเป็นคอนเซปต์ของเพลง เปรียบเทียบความรักเหมือนท้องฟ้ากับทะเล ที่อยู่ห่างไกลกันมาก ๆ แต่ก็ดูเหมือนจะอยู่ใกล้กัน มันก็เป็นอะไรที่เบสิคที่มีคนพูดเยอะ แต่ยังไม่มีคนทำออกมาเป็นเพลงเกี่ยวกับสิ่งนี้ แล้วก็น่าจะเป็นอารมณ์ที่หลายคนรู้สึกได้ง่ายเหมือนกัน มันก็คือความรักเบสิค ว่าแบบ คนที่เราชอบที่เราอยู่ใกล้เขาแต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้ใกล้กันขนาดนั้น แล้วก็คิดมาหลายชื่อมาก แต่ก็จำไม่ค่อยได้แล้วแหละ ชื่อไทย ชื่อที่ซับซ้อนกว่านี้ แต่อันนี้รู้สึกว่าโอเคสุดแล้ว มีทั้ง เส้นขอบฟ้า ฟ้าสีคราม หรืออะไรประมาณนี้ค่ะ แต่ Sky & Sea เป็นชื่อแรกที่คิดกันมาตั้งแต่ตอนทำเพลงกันมาแรก ๆ เลยค่ะ เพราะทำเพลงนี้เป็นภาษาอังกฤษกันก่อนแล้วแต่งเนื้อทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ แล้วมีคำว่า Sky & Sea ในเวอร์ชันนั้นด้วย เลยใช้ชื่อนี้แหละ

ถ้าให้เลือกระหว่างท้องฟ้ากับทะเล เอิ๊ตจะเลือกอะไร

ชอบสองอย่างเลยนะ แต่เอิ๊ตเป็นคนชอบท้องฟ้ามาก ๆ แต่ถ้าให้เลือกก็อยากเป็นทะเลมากกว่า เพราะมันเป็นอะไรที่อยู่กับพื้นดิน มันจับต้องได้ เหมือนว่าเราจะวิ่งลงไปตรงนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ท้องฟ้ามันห่างไกลเรามาก ๆ เราชอบมองมัน ชอบถ่ายรูปก้อนเมฆมาก เห็นแล้วรู้สึกว่าต้องหยิบกล้องมาถ่าย วันนี้ท้องฟ้าน่ารักมาก แต่มันก็อยู่ห่างไกลเรา

ตอนถ่ายเอ็มวีซิงเกิ้ลที่สองเป็นการอัดสด ๆ ตรงนั้นเลยหรือเปล่า

ใช่ค่ะ ในเอ็มวีอันนั้นเหมือน Begin Again คือมีทีมกล้อง ทีมอัดเสียง นักดนตรี แล้วก็คอสตูม ทำงานพร้อมกันตรงนั้นเลย แล้วก็เป็นการทำทุก ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน นักดนตรีเล่น มีทีมถ่าย อัดเสียงตรงนั้น เลือกเทคที่ดีที่สุดมาเป็นเพลงให้ทุกคนได้ฟังค่ะ เหมือนเราอยากให้มัน real ที่สุด ทั้ง feeling ของนักดนตรีที่ได้เห็นทะเลตรงนั้นด้วยกัน เล่นพร้อมกัน ก็จะไม่เหมือนแบบ มือกีตาร์อัดวันนี้ เบสอัดพรุ่งนี้ คือทุกคนมองหน้ากันอยู่แล้วเล่นด้วยกัน เหมือนอยากหยุดเวลาตรงนั้นไว้แล้วให้ทุกคนได้มาฟังจริง ๆ

พอมีคนคัฟเวอร์เพลงตัวเองแล้วรู้สึกยังไง

ตอนแรก ๆ ที่เอิ๊ตเอาเพลงคนนั้นคนนี้มาร้องเพราะเอิ๊ตชอบเพลงเขาแหละ หยุดร้องไม่ได้ อยากร้องมันเหลือเกิน พอมีคนทำอย่างนั้นกับเพลงเราก็รู้สึกว่า อาจจะเป็นเหตุผลคล้าย ๆ กัน เขาคงจะชอบแหละ ไม่งั้นคงไม่ร้องหรอก ที่ที่ไปไหนก็มีคนร้องให้ฟังด้วย

คิดยังไงกับการที่มีคนมองว่าเป็น net idol

เป็นคำที่เขินมาก ๆ ทุกครั้งที่ได้ยิน ก็มีคนพูด ก็ดีใจนะ มันก็เหมือนเป็นไอดอลของใครสักคน แต่มันก็มีความเขินว่า เน็ตไอดอลจะต้องสวย ต้องดูฟรุ้งฟริ้งหน่อย ซึ่งเราก็ค่อนข้างจะไม่ฟรุ้งฟริ้ง ถ้าเห็นพวกกระทู้รวมเน็ตไอดอลก็จะคิดว่าเราโคตรจะไม่ใช่เลย เราไม่เท่าเขา แต่ก็โอเคนะ

จริง ๆ แล้วเราเป็นคนยังไง

มีหลายแง่มุมนะ เป็นคนชอบอะไรที่สบาย ๆ ไม่คิดมาก แต่ความจริงก็คิดมากเหมือนกัน บางทีดูเหมือนกล้าแสดงออกแต่ข้างในก็คิดเยอะ บางครั้งก็อาจจะคิดเยอะแล้วก็ขี้อายบ้างในบางมุม มันก็อาจจะแตกต่างจากสิ่งที่เขาเห็นว่าเราแบบ socialized อะ ดูร่าเริง เล่นนู่นเล่นนี่ แต่ความจริงแล้วมันจะมีมุมที่คิดเยอะเหมือนกัน คิดเยอะกับความรู้สึกของคนว่า ถ้าเราพูดแบบนี้ไปแล้วเขาจะรู้สึกยังไง นี่คือคิดอยู่เป็นอาทิตย์ว่าเราพูดไปถูกหรือเปล่า

wish-05

ไปเล่นซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น ได้ยังไง

ตอนนั้นพี่ ๆ เขาก็เห็นเราใน YouTube จริง ๆ YouTubeช่วยอะไรหลายอย่างในชีวิตเหมือนกันนะ เราก็ไปแคสติ้งแล้วได้ไปเล่น เป็นครั้งแรกที่ได้ออกกองใหญ่โตขนาดนั้น แล้วก็ได้ทำอะไรที่ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าฮอร์โมนจะเป็นอะไร จะออกมายิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้เหมือนกัน พอเขาให้ทำเราก็ทำไปเรื่อย ๆ พอออกมาก็รู้สึกปลื้มใจที่ได้เป็นพาร์ทของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันก็เปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างในประเทศไทยเหมือนกัน อย่างช่วงแรกไม่ได้มีซีรีส์ขนาดนี้ในประเทศไทย แล้วก็ไม่ได้มีใครพูดถึงประเด็นนั้นนี้ในหนังกันเท่าไหร่ ก็รู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงประเทศเหมือนกัน สำหรับเราเองก็ดีใจที่ได้อยู่ท่ามกลางคนมีไฟหลาย ๆ คน ทุกครั้งที่ไปร้องกับน้อง ๆ ก็ดีใจแบบ น้อง ๆ ทุกคนมีความตั้งใจเยอะแยะมากมาย ปกติเราจะมีวันขี้เกียจ มีวันนอนอืด ดูซีรีส์ทั้งวัน ก็เป็นการเติมไฟให้ตัวเองเหมือนกัน

ชอบการแสดงไหม

ช่วงนั้นความจริงไม่ค่อยได้แสดงเท่าไหร่เพราะตอนนั้นเล่นเป็นคนร้องเพลง ก็รู้สึกว่าไม่ได้เป็นการแสดงเท่าไหร่ เพราะเราก็เล่นเหมือนเราเป็นคนร้องเพลงแล้วเราทำยังไง แต่ก็ชอบนะ เป็นอะไรที่สนุกแล้วก็ถ้ามีโอกาสก็อยากทำอีก รู้สึกโอเคกับมัน

เวลาไปข้างนอกมีคนจำเราได้ไหม มีคนมาขอถ่ายรูปแล้วเขินไหม

ถ้าสมมติเขาเดินเข้ามาคุยเลยจะไม่เขิน แต่ถ้าเขามองแล้วคิดว่า ใช่หรือเปล่านะ เราก็จะเขินที่ไม่กล้าเข้าไปบอกว่า พี่เองน้อง ถ่ายรูปได้ คือบางทีก็จะทำอะไรไปด้วยความเขินเหมือนกัน อย่างเช่นเรารู้แหละว่าเขากำลังจะเดินเข้ามา แล้วยังไม่เดินเข้ามาสักที ก็ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วเขาก็เหมือนซุบซิบกัน เราก็คิดว่า เอ๊ะ เราจะเดินไปดีกว่ามั้ยนะ หรือจะเดินเข้าไปชาร์จเขาเลย เป็นคนย้ำคิดย้ำทำ เพราะความเขินอายตรงนี้แหละ มีความทำตัวไม่ถูก

แฟนเพลงของเอิ๊ตมีเด็ก ๆ บ้างไหม

ก็มีเด็ก ๆ เล็ก ๆ ไปเลย แล้วก็มีมัธยม ส่วนใหญ่เป็นมอปลาย ไปทัวร์โรงเรียนบ้างค่ะ เจอเด็ก ๆ แล้วรู้สึกมีพลังมาก รู้สึกดีมากที่เด็ก ๆ ไม่มีฟอร์ม คือถ้าเขากรี๊ด เขาก็จะกรี๊ดเสียงดังเลย ร้องไปก็ร้องตาม ร้องกลับมา คือเขาก็ไปทำการบ้านมาแบบร้องได้ทุกเพลง ก็รู้สึกดีเพราะตอนมัธยมก็ไม่ได้เป็นคนที่เป็นผู้นำอะไรขนาดนั้น ออกเป็นเด็กเนิร์ดเล็ก ๆ ไปโรงเรียนได้ร้องเพลงให้น้อง ๆ ฟัง ก็ได้ fulfil ความเป็นผู้นำในตัวเรา ก็ฟินที่มีคนร้องตามในสิ่งที่เราร้องอยู่

ฟังเพลงนอกกระแสบ้างไหม

ฟังนะคะ ก็รู้จักจากเพลงของภูมิจิตแหละค่ะ ตัวเราของเรา แล้วช่วงนั้นก็ทำพิธีกรด้วย ก็เลยได้ศึกษาเพลงนอกกระแสเยอะ แล้วก็เพิ่งไปคอนเสิร์ต Indie Inspiration ก็ไปทันดู Jelly Rocket กับ Gym And Swim ซึ่งชอบมาก คือวงแรกเป็นน้องที่รู้จักกันอยู่แล้ว แล้วเขาแต่งเพลงได้ติดหู ก็พ็อพนะ แต่เขาตั้งใจทำให้เกิดลายเซ็นของตัวเอง มีแนวอิเล็กทรอนิก ไลน์ซินธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วความจริงก็เพิ่งเคยฟัง Gym And Swim แล้วรู้สึกว่า โหพี่ ทำไมมันสนุกขนาดนี้อะ เราเต้นไม่หยุดเลย เต้นจนปวดคอ นี่คอตรงนี้แย่มาก ๆ ยังปวดอยู่เลย อันนี้ทำให้รู้ว่านอกจากเพลงในกระแสแล้วยังมีคนตั้งใจทำเพลงเยอะมาก ๆ แล้วเป็นเพลงที่ดีมาก ๆ เยอะเลย แล้วก็มี Postbox ที่กำลังฟังอยู่ ก็กลายเป็นฟังเพลงเยอะขึ้นมาก กลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกันเขาก็ฟังเพลงอินดี้เยอะมากอยู่แล้ว ตัวเอิ๊ตเองก็อยากตามสิ่งที่เรากำลังทำ ก็ฟังวิทยุบ่อยขึ้นมาก ๆ ค่ะ คือสมัยก่อนมันก็ชอบวงไหนก็ยัดซีดีวงนั้นในรถ ไม่ฟังวงอื่นเลย แต่ช่วงนี้ขึ้นรถก็จะเปิดวิทยุ อยากรู้ว่ามันมีเพลงอะไรอยู่ในกระแสตอนนี้ เราจะได้คุยกับคนรู้เรื่องด้วยค่ะ

ทุกวันนี้เติบโตแล้ว แต่ยังเป็นตัวเอง

ใช่ คือการร้องเพลงในยูทูบมันง่าย เหมือนเราร้องกับกล้องไม่ต้องคุยกับใคร พอทุกวันนี้เปลี่ยนจากกล้องเป็นฝูงชน มันไม่เหมือนกันเลย ครั้งแรกอาจจะเป็นงาน If ของพี่ป๊อป ที่ได้เล่นคนเดียว มีคนนั่งดู ตอนนั้นตัวสั่นไม่ไหวเลย แล้วจะมีช่วงที่ต้องพูด ก็สั่นทุกครั้ง พูดได้แต่จบไม่ได้ ก็ยังสนุกกับการหาวิธีพูดของตัวเองอยู่ เรามีอะไรจะพูดเยอะมากแต่บางทีมันพรั่งพรูออกมาแล้วเรียงเป็นประโยคที่ไม่โอเคเท่าไหร่ แบบ ตกลงมันพูดอะไรวะ

แล้วการคัฟเวอร์เพลงเราโดนจำกัดไหม

ใช่ค่ะ คือตอนนี้ก็จะร้องเพลงในค่ายมากกว่า ในเรื่องลิขสิทธิ์ด้วยค่ะ เหมือนพอชื่อเราอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ร้องเพลงค่ายอื่นอาจจะไม่พอใจเราได้เหมือนกัน แบบเราเอาเพลงเขามาเผยแพร่โดยไม่ได้ขออนุญาติ ถามว่ามันจำกัดความคิดสร้างสรรค์ของเรามั้ย ก็ประมาณนึง แต่มันก็ฝึกให้เราคิดในกรอบที่ดีเหมือนกันค่ะ คิดว่าเรามีอะไรแล้วอยากจะทำสิ่งที่เรามีให้ออกมาแตกต่างยังไงบ้าง

wish-06

ไม่คิดมาก่อนว่าจะมาอยู่ตรงนี้

ค่ะ คือบุคลิกของเราตั้งแต่ตอนนั้นคนถึงตอนนี้มันก็ต่างกัน ก็กล้ามากขึ้น เป็นนักร้องมันก็ต้องเป็นผู้นำอยู่แล้ว การต้องไปร้องเพลงนำเขาอะไรแบบนี้ การแสดงออกก็เปลี่ยนไป ตอนเล่นคอนเสิร์ตภูมิจิตคือเขินมาก ช่วงแรก ๆ ที่ร้องเพลงนี่เหมือนเราบังคับตัวเองไม่ได้เลยค่ะ เหมือนมันหนาวแต่มันไม่ได้หนาว แต่ปาก แขน ตัวสั่นไปหมดเลย ก็จะบอกตัวเองว่า หยุดสั่นเดี๋ยวนี้นะ มันไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น ก็ทำไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ก็ยังตัวสั่นอยู่นะ  แค่มันค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนนี้เราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

เหมือนเพิ่งมาถึงขั้นแรกของการทำดนตรีอยู่เลย เหมือนเรามีความฝันว่าจะมาอยู่ตรงนี้ แต่พอมาจริง ๆ แล้วก็ยัง blank อยู่ ก็น่าจะอีกยาวไกลมาก ๆ ที่เคยคิดตอนเด็กกับตอนนี้มันก็ไม่เหมือนกันขนาดนั้น เพราะตอนเด็ก ๆ การเป็นนักร้องสวย ๆ ชิค ๆ แต่พอตอนนี้ มันมีความหมายมากกว่านั้น เราได้สื่อสารกับคน มี message ที่อยากจะพูด ซึ่งมันก็ไม่เหมือนกัน ความคิดตอนนั้นกับตอนนี้ ยังเป็นแค่บันไดขั้นแรก

เป้าหมายของตอนนี้

อยากมีอัลบั้มที่เป็นของตัวเอง ได้รวบรวมเพลงเป็นอัลบั้ม

ฝากผลงาน

ก็ฝากติดตามในยูทูบนะคะ Wishes On The Earth ก็ยังทำเพลงกันอยู่ แล้วก็มีเพลง You You, Sky & Sea แล้วก็ Please สามเพลง ต้นปีหน้าจะมีอีกเพลง กำลังทำกันอยู่ ฟังเพลงเยอะมาก กำลังคิดว่าจะทำแนวไหนดีถ้าเราได้เริ่มตั้งแต่ศูนย์เลย ก็สนุกกับการคิดอยู่ ติดตามในเฟซบุ๊กได้นะคะ มีเพิ่มเติมมาอีกนิดคือ White Music นะคะ เขาก็จะอัพเดทไวกว่าเรา หลาย ๆ อย่างที่เราไม่ได้อัพ ก็มาติดตามกัน

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้