Feature Head talk

Rap is now: The New Beginning

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Nattanich Chanaritichai
  • Stylist: Varachaya Chetchotiros
  • Art Director: Tunlaya Dunnvatanachit

Rap is now Crew

โจ้ – ศวิชญ์ สุวรรณกุล (ผู้ก่อตั้ง Rap Is now,  Art Director)
ต้าร์ – สักกพิช มากคุณ (Creative Producer, Online Marketing)
ฮอคกี้ – เดชาธร บำรุงเมือง (Online Content)
ด้อด – ปวิตรี ประวิตร สวนสัน (Co-Producer)
เอ็ม – จีรังกูล เกตุทอง (Host)
ฟลุ๊ค – พลกฤต ศรีสมุทร (Manager)
หลุยส์ – ธชา คงคาเขตร (Host, Director)

“ชื่อผมจำง่ายมี 2 พยางค์ พูดพร้อมกันว่า ชื่อผมจำง่ายมี 2 พยางค์ ผมตะโกนแฮปปี้ คุณตะโกนฟังใจ โย่ว” ก่อนอื่นเลยขอสวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านให้เข้ากับธีมของฟังใจซีนฉบับนี้ซะหน่อย หลังจากหลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสติดตามชมคลิปการ Battle ของชุมชน Rap is Now มาหลายคลิป จนสุดท้ายแล้วอดใจไม่ไหวต้องตามหาพวกเขาเพื่อมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของวงการ Hip-Hop ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าแท้จริงแล้วกว่าพวกเขาจะมายืนอยู่ในจุดนี้ได้พวกเขาผ่านอะไรกันมาบ้าง แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ชุมชนของพวกเขาแข็งแรงและประสบความสำเร็จเช่นนี้ ถ้าท่านผู้อ่านทุกท่านพร้อมแล้ว เชิญขึ้นสังเวียนมาปะทะกับเรื่องราวของพวกเขาได้เลย ณ บัดนี้

Rhyme 1

“เปิดมาไรม์แรกไม่อยากจะพูดอะไรมาก แค่อยากจะรู้จักพวกคุณทีม Rap is Now ถึงเวลาแล้วที่จะได้รู้จักเสียที” เมื่อเครื่องบันทึกเสียงกด Play ผมไม่อยากจะเกเรเสียเวลาไปให้มากความ รีบชิงถามคำถามใส่พวกเขาอย่างรวดเร็วโดยพวกเขาทั้ง 7 คนพร้อมแล้วที่จะให้คำตอบกับผมในเรื่องราวต่าง ๆ ของกลุ่มคนสายฮิปฮอปที่ชื่อว่า Rap is Now

1

Rap is Now ชื่อนี้มีที่มา 

โจ้: จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากตอนผมเรียนอยู่ปี 3 ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่กระแสของดนตรีฮิปฮอปมันซาลงไปเยอะมาก แต่ด้วยความที่ผมชอบดนตรีแนวนี้ทำให้เราก็มีกลุ่มเพื่อนที่ชอบฮิปฮอปอยู่พอสมควรในสมัยนั้น แต่แล้วอยู่มาวันนึงก็มีรุ่นน้องที่สนิทมาหาผมที่ห้องบอกว่า “พี่ อยากจัดปาร์ตี้ฮิปฮอปว่ะ ช่วยผมหน่อย พี่คิดชื่อคิดอะไรมาให้ผมด้วยนะ” ตอนนั้นก็แบบเอองั้นลองจัดปาร์ตี้แบบนี้ดูเป็นปาร์ตี้รวมเพื่อนเก่าคล้าย ๆ การ reunion ของกลุ่มคนดนตรีแนวนี้ด้วยไปเลย ด้วยความที่กระแสมันเงียบทำให้งานในครั้งนั้นมันก็จะมีแต่คนหน้าเก่า ๆ มาเจอกัน ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่า เออมันก็ยังไม่ได้หายไปไหนกันนี่หว่าแค่มันไปอยู่ในชุมชนที่คนทั่วไปไม่เห็นเท่านั้นเอง ก็เลยลองพัฒนาจัดงานปาร์ตี้ขึ้นมาเรื่อย ๆ ครับ ส่วนชื่อ Rap is Now จริง ๆ แล้วมันมาจากตอนนั้นผมชอบคำว่า The future is now ที่แปลว่าอนาคตแสนไกลมันอยู่ตรงนี้ (หัวเราะ) เลยลองมาเทียบ Verb เปลี่ยนเป็น Rap is now ดู ปรากฏว่าเออมันลงตัวดีนะ ผมคิดว่า เพลงแร็พมันเป็นเพลงที่บ่งบอกถึงปัจจุบันกาลได้ดี ถ้าเราฟังเพลงแนวนี้เราจะรู้ว่าสังคมตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เกิดอะไรขึ้นในยุคนั้น มันสามารถไปด้วยกันกับคำว่า Now ได้ ทำให้จึงเกิดชื่อนี้ขึ้นมาเป็นชื่อกลุ่มเราครับ โดยตั้งแต่ระยะเวลาเริ่มต้นจริง ๆ ของชุมชนแล้ว Rap is Now ก็เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2009 ครับ เดือนหน้าจะครบรอบ 7 ปีแล้ว

การรวมตัวทีมงานคุณภาพและงานแรกที่เกิดขึ้นของกลุ่ม Rap is Now

โจ้: ตอนนั้นจะมีแค่ผมกับน้องอีกคนหนึ่งครับ เราจัดงานปาร์ตี้ไป 2 งานแล้ว ครั้งแรกจัดที่ร้าน W.O.C สยามครับ ไม่รู้คนที่อ่านทันกันบ้างรึเปล่า มันเป็นเหมือนงานรวมญาติของคนที่ชอบดนตรีแนวนี้เลย คนมาประมาณ 200 – 300 คน ถือว่าเยอะเหมือนกันนะเพราะร้านอาหารมันเล็กมาก จากนั้นครั้งที่สองก็ไปจัดแถวรัชดางานเริ่มใหญ่ขึ้นมาหน่อยคนมา 400 กว่าคน ปรากฏว่างานนั้นตำรวจลง จบกัน คนในงานเหลือแค่ 20 – 30 คนเอง พอเจอครั้งนั้นเข้าไปเราก็แบบกลับมาทำธีสิสละ มาตั้งใจเรียนให้จบ เลยห่าง ๆ กับน้องคนนั้นไปสักพัก จนเมื่อปี 2012 ผมก็ได้กลับมาปัดฝุ่นโปรเจกต์นี้อีกครั้ง เพราะว่า ช่วงที่เราเงียบไปวงการฮิปฮอปมันก็เงียบเหมือนกัน พอผมทำงานประจำไปสักพักแล้วมันรู้สึกกร่อย ๆ น่าเบื่อ ประกอบกับตอนที่เราเรียนมหาวิทยาลัย หลุยส์ ต้าร์ ผม เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย อยู่มาวันนึงหลุยส์ก็โทรมาหาผมว่า “โจ้ มึงกลับมาทำ Rap is Now กลับมาทำงาน Battle ที่มึงเคยทำเถอะ” ผมก็งงอะไรของมันวะ เลยตัดสินใจแบกคอมพิวเตอร์ไปหาหลุยส์ด้วยความงง ๆ ปรากฏว่ามันก็สั่งผมว่า เดี๋ยวมึงทำโลโก้ ทำโปสเตอร์ เปิดเพจเฟซบุ๊กเดี๋ยวนี้เลยนะ ตอนนั้นก็คิดในใจอะไรของมึงวะหลุยส์ (หัวเราะ) แต่เราก็เชื่อมัน ทำนะ ทำตามหมดเลย ต้าร์ก็มาช่วยเสริมการทำงานของเราด้วยในตอนนั้น จากนั้นก็ประกาศไปว่าเราจะจัดแข่ง battle กัน โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดไรขึ้นหลังจากนี้ โดยในช่วงเวลานั้นผมก็เริ่มหาทีมงานของ Rap is Now ไปเรื่อย ๆ ก็ไปชวนพี่เอ็มมาร่วมทีม เพราะพี่เขาฮอตมากในตอนนั้น (หัวเราะ) เป็นแร็พเปอร์ที่มีชื่อเสียงก็เลยเกิดการรวมตัวของทีมขึ้นในยุคนั้นครับ

ต้าร์: ตอนแรกที่เรากลับมาทำ Rap is Now เราอยากทำรูปแบบการ battle ให้ออกมาเป็น Audio battle TV ซึ่งตัดสินผลการแข่งขันผ่านยูทูบ ซึ่งถ้าย้อนไปสมัยนู้นช่วงอินเตอร์เน็ตมีความเร็ว 56k อะครับ จะเป็นการพิมพ์ด่ากัน 4 บรรทัด 8 บรรทัดก็ว่ากันไป ไฝว้กันด้วยตัวอักษร พอโตมาหน่อยยุคอินเตอร์เน็ต 256k ก็เริ่มใช้เสียงด่ากันแทนละ จะมีเรื่องของกลุ่มแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าก็ว่ากันไป

เพลงแร็พมันเป็นเพลงที่บ่งบอกถึงปัจจุบันกาลได้ดี ถ้าเราฟังเพลงแนวนี้เราจะรู้ว่าสังคมตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้า

ฟลุ๊ค: ช่วงนั้นผมจำได้ว่าจะมีการรวมตัวที่เว็บบอร์ด siamhiphop.comเป็นหลัก เราก็เลยไปทำ audio battle แทนไปเลย

โจ้: ตอนแรก ๆ เรากะจะทำขึ้นเว็บไซต์ YouTube ด้วย แต่แค่รู้สึกว่าถ้ามันมีแค่เสียงไม่มีภาพเราจะอัพขึ้นยูทูบทำไม ก็เลยตัดสินใจทำผ่านเว็บไซต์ SoundCloud แทน มันดูเป็นสัดส่วนดีก็มีการพูดคุยและตัดสินกันผ่านในชุมชน Rap is Now ของเราด้วย ในฝั่งของการตัดสิน ตอนแรกทีมงานเราจะไม่บอกเลยว่า พวกเราเป็นคนทำชุมชนนี้ขึ้นมา ไม่แสดงตัวให้ใครเห็นทั้งสิ้น มีใส่หน้ากากด้วยสมัยก่อน (หัวเราะ) แต่ถือว่าเป็นโปรเจกต์แรกเริ่มของเราที่สนุกดีนะ มีคนส่งเดโม่มาทั้งหมด 77 เดโม่ที่ส่งมาทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นใครเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ ปรากฏว่าพอมีโครงการนี้มาทำให้ได้รู้เลยว่า ไม่ได้มีแต่คนรุ่นเก่า ๆ ที่ทำเพลงแล้วนะ มันมีเด็กรุ่นใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก มีอีกหลายคนที่เรายังไม่รู้จักเขาเลย บางคนเก่งมากซึ่งจากเหตุการณ์นี้เองเราจึงเข้าใจว่าช่วงเวลาที่ฮิปฮอปเงียบในกรุงเทพมหานครมันกลับไปบูมที่ต่างจังหวัดแทนครับ

ต้าร์: คือต่างจังหวัดเนี่ย ย้อนไปช่วงเว็บบอร์ด siamhiphop.com ตอนนั้นจะมีโปรเจกต์ของวง Thaitanium เกิดขึ้นคือ ไทยเทมิกซ์เทป ทางวงเขาจะทำให้ทุกคนส่งเดโม่เข้าไปโดยไม่จำกัดอายุ จำกัดเพศเลย อย่างตอนนั้นพี่เอ็ม หนึ่งในทีมงานของเราก็เคยอยู่ในไทยเทมิกซ์เทปนะ แต่ในช่วงที่เราทำ Rap is Now แล้วมีการ Battle จริงจังเกิดขึ้น กลายเป็นพี่ ๆ รุ่นนั้นที่เคยออกผลงานกันไปก็โตหมดแล้วแต่เป็นการเติบโตที่เปรียบเสมือนพวกเขาเป็น Hometown Hero ให้กับน้อง ๆ ในแต่ละจังหวัดไป ฮิปฮอปก็เลยยังอยู่ได้แต่มันจะไปกระจายอยู่รอบ ๆ ประเทศไทยเรานั่นเองซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ หลังจากที่เรากลับมาทำ Rap is Now

2

 

การ Battle แบบเจอตัวกันของ Rapper คือแนวคิดที่เกิดขึ้นจาก Rap is Now

เอ็ม: เรื่องนี้ต้องขอเล่าไปถึงการแคมเปญยุคแรก ๆ ของ Rap is Now เลยครับที่มีชื่อว่า Knock ‘Em Out เป็นการ Battle แบบ Audio ที่ทั้งโจ้และต้าร์เพิ่งอธิบายไปเมื่อกี้ละครับ แต่ทีมเราก็มาคิด ๆ กันว่า เราทำมาแต่ Audio battle อย่างเดียวมาตลอด ต้าร์เขาก็เกิดปิ๊งไอเดียว่า อยากให้ Rapper มาเจอตัวจริงกันเลย ตัวเป็น ๆ ไหน ๆ ก็จะมีการชิงชนะเลิศเกิดขึ้นแล้วเลยลองให้พวกเขามาเจอกันดูครับ ซึ่งก็กล้า ๆ กลัว ๆ นะว่าคนดูจะมาดูเราไหม เพราะ Rapper ที่เราเอามาเจอกันเขาก็เป็นใครไม่รู้ ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร สุดท้ายผลจริง ๆ ก็ปรากฏให้เห็นครับว่า คนดูในตอนนั้นก็ไม่ได้เยอะเท่าไร (หัวเราะ)

ต้าร์: คือความตั้งใจของเราตอนนั้นแค่แพลนไว้ว่ามันควรมีปาร์ตี้จบไง ก็เลยไม่ได้คิดอะไรไปถึงว่าคนจะมาเยอะหรือไม่เยอะด้วยละ

เอ็ม: แต่มันมีเรื่องเซอร์ไพรส์มากกว่านะ ตอนนั้นคนที่ชื่อว่า 23Street ยังดูอาย ๆ อยู่เลย เหมือนเขาจะชนะการแข่งขันออนไลน์ของทางเรามาตลอด เขาไม่เคยเปิดตัวหรือไม่เคยออกมาให้เจอตัวจริงสักครั้ง

โจ้: การเจอครั้งแรกของเรากับเขาเหมือนเด็กเก็บตัวเลย เหมือนเด็กโอตาคุที่อยู่บ้านไม่เคยออกไปไหน เขาไปนั่งฟังเพลงอยู่ที่มืด ๆ เงียบ ๆ คนเดียว ฟังเพลงแล้วก็งึมงำ ๆ เพราะเขายังไม่รู้จักใคร ไม่รู้จะคุยกับใครมั้งก็เลยร้องเพลงแล้วกัน เป็นเรื่องที่แปลกดีที่ทุกวันนี้ลุคมันไม่น่าจะเป็นแบบปัจจุบันได้เลย

ต้าร์: ก่อนหน้านั้นเราก็ไปสัมภาษณ์เขามาด้วยนะ ประวัติเขาก็โหดอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นได้เห็นทัศนคติของเขาเกี่ยวกับวงการฮิปฮอปเยอะมาก เขาตั้งใจที่จะมาทำตรงนี้จริง ๆ เราก็รู้สึกดีที่ยังมีคนแบบนี้อยู่ในวงการฮิปฮอปของเรา

เอ็ม: พูดถึงเรื่องนี้แล้วมันทำให้ผมนึกได้ว่า รากฐานของวงการเพลงแร็พเมืองไทยมันดูเหมือนง่ายนะ ใครแร็พก็ได้ไม่ต้องเสียงเพราะก็แร็พได้ พูดอะไรก็ได้ มันก็เลยกลายเป็นว่าเมื่อคนสนใจเพลงแร็พเขาก็เข้ามาเป็นศิลปิน คนนี้ก็เก่ง คนนั้นก็เก่ง ซึ่งความจริงแล้วกว่าเขาจะมายืนตรงนี้ได้ เขาก็ต้องผ่านอะไรกันมาบ้างเอาจริง ๆ ศิลปินกว่าจะมีแฟนเพลงมันต้องใช้เวลาเยอะนะผมว่า ทั้งการฝึกสกิล การแสดงออกทางท่าทางทุกอย่างล้วนต้องใช้ประสบการณ์ทั้งนั้น

การวางแผนงานในทีม Rap is Now

โจ้: สิ่งที่ทีมเรากำลังทำหลัก ๆ ตอนนี้คือเราจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีที่เคยเกิดขึ้น โดยเราเริ่มจากตัวเราเองก่อน คือ เมื่อเราเห็นว่าอะไรไม่ดี เราก็จะไม่ทำสิ่งนั้น เช่น เรื่องระบบเวลา การสั่งแร็พเปอร์ ตามใจแร็พเปอร์หรือเล่นฟรี เราก็พยายามไม่ให้มันเป็นแบบนั้น อย่างน้อยเขาก็ควรจะได้ค่าตอบแทน เพราะฉะนั้นแล้วแผนงานของเรามันต้องเกิดจากการเรียนรู้

ฟลุ๊ค: อย่างเรื่องค่าจ้างแร็พเปอร์ ช่วงแรกมันเป็นการขอแรงกันก่อน แต่พอตั้งตัวได้แล้ว เราจะมีค่าตอบแทนให้ การขอแรงมีแค่ครั้งแรกและครั้งเดียว แต่หลังจากนั้นก็มีค่าตอบแทนให้ศิลปินเสมอ

โจ้: เราพยายามจะให้นะเงินเนี่ย คือให้มากให้น้อยยังไงก็ต้องให้ ไม่ให้เล่นฟรีเด็ดขาด

ฟลุ๊ค: เรื่องระบบการจัดการเราคุยกันมากกว่าครับ จะเป็นการคุยแบบนั่งคุยกินเบียร์กัน เดี๋ยวกูทำนี่ต่อ ทำนั่นต่อดีกว่า คือมันยังไม่มีการวาง Year plan, Timeline ที่เป็นระบบเดือนต่อเดือนอะไรมากมายเท่าปัจจุบันนี้

โจ้: ถ้าช่วงแรก ๆ จะจัดเป็นอีเวนต์ ๆ ไป เดือนนี้มีอะไรยังไงบ้างก็จดไว้ จะสังเกตเหมือนกันว่าช่วงแรกอีเวนต์เราจะไม่ค่อยตรงเวลาเท่าไหร่ เพราะก็ทำตามใจเราเองด้วย

ต้าร์: เรายังไม่ค่อยชินด้วย เพราะเราก็ยังทำงานกันอยู่ Rap is Now มันเป็นโปรเจกต์ส่วนตัวของเรา แรก ๆ ตรงนี้มันคืองานอดิเรกนะ เราอยากจะทำแค่นั้นเอง ช่วงนั้นมันมีปัญหาการปล่อยคลิปช้า ช้าเป็นวัน คนก็ยังน้อยอยู่ รู้สึกชิลล์ด้วยตอนนั้นไม่ได้กดดันเท่าทุกวันนี้

ช่วงเวลาที่ชุมชน Rap is Now ค่อย ๆ เติบโต

ฟลุ๊ค: ต้องเล่าให้ฟังก่อนเลยว่า Timeline ของ Rap is Now มันจะเป็นแบบนี้ครับ เริ่มจาก Knock ‘Em Out, North East Jammin’ แล้วถึงมาเป็น The War is on ครับ

ต้าร์: พอแข่ง Knock ‘Em Out จบ ทีมงานเราก็มีการอัด After movie ลง YouTube ครับ มันเลยกลายเป็นว่าคลิปตัวนี้ที่เราทำกลายเป็นตัวประชาสัมพันธ์ให้เราได้เยอะเลย แล้วยังมีก็มีจอร์จจี้กับอิสระ (สองสมาชิกอดีตทีมงาน VRZO) มาในงานด้วย ทำให้พอจบการแข่งขันสองคนนี้เขาก็ไปอัดคลิป battle กันเหมือนในงานของเรา ซึ่งเขาใช้ชื่อคลิปว่า Rap is now เลย มันยิ่งทำให้คนรู้จักมากขึ้นจากแต่ก่อนเยอะเลย พอเราจัดอีเวนต์ต่อไปเราก็เริ่มมีภาพ มีการทำคลิปให้มันเริ่มดูดี ดูเท่ จากนี้ละครับที่ภาพลักษณ์ของ Rap is Now มันเลยกลายเป็นภาพของการ rap battle ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มมีงานมาชวนให้พวกเราไปดูแลมากขึ้น ให้ไปเป็นพิธีกร ซึ่งพอไปทำมาก ๆ แล้ว  มันก็เริ่มซ้ำเดิมเยอะขึ้นแล้ว ส่วนตัวพวกเราไม่ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เดิมกันอยู่แล้วเลยเสนอกันว่า งั้นทำแคมเปญออนไลน์แล้วให้จบออฟไลน์แล้วกัน แต่ครั้งนี้เราจะไม่ให้คนส่งมาเป็นคลิปเสียงละ ส่งมาเป็นคลิปวิดีโอเลยละกัน เพราะรู้สึกว่าคนก็อยากเห็นหน้าแร็พเปอร์บ้างแล้วไม่อยากได้ยินเสียงอย่างเดียว แต่ก็มีเถียงกันในแก๊งนะว่ามันจะออกมาเป็นยังไงวะ เราไม่ได้คุมการผลิตอะไรเลยคุณภาพของคลิปจะไหวมั้ย เด็กจะแร็พออกมาได้ขนาดไหน แล้วอีกประเด็นคือเด็กที่เขาทำเพลงแนวนี้เขาจะสมัครยูทูบแล้วอัพโหลดเป็นรึเปล่า แต่คุยกันไปกันมาก็สรุปกันได้ว่า เอาเหอะว่ะ ทำเถอะ

โจ้: ตอนนั้นเราก็กลัวเขาเขินด้วยแหละว่าจะกล้าส่งมาไหม กล้าถ่ายตัวเองแล้วแร็พสดส่งมารึเปล่า ของเรามันเป็นที่แรกเลยมันจะมีความท้าทายมากอยู่เหมือนกัน

ฟลุ๊ค: อีกนัยหนึ่งเราก็กังวลเรื่องภาพลักษณ์ของเราเหมือนกัน คือ เราสร้างตัวตนมาแบบเท่ ๆ แล้ว เด็กเขาจะทำออกมาในรูปแบบไหนกันแน่ จะส่งอะไรมาเลยเถียงกัน สรุปคือ เรามันเท่ด้วยความเป็น Rap is Now ว่ะ มันเท่ด้วยคอนเซปต์ ด้วยการจัดการของเรา เลยคิดว่ากลุ่มเป้าหมายเรายังไงก็ต้องเป็นกลุ่มเป้าหมายเราจริง ๆ เรารู้ว่าเป้าหมายเราเป็นคนแบบไหน เขามีสภาพแวดล้อมอย่างไร ทำให้การตัดสินใจทำสิ่งนี้คือสิ่งที่ถือว่าคิดถูกสำหรับเรา

โจ้: ซึ่งต่อมาพอเราทำสิ่งนี้ไปได้สักพักก็ได้มีโอกาสทำรายการทีวีของ MTV ครับ ซึ่งพี่กอล์ฟ (Fucking Hero) เป็นคนแนะนำพวกเราให้เข้าไปคุยกับทางช่อง

ฟลุ๊ค: ตอนนั้นก็เลยทำ Proposal วางรูปแบบรายการ โดยแบ่งทั้งหมดออกเป็น 3 ช่วงครับ มันจะเป็นรายการที่มีความยาว 45 นาทีแบ่งเป็น 3 Parts ช่วงแรกจะเป็นการคุยเรื่องราวฮิปฮอป ประวัติต่าง ๆ ก็จะมีพี่กอล์ฟมานั่งคุยด้วย เล่าเรื่องราวของวงการเพลงฮิปฮอป ช่วงที่สองจะเป็นเหมือนโปรเจกต์ Space Jam เป็นการเอาดนตรีแต่ละแนวมาแจมกับฮิปฮอป ถ้าไปดูใน YouTube ตอนนี้จะเหลือแค่ตัวเดโม่ของ Yellow Fang กับ Jack Jayrun เพียงเท่านั้นจำได้ว่า เขาขอเพลง เก็บผ้า

Rap is Now: ห่มผ้า เว้ย !!!

เอ็ม: ช่วงที่สามก็จะเป็นช่วง Battle คือเราล้อมาจากการแข่งขัน Knock ‘EM Out ที่เคยจัดมาอีกที เป็น Knock ‘EM Outdoor เป็นช่วงที่เราจะอยู่ดี ๆ ก็ประกาศให้คนมารวมตัวกันแล้วยืนดูกิจกรรม battle โดยทางเราจะเตรียมแค่ดีเจ เตรียมไฟไปในสถานที่ที่นัดหมายไว้

ต้าร์: ตอนนั้นไม่ได้ขอสถานที่ด้วยนะ ทำแบบกองโจรเลย เอาทั้งเครื่องเสียง เครื่องปั่นไฟมาด้วย จนถ่ายเกือบเสร็จ รปภ. ก็มา เราก็ขออีกแป๊ปนึง ถ่ายเสร็จเราก็ปิดกองเลย ทุกวันนี้ยังมีคนอยากให้ทำรายการนี้ต่อด้วย ไว้มีเวลาว่างจะกลับมาทำใหม่อีกทีนึงครับ

โจ้: ต้องบอกว่าเสียดายมากที่เราทำทุกอย่างไปมันกลายเป็นแค่เดโม่เพียงแค่นั้น เพราะว่าทางสปอนเซอร์เขาไม่มีเงินให้เราไปทำแบบจริงจัง ก็เลยไม่ได้ทำแบบต่อเนื่อง มีแค่เทปที่ทำไว้อย่างที่หลายคนได้ดูกันเพียงเท่านี้เองครับ แต่จากการทำรายการนี้ละครับที่มันเป็นจุดเริ่มต้นของการทำรายการ battle อย่างจริงจัง เป็น The War is on Season 1 ในที่สุด

ต้าร์: ใช่ตอนนั้นเราทำตรงนี้เสร็จแล้ว เลยมาคิดว่าเราอยากทำรายการของตัวเองแล้วในเมื่อขายไม่ได้งั้นกูทำเองก็ได้ เลยไปบอกแร็พเปอร์ที่เราคัดเลือกมาจากการออดิชั่นในช่วงนั้นทั้งหมด 16 คนว่า เดี๋ยวมาเจอกันหน่อย ทางทีมงานจะทำรายการกันสนุก ๆ ซึ่งวันนั้นเองก็มาบรีฟแต่ละคนกันหน้างานเลย สถานที่จัดเป็นร้านของฟลุ๊ค ชื่อว่าร้าน Wine Bibber Sangria เขาก็สนับสนุนมาตลอด จนเนี่ยละครับฟลุ๊คเลยมาอยู่ในทีม Rap is Now (หัวเราะ) เหตุการณ์ในวันนั้นคือนัดทุกคนมา 8 โมงแล้วก็มีบางคนมาจากต่างจังหวัดก็จะแบบไม่ได้นอนกันบ้างเหนื่อยล้า ๆ กันทุกคน ซึ่งทางทีมเราก็ไม่เคยทำออร์แกไนซ์มาก่อนด้วย แล้วอยู่ ๆ วันนั้นมีเหตุการณ์หนักกว่าเดิมอีกคือ มีคนมาไม่ได้ คู่ไม่ครบ ก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ประกาศออกไมค์เลยว่า เฮ้ยใครเจ๋งขึ้นมาแร็พ battle บนเวทีหน่อยสิ ปรากฏว่า ไอ้ Repaze เนี่ยละครับ ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการแข่งขันครั้งนั้นเลยนะ มาเป็นคนดูอยู่ ๆ ก็ขึ้นมาบนเวทีแบบทุกคนอึ้ง

เรามันเท่ด้วยความเป็น Rap is Now ว่ะ มันเท่ด้วยคอนเซปต์ ด้วยการจัดการของเรา เลยคิดว่ากลุ่มเป้าหมายเรายังไงก็ต้องเป็นกลุ่มเป้าหมายเราจริง ๆ เรารู้ว่าเป้าหมายเราเป็นคนแบบไหน เขามีสภาพแวดล้อมอย่างไร

เอ็ม: ตอนนั้น Repaze เขาส่ง Demo มานะแต่ตกรอบ เดโม่ไม่ผ่านมันเลยมายืนดูเพื่อนมันแทน ซึ่งพอเด็กคนนี้มันขึ้นมาแข่งแล้วปรากฏว่ามันเป็นม้ามืดชนะหลายคนเลย มันสนุกมากครับงานในวันนั้นสปิริตสูงมากสำหรับแร็พเปอร์ที่มา ความสดของงานมันมีเยอะมาก ทุกคนไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่เสียดายที่คนจะมาแบบหรอมแหรม

โจ้: ถ้าย้อนกลับไปดูจะเห็นว่าคนน้อยมากเสียงเฮก็เป็นเสียงปลอม ๆ (หัวเราะ) ทุกคนในงานวันนั้นสดมาก แบบมาสนุกกัน ถ้าจำไม่ผิดคนน่าจะมาประมาณ 400 มั้งครับ

ต้าร์: คลิปที่ออกไปช่วงนั้นก็ประมาณ 30,000 วิวนะ ส่วนในเพจยอดไลก์ก็ประมาณ 20,00 Likes มั้งผมจำได้ คือยอดวิวแค่ 8,000 – 9,000 วิวนี่ก็สุดยอดแล้วนะสำหรับเราในตอนนั้น โดยหลังจากที่จบ Season 1 ไป เราก็เริ่มขอสปอนเซอร์ละ เพราะคิดว่าโอเคภาพใหญ่ที่เราวางไว้ในหัวเราทำได้แน่ ๆ แต่ไปขายจริงๆ แล้วไม่มีใครซื้อเราเลย มันเฟลไปพักนึง เพราะคิดว่าเราจะรันวงการนี้ได้ สุดท้ายก็เลยงั้นในเมื่อคุณไม่ซื้อพวกผม เราทำเองก็ได้

โจ้: เรากลับไปค้น Proposal ที่เคยขายสปอนเซอร์ไปครับ ตอนนั้นทำไปขายประมาณ 100 กว่าหน้า ก็ได้เจออยู่อันนึงคือ Flash mob แบบสร้างกระแสให้คนมายืนดูแร็พเปอร์แม่งแร็พใส่กัน ก็เลยทำทีเซอร์ของ The War is on 2 ออกมาทันทีเลยเป็น EP0 ครับ ซึ่งพอทำไปแล้วคราวนี้กระแสมันก็กลับมาหาเราอีกครั้ง มีเด็ก ๆ ส่งคลิปมาออดิชั่นครั้งนี้ 200 กว่าคลิปละ ทุกอย่างมันใหม่กว่าเดิมมาก มีคนเก่งมากขึ้น ทุกคู่มันหมด Skill การแข่งขันของคนมาเล่นก็เยอะขึ้น ทุกอย่างมันได้ผลจริง ๆ เหมือนเป็นการตบหน้าสปอนเซอร์เบา ๆ ด้วยว่า กูทำได้นะ (หัวเราะ)

ฮอคกี้: ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังจะเข้ามาทำงานในทีม Rap is Now พอดีครับ ผมทำเพจที่เกี่ยวกับ Hip-hop เนี่ยละ แล้วอยู่มาวันนึงพี่เขาก็ส่งข้อความมาว่า มาทำงานด้วยกันไหม ซึ่งใจตอนแรกก็แอบกลัว ๆ เขาจะเอาเรื่องอะไรรึเปล่า สรุปเปล่าเลย พี่เขาจะชวนเราไปทำคอนเทนต์ทั้งหมดของ Rap is Now เลยตอบปากร่วมทีมเขาไปในช่วงเวลานั้นเลยครับ

โจ้: พอได้ฮอคกี้มาร่วมทีมก็เหมือนกับว่ามันเป็นช่วงที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในชุมชนของเราแล้วครับ ก่อนหน้านั้นเราก็ได้ด้อดมาช่วยดูเรื่องการจัดอีเวนต์ด้วย ทุกอย่างมันโตขึ้นเร็วมากจนน่าตกใจจริง ๆ มีการทำงานที่เป็นระบบมากขึ้นและพวกเราคิดว่าเราดูแลชุมชนของเราได้ดีในระดับนึงแล้วครับ

3

Rhyme 2

หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวจุดกำเนิดของ Rap is Now มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ผมสนใจหลังจากนี้คือเรื่องราวของกระแสที่หลายคนมองว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ ๆ คนกลุ่มนี้ดังได้อย่างไร แล้วเหตุการณ์พลิกผันในชีวิตของพวกเขาทั้ง 7 คนมันเกิดขึ้นตอนไหน ชีวิตในชุมชนที่ใหญ่ขึ้นจากกระแสสังคมพวกเขาดูแลกันอย่างไร เชิญอ่านกันต่อเลยครับ

ค่ำคืนเปลี่ยนชีวิตของชุมชน Rap is now

ฟลุ๊ค: เหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตของพวกเราทีม Rap is Now เป็นเหตุการณ์ของพีรเดชครับ (หัวเราะ) ผู้ที่ทำให้ Rap is Now เป็นที่รู้จักของทุกคน เขาเอาคลิปของ The War is on Season 1 ไปลงในเฟซบุ๊กตัวเองครับ แล้วมันเกิดการแชร์ต่อเยอะมากในเฟซบุ๊กของพีรเดชเนี่ย ยอดวิวของเขามันขึ้นเร็วมาก

โจ้: วันนั้นจำได้ว่าตื่นเช้ามายอดแชร์หลักแสนครับ อึ้ง ผมอึ้งบอกได้คำเดียวเลย

ต้าร์: ตอนแรกยอดไลก์เพจเราประมาณ 30,000 Likes เอง พอสิ้นปีจากไอ้คลิปเนี่ยมันเด้งไปเป็นแสน คือทุกนาทีที่รีเฟรชต้องมีคนกดนาทีละ 10 คน

ฟลุ๊ค: จากที่เราเข้าใจหลังจากเหตุการณ์นี้คือ มันมีเพจหนึ่งเอาไปแชร์ต่อด้วยครับ ทีนี้พวกเน็ตไอดอล นักแคสเกม เอาไปแชร์ต่ออีก ยอดวิว ยอดไลก์เพจเรามันยิ่งไปใหญ่เลย เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ

ฮอคกี้: ผมว่าพีรเดชจริง ๆ เขาก็น่าจะเป็นแฟนคลับเราเนี่ยละ คงทำไปโดยที่ไม่รู้ตัวมากกว่า เขาคงชอบและอยากแชร์ผลงานเรา ผมก็เลยไปคุยกับเขาว่าใส่เครดิตด้วยนะครับไรงี้เขาก็น่ารักมาก โอเคทำตามเรา

โจ้: แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ก็ยังจะมีคนอยากเป็นแบบพีรเดช 1 2 3 4 อยู่นะ (หัวเราะ) ดูดคลิปไปลง เราก็จะส่งข้อความไปบอกเขาตลอดว่าใส่เครดิตด้วยนะ ถ้าไม่ให้ก็อาจจะดุกลับไปนิดนึง (หัวเราะ) แต่ตอนหลัง ๆ ก็น้อยลงแล้วนะ เพราะเริ่มมีมาตรฐานของแฟนคลับมากขึ้น พวกคนที่เขาเป็นแฟนเราก็จะไปจัดการกันเอง

เคยนึกไว้เหมือนกันว่าวันหนึ่งเราต้องมาถึงได้ขนาดนี้นะ แต่ก็คิดว่าประมาณอีก 3 – 4 ปีข้างหน้ามากกว่าที่เราจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่ตอนนี้แน่ ๆ

ต้าร์: มันเริ่มเกิดเป็น Respect มากขึ้น คือ เราใช้คำว่า “Run วงการ” มาประมาณ 3 ปีแล้ว เราก็เลยคิดว่าเราไม่ควรไปด่าเขา แต่ควรสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างให้ดูน่าเคารพ ให้ทุกคนมีความเกรงใจ ให้เกียรติกัน แต่มันกลายเป็นว่าพอเราโพสต์คำว่า Respect ไป คนก็เริ่มเห็นว่าอะไรที่มันผิดแปลกไปจากสิ่งที่มันเป็น เขาก็จะเขาไปจัดการกันเองให้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พวกเราก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เหมือนมันเป็นการเปลี่ยนชีวิตของทีมงานให้ได้ดูแลชุมชนที่ใหญ่ขึ้นจากเดิมมาก ๆ ครับทุกวันนี้

โจ้: จากหมู่บ้านการเคหะกลายเป็นแลนด์แอนด์เฮ้าส์ประมาณนี้เลยครับ

ปรากฏการณ์ The War is on Season 2

โจ้: ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยครับ คือ ตอนแรกที่เราขายบัตร Early Bird เราคิดแค่ว่าขอให้มันถึงจำนวนที่เราตั้งไว้ก็โอเคแล้ว คิดแค่นั้นเลยจริง ๆ

ฟลุ๊ค: ตอนแรกเราวางแผนกันว่า เราจะทำแบบ Full scale เลย นอกจากมันขายไม่ได้จริง ๆ เราจะลดจำนวนคนลง เราจงใจให้สเต็ปการจัดงานครั้งนี้มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถึงมันจะขายบัตรไม่ได้จำนวนมากก็ตาม

โจ้: พวกเราคุยกันเองเรียบร้อยแล้วว่า ถ้าคนมันน้อยจริง ๆ เราคงจะต้องออกเงินกันคนละ 2 – 3 หมื่นอยู่ดี เพราะกระแสมันยังไม่ได้มาเหมือนตอนนี้

ต้าร์: แต่พอกระแสมันมา บัตรขายหมดเกลี้ยงไปเลย แล้วก็ยังมีคนอินบ๊อกซ์มาเรื่อย ๆ มาเป็นพันเลย ต้องโอนเงินคืนเยอะมาก

ฮอคกี้: คนโอนมาแบบเยอะมาก จนเราต้องโอนคืนครับ ช่วงนั้นเรานั่งรีเฟรชไปเรื่อย ๆ จนโทรศัพท์ค้าง ตอนแรกจะมาแค่วันละ 5 – 8 คนที่โอนเงินนะครับ แต่พอหลังปีใหม่ปุ๊บ กลายเป็นมาวันละ 70 – 80 คน ในมือถือผมเด้งตลอดเวลาเลย ก็เลยถามพี่ ๆ ในทีมว่าเอาไงดี จะปิดยอดคนดูเลยรึเปล่าเพราะว่า มันจุได้แค่ 800 คน แต่ตอนนี้มันเกินมาเป็น 1,000 คนแล้ว

โจ้: เราก็ไปดูพื้นที่มาแล้ว คำนวณพื้นที่มาแล้ว ตารางเมตรมันพอนะ ไปลองดูเลยว่าคนนึงใช้พื้นที่ได้คนละกี่ตารางเมตร ปรากฏว่าเออเอาอยู่นะ ก็เลยยอมให้มันขึ้นมาถึงพัน

ฮอคกี้: หยวน ๆ ก็รับมาทั้งหมด 1,200 คนละครับ สถานที่มันค่อนข้างดีด้วยละ

โจ้: แต่วันนั้นผมว่าถ้าอยู่กันครบทั้งหมดเต็มจำนวนได้มีตายกันบ้างละผมว่า (หัวเราะ) ตอนแรกก็กลัวโดนด่าเหมือนกันแบบจัดงานแบบนี้จะไหวมั้ย เราจะคุมคนอยู่รึเปล่า ปรากฏว่ากระแสตอบรับมันก็ค่อนข้างดีครับ ถือว่าเราล้มลุกคลุกคลานมาด้วย ทำให้เราสามารถตั้งรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในงานครั้งนี้ได้

เอ็ม: เคยนึกไว้เหมือนกันว่าวันหนึ่งเราต้องมาถึงได้ถึงขนาดนี้นะ แต่ก็คิดว่าประมาณอีก 3 – 4 ปีข้างหน้ามากกว่าที่เราจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่ตอนนี้แน่ ๆ

ต้าร์: ส่วนตัวเราไม่คิดว่า คนจะอินกับฮิปฮอปขนาดนี้ ฝั่งของแร็พเปอร์เขาก็มาขอบคุณเราที่ช่วยให้เขาได้มีจุดยืน เมื่อก่อนฮิปฮอปจะค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม แต่ตอนนี้แร็พเปอร์กลายเป็นอะไรที่เท่ มีคนเข้ามาถ่ายรูปด้วย ภาพมันเปลี่ยนไปหมดเลย เราสร้างการยอมรับให้กับเขา อันนี้คือข้อดีนะ ส่วนข้อเสียก็มี บางทีเด็กไม่ได้อินกับฮิปฮอป ไม่ได้อินกับเพลงแร็พแต่ชอบแค่ว่าด่ากันแล้วสนุกดี เราก็เลยต้องให้เขาดูวงที่ perform ดี ๆ มา เอาวงที่เล่นเพลงล้ำ ๆ ในกระแสโลกมาให้ดูในงานด้วย วันงานจริงทุกคน Cheer up หมด ก็เลยรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราดีมากเลย ไม่มีการโห่ร้อง ไม่มีการปาของ อันนี้คือเป็นแฟนคลับที่พวกเราอยากได้จริง ๆ

4

กระแสที่ดีพวกเราพอจะรับทราบแล้ว แต่กระแสที่ไม่ดีละ ฝั่งที่เขาตำหนิทีม Rap is Now เจออะไรกันมาบ้าง 

โจ้: มีครับ บางคนก็ไม่เข้าใจ เราก็ปล่อยเขาไป ก็ไม่ต้องดู แค่นั้นเอง เหมือนเราตั้งใจทำมาดูกันเอง อยู่แล้วตั้งแต่แรก ไม่ได้คิดว่าจะทำเพื่อเอาใจคนอื่น อย่างทุกวันผมก็ทำงานเอาใจลูกค้าอยู่แล้ว อันนี้เราไม่ได้ต้องการไปเสิร์ฟเขา ถ้าเขาไม่เก็ท ถ้าจะด่า เราก็ปล่อยเขาไป เดินออกไปซะ ไม่ค่อยตามใจใครเท่าไร ไล่เลย ผมไล่จริง ๆ เพื่อนก็ด่าว่าผมพูดแรงไป

ต้าร์: ถ้าคนไหนที่ดูแล้วทัศนคติแย่ ๆ ก็ไล่เลย

โจ้: ตอนนี้เราจะเจอแบบพวกที่คล้าย ๆ เด็กหวงของเยอะมาก อารมณ์แบบเรารักมาตั้งนานแล้วพวกนายเป็นใครมาฟังกัน กูเป็นแฟนคลับยุคแรก 30,000 Likes นะ มาฟังตามกูทำไม ทำไมไม่เหมือนเดิมเลย Rap is Now แบบนี้เลย

ต้าร์: เหมือนเขาก็ไม่อยากให้แมสอ่ะ

เอ็ม: ส่วนมากเด็ก ๆ เนี่ยมาคอมเมนต์ประจำเลยว่า เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้เลยนะ ทำไมเปลี่ยนไปอะ เอ้ากูเปลี่ยนตรงไหนวะเนี่ย (หัวเราะ)

โจ้: แม่งธุรกิจแล้วเดี๋ยวนี้ ธุรกิจบ้าไรนี่ยังไม่มีตังค์เลยเนี่ย (หัวเราะ)

ต้าร์: เมื่อก่อนไม่มีเลยนะแฟนเพจเกรียน ๆ แต่ตอนนี้มีเยอะมาก อย่างสิ่งที่พวกเรารู้สึกแย่สุดก็คือการที่พวกเขาไปเกรียนนาซ่าเนี่ยละ แบบมันเสียหายอะ มันไม่ใช่แค่เราละ นี่มันระดับประเทศนะ

โจ้: ผมเห็นด้วยเรื่องนี้ คือเขา Live Chat กันเรื่องที่สำคัญของโลกเลยนะ อยู่ ๆ ก็ไปเล่นมุก นิลโลหิต ใส่เขากัน โย่วน้า อะไรกันบ้าง ผมแบบโอ้โหอะไรวะเนี่ย เกิดไรขึ้น

ฟลุ๊ค: ผมเคยเห็นกระทู้นะว่าแบบ เฮ้ยเด็กไทยเป็นบ้าไรกันวะเนี่ย

ต้าร์: อีกเรื่องเลยครับ การแข่งขันของเราเนี่ยมันจะมีเรื่องระบบโหวตเข้ามาเกี่ยวข้องใช่มั้ย แล้วเด็กสมัยนี้เขาคิดว่า สิ่งที่เขาชอบคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เขาพยายามจะล้มโหวตของเรา พยายามจะบอกประมาณว่า เฮ้ยไอ้คนนี้ชนะเพราะแฟนคลับเยอะ ไอ้หน้าหล่อเนี่ยคนกดเพราะมันหล่อ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นแบบ เฮ้ย พวกมึงสามารถเปลี่ยนโลกได้แล้วเหรอวะ จริง ๆ มันต้องมีการเปิดใจกันบ้าง ต้องฟังกัน คนส่วนรวมเขาไม่สามารถคิดเหมือนคุณได้ทุกคนหรอก ผมโคตรอยากจะบอกเด็กพวกนี้เรื่องนี้มาก ๆ เลย เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ทำแล้ว คนเยอะก็เรื่องเยอะเป็นธรรมดา บางทีเราก็หัวเสียเหมือนกัน เพราะโต ๆ กันแล้ว

ปกติมันมี Run DMC, Run BKK เราก็คิดว่าเป็นคำที่ติดปากนะ ก็เลยมาคิดอีกว่าจะทำยังให้ตอบโจทย์กับแนวคิดเรา เราก็ใช้คำว่า RUN วงการไปเลย อยู่ดี ๆ มันก็กลายเป็นคำที่ติดปากคนไปโดยปริยาย

โจ้: มันโชคดีหน่อยตรงที่แฟนเพจเราส่วนใหญ่ 80% จะเป็นคนที่เข้าใจพวกเรามากกว่า นักเลงคีย์บอร์ดมันก็มีแต่น้อยกว่าจำนวนนี้ บางคนมีข้อความเกรียน ๆ มาผมโทรไปหาเลยนะ เขาก็แบบครับพี่ ครับผมเข้าใจแล้ว แบบคนละร่างกับในอินเตอร์เน็ตเลย

ต้าร์: คือเหมือนอยู่ในเน็ตแม่งเก่งอ่ะ มีล่าสุดเลยนะที่แบบอยากได้เสื้อ ZO9 เมื่อไหร่จะได้

โจ้: เขาถามผมมาตั้งแต่เดือนมกราคม แล้ว Message มันจะเลื่อนลงไปเรื่อย ๆ ไงครับ พวกเราก็ไม่เห็นไงครับ เมื่อวานนี่เขาส่งเป็นรูปถ่ายมาเลย เป็นรูปเอาไฟฉายส่องใต้คาง 3 คน เป็นรูปผีมาเลย ไซโคสุด ๆ ว่าทำไมมึงไม่ตอบกูสักที (หัวเราะ)

ฮอคกี้: จริง ๆ ผมตอบกลับทุกคนนะ ตอบกลับทุกข้อความ แต่ตอนนี้เยอะมาก เริ่มไม่ทันละ

โจ้: ล่าสุดก็มีแบบคลิปเพิ่งลง YouTube เลย แล้วมาถามเราว่า พี่คลิปลงเมื่อไหร่ คือแบบมึงจะเอาเร็วขนาดไหนวะ  ไม่รู้ว่าต้องทำฟอนต์ใหญ่ขนาดไหนแล้วนะ เขียนเลยว่าอ่านก่อนถาม จนทำเป็น Cover ก็ยังไม่อ่าน จริง ๆ มึงเข้ามามันก็ต้องเจอ Cover ก่อนเลย แต่แม่งก็ไม่อ่าน แม่งถามก่อนเลย พวกนี้ก็คงเป็นปัญหาที่พวกเราเซ็ง ๆ ละครับ

คำว่า “RUN วงการ” คำนี้มาจากไหน

ต้าร์: ปกติมันมี Run DMC, Run BKK เราก็คิดว่าเป็นคำที่ติดปากนะ ก็เลยมาคิดอีกว่าจะทำยังให้ตอบโจทย์กับแนวคิดเรา เราก็ใช้คำว่า RUN วงการไปเลย อยู่ดี ๆ มันก็กลายเป็นคำที่ติดปากคนนะ อยากให้มัน Motivate ด้วยคำนี้ก็กลายเป็นรันวงการ เป็นคำฮิตเวลาเราแชร์เพลงอะไรงี้ เป็นคำติดปาก แล้วคนก็จะซึมซับได้ง่าย

โจ้: แต่พวกเด็กเกรียนบางคนอะ ชอบเอาไปใช้ด่ากันแบบกูเนี่ยรันวงการนะมึง ทำไมมึงทำแบบนี้กับกู เวลาที่เราไม่ได้ตอบข้อความในเพจประมาณนี้ เนี่ยกูแชร์คลิปให้มึง กูรันวงการให้มึง อะไรทำไมมึงไม่ตอบกู อะไรของมึงวะ ยังน้อยใจอยู่นะ (หัวเราะ)

Rap is Now เลือก Rapper เข้ารอบต่อไป ตัดสินจากอะไร

โจ้: ตอนแรกเราจะเอาคนอื่นมาตัดสินแทนเรา แต่เราคิดว่า พวกเราก็ทำได้นะ คือผมว่า จริง ๆ มันแล้วแต่ความชื่นชอบเลยนะ

หลุยส์ (หลุยส์เพิ่งมาถึง): ตอนแรกเราก็หาวิธีตัดสินอยู่เหมือนกันนะ เราว่า อย่างพวกเราจะวัดกันที่ความชื่นชอบมากกว่า ยกตัวอย่างเวลาเราดูมวย เราก็จะดูจังหวะการต่อย การเตะเข้าเป้าทุกอย่างมันชัดเจนมาก เห็นพร้อมกันหมดทุกคน แต่แร็พมันไม่มี มันมีแค่เรื่องของความชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น สมมุติมีกรรมการ 10 คน ก็ชอบ 10 แบบ ความชอบต่างกัน เราก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล วิธีการตัดสินก็น่าจะใช่ผลโหวตคงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

เอ็ม: จริง ๆ รากของฮิปฮอปในเมืองนอกก็มาจากเสียงโหวตในผับเลย ไม่ได้อะไรมากเลย

ต้าร์: เพราะมันเป็นคำพูดด้วยไง คือจะมีการเอาชื่อหรืออะไรมาเล่นสักอย่าง คนนึงอาจจะไม่รู้จัก แต่อีกคนอาจจะรู้จักก็ได้ เป็นเรื่องของคนฟังอีกทีนะ

หลุยส์: บางคนโดนนะมุกนี้ แต่บางคนก็ไม่ชอบ ถ้าเขาไม่เก็ทมุกเขาก็รู้สึกว่ามันไม่เจ๋ง อย่าง Monkey P เขาจะเล่นมุขแบบมังกี้ดีลูฟี่ ถ้าใครไม่ได้ดูการ์ตูนเรื่องนี้ก็ไม่รู้เรื่อง ก็ได้

ฟลุ๊ค: มันเป็นเรื่อง input ของคนดูล้วน ๆ  

หลุยส์: ผมก็เลยคิดว่ามันเป็นเรื่องความชอบของคนดู พอผลออก บางทีก็มีดราม่าเหมือนกันนะ อันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดว่าผลการตัดสินมันเหมือนผลบอลหรือเปล่านะ แต่คือเราใช้การโหวตจากคนหลาย ๆ คน ไม่ใช่จากคนใดคนหนึ่ง

5

มีแฟนเพลงที่โหวตจากการแร็พมากกว่าโหวตที่ตัวแร็พเปอร์ไหม

เอ็ม: กรณี Darkface กับ MC King นี่เป็นกรณีตัวอย่างเลยนะ คนที่มีฐานแฟนเยอะอย่าง MC King กับ Darkface ที่เพิ่งมาแข่งเลยเนี่ย

หลุยส์: คนดู Rap is Now เขาจะดูว่าถ้าคนไหนทำได้ดีกว่า เขาก็จะโหวตคนนั้น ไม่ได้ยึดติดว่าฉันเป็นแฟนคลับคนนี้แล้วต้องโหวตคนนี้ ใครทำได้ดีกว่าก็โหวตคนนั้นไป ซึ่งตอนนั้นคะแนนโหวตเทไปที่ Darkface มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลย

โจ้: มันเป็นยุคที่วัดกันที่ผลงานจริง ๆ เลย

ต้าร์: จะมีอัพเยอะเลยว่าชอบ MC King นะ แต่รอบนี้ Darkface ทำได้ดีกว่า

เอ็ม: คือยิ่งทำให้เรามั่นใจในระบบการโหวตของเรามากขึ้นนะ

โจ้: สมมติถ้ามีกรรมการ คนที่ไม่พอใจก็จะไปด่าเขาอีกอะ

ด้อด: กรรมการแล้วไงอะ

ฟลุ๊ค: ผมว่าเขาไม่ Respect กรรมการ

เอ็ม: คน ๆ เดียวจะมาตัดสินแทนคนเป็นหมื่น คงไม่ได้เนอะ

ตอนแข่งขัน Rap is Now ให้บีทแร็พเปอร์ไปก่อนรึเปล่า 

ต้าร์: ให้ครับ ทุกคนมีเวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 1 สัปดาห์ครับ

โจ้: ผมว่าเหมือนนักมวยที่กำลังจะต่อยกันมั้ง เวลานักมวยจะต่อยกันเขาก็ต้องดูคลิปการต่อยของคู่แข่งว่าเขามีการเล่นแบบไหน ต่อยยังไง ผมว่าถ้าไปแบบว่างเปล่าไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลยก็คงไม่ได้ครับ มันไม่รู้จักคู่แข่งมันก็ไม่สนุกครับ

มีใครจดไหม แล้วคนไหนแร็พสด ดูออกรึเปล่า 

โจ้: ผมว่าแล้วแต่คนนะ อาจจะเป็นการเตรียมตัวในแบบของเขา

เอ็ม: ตามประสบการณ์ของผม ผมว่าคนเราแม้ว่าจะจดมามันก็ใช้ไม่ไหวหรอก เพราะคนเรามันจะจำแบบ 20 – 30 บาร์คงจำไม่ไหว อยู่ที่การเตรียมตัวมากกว่า

หลุยส์: จริง ๆ แล้วจดกับสด มันเป็นที่คนดูเขาเริ่มเหน็บกันหรือเอาไว้แขวะกันเอง ไม่ได้เกี่ยวกับการตัดสินหรือเกมของเราเลย สมมติคนหนึ่งชนะก็แบบ เฮ้ย มึงจดนี่หว่า จริง ๆ แล้วผมว่าน่าจะเป็นการเตรียมตัวของเขา การที่เขามีคำอยู่ในหัวเยอะด้วย เพราะมันก็ต้องเป็นไปตามสถานการณ์นั้น ๆ อยู่แล้ว เขามีคำในหัว เขาก็ต้องเอาออกมาใช้ จดหรือสดเราก็ไม่สามารถรู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องของแต่ละคนจริง ๆ

ฟลุ๊ค: เขาฝึกเยอะจนเขามีคำมหาศาลในหัว ให้สามารถเล่นตรงนั้นได้

แร็พเปอร์ที่มาแข่งอายุเท่าไหร่กันบ้าง 

ต้าร์: ZO9 อายุ 15 เองนะ ถ้านับจากรอบ 16 คนสุดท้ายนะครับ เด็กกว่าเพื่อนเลยคนนี้

ด้อด: แต่ตอนนี้น้องเขา 16 แล้วก็ยังเด็กสุดอยู่ดี (หัวเราะ)

โจ้: เราเจอ ZO9 ครั้งแรกที่โคราช ตอนนั้นมันแข่งแล้วได้เป็นแชมป์ตอนอายุ 14 เก่งมากเลยครับ

ต้าร์: แก่สุดก็น่าจะเป็น 23Street ตอนนี้ 26 แล้ว ถ้าเกิดย้อนไปก็คงเป็นTossakan แก่สุด

โจ้: ZO9 แร็พตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ตอนนั้นเรายังดูการ์ตูนน้าต๋อยอยู่เลย (หัวเราะ)

คำหยาบที่เกิดขึ้นใน Rap is Now ทีมงานมีข้อจำกัดของการใช้คำรึเปล่า 

หลุยส์: ไม่นะครับ บางทีมันก็เหมือนเป็นคำที่เราพูด ๆ กันปกติ ธรรมชาติของ Rap Battle เราไม่สามารถห้ามได้ว่าต้องต่อยกันด้วยคำพูดเท่านั้นเท่านี้ อย่าแย็บนะ ฮุคอย่างเดียว ถ้าเราจำกัดเขาก็จะอึดอัด

ต้าร์: เรามองว่ามันเป็นอาวุธ อยู่ที่คนจะเลือกใช้คำหยาบหรือไม่หยาบมากกว่า เพราะบางคนเลือกใช้คำด่าที่ไม่หยาบ แต่ด่าเจ็บก็มี ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์และวิธีการเล่าเรื่องของแต่ละคนด้วย

เอ็ม: มันพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ นะ เมื่อก่อนจะด่ากันที่รูปลักษณ์ภายนอก ด่าการแต่งกาย เสื้อ หมวก สีผิว แต่เดี๋ยวนี้ยกอะไรมาด่าก็ไม่รู้ นาซงนาซ่ามาหมด คือ มันพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้วครับ ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน

ต้าร์: เขารู้ว่า เหี้ย สัตว์ ควย พวกนี้เป็นคำธรรมดา กลายเป็นว่าคนที่เขามาแข่ง เขาสามารถคิดคำครีเอทีฟแบบด่าแล้วไม่ต้องใช้คำหยาบมากก็มีเหมือนกัน

โจ้: แบบบางทีคำสบถเฉย ๆ อะ คนก็ไม่ได้เฮกับคำพวกนี้ จะใช้ไม่ใช้ก็ได้

ต้าร์: กรณีตัวอย่างคือ นิลโลหิต เขาจะไม่มีคำหยาบเลย แต่เขาจะใช้ความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออกของเขา ทั้งทางสีหน้า แววตา บุคลิก การเว้นจังหวะดีมากกว่า แบบนี้คนก็ชอบกัน

ต้องสอนเด็กไหมว่าแบบนี้ห้ามพูดคำหยาบแบบนี้นะมันไม่ดี

ต้าร์: ก็ไม่นะ คิดว่าเขารู้แหละ ดูอย่างเด็กที่ด่า GTA สิ โหถ้าเป็นหลานกูนี่ตบให้ยับเลย (หัวเราะ)

เอ็ม: ในโรงเรียนเด็กมันพูดกันอย่างนี้ตลอดนะ แม้แต่ต่อหน้าครู มาหมดเลยทั้งกู มึง ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ เพราะฉะนั้นผมว่ามันกลายเป็นคำปกติไปแล้ว แต่เป็นเราเองที่ยังอาจจะรับไม่ได้กันมากกว่า

ต้าร์: อย่างเวลาในรายการเนี่ย เราก็จะเล่นกับแร็พเปอร์เหมือนน้อง จะไม่ได้เหยียดเขา ไม่ได้ด่าว่าแร็พเหี้ยนะอะไรงี้ เราก็จะแซวเล่น ก็จะเห็นได้ว่าทำไมรายการสนุกเพราะพิธีกรทั้งสองรู้จักเล่นรู้จักแซว เพราะฉะนั้นผมว่าเรื่องพวกนี้เราสอนไปบางทีเขาก็ยังไปทำอยู่ดีละ สุดท้ายมันก็ต้องให้พวกเขาได้รู้จักเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า

แร็พเปอร์บนเวที Rap is Now ตอนนี้เปรียบเหมือนเป็นดารา รู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ 

หลุยส์: เรารู้สึกดีนะ บางคนเขาก็ไปทำเพลงลง YouTube ตอนแรกยอดวิวก็น้อย แต่ตอนนี้ยอดวิวขึ้นหลักแสนแล้ว เร็วด้วย ก็ได้เงินจากการทำเพลงด้วย เพราะมันต่อยอดได้

เอ็ม: อย่าง Maiyarap นี่ยอดวิว 4 – 5 แสนวิวเลยนะ

ต้าร์: พวกกลุ่ม River Rhyme เขาก็ไปต่อยอด ทำเสื้อผ้าตัวเอง เดี๋ยวมีเพลงของ Maiyarap ออกมาด้วย ผมคิดว่าถ้าคนทำเป็นเนี่ย รุ่งแน่นอน ดูอย่างพวกนี้ได้ ตอนนี้รุ่งเลย

ฟลุ๊ค: อย่างที่บอก คือ เราอยากทำให้มาตรฐานมันดีขึ้น มาทำงานด้วยกันก็อยากให้ได้เงิน เพราะเราก็ไม่อยากให้เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่เงินก็ไม่ได้ แล้วยังต้องไป Perform ฟรีอีก แล้วสุดท้ายพอทุกคนดังมันก็ช่วยกันหมด

ต้าร์: ตอนนี้มันก็มีงานให้แร็พเปอร์แต่งเพลงในท่อนแร็พก็มีนะ คือมันกลายเป็นย่อม ๆ ไปแล้ว แร็พเปอร์ก็มีรายได้เข้ามา

โจ้: วง Slur ล่าสุดตอนคอนเสิร์ตเห็ดสด 3 ก็เอา Repaze มาเป็นแขกรับเชิญ แร็พเปอร์ก็เริ่มมา เริ่มมีงานโชว์ตัวมากขึ้นมันมีแต่ข้อดีอะ

เราอยากทำให้มาตรฐานมันดีขึ้น มาทำงานด้วยกันก็อยากให้ได้เงิน เพราะเราก็ไม่อยากให้เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่เงินก็ไม่ได้ แล้วยังต้องไป Perform ฟรีอีก

6

เรียกได้ว่า Rap is Now เป็นคนดึงกระแส Hip-hop ให้กลับมาอีกครั้ง 

ฟลุ๊ค: ถ้ามองจากผลตอบรับ ทั้งจากคนดู จากเพื่อน รุ่นน้องที่รู้จัก เขาก็บอกว่าเราเป็นคนจุดประกายให้กระแสมันกลับมา

โจ้: ต้องเดินแถว ๆ โรงเรียนดูครับ เมื่อวานแฟนผมไปเดินเล่นแถวโรงเรียน เห็นเด็กเดินกันเป็นกลุ่ม ร้องเพลงนิลโลหิต ไม่อยากจะจุ้นจี้ ทั้งวันเช้ายันเย็น ผมบอกก็เจอเหมือนกัน ไปจัดอีเวนต์แถวสะพานควาย เด็กคนนึงก็เขาด่ากันทำไมวะมึง เด็กอีกคนก็แบบเขาจะต่อยกันไหมวะ (หัวเราะ)

ต้าร์: มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จัก เขาก็บอกว่าเขาเปิดดูในบ้าน แล้วน้องสาวก็มาถามว่าดูอะไร สักพักก็เห็นน้องสาวดูแล้ว เขาบอกว่าเพื่อนดูทั้งกลุ่ม ไม่ดูไม่ได้เดี๋ยวคุยไม่รู้เรื่อง

โจ้: พ่อผมก็ดู

หลุยส์: รอบชิงแม่ผมจะมาดู

เป้าหมายของ Rap is Now หลังจากจบ The War is on Season 2 คืออะไร

ฟลุ๊ค: ตอนนี้เราวางแผนข้ามปีไปถึงปี 2017 กันแล้ว เราคุยกับสปอนเซอร์ข้ามปีไว้เหมือนกัน ก็อาจจะได้เห็นในอีเวนต์สุดท้ายนี้รอบ Final นะครับ แล้วก็คงต่อด้วย The War is on Season 3 ไปเลย แต่อันนี้ขอเก็บไว้เป็นความลับก่อนแล้วกัน แต่ยังมีอีกหลายโปรเจกต์ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ น่าจะสนุกมาก ๆ เพราะอย่างที่ว่า พอกระแสมันมาแล้วเราก็อยากให้มันสามารถไปต่อได้ คงจะไม่ใช่แค่ Rap Battle ละ แต่อาจจะแตกไลน์ไปอย่างอื่น เป็นรายการให้ความรู้ในรูปแบบอื่น ๆ อาจจะมีค่ายเพลงที่เราทำขึ้นอีกด้วย

ต้าร์: จะมาลุยเรื่องวงการเพลง Underground Hip-hop มากขึ้น แต่ว่าโปรเจกต์ที่กำลังจะเริ่มแล้วก็คือการเอาศิลปินมารวมตัวกัน แล้วทำอัลบั้ม รอบนี้เราจะโปรดิวซ์เองด้วย

ในงาน The War is on Season 2 รอบ Final จะมีอะไรเกิดขึ้นในงานบ้าง 

ต้าร์: จริง ๆ มันจะคล้าย ๆ กับรอบที่แล้วครับแต่เพียงรอบนี้มันจะยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่วงการนี้เคยจัดมาก่อนเลยทีเดียว พวกเราจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดครับ รอบ Final มันต้องตัดสินเลย ปกติเราจะใช้เสียงเฮ เสียงโหวต คงจะมีดราม่าชัวร์ ก็เลยคิดกันว่าทำไงดีให้แฟร์สุด ๆ เราก็เลยคิดว่าจะใช้เสียงจากคนในอีเวนต์เลย ตอนนี้เราก็ได้พันธมิตรมาทำระบบนี้ให้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็จะได้การ์ดเพื่อไปกดโหวต อธิบายง่าย ๆ ตอนที่ได้สายรัดข้อมือมา ก็จะมีกระดาษและลิงก์ให้เพื่อเอาไปโหวต ได้ Username และ Password ซึ่งจะสามารถโหวตได้ 1 คนต่อ 1 ครั้ง คือ ไม่ใช่คนจากทางบ้านโหวตนะ แต่ต้องเป็นคนที่มาอยู่ในอีเวนต์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์โหวตได้ ยังไงอยากให้ลองติดตามกันดูครับ

ฟลุ๊ค: เพราะมันเป็นแบบ Real time จบงานก็จะขึ้นตัวเลขบนนั้นได้เลย หลังจากที่ Battle เสร็จให้คนได้โหวตและจากนั้นผลโหวตก็จะขึ้นมาเลย ทำแบบโหดเลย เป็นคะแนนจริง ๆ ไม่มีการเตรียมอะไรทั้งสิ้น โดยบัตรจะแบ่งเป็น 3 ราคานะครับ คือ 350, 400, 450 จำหน่ายโดยแบ่งเป็น phase ไปไล่จากจำนวนราคาน้อยก่อนแล้วค่อย ๆ ขึ้นมา จำนวนคนตอนนี้หวังไว้ 5,000 คนครับ

ต้าร์: ส่วนสถานที่ก็เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้จะแจ้งให้ทุกคนทราบกันครับ

คิดว่าวงการเพลงฮิปฮอปหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร 

ต้าร์: ผมว่าคนที่หายไปเป็น 5 ปี 10 ปีเขาจะกลับมา เราจะได้เห็นศิลปิน Underground มากขึ้น

ฮอคกี้: ผมเห็นด้วยนะเรื่องนี้ อย่างรุ่นพี่หลาย ๆ คนเขาก็เริ่มทยอยกลับมาออกเพลงกันเยอะแล้ว ก็คิดว่ามันจะเริ่มกลับมาเหมือนแต่ก่อนอีกครั้งครับ

ต้าร์: แล้วพวกเราก็คิดว่าจะมีโปรเจกต์ Rap is Now Award เกิดขึ้นครับ ประมาณเดือน 4 ของปี จะเป็น Online Award ก็จะมี Artist of the year, Album of the year, Chart จะเป็นฮิปฮอปล้วน ๆ เลยโดยที่ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็น Underground เท่านั้น ค่ายใดก็ได้ Kamikaze ก็ได้ อะไรที่เป็นแร็พคือได้หมด อันนี้อยากให้รอชมด้วย

เมื่อก่อนมันจะถูกแบ่งกันชัดเจนเลยนะระหว่าง Underground กับโลกบนดิน พวก Underground ก็ได้เล่นแค่ตามผับ เหมือนลูกเมียน้อยอะ คนมีค่ายก็จะโด่งดัง ก็เหมือนกับถูกแบ่งแยกไป แต่ว่าตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามันควรจะรวมกันได้แล้ว มันคือฮิปฮอปเหมือนกัน

เอ็ม: ผมเหมือนมีปมกับเรื่องนี้นะ เมื่อก่อนมันจะถูกแบ่งกันชัดเจนเลยนะระหว่าง Underground กับโลกบนดิน พวก Underground ก็ได้เล่นแค่ตามผับ เหมือนลูกเมียน้อยอะ คนมีค่ายก็จะโด่งดัง ก็เหมือนกับถูกแบ่งแยกไป แต่ว่าตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามันควรจะรวมกันได้แล้ว มันคือฮิปฮอปเหมือนกัน

ฟลุ๊ค: ก็อย่างที่บอกว่าเราอยากให้มันเป็นมาตรฐาน อยากให้มันดีขึ้น เราก็เลยคิดว่า Award มันอาจจะเป็นอะไรที่ช่วยได้ เพราะถ้ามี Award มันก็จะช่วยให้ศิลปินได้พัฒนาตนเองมากขึ้น ได้ปรับปรุงผลงานให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นครับ

สุดท้ายนี้ฝากอะไรถึงคนอ่านหน่อย

เอ็ม: ออกมาดูกันนะครับ แล้วเจอกัน

หลุยส์: จะบอกว่า อ่านเยอะ ๆ ฟังเยอะ ๆ ครับ

โจ้: ถ้าอ่านถึงตรงนี้ก็ขอบคุณมากครับ

ฟลุ๊ค: อยากให้มันดีขึ้น ก็ช่วยกัน โตไปด้วยกัน เราคนเดียวเราทำไม่ได้หรอกครับ อยากให้ทุกคนช่วยกัน

ต้าร์: เรื่อง Attitude ละกัน คือ ต้องเปิดกว้าง เรามาได้ขนาดนี้เพราะทีมเราเปิดกว้างจริง ๆ ถ้าจะมาตรงนี้ก็ต้องเปิดกว้างด้วย พวกเราจะกลายเป็นอะไรที่มันแข็งแกร่งแน่นอน

ฟลุ๊ค: เราต้องเป็นแบบอเมริกานะ Million Dollar แบบนี้เลย

โจ้: ปัญหาคือไม่มีเงิน ยังไงก็ฝากพวกเราด้วยละกันครับ (หัวเราะ)

หลังจากสิ้นสุดประโยคฝากทิ้งทายของทีมงาน Rap is Now ด้วยเสียงหัวเราะของพวกเขาทั้ง 7 คนแล้ว ทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเขาทั้ง 7 คนมีพลังยิ่งใหญ่มากพร้อมที่จะ RUN วงการที่เขารักอยู่เสมอ ไม่แปลกเลยที่ทุกวันนี้ชุมชนของพวกเขาเติบโตขึ้นทุกวัน แต่ในเมื่อมันเติบโตขึ้นแล้ว ผมในฐานะคนที่ได้สัมภาษณ์พวกเขาทั้ง 7 คนก็อยากจะฝากไว้ว่า อยากให้พวกคุณช่วยกันดูแลให้มันดี เพราะถ้าวันใดที่พวกคุณทอดทิ้งชุมชนที่สร้างกันขึ้นมาแล้ว วงการเพลงที่พวกคุณรักมันก็จะหายไปอีก ฉะนั้นแล้วรักอะไรจงรักให้มาก ๆ ดูแลให้ดี ๆ แล้วทุกอย่างจะอยู่ได้นาน ขอให้ Rap is Now “Run วงการ” อยู่คู่แฟนเพลงไปอีกนาน ๆ ครับ จนกว่าเราจะพบกันใหม่ / สวัสดีครับ

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง