Feature Head talk

Lord Liar Boots: ตัวตน คนนอก และสิ่งที่พวกเขาอยากบอกผ่านบทเพลง

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot
  • Stylist: Varachaya Chetchotiros
  • Art Director: Benyatip Sittiwej

ย้อนกลับไปเกือบสองปีก่อน Lord Liar Boots ยังเป็นวงที่ชื่อไม่คุ้นหูสำหรับเรา แต่จากการเห็นหลายคนแชร์เพลงชื่อแปลก ของพวกเขากันเต็ม news feed ก็ทำให้เรายั้งมือคลิกเข้าไปไว้ไม่ได้และต้องโดนกับดักที่พวกเขาวางไว้อย่างจัง เพราะงานชุดแรกของพวกเขาอย่าง Dip Dib เป็นการรวบรวม 5 เพลงจังหวะสนุกสุดเร้าหลากหลาย มีเมโลดี้โดดเด่นและโครงสร้างเพลงที่คาดเดาไม่ได้ แถมยังมีเนื้อหารวมถึงวิธีการร้องกวน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเห็นใครทำในช่วงเวลานั้น

วันเวลาผ่านไป วง Lord Liar Boots กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น และฝีไม้ลายมือของพวกเขาก็เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง มีแฟนคลับคอยสนับสนุนติดตามผลงานอย่างเหนียวแน่น ฟังใจ เองยังเคยชวนทั้งสี่คนมาเล่นงาน ‘ฟังใจมัน’ จนล่าสุดก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลภาษาอังกฤษงานแรกในชื่อ Bhutan Girl ออกมาเซอร์ไพรส์เราอีกครั้งด้วยสีสันดนตรีที่เปลี่ยนไป ตอนนี้ก็ถึงเวลามาทำความรู้จักพวกเขาให้มากขึ้น พร้อมอัพเดตชีวิตการทำงาน มุมมองหรือทัศนคติต่อสิ่งต่าง รอบตัว และเป้าหมายในอนาคตของวงดนตรีสี่ชิ้นวงนี้

%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%99

-0-

เปิดเทอมวันแรก—โรงอาหารวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา 2556

12.00 . ช่วงเวลาที่ความหิวเข้าจู่โจมเหล่านักศึกษาอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเองอย่างเร่งรีบเพราะฤทธิน้ำย่อย ยิ่งไปกว่านั้นคือวิชาภาคบ่ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่

เสียงช้อนส้อมกระทบจานของเพื่อน สอดประสานคำรามโครกครากในช่องท้องของ บลู ผู้ยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง ทำให้เขาต้องพุ่งตัวไปหานักศึกษาหนุ่มแปลกหน้าที่กำลังจ้วงข้าวผัดดูท่าทางน่าอร่อยอย่างอดรนทนไม่ไหวนาย เราหิว ขอกินข้าวหน่อย

ชายหนุ่มเหลือบมองเจ้าของเสียงพร้อมกับยื่นจานข้าวให้ในทันใดเอ้า เอาไปเลย เราให้นาย เราขึ้นไปเรียนละ เราสาย

แปลกมาก แล้วมันก็ให้ผมทั้งจานเลยนะบลูเล่าให้เราฟัง

มันกลัวมึงอะอั๋นแสดงความเห็น

กูจำได้ไม่ลืม ประทับใจมาก สตัน อร่อย ของฟรีทีนี้ ผ่านไปสักพักก็ได้เจอกันอีกโดยบังเอิญ คุยไปคุยมาจนชวนกันทำวงสองคน แต่หลังจากนั้นก็ให้แม่งไปหาสมาชิกเพิ่ม

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Lord Liar Boots แต่ก่อนเข้าเรื่อง มาทำความรู้จักพวกเขาแบบคร่าว ๆ จาก bullet แนะนำตัวจากงาน ‘ฟังใจมัน’ กันก่อน

Quick Facts About Lord Liar Boots

  • แหล่งกบดานของพวกเขาคือห้องขนาด 2 x 4 ตารางเมตร
  • แค่กลองก็ปาเข้าไป 1 x 4 ตารางเมตรแล้ว
  • เขาว่ากันว่ามือกลองและมือเบสได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้
  • ศัตรูของ บลู คือหัวไมค์ทุกชนิด
  • กีตาร์ของ จิมมี่ มาจากเว็บไซต์ขายอะไหล่รถยนต์
  • อั๋น เคยขอเบอร์สาวบนรถเมล์แต่ไม่สำเร็จ เป็นที่มาของเพลง สาย 4
  • แก้ว เป็นนักพูดประจำวง (พูดอยู่ได้ รำคาญชิบหาย)
  • อ้อ ลืมบอก จิมมี่ ร้องนำ แก้ว ร้องตาม อั๋น ผมบังหน้า บลู บ้า ๆ บอ ๆ

-1-

Lord Liar Boots หรือ หล่อเลียบูทส์ คือวงดนตรีอัลเทอร์เนทิฟร็อกที่ประกอบไปด้วยสมาชิกสี่คน ได้แก่ บลูอิงควัชร์ หิรัณย์กุลธารี (กลอง) จิมมี่ธนวัฒน์ ทองบริสุทธิ์แท้ (กีตาร์, ร้องนำ) แก้ววสวัตติ์ อินทวัฒน์ (เบส, ร้องนำ) และ อั๋นชัชวิชญ์ วิชัยดิษฐ (กีตาร์) ซึ่งแต่ละคนล้วนมีความสนใจหรือชื่นชอบในแนวดนตรีที่แตกต่างกันไป

ผมก็ฟังหมดแหละ แต่ถ้าเน้น ก็ชอบอีโมพังก์ พังก์ร็อก ป๊อปพังก์ สายพวกดีด หน่อย ส่วนมือเบส (แก้ว) นี่ก็ป๊อปพังก์เหมือนกัน มือกีตาร์ (อั๋น) ชอบสไตล์ร็อกแอนด์โรล สายกีตาร์ฮีโร่หน่อย ค่อนข้างติดอนิเมะนิดนึง ก็ไม่ค่อนข้างอะ ส่วนเหี้ยนี่ (จิมมี่) ก็อนิเมะเหมือนกัน มันก็ฟังบริตร็อกของแม่ง Alex Turner (Arctic Monkeys) เนี่ยไอดอลมัน Red Hot Chili Peppers ก็อีกวง แต่ตอนนี้มาฟังแนวโมเดิร์นแล้ว ไหลไปเรื่อย

การมาจูนของเราไม่มีอะไรเลยนอกจากการเข้าห้องซ้อม ทุกคนมีหัวทางด้านดนตรีอยู่แล้วส่วนนึง พอมันมีนึงเล่นนำมาแล้วก็จะตามได้ทันที แต่ถ้าอันไหนเล่นออกมาแล้วไม่โอเคก็จะหยุดเล่น ทิ้งอันนั้นไปแล้วหาอันใหม่แทน ซึ่งไม่มีอะไรยากหรือเป็นอุปสรรคอะไรเลย ตอนนั้น กลายมาเป็นว่าตอนนี้มีคนบอกให้ทำอย่างนู้นบ้าง อย่างนี้บ้าง ทำแบบนั้นแล้วจะไม่เวิร์ก เนื้อเพลงมันเสี่ยวนะ แบบนี้เหมือน Blink-182 นะ มีอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะทำให้ต้องคิดมาก ซึ่งมันไม่ใช่ตัวของพวกเราเหี้ย มันต้องออกมาจากพวกมึงเองตอนนั้น อย่างถ้ามึงหกล้ม มึงก็แต่งเพลงบอกว่ามึงเจ็บเข่าดิบลูเล่า

ตอน 5 เพลงแรกอันนั้นโฟลวมาก ทำไปแบบดิบ ตามชื่ออัลบั้มเลยครับจิมมี่เสริม

เรารู้ว่าคำแนะนำเขามันก็ดีแหละ แต่เราก็อยากจะทำแบบที่เราชอบแก้วบอก

ซึ่งเพลงทั้งห้าในอัลบั้มชุดแรกของพวกเขาเป็นการถ่ายทอดตัวตน ประสบการณ์ หรือความรู้สึกนึกคิดต่อสิ่งต่าง ขณะนั้นของทั้งสี่คนออกมาได้อย่างโดดเด่น แต่บางประเด็นที่จริงจังขึ้นมาหน่อย พวกเขาจะเลือกเรื่องที่สมาชิกอินหรือมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้สาส์นที่ถ่ายทอดออกมาสร้างความเชื่อผิด

ส่วนใหญ่ก็จะออกต่อต้านเล็กน้อย แต่ไม่ใช่พวกหัวรุนแรงอะไร แค่รู้สึกว่าบางอย่างไม่สมเหตุสมผล ควรเปลี่ยนได้แล้ว หรือคนควรจะคิดแบบนี้ได้แล้ว ถ้าย้อนไปหน่อยก็คงเขียนเพลงที่พูดเรื่องกฎระเบียบไร้สาระที่อยู่ดี ผมก็ต้องตัดผม ผมอยากเล่าเรื่องทั่ว ไปที่หลายคนน่าจะเจอเหมือนกับเราแล้วรู้สึกคล้าย กัน คิดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพูด เดี๋ยวเราก็จะลองแซะ ให้ แต่ช่วงนี้คิดไม่ออก เปื่อยมาก ฝนตก น้ำท่วม ไม่มีงานเล่น อยู่ว่าง ไม่มีแรงบันดาลใจ ไปไหนก็มีแต่สีดำ ทุกอย่างอึมครึม เศร้าแก้วเล่า

นอกจากเรื่องราวที่หลากหลายแล้ว วิธีการถ่ายทอดก็จะแตกต่างกันออกไป มีทั้งการเล่าอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ฟังได้แบบสนุก ไม่ต้องคิดมากแบบในเพลง สาย 4 ที่อั๋นมาเล่าเรื่องของตัวเองให้สมาชิกคนอื่น ฟังจนเกิดขึ้นมาเป็นเพลงนี้ หรือ ขี้งอน ก็เป็นชื่อที่ตั้งตามแฟนเก่าบลูที่เธอเอาแต่ใจ เธอเอาแต่ใจแล้วยังมีเพลงที่พวกเขาก็เลือกจะซ่อนความหมายแฝงไว้ให้คนฟังได้คิดต่อกัน อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับที่ทางวงตั้งใจแต่แรกก็ได้ อย่าง หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรตามชื่อเพลง แต่หากลองตีความต่ออีกหน่อยจะได้ความว่าอย่าเอาแต่พูด แค่คุณทำหรือแสดงออกในสิ่งที่คิด แค่นั้นจบเลย

แต่แล้วเราก็เกิดข้อสงสัยกับ Bhutan Girl เพลงล่าสุดของพวกเขา ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร และทำไมถึงเลือกทำเป็นภาษาอังกฤษทั้งที่ตลอดมาเพลงของพวกเขาทำออกมาเป็นภาษาไทยทั้งหมด หรือบางทีนี่อาจจะเกี่ยวกับการที่วงมีฐานแฟนเพลงส่วนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติก็เป็นได้

แก้ว: ถ้าเราเห็นต่างชาติอยู่ในงานเรา เราก็จะเอนเตอร์เทนเป็นภาษาอังกฤษด้วย เพราะแค่เขาฟังเพลงเราก็ไม่รู้เรื่องประมาณนึงแล้ว ไม่อยากให้ฟังเราพูดแล้วไม่รู้เรื่องอีก

ส่วนเพลง Bhutan Girl ตอนแรกมีดนตรีกับเนื้อร้องที่ร่างเอาไว้อยู่แล้ว ใช้เล่นไปสองสามครั้งแล้วด้วย แต่แล้วบลูก็ไปเจอเรื่องมาแล้วมันอินมาก อยากให้เปลี่ยนเนื้อใหม่ทั้งหมดแล้วมาพูดเรื่องนี้แทน เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่มาจากภูฏาน

อั๋น: ชื่อจิ๊กโฉ่ว (LLB: จิ๊กเชิน!!!) จิ๊กเชิน โนบู (บลู: แม่ง จิ๊กเชิน โนบู()ด้วย โคตรเซ็ง)

จิมมี่: ก็เลยทำเนื้ออังกฤษเลยละกันเผื่อเขาจะฟังรู้เรื่อง (หัวเราะ) เอาจริงวงเราก็จะมีแฟนคลับต่างชาติมาบอกว่าไอชอบเพลงยูมากเลย แต่ฟังไม่รู้เรื่องว่ะ ทำอังกฤษให้หน่อย บ่อยมาก จนเราก็ อะ ทำเพลงนี้เป็นภาษาอังกฤษให้เพลงนึงละกัน ซัดไปเลยไม่ต้องแคร์อะไร สุดท้ายเขาก็พิมพ์มาบอกว่าก็ดีนะ

แก้ว: แล้วคนจะได้ฟังรู้เรื่องเยอะกว่ามั้ง แต่ถ้าเป็นคนไทยฟังอาจจะอินน้อยกว่า เราก็ไม่ได้คิดเรื่องกระแสตอบรับเท่าไหร่ แค่อยากลองว่าถ้าเป็นอังกฤษมันจะดีกว่าไหม ด้วยวรรณยุกต์หรือคำคล้องจอง ควบกล้ำแบบที่ไม่เหมือนในภาษาไทย

img_0914

จากที่เราถามสมาชิกถึงการปรากฏตัวของ Lord Liar Boots ในซีนดนตรีว่ามีผลตอบรับจากผู้ชมกลุ่มต่าง ยังไงบ้าง เพราะเท่าที่สังเกตคือเพลงของวงค่อนข้างมีความดิ้นได้ด้วยพื้นฐานดนตรีร็อก แต่มีเนื้อหาที่เป็นป๊อป เมโลดี้ติดหูแบบที่โดดกันได้สนุก จึงถูกจัดไปอยู่ในไลน์อัพของเทศกาลดนตรีได้หลายงาน ไปจนถึงอีเวนต์ดนตรีเฉพาะกลุ่มอย่างพังก์ หรือฮาร์ดคอร์ ก็มักจะเห็นชื่อของพวกเขาอยู่บ่อย หลายคนค่อนข้างสงสัยในตัวตนและจุดยืนของพวกเขาว่าจะเลือกอยู่ในสปอตไลต์ดวงไหนกันแน่

จิมมี่: เราเคยไปเล่นเปิดให้กลุ่มพังก์จริง โห เขาเป็นพังก์ของแท้เลย ของเรายังไม่ถึงกับพังก์ขนาดนั้น เป็นอัลเทอร์เนทิฟ อินดี้มากกว่า

แก้ว: เท่าที่เราเข้าใจ เหมือนคนมีภาพในหัวอยู่แล้วว่าพังก์คืออะไร ป๊อป ร็อก คืออะไร แล้วคนไทยจะไม่กล้าพูดว่าเราเป็นงั้นงี้เพราะมันไม่ค่อยมีใครเป็นตามแบบแผน 100% เราก็ไม่ได้บอกว่าพวกเราเป็นพังก์ ไม่ได้ทำเพลงพังก์มากอะไร สไตล์ดนตรีเราก็ไม่ได้ชัดเจนด้วยว่าเราเป็นอะไร แล้วพอคนมาเห็นวงที่ไม่ได้ทำอะไรชัดเจน มีหลายอย่างผสมกันมาก หรือไม่ได้ไปทางใดทางนึง มันก็ดูไม่จริง ดูปลอม ถ้าถามผม ผมก็ไม่ได้จะบ้าคลั่งฟังเพลงพังก์ หรือแต่งตัวแฟชันพังก์ตลอดเวลา แค่รู้สึกว่าเรื่องความคิด ไลฟ์สไตล์ มุมมองต่อสิ่งต่าง อาจจะเป็นพังก์ ด้วยวิถีชีวิตหรือการโตมาแบบนี้

บลู: หลาย คนมันรู้จักวงเรานะ แต่เขากลับไม่ชอบ หมั่นไส้พวกเรา ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน บางคนก็ยังไม่ยอมรับ บอกไอ้เหี้ยนี้แม่งปลอมว่ะ เราไม่ได้ไปยัดเยียดแนวดนตรีเราว่าเป็นป๊อปพังก์หรืออะไร คือทุกคนเรียกเราเอง สำหรับพวกเรา Lord Liar Boots ก็ยังไม่ใช่พังก์นะ แต่ก็มีส่วนผสมอยู่ สมาชิกวงชอบอะไรไม่เหมือนกัน ก็เอาที่แต่ละคนชอบมารวม กัน วงเรามันคือวงร็อกวงนึงแค่นั้น

กระแสพังก์ช่วงนึงมาแรงมาก จนกลายเป็นเหมือนว่าพวกกูไปเกาะกระแสพวกมึง เอาจริงกูก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร กูแค่เป็นแค่เด็กที่โตมากับพวกรุ่นพี่พังก์ทำผมโมฮอว์ก ตอนนี้บางคนก็ไม่ทำแล้ว ก็แต่งตัวนิด แล้วพากันติดยา ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ (หัวเราะ) หลอก คือสังคมมันก็เป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คำว่าพังก์จริง มันอาจจะไม่มีก็ได้ มันคือการช่างแม่ง อยากทำอะไรก็ทำ แล้วคนก็ไปนิยามกันขึ้นมาเอง

แก้ว: วัฒนธรรมพวกนี้มันเกิดมาก่อนคำนิยามอยู่แล้ว มีคนมาตัดสิน มาวิเคราะห์ แล้วก็ตั้งขึ้นมา ถ้าพูดถึงพังก์มันกว้างมากเลยนะเว่ย ไม่ใช่แค่ดนตรี เสื้อผ้าหน้าผม หรือว่าไลฟ์สไตล์ แค่ sub-genre ของพังก์เองยังย่อยลงไปยุบยับเลย Irish punk, skinhead punk, college rock, pop punk จากโวยวายแหกปาก อยู่ข้างถนน ทุบตี ขโมยเงินผู้คน มันก็ซอฟต์ลงเรื่อย เด็กมหาลัยก็ร็อกได้ บางประเทศช่วงนั้นเขาต่อต้านการเมืองด้วยพังก์ของประเทศเขา แล้วเราจะไปอินอะไรกับวัฒนธรรมขนาดนั้นก็ไม่น่าใช่ เพราะตัวกูก็ไม่ได้อินการประท้วงอย่างนั้นทุกวัน (FJZ: ก็เหมือนกับทุกวัฒนธรรมหรือเปล่าที่เกิดขึ้นมาจากการรวมกลุ่มกันของคนที่เชื่อหรือชอบอะไรเหมือน กัน) เออ คือมันดูรุนแรง หยาบคาย ต่อต้าน แล้วมันก็ค่อนข้างสุดโต่ง คนมักจะคิดว่าพังก์ต้องโมฮอว์กสีแดง ถ้าคนทำทรงนี้มา (ชี้ตัวเอง) คนคงบอกว่ามึงเป็นพังก์ปลอมหึ พูดให้ตัวเองดูเป็นพังก์ตัวจริงเองหรือเปล่า

ผมอยากเล่าเรื่องทั่ว  ไปที่หลายคนน่าจะเจอเหมือนกับเราแล้วรู้สึกคล้าย  กัน คิดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพูด

-2-

จากที่เราสังเกตกลุ่มผู้ชมตามงานคอนเสิร์ตรูปแบบต่าง ๆ ที่เราได้ไป จะพบว่าซีนที่แฟนเพลงสนุกที่สุด อินกับเพลงที่สุด กระโดดโลดเต้นและโวยวายแบบไม่ห่วงลุคมากที่สุด คือซีนร็อกดุเดือดที่มีพวกเขาไปปรากฏชื่อบนโปสเตอร์อยู่หลายครั้ง แต่ในบางงานด้วยความที่มีการผสมผสานหลากหลายวัฒนธรรมแนวเพลงทำให้พวกเขาก็กลายเป็นวงที่โดดออกมาจากศิลปินอื่นในไลน์อัพ อยากรู้เหลือเกินว่าพวกเขารู้สึกยังไงบ้างกับกลุ่มคนทั้งนอกและในวงสังคมที่รายล้อมพวกเขา

นอกจากคนในกลุ่มกันเองที่คอยตัดสินเรา แบบนี้คนนอกกลุ่มไม่ยิ่งหนักกว่าอีกหรอ

อั๋น: ผู้ใหญ่นี่ตัวดีเลย รุ่นใหญ่เลย

บลู: เขาคิดว่าเขารู้มากที่สุดแล้ว คนในวงการอะ

จิมมี่: นอกวงการก็มีนะ ผู้ใหญ่ generation นั้น (70s-90s punk)

แก้ว: กูให้เลย ผู้ใหญ่ที่เกิดมาใน gen นั้นที่เขาต้อง rebuilt อะไรทุกอย่าง

บลู: มันถูกแล้วเว่ย เพราะเขาโตมาในยุคที่ศิลปินเมืองนอกฝรั่งเขาเรียลจริง แต่ประเทศไทยกลับมีวงที่เลียนแบบเขาขึ้นมา วงที่จริงคงมีแต่ส่วนมากมันไม่ถึงจริง ไง สมมติเราทำวงฮาร์ดคอร์ขึ้นมาวงนึง แต่ชีวิตจริงกลับนั่งกินกาแฟ หาหนังสือฮิป อ่าน พวกผู้ใหญ่ที่เราไปเจอมาเขามองเราเทียบกับอย่างนั้น เขามองว่าเราไม่เรียล ไม่เหมือนกับโลกจริงของเขา

แก้ว: มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ถ้าเราอยากดึงใครหรือมีใครเปิดใจเข้ามา แสดงว่าอย่างน้อยในชีวิตนึงต้องเคยประสบหรือคิดอะไรคล้าย กัน โตมาคล้าย กัน พอที่จะให้รับ culture แบบนั้นได้ ไม่งั้นสมมติ ผมเล่นเพลงคันทรีหรือ blue grass เพราะชีวิตผมมีแต่วัว ควาย หญ้า แต่อีกคนมาจากดูไบจะมาอินกับกูได้ไง ถึงแม้ตามทฤษฎีจะอินกับทุกโน้ตที่กูใช้ แต่สาส์นที่กูส่งไปก็ไม่ได้เข้าใจจริง หรอก ต่อให้มึงพยายามเรียนรู้สาส์นนั้น มึงก็ไม่เข้าใจอยู่ดีเพราะไม่เคยเป็นแบบนั้น เพราะงั้นมันเลยเป็นกลุ่มที่เล็ก แคบ โตช้า แต่ผมว่าในไทยมีคนคิดแบบเราเยอะ แค่อาจจะไม่มีโอกาสได้แสดงอะไรเท่าไหร่

ก็นั่นแหละ ดนตรี แฟชัน attitude ผมว่าสามอย่างนี้ถ้ามี attitude อย่างเดียวมันก็ได้ ไม่ต้องเล่นดนตรีหรือแต่งแฟชันก็อยู่ในวัฒนธรรมนั้นได้ละ สมมติคุณห่มผ้าเหลือง โกนหัว แต่คุณเชื่ออัลเลาะห์ หรือยะโฮวา มันก็ไม่ใช่ละ มันอยู่ที่คุณเชื่อยังไง คิดยังไง ใช้ชีวิตยังไง

Print

ถ้าลองจำกัดความความเป็น Lord Liar Boots

แก้ว: มันไม่ใช่อะไรที่จะมาจำกัดความกันง่าย

บลู: เราคิดมาตลอด แต่ก็หาคำจำกัดไม่ได้สักที เพราะเราไม่เหมือนกันแต่มีอะไรที่เหมือนกัน เรามีความน่าหมั่นไส้ที่เหมือนกัน

จิมมี่: มันมีคนบอกว่าคุณบอกว่าคุณชอบฝน แต่คุณกางร่มเวลาที่คุณเจอฝน คุณบอกว่าคุณชอบลม แต่คุณก็ปิดหน้าต่าง คุณบอกว่าคุณชอบแดด แต่พอเจอแดดคุณก็กางร่ม ถ้าคุณบอกว่าคุณรักสิ่งนี้ ฉันก็เกรงว่าถ้าคุณบอกว่าคุณรักฉัน มันก็อาจจะไม่ใช่ในสักวันมันเหมือนเรายังไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรจริง เราลองเปรียบเทียบเราตอนนี้เราอยากเป็นอะไร กับเราตอนเด็กอยากเป็นอะไร มันก็ไม่เหมือนกัน แต่มีคนบอกว่าชอบ Lord Liar Boots เพราะแม่งไม่คิดเหี้ยไรเลย

อั๋น: เรารู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ที่มาดูวงเราคือเขาชอบที่เราเป็น พอลงจากเวทีมาพูดคุยคนเขาจะชอบที่เราเป็นกันเอง บางทีคนก็ชอบแค่เพลงของเรา ไม่สนว่าเล่นสดยังไง ไม่ได้สนใจอะไรตัวเรา แต่งตัวทำผมยังไงหรือพูดอะไร

จิมมี่: บางคนอาจจะชอบมุขบางมุขในเพลงของเรา บางคนชอบที่เราแต่งผู้หญิง บางคนอาจจะชอบที่ว่าคนนี้เก่ง คนนี้เล่นมัน อยู่ที่สิ่งที่คนคนนั้นหลงใหลอยู่แล้วมันก็ไปคลิก บังเอิญไปติดใจตรงนั้นพอดี

แก้ว: คือเราเป็นสี่คนที่ต่างกันมาก แทบจะไปคนละทาง แต่ดึงกันไว้อยู่รอดได้แทบทุกครั้ง เคยเห็นของกินอะไรที่มันมีส่วนผสมแปลก ดูไม่น่าจะอร่อยแน่ พวกนั้นมักจะไม่อยู่ในร้านอาหารทั่วไป แต่ถามว่ามีเอกลักษณ์ของตัวเองไหม มี เราเป็นแบบนั้น (บลู: แต่ Lord Liar Boots ป๊อปนะ) ก็ไม่ป๊อปขนาดจะอยู่ได้ทุกที่ สิ่งที่มันป๊อปจริง คือข้าวขาว น้ำเปล่า ที่ทุกคนกินได้จริง เราแคบมากถ้าเทียบอย่างนั้น

อั๋น: มันมีสิ่งที่เราทำออกมาแล้วคิดว่ามันเวิร์ก มีสิ่งที่ทำออกมาแล้วไม่เข้าข่ายไหน แล้วก็มีอะไรที่ common กับคนอื่นเคยเห็นงานศิลปะที่คนวาดไม่ได้คิดเหี้ยไรเลยปะ นั่นแหละ คนมันตีความไปต่าง นานา ถ้าไม่โตมาแบบนั้น คิดแบบนั้น รู้สึกแบบนั้น ไม่มีอุปกรณ์พวกนั้น ตอนนั้น รูปมันไม่ออกมาเป็นแบบนั้นหรอก

แก้ว: เราอะเป็นเหมือนคนพวกนั้น เราทำงานอาร์ตมาให้พวกคุณเสพอยู่แล้ว ไม่อยากมาบอกว่ากูเป็นอย่างนี้ แล้วมึงต้องเชื่อ ขอบคุณที่ฟัง มึงจะคิดยังไงก็เรื่องของมึง เราเป็นใครก็ไม่รู้ แต่เราไม่อยากเป็นศัตรูกับพวกมึง ไม่มีปัญหาถ้าจะมาสนิทกัน เราสนิทกันไวแน่นอน ถ้าอยากทะเลาะกันก็เอาเลย พวกเราไม่สนอยู่แล้ว เราไม่ได้อยากทำตัวให้กลมกลืนพอที่อยากเข้าไปสังคมเขา แล้วก็ไม่ได้อยากขยายสังคมเราจนใหญ่พอให้ทุกคนเข้ามาได้ ก็ไปช้า

เราอาจจะเป็น outsider แต่อย่างน้อยถ้าครึ่งนึงเราอยู่ข้างนอก ครึ่งนั้นเราจะชวนคนออกมากับเรา แต่ถ้าอีกครึ่งที่เราอยู่ข้างใน เราก็ต้องทำให้มันอยู่ได้ ไม่ได้ไปทำตัว out of place ในนั้น หรืออย่างเวลาเราเล่นสดครั้งนึงจะมีคนมาดูหลายแบบมาก ซึ่งดีแล้ว อยากให้คนหลาย กลุ่มแลกเปลี่ยน culture กัน อยากให้ได้ทำอะไรด้วยกันสักอย่าง สมมติมึงแต่งตัวจัด อีกคนบ้าดนตรี ทั้งสองคนมาดูเรา แล้วมาเจอกัน กูต้องทำให้มึงมารู้จักกัน เป็นพวกเดียวกัน เราเป็นเพื่อนกันหมดเลย ไม่ได้ติสต์ ไม่ดึง ไม่หยิ่ง มาเฮฮา มาเต้นด้วยกัน

บลู: ดังนั้น Lord Liar Boots คือลูกอมสี่สี มีไส้สี่ไส้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นไส้อะไรบ้าง แต่ที่แน่ คือไส้พวกนั้นจะมีความจี๊ดจ๊าด เปรี้ยว เผ็ด มัน พวกเราจริง เหมือนดื้อนะ แต่พอเวลาฟังก็ฟัง อย่างเวลาที่พี่เจ (ผู้จัดการวง) บอกว่าอันไหนไม่ควรทำนะเราทำเลย (หัวเราะ)

untitled-2

จริงไหมที่ซีนร็อกหนัก แฟนเพลงจะเป็นมิตรกว่า

จิมมี่: พวกเมทัลไง เวลาเล่นอยู่เขาก็มอชกัน หมดรอบก็กอดคอกัน แล้วพอถึงจุดนึงก็มอชต่อ

แก้ว: ส่วนใหญ่ซีนของเราก็มีน้อย ไม่ค่อยมีหรอก คือทุกคนมาบ้ากัน มาสนุกด้วยกัน มันมีหลายปัจจัยมาก สมมติเป็นเรื่องการแต่งตัว คนแต่งตัวร็อกสัส กับคนแต่งตัวธรรมดา คนอย่างหลังเดินบนถนนง่ายกว่า แต่พวกที่แต่งตัวจัด ก็ต้องออกมามีกลุ่มของตัวเอง เจอคนที่แต่งตัวแบบตัวเอง ถ้าเรื่องแนวเพลง ดนตรีที่หนักกว่า มันกว่า วิ่งได้ มอชได้ เต้นได้ แล้วมันเข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา ทุกคนแหกปากเป็น ยังไงคุณไม่ทำอะไรพวกนั้นคนเดียวอยู่แล้ว

จิมมี่: แล้วมันต้องใช้เพื่อนเยอะด้วยถึงจะทำได้ ลองนึกภาพคนถือกีตาร์โปร่งคนเดียวบนเวที มันก็ไม่ใช่ (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นกีตาร์โปร่งไฟฟ้า ใส่เอฟเฟกต์แต่มันก็ยังไม่มอช มันต้องมีกลองชุด มีเบส อะไรมาเร้า มีความเป็นพรรคพวก

แก้ว: สังเกตว่าเราเล่นโชว์นี้โชว์แรก มีคนสองคนมาดู สองคนนั้นยังไม่รู้จักกัน แต่พอมีโชว์สอง สองคนนี้กลับมาแล้วก็รู้จักกัน พอโชว์สามเขามาด้วยกันเลย คือพอถึงจุดนึงทุกคนเป็นเพื่อนกันได้เพราะไม่มีใครแคร์แล้ว เขามาฟังเพลง มาเมา มาสนุกกัน

รู้สึกยังไงที่เพลงของเราทำให้คนเป็นเพื่อนกันได้

อั๋น: มันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่เราก็ชอบอยู่แล้ว

แก้ว: มันก็ดีครับ มีพวกมากขึ้นหลาย คน อยากพัฒนาเติบโตไปด้วยกัน โลกสวยงามจะตาย

คิดยังไงที่เวลามีงานคอนเสิร์ตแล้วไลน์อัพซ้ำ วงหน้าใหม่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่น

เจ: คือตอนนี้โมเดลคนจัดงานก็มีอยู่หลายแบบ จากประสบการณ์ที่จัดงานมา จุดประสงค์คืออยากให้พื้นที่วงหน้าใหม่ได้แสดงผลงาน แล้วพอจัดไปเรื่อย ก็ได้รู้ว่าคอนเซปต์ที่เราจะเอาวงใหญ่มาดึงให้คนมาดูวงเล็กมันก็ทำได้ แต่พื้นที่ที่ให้วงหน้าใหม่จริง เลยมันก็้จะน้อยลง ถ้าไปจัดงานเล็กจริง คนจะไม่มา เงินจะไม่ถึงวง เพราะคนไม่เสพวงหน้าใหม่ เราว่าจริงถ้าคนจัดมีพาวเวอร์พอก็ช่วยได้ แล้วก็อยู่ที่วงหน้าใหม่ด้วยว่ามีความน่าสนใจแค่ไหน อย่างโปรเจกต์ ‘ปล่อยของ’ ที่ Play Yard เดือนที่แล้วโคตรประสบความสำเร็จเลย ทำสี่ครั้ง ปกติจัดงานจะขายบัตรได้ 40-50 แต่งานนี้มา 60 คนขึ้นตลอดเลยตั้งแต่ครั้งแรก มี กึมดากึม Lost in Pulse หรือรอบล่าสุดมีวง MAP ต้องใช้คำว่า โห ดีมาก โหดทั้งวง ทุกคนสกิลสูง ทัศนคติดี มัน success ในมุมของศิลปิน สถานที่จัดเองก็มีพาวเวอร์พอที่จะให้คนที่เสพดนตรีอยากมาดู

มันไม่ใช่ทุกวงที่มาเพลงเดียวแล้วคนจะรู้จัก ก็ต้องทำเพลงไปเรื่อย ก็มีหลายปัจจัยนะ หลายวงเขาก็พยายามจัดกันอยู่ อย่างหาที่เล่น จัดงานกันเอง ถึงจะมาเล่นที่ Play Yard ที่คนรู้จักเยอะแล้ว แต่ตัววงยังมีคนรู้จักไม่พอจะดึงคนมาหรือไม่รู้ว่าจะนำเสนอตัวเองยังไงก็ต้องพยายามกันต่อไป แต่ที่น่าสนใจจริง ๆวงมันเยอะด้วยสมัยนี้ ไป มา จัดงานหลายปี เราทำให้วงที่เข้ามาหาเราได้ไม่หมด เวลาเลือกวงมาเล่นปล่อยของเราก็ต้องหาวงที่มันน่าสนใจจริง เราอาจจะไม่ได้รู้เรื่องดนตรีมาก แต่พอฟังเพลงมาแล้วคิดว่ามีของ ก็ไปคุยกับเขาเลย

untitled-3-copy

จิมมี่: ไลน์อัพเฟสติวัลต่าง ตั้งแต่ดูงานคอนเสิร์ตมา ที่เราว่าดีคืองานของคณะเรา ‘Thailand International Jazz Conference’ (TIJC) แต่ละปีไลน์อัพไม่เคยซ้ำกันเลยครับ ศิลปินที่เคยมาเล่น TIJC แล้วปีต่อ ไปก็จะยังไม่ได้กลับมาเล่น แต่ตัวงานมีคนมาดูมากขึ้นเรื่อย มันจะมีทั้งเวิร์กช็อป มีค่ายเพลงมา ดนตรีสดมีเวทีฟรีช่วงเช้า แล้วก็อีกเวทีเล่นตอนกลางคืนจะเก็บค่าบัตร หลัก เป็นแจ๊ส มีฟิวชัน มีร็อก มันจะมีสามวัน มีวงระดับโลก รุ่นใหญ่ในตำนาน วงรุ่นใหม่ วงอาจารย์ในไทย

แก้ว: อันนี้เราพูดถึงเทศกาลดนตรีที่มีแนวทางและเป้าหมายชัดเจน คือเป็นงานเพื่อการเรียนรู้ ถ้าไม่สนใจ ไม่ชอบ หรือไม่เล่นเพลงแจ๊สก็คงไม่มางานนี้ ถ้าทุกงานที่จัดชัดขนาดนี้มันประสบความสำเร็จแน่นอน ก็อยู่ที่เราต้องการอะไรจากภาคส่วนไหน ซึ่งในหลาย ส่วนตรงนี้คนที่มีอำนาจสุดคือคนที่ออกทุนถูกปะ เขาก็ไม่อยากเสียสละหรือไม่อยากจะขาดทุนอยู่แล้ว เป้าหมายของการลงทุนคือกำไร เป้าหมายของการเล่นดนตรีคือการไปเล่นในงานเฟสติวัล ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเรามาทำอะไร แล้วก็อยากได้อะไร ถ้าทุกคนทำดีหมดเลยทุกภาคส่วน คนจัดรู้เรื่องการจัด ลงเงินถูกที่ คนที่เลือกไลน์อัพรู้ว่าต้องเลือกวงแบบไหนให้งานได้กำไร ต่อให้มันหน้าใหม่หรือหน้าเก่าแต่ผลงานดีจริง เล่นดีจริง ทำให้คนมาได้เยอะจริง คนดูแฮปปี้บอกต่อ นั่นคือเฟสติวัลในอุดมคติ แต่มันเกิดขึ้นยากมาก

จิมมี่: แต่หลาย ปีจะมีวงมาดึงคนนะ อย่างสิงโต นำโชค เบ็น ชลาทิศ หรือ ETC

แก้ว: มันจะก็จะมีคนที่มีฐานแฟนที่ดึงคนเข้ามาดู แต่เขาจะปรับแต่งงานของตัวเองให้เป็นแจ๊สอย่างน้อยก็นิดนึง ถ้าคนพวกนั้นไม่สนใจแจ๊สเขาก็ไม่เข้าหรอก กลับมาที่คำถามว่าคิดยังไงถ้าไลน์อัพซ้ำซาก อันนี้ต้องถามแต่ละคน ถ้าเป็นเรากับความรู้สึกต่อศิลปินคนนึงที่ได้ไปเล่นทุกงาน บางทีอาจจะเบื่อ ต้องดูว่าเขาเป็นใคร แม่งถึงจริงหรือเปล่า หรือถ้าเขาเป็นวงที่เราชอบมาก ต้องดู 10 รอบเราก็ยังโอเค (จิมมี่: เราโอเคที่จะดู AC/DC หรือ Red Hot Chili Peppers ติดกัน 10 วัน) อยู่ที่ศิลปินอะ แต่ถ้าเป็นคนที่ดูแล้วรู้สึกว่า ไอ้นี่อีกแล้วหรอวะ มันก็ไม่เวิร์ก นี่ก็คืออยู่ที่คนฟังหนึ่งคนนะ คนฟังอีกหลาย คนอาจจะไม่คิดเหมือนเรา แล้วคนจัดอีก ถ้าแม่งไม่กำไรชัวร์แม่งไม่ทำหรอกแบบนี้ ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จของเขาไป

เราเป็นสี่คนที่ต่างกันมาก  แทบจะไปคนละทาง แต่ดึงกันไว้อยู่รอดได้แทบทุกครั้ง เคยเห็นของกินอะไรที่มันมีส่วนผสมแปลก  ดูไม่น่าจะอร่อยแน่  ไหม พวกนั้นมักจะไม่อยู่ในร้านอาหารทั่วไป แต่ถามว่ามีเอกลักษณ์ของตัวเองไหม มี เราเป็นแบบนั้น แต่ Lord Liar Boots ก็ป๊อปนะ แต่ม่ได้ป๊อปขนาดจะอยู่ได้ทุกที่ สิ่งที่มันป๊อปจริง ๆ คือข้าวขาว น้ำเปล่า ที่ทุกคนกินได้จริง ๆ เราแคบมากถ้าเทียบอย่างนั้น

-3-

ในระหว่างที่พวกเขายังมีความเคลื่อนไหวอยู่ในวงการและยังมีงานเล่นสดอยู่เรื่อย ๆ เราอยากรู้ว่าพวกเขาได้ลองคิดถึงเป้าหมายในอนาคตหรือปลายทางที่วงจะพาตัวเองไปในท้ายที่สุดของเส้นทางชีวิตนักดนตรีจะไปอยู่ตรงไหน

ถามจริงว่าอยากดังไหม

บลู: อยากดิ พวกเราอยากรวย อยากได้ค่าตอบแทน

เป้าหมายการเล่นดนตรีของเราคืออะไร

บลู: ดัง รวย มีเงิน แค่นั้นเลย อยากทำอะไรก็ทำ ทุกคนก็มีความฝันของตัวเองกันหมด อยากให้คนฟังได้ฟังอะไรใหม่

จิมมี่: เราก็อยากสร้างเพลงของตัวเองให้เป็นที่รู้จักแหละ อยากทำเพลงดี ด้วย

มีค่ายเพลงมาจีบบ้างไหม

แก้ว: ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมาก็มีอยู่ คือมันก็ไม่ใช่เราเข้าไปจีบแบบเดินดุ่ม ไปขออยู่กับเขานะ เขาทอดสะพานให้เราก่อน เรารู้อยู่แล้วว่าเขาเปิดใจกับเราก็เลยเข้าไปคุย แต่เรื่องความเท่ กับการมีค่ายเนี่ย เลิกคิดได้เลย ด้วยอีโก้ส่วนตัวกู กูว่าอิสระมันเท่กว่า กูชอบคำว่าอิสระ บางคนเขาไม่ได้เฟี้ยวพอที่จะลุยด้วยตัวเองเว่ย

บลู: ที่เราเข้าไปคุยด้วยเพราะเขามีเงินเว่ย แค่นั้นเลย เรื่อง contract เราไม่สน คือพอเราเริ่มเรียนจบกันแล้วพ่อแม่ก็ไม่ค่อยส่งเงินให้แล้ว แล้วค่ายเขาก็มีห้องอัดมีอะไร ถ้าพ่อแม่เรารวยก็ไม่สนค่ายหรอก ทำเองเท่กว่าด้วย อิสระด้วย

อั๋น: สมมติ Lord Liar Boots ตายไปแล้วหนังสือเขียนว่าวงเราไม่มีค่าย อันนั้นจะเท่กว่าปะ แต่ค่ายทำให้เราไปไกลขึ้นได้เว่ย ถึงมึงจะขับรถเก่ง แต่มึงอยากไปญี่ปุ่น ยังไงมึงต้องขึ้นเครื่อง มึงจ่ายเงินแล้วต้องมีคนขับให้มึง เราไม่ได้ทำได้เก่งทุกทาง ก็ต้องยอมรับจุดนั้น

จิมมี่: สุดท้ายก็มาดูที่เพลงมากกว่าดูว่ามีค่ายหรือไม่มีค่าย

mood1-1

การทำวง Lord Liar Boots ถือว่าได้ทำตามความฝันหรือประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

บลู: ดีนะ

แก้ว: ดีดิ ก็ตอนนั้นเราอยากทำ แล้วตอนนี้เรายังทำอยู่ ก็โอเคแล้ว

อั๋น: คิดว่าเดี๋ยวเรากลับมาก็ไม่น่าเสียหายอะไร รอก่อน ช่วงนี้มันเปื่อย อยู่ หาวัตถุดิบ (แก้ว: ก็ไม่รีบอะ รอได้รอไป ขอบคุณที่รอ)

บลู: กลับมาโหดอยู่แล้วไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะเป็นลุคใหม่แล้วนะ บอกก่อน จะไม่เหมือนเพลงอัลบั้มแรกละ มันจะมีความอาจจะดุขึ้น มีความโตขึ้น ขรึมขึ้นมานิดนึง คอร์ดอาจจะไม่ทะเล้นเหมือน สาย 4 จะไม่มีอะไรแบบนั้นแล้ว

แก้ว: ไม่อยากการันตี ไม่อยากไปสปอยล์คนฟังว่าจะเจออะไร รอดูละกัน

อั๋น: กูเคยเถียงกับพวกมึงว่ากูไม่ชอบเพลงนี้สุดแต่สุดท้ายก็ดังสุดจริง ๆ มันอย่างนี้เว่ย คือมันมีคนที่ไม่ชอบมันที่สุด แต่ว่าเป็นเพลงที่คนอื่นชอบเยอะสุด บางทีเราก็ต้องเสียสละเว่ย

แก้ว: กูเบื่อสุดเลย สาย 4 อะ แต่ก็ไม่หรอก เบื่อบางที รัก เบื่อ ๆ มาดูตอนเล่นสด บลูจะตีอย่างอื่น จะไม่ได้ตีเหมือน audio (บลู: audio มันดูติ๋มไงไม่รู้) มันก็เปลี่ยนไปตามเวลาแหละ ตามอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่เราทำเพลงส่วนนึงเพื่อตัวเอง อีกส่วนนึงเพื่อคนฟัง เราทำอะไรก็เสียสละหน่อยก็ได้ บางทีไม่ต้องทำอะไรที่เราชอบตลอดหรอกถ้ามันไม่ได้ฝืนมาก แล้วถ้าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ กูทำก็ได้ถ้าทำแล้วมึงชอบกันอะ

จิมมี่: นี่กูเบื่อ Bhutan Girl ละเนี่ย แต่ก็ไม่เสียใจที่ทำนะ

บลู: ไม่รู้ว่าตอนนั้นเคาะออกมาแบบนั้นได้ไง (สาย 4) (แก้ว: ตอนนั้นมึงอาจจะชอบมั้ง) เป็นไปได้ก็อยาก re-arrange ใหม่นะ กลองมันเนิร์ดไป ชอบ มนุษย์ป้า มากกว่าด้วยซ้ำไป กับ ขี้งอน ส่วน Bhutan Girl ตอนนี้เริ่มไม่ชอบแล้วด้วย (อั๋น: ลืมเขาได้แล้วล่ะสิ) LLB: (หัวเราะ)

แก้ว: แต่ตอนปล่อย สาย 4 ตอนนั้นมึงก็ไม่ถึงกับเกลียดเพลงนี้นี่หว่า (บลู: กูแค่ไม่อินสุดในเพลงทั้งหมด) แต่มึงก็ยังโอเคไง มึงไม่ได้ฝืน ถ้ามีอะไรสักอย่างที่เราต้องทำแล้วเราต้องฝืนอะ ก็ไม่เอาตั้งแต่แรกละ หลายครั้งที่เราทิ้งไปเลย

บลู: สุดท้ายก็ต้องให้มันมีตรงกลาง คือถ้าทำร่วมกันแล้วก็ต้องมีอะไรที่มันพอดีกันหมดอะ ไม่ใช่ว่ามึงได้ ๆๆๆ แล้วกูแม่งไม่ได้ มันก็ต้อง 50/50… นี่มึงจะเถียงกันทำไม (หัวเราะ)

ถ้าตอนนี้ไม่ได้ทำเพลง คิดว่าตัวเองจะทำอะไรกันอยู่

อั๋น: อยากเป็นครูสอนดนตรี มันดูให้อะไรกับคนอื่น การสอนศิลปะมันเป็นอะไรยิ่งกว่าสอนคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์มีเพียงหนึ่งเดียว แต่ศิลปะมันไม่ได้ยัดใส่หัว มันไปได้หลายทาง

แก้ว: คงจะทำงานเกี่ยวกับศิลปะแหละ อาจจะวาดรูป แสดงละคร เขียนบท หรือทำอะไรก็ตามที่ไม่ได้มาเป็นบล็อก มีเหตุผลหนึ่งเดียว หรือต้องทำตามหน้าที่ที่มีคนมาวางให้ว่าต้องทำอะไร คือรู้ว่าไม่อยากทำอะไร แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรดี ถ้าอิงจากเรื่องความถนัดก็อาจจะทำงานอะไรสักอย่างที่ต้องใช้ภาษา

จิมมี่: อยากสร้างเกมครับ มันมี Flash Player ไง ถ้าผมสอบดนตรีไม่ติดก็คงไปเป็นสถาปนิก แต่สอบไม่ได้แล้วไง แม่ให้สอบรอบเดียว ดีไซเนอร์ก็ได้ อยากสร้างบ้าน สร้างตึก ออกแบบภายใน ตอนเด็ก ก็ชอบวาดรูป

บลู: เอาจริงปะ กูก็ไม่รู้ว่ากูเรียนเก่งไม่เก่งนะเว่ย แต่กูเรียนห้องคิงวิทย์คณิตได้ไงก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าสอบดนตรีไม่ติด หรือไม่ติดเหี้ยไรเลยกูบวช (LLB: หัวเราะ) บวชไม่สึกด้วย กูตั้งปณิธานไว้ ถ้าแก่ไปไม่มีเมีย พ่อแม่ตายแล้ว จะบวชไม่สึกเลย (อั๋น: แล้วเล่นคอนเสิร์ตได้ไหม) ไม่ได้! กูไปบวชธิเบตเลย นิกายไรไม่รู้ ไม่อยากอยู่คิดละไอ้เหี้ย ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว

%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b9%87%e0%b9%84%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b9%87%e0%b9%84%e0%b8%94%e0%b9%89

เร็ว นี้จะมีงานเล่นที่ไหน

แก้ว: 10 .. มีเล่นเปิดศิลปินเยอรมัน แล้วก็งาน Cat Expo เราไปเปิดบูธ ไม่ได้ไปเล่น 2 .. อาจจะได้ไปภูเก็ต ยังไม่ชัวร์ รอตามในเพจละกันครับ

จิมมี่: ก็รอเพลงใหม่ละกันครับ เผลอ เพลงที่เราแต่งอยู่ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เพลงที่ปล่อยเป็นซิงเกิ้ลเดี่ยวรอดูอีกทีละกัน

อั๋น: ก็เดี๋ยวจะทำไปเรื่อย รอไปละกัน ขอบคุณที่รอ

เลิกแต่งหญิงเล่นหรือยัง

บลู: เผลอ อาจจะถอดเสื้อเล่น ไม่แต่งเหี้ยไรละ

จิมมี่: ตอนนั้นไปเล่นภูเก็ตก็ถอดเสื้อเล่นนะ แล้วแต่อารมณ์ครับ ตอนนี้มาแต่งแบบปัจจุบันละ ครั้งแรกที่แต่งหญิงคือเพื่อเล่นเอ็มวีเว่ย

แก้ว: บางทีวันนั้นอยากใส่ บางทีไม่อยากใส่ ก็ไม่สนแล้ว ที่แต่งตอนนั้นคือเพลง มนุษย์ป้า เลย เพลงเดียว หาคนมาเล่นไม่ได้ ไม่มีใครอยากมาเล่นแล้วรับบทเหี้ย ไม่ได้ตังอีก เราก็เอาดิ ก็ใส่เล่นเอ็มวี แล้วทีนี้ก็มาคิดว่า ทำไมไม่ใส่เล่นสดไปเลยล่ะ คิดว่ากูไม่กล้าหรอ (หัวเราะ) แล้วมันโอเคนะ แบบ มองจากไกล แล้วก็งงว่านี่ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ แล้วพอเห็นว่าเป็นผู้ชายคนก็เซอร์ไพรส์ มันดีว่ะ แต่บางทีคุณก็ไม่ต้องสนก็ได้ว่าพวกเราเป็นอะไร งานหลักของเราคือเรามาเป็นตัวเอง เล่นดนตรีให้ทุกคนฟัง

จิมมี่:เออ อยากทำเพลงภาษาญี่ปุ่นว่ะ (บลู: เชี่ย ไม่เอา กูอยากทำภาษาอาหรับด้วยซ้ำ) ไม่ใช่แบบนั้น อาจจะเป็นแบบเล่นคำ ‘คนนี้สิวะ ๆ’ (คนนิจิวะ) ‘คนบังว่ะ ๆ’ (คมบังวะ) ‘อีกคืบ ๆๆๆๆๆๆ’ (อิคึ) (หัวเราะ)

สมมติ Lord Liar Boots ตายไปแล้วหนังสือเขียนว่าวงเราไม่มีค่าย อันนั้นจะเท่กว่าปะ แต่ค่ายทำให้เราไปไกลขึ้นได้เว่ย ถึงมึงจะขับรถเก่ง แต่มึงอยากไปญี่ปุ่น ยังไงมึงต้องขึ้นเครื่อง มึงจ่ายเงินแล้วต้องมีคนขับให้มึง เราไม่ได้ทำได้เก่งทุกทาง ก็ต้องยอมรับจุดนั้น

สุดท้ายแล้ว ฝากอะไรถึงแฟน หรือคนที่เพิ่งรู้จัก Lord Liar Boots หน่อย

LLB: ฝากติดตามเพลงใหม่ ๆ ที่กำลังจะปล่อยในปี 2018 ถ้าตามมาดูเล่นสดได้ก็จะได้ฟังเพลงพวกนี้ก่อนปล่อยด้วยนะครับ ตอนนี้มีเพลงเก่า ๆ บน music streaming ทุกทางเลย ซีดี เสื้อยืด ก็ยังเหลือด้วย เช็กในเพจ https://www.facebook.com/LordLiarBoots/ ได้เลยครับ

img_1014

-4-

เนื่องด้วย Fungjaizine ฉบับที่ 30 เป็นธีมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของดนตรีกับความคิดสร้างสรรค์ที่รังสรรค์มาจากสารหลอนต่าง ๆ เราเลยอยากลองถามพวกเขาว่ามีความคิดเห็นกับเรื่องพวกนี้ยังไงบ้าง

มีจริงไหมตอนนี้ ศิลปินที่สร้างศิลปะได้ด้วยยาเสพติด

LLB: มี

บลู: เยอะเเยะเต็มไปหมด ทั้งนั้นแหละ มันเป็นเรื่องจริงที่ใช้แล้วจะทำให้สมองมันมีการเปิดอะไรสักอย่าง มันมีบางอย่างที่ถ้าเราไม่เมาเราจะไม่ทำน่ะ แต่ควรใช้พอประมาณเวลาสร้างศิลปะ ใช้เยอะไปมันก็จะกลายเป็นความชินไปละ ไม่ช่วยอะไร ไม่งั้นสักพักเดี๋ยวติดหนัก เสียเงิน จน ไอ้สัส

แก้ว: บางทีมันก็ไม่ได้ช่วยให้เราสร้างสรรค์หรอก สุดท้ายมันอยู่ที่มึง คือการสร้างสรรค์มันก็เป็นสกิลเราอยู่แล้ว แต่มันช่วยทำให้เรากล้าทำในสิ่งที่ตอนเรามีสติจะไม่กล้าทำ หรือคิดไม่ถึง

จิมมี่: มันอาจจะทำให้เราเห็น ได้ยิน คิดอะไรต่างไปจากเดิม จะดีขึ้นหรือไม่ก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่คนใช้นั่นแหละจะจำได้ไหม มีจุดประสงค์ว่าใช้ไปเพื่ออะไร บ้างทีก็ไม่ต้องพึ่งมันเลยก็ได้ ของพวกนี้มันอยู่ที่จินตนาการ

อั๋น: แนะนำให้กินช็อกโกแลต อร่อย

อยากให้กัญชาถูกกฎหมายไหม

LLB: อยาก

อั๋น: นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ ก็ทำให้มันถูกกฎหมายก็ได้แหละ แค่ต้องเขียนกฎหมายให้มันดี หน่อย อาจจะแค่ในเขตเดียว แต่ต้องดูดในพื้นที่อะ ดูดสาธารณะไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี คนไทยทุกวันนี้ก็ไม่มีสติพอแล้วอะ ขนาดมึงไม่เมายังทำตามกฎโง่ ไม่ได้

บลู: ถ้าถูกกฎหมายนี่ประเทศจนพอดี อัตราว่างงานคงเพิ่มขึ้น เรื่องเงิน เรื่องภาษีล้วน บุหรี่ เหล้า เขาจะขาดทุนไง คือคนดูดกัญชาไม่ดูดบุหรี่นะ มีแค่คนไทยประเทศเดียวที่ดูดแบบผสมบุหรี่ เมืองนอกเขาเพียว ออแกนิกหมดทุกอย่าง

จิมมี่: บางคนอยากให้กัญชาถูกกฎหมายจะได้ขายได้ เราก็อยากให้ถูกกฎหมายเพราะจะได้ดูดที่ไหนก็ได้ด้วย จะได้ไม่ต้องกังวลอะไร

แก้ว: ไม่หรอก ถ้าขายได้มันก็ถูกลงดิ ผิดกฎหมายเนี่ยแหละจะได้ขายแพง

อั๋น: มึงอยากทำงานวันเดียวได้เงินเยอะ ปะ หรือทำทุกวันได้วันละนิด จริง เนเธอร์แลนด์ไม่ได้ดูดที่ไหนก็ได้นะ ต้องดูดในคาเฟ่ อย่างมากก็เป็น smoking area แต่บุหรี่ได้ทุกที่ ที่นู่นมีให้เลือกเลยนะ คุณจะเอาดีดหรือจะเอา stoned ไม่ใช่แค่ดูดด้วย มาเป็นหลายเวอร์ชันเลย

จิมมี่: มันมีสูตรอาหารที่ต้องใช้กัญชาเป็นส่วนผสมหลักด้วย ไม่งั้นจะดึงรสมาไม่ได้

แก้ว: ก็น่าลองดู แต่ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งทำเลยดีกว่า เรื่องพวกนี้มาแก้ทีหลังยาก ต้องควบคุมให้มันรอบด้านจริง ก่อน

ถ้าไม่ติดยา จะติดอะไร

จิมมี่: ติดเกม ติดการ์ตูน อนิเมะ ติดนารุโตะ

แก้ว: ติดปิ้งย่าง เบค่อน เนื้อวัว เราชอบอาหารดี ต้องมี food party สักวันนึงในอาทิตย์ แล้วก็ติดการอยู่ข้างนอก ออกจากบ้านไปทำอะไรก็ได้ กลับบ้านให้ดึกที่สุด ออกให้เร็วที่สุด

บลู: ติดยา (หัวเราะ) เมเปิ้ลสตอรี่ครับตอนนี้ กำลัง close beta เวล 50 ละ

อั๋น: ผมติดคล้าย จิม แล้วก็จะมีกิจวัตรอย่าง ล้างรถ ติดรถ (แก้ว: ชักว่าว) …มันเป็นอาการทางการแพทย์เลย เกิดจากการที่มีเพศสัมพันธ์หรือสำเร็จความใคร่ ความดันเลือดมันสูงแล้วก็ทำให้ปวดหัวจี๊ด ผมก็ไปหาหมอ หมอถามไปทำไรมา ตอนบอกหมออายสัสคือ วันนี้ผมไปกินเหล้ามา โน่นนี่นั่น อะ มึงเข้าเรื่องเลย ผมชักว่าวแล้วปวดหัว (LLB: หัวเราะ) อะ หมอเข้าใจ มันเรียกว่า ‘sexual headache’

รับฟังเพลงของ Lord Liar Boots บนเว็บไซต์ฟังใจได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้