bilkin-2021

เห็ดหูหนู

รู้จัก “Billkin” ให้มากขึ้น ผ่านเพลงที่ชอบ งานที่รัก และความซื่อตรงที่มีต่อหัวใจตัวเอง

คุยกับ Billkin (บิวกิ้น–พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) กับเรื่องราวมากมายที่เจ้าตัวบอกว่าสิ่งนี้แหละ “I O แล้วนะU” เรื่องราวของความรู้สึกที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก การเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง และบทบาทที่ได้ก้าวเข้ามาสู่การเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว ทำความรู้จักกับเขาและตกหลุมรักไปพร้อม ๆ กันนะ

bil

 

จุดเริ่มต้นในการเป็นนักแสดงของ Billkin

บิวกิ้น: จริง ๆ เริ่มจากผมเป็นคนที่ชอบดูซีรีส์ ชอบดูหนัง และผมก็ชื่นชมคนที่เขาทำงานไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือว่าเบื้องหลัง เรารู้สึกว่าเขาเก่ง ตอนนั้นเรายังไม่เคยลองทำงานแสดงด้วย เลยมีคำถามว่าเขาสามารถทำสิ่งนี้ได้ยังไง เขาคิดแบบนี้ได้ยังไง เขาสามารถเป็นนักแสดงที่เข้าถึงบทบาทขนาดนั้นได้ยังไง ผมเลยเริ่มชื่นชอบตั้งแต่ตอนนั้น รวมไปถึงคุณพ่อเป็นเพื่อนกับน้าก้อง ปิยะ เลยได้ปรึกษาพูดคุย และสุดท้ายเขาก็แนะนำให้เรามาอยู่ที่นาดาวครับ พี่ ๆ ที่นาดาวเขาก็เห็นศักยภาพบางอย่างในตัวเรามั้งครับ เลยให้โอกาสเราได้ลองพิสูจน์ตัวเองครับ 

 

Billkin กับ ความรู้สึกในใจที่ตรงไปตรงมา 

บิวกิ้น: จริง ๆ ผมเป็นคนปิดบังหรือโกหกไม่ค่อยเก่ง คนที่เขารู้จักผมจะมองผมทะลุปรุโปร่งเลยว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอะไร กำลังคิดอะไรอยู่ เวลาผมสนุก ผมก็จะสนุกเต็มที่ เวลาผมจริงจังผมก็จะจริงจังไปเลย หรือเวลาที่ผมเครียดทุกคนก็จะดูออกว่าผมกำลังเครียด สำหรับตัวผม ผมเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยมีมุมไหนที่คนใกล้ตัวหรือแฟนคลับไม่ค่อยรู้ว่าผมไม่มีมุมนั้น เพราะผมเป็นคนค่อนข้างเปิดเผย สมมติเวลาเราไลฟ์เราก็ถ่ายในห้องนอน เราเป็นคนสบาย ๆ อยู่แล้ว และเรารู้สึกว่าเราเป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผยอยู่แล้วครับ ชอบก็พูด ไม่ชอบก็พูด เรารู้สึกว่าเราเป็นคนจริงใจ เป็นคนตรง ๆ 

 

สิ่งยากที่สุดในการเป็นนักแสดงของ Billkin

บิวกิ้น: ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือความเชื่อครับ สำหรับผมการเป็นนักแสดง องค์ประกอบหลักใหญ่ ๆ คือการที่เราศึกษาตัวละครหนึ่ง และเราลงไปเป็นตัวละครนั้นได้ดีแค่ไหน มันอยู่ที่ความเชื่อ ยิ่งเราเชื่อมันได้มาก มันก็ยิ่งจริงมากขึ้น ผมว่าบางทีอะไรที่มันค่อนข้างไกลตัวเรา หรืออะไรที่เราไม่อิน มันจะมีบางองค์ประกอบของตัวละครเวลาที่เราลงไปทำความเข้าใจแล้วเรารู้สึกว่า เราไม่ได้คิดแบบนั้น หรือเราไม่เชื่อสิ่งนั้น เราไม่เชื่อว่าตัวละครจะสามารถคิดแบบนั้นได้เพราะเราไม่ได้คิดแบบนั้น ซึ่งจริง ๆ มันไม่ดีนะ เราควรจะลงไปเป็นตัวละครให้ได้ 100% มากที่สุด ไม่ควรจะมีข้อแม้ แต่ผมว่าอะไรพวกนี้มันเป็นกลไกของความคิดว่าจริง ๆ แล้วบางครั้งตัวเราเองไม่ได้คิดเหมือนตัวละคร ผมว่าอันนี้คือความยากในมุมที่ว่า เราจะลงไปเชื่อตัวละครนี้ได้มากแค่ไหนครับ 

 

“แปลรักฉันด้วยใจเธอ”

บิวกิ้น: จริง ๆ ประทับใจที่สุดก็น่าจะเป็น แปลรักฉันด้วยใจเธอ ครับ ผมว่าจริง ๆ มันพิเศษเพราะเราได้ขึ้นมาเป็นนักแสดงนำจริง ๆ ครั้งแรกด้วย บวกกับเส้นเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้ เราก็ค่อนข้างเล่าเรื่อง ๆ นั้นด้วย และเราก็ได้รับบทที่ค่อนข้างท้าทายในมุมของตัวละคร ในสิ่งที่ตัวละครทำ หรือสิ่งที่ตัวละครคิด หรือเรื่องของอินเนอร์ และ physical การลงไปถ่ายใต้น้ำ ต้องฝึกพูดภาษาจีน ผมรู้สึกว่ามันยากและมันท้าทาย และเรารู้สึกว่ามันสนุก อีกมุมหนึ่งผมรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วบทละครนี้มันมีส่วนหนึ่งที่ถูกพัฒนามาจากตัวผม มันเลยทำให้เรารู้สึกว่ามันสร้างมาเพื่อให้เราเล่นบทนี้โดยเฉพาะ มันเลยเป็นงานที่พิเศษที่เหมาะกับเรา และเรามีโอกาสได้ลงไปทำสิ่งที่ยาก ๆ และมันเป็นโอกาสใหญ่ของเรา รวมไปถึงเราได้ทำงานกับทีมงานที่เราแฮปปี้กับเขามาก ๆ ทีมงานแปลรักฉันด้วยใจเธอเป็นอะไรที่พิเศษมาก ๆ คือทุกคนตั้งใจอยากจะทำงานนี้ออกมาให้ดีที่สุด เราเหมือนรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว และเราเป็นทีมจริง ๆ เรารู้สึกได้ตลอดเวลาว่าทุกคนทำงานเพื่อให้งานนี้ออกมาเป็น masterpiece ไม่ใช่แค่ทำมันไปเฉย ๆ ครับ แล้วเราก็รักกัน สนิทกันมากกับทุกคนครับ 

 

จุดเริ่มต้นของ Billkin ในเส้นทางสายดนตรีและการร้องเพลง

บิวกิ้น: จริง ๆ มันเริ่มจากที่ตอนเด็ก ๆ ที่บ้านผมเขาจะชอบส่งให้เราไปเรียนช่วงซัมเมอร์ ตอนอนุบาลขึ้น ป.1 หรือตอน ป.1 ขึ้นป.2 มันจะมีช่วงซัมเมอร์ประมาณ 2-3 เดือนที่เราก็จะอยู่บ้านเฉย ๆ ตอนประถม เขาก็จะลองส่งเราไปเรียนอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อให้เราได้ลองทำอะไรหลากหลายมากขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเราชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร อะไรเป็นตัวเราและอะไรที่ไม่ใช่ ผมก็ได้เรียนร้องเพลง เรียนเต้น เรียนไวโอลิน เรียนปิงปอง ตีแบด เตะบอล ว่ายน้ำ ผมเรียนเยอะมาก โยนโบว์ลิ่ง เรียนคอมพิวเตอร์ เรียนภาษาอังกฤษ ผมก็เรียนมาหมดแล้ว เราก็เริ่มรู้ตัวเพราะมีโอกาสได้ลองไปทำมัน ปกติซัมเมอร์นี้ผ่านไปเราก็จะไปเรียนอีกอย่างหนึ่ง แต่ผมว่าความพิเศษของการร้องเพลงคือพอเวลามันผ่านไปสักพักหนึ่งแล้ว ความรู้สึกของเรามันเรียกหาสิ่ง ๆ นั้น มันบอกเราว่าเราอยากกลับไปเรียนร้องเพลงอีก อยากกลับไปมีความสุขในห้องเรียนร้องเพลงอีก เราเลยรู้สึกว่าพอนึกย้อนกลับไปน่าจะเป็นตอนนั้นมั้งที่เรารู้สึกพิเศษกับมันครับ

Fungjai: จำเพลงแรกที่ร้องได้ไหม

บิวกิ้น: น่าจะเป็นเพลงพี่บี้นะ ตอนเด็ก ๆ น่าจะมีพี่บี้กับพี่เบิร์ดนี่แหละครับ 

 

เพลงที่บ่งบอกความเป็น Billkin ได้มากที่สุด 

บิวกิ้น: ถ้าเป็นเพลงตัวเองนะ ผมว่าน่าจะเป็น I ไม่ O แหละ เหมือนเป็นเพลงเราออกมาในนามศิลปินจริง ๆ ไม่ได้โยงไว้กับการเป็นโจทย์ของเพลงประกอบละคร จริง ๆ เพลงประกอบละครหรือเพลงในซีรีส์อื่น ๆ ก็มีความเป็นตัวผมสูง แต่ว่าสำหรับ I ไม่ O  มันไม่มีกรอบ เราทำมันด้วยความเป็นตัวเรา 100% แล้วเราก็ใส่รสนิยม ใส่ความชอบต่าง ๆ และเป็นเพลงแรกที่ไม่มีโจทย์และมีความเป็นศิลปินจริง ๆ เราเลยรู้สึกว่าเราสนุกกับมันและเป็นตัวเองครับ

Fungjai: ได้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับพี่ ๆ ที่ทำเพลงด้วยใช่ไหม

บิวกิ้น: ใช่ครับ เขาก็เปิดโอกาสให้เราได้ลงมือลอง เหมือนฝึกงานครับ ลองลงไปเรียนรู้วิธีการทำเพลง ขั้นตอนการทำมันเริ่มตรงไหน แล้วจะไปทางไหนต่อ มันมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่จะทำให้เพลงนี้สำเร็จออกมาเป็นเพลง ๆ หนึ่งครับ 

Fungjai: แล้วชอบไหม

บิวกิ้น: ชอบมากครับ

 

Billkin ในฐานะศิลปินเต็มตัว กับ  I ไม่ O (IXO) และ เก็บไว้ตลอดไป 

บิวกิ้น: สำหรับสองเพลงนี้มันเป็นโหมดของศิลปินเต็มตัวที่ไม่ได้เกี่ยวโยงกับซีรีส์หรือมีโจทย์อะไรมาครอบแล้ว

I ไม่ O (IXO)

บิวกิ้น: I ไม่ O (IXO) เป็นเพลง Soul-Pop ที่มีจังหวะเร็วที่สุดที่ผมเคยทำมาแล้ว เพลงก็จะเล่าถึงความรู้สึกที่เราไปหึงหวงคนอีกคนหนึ่งที่อาจไม่ได้เป็นอะไรกัน เราไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับเขา ไม่ชอบให้เขาไปยุ่งกับใคร ไม่ชอบให้ใครมาอยู่ใกล้ ๆ เขา เหมือนเราไปหึงหวงเขาทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เพลงนี้ก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่ ๆ ที่เก่ง ๆ มากมายครับ มีพี่เบล สุพล มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ มีพี่บี ETC มาเป็น Arranger และทำทำนอง พี่ปิง ETC. มาช่วยเขียนเนื้อเพลง มีพี่เมฆ MACHINA มาร่วมโปรดิวซ์ มีพี่หนึ่ง ETC. มาช่วยคุมร้อง ร้องคอรัสให้ ผมรู้สึกว่ามันสนุกและเราก็มีโอกาสได้ทำเพลงที่เป็นตัวเราได้อย่างเต็มที่

 

เก็บไว้ตลอดไป

บิวกิ้น: เก็บไว้ตลอดไป ก็ยังเป็นเพลงที่อยู่ในหมวดเพลง Soul-Pop อยู่ครับ เริ่มเข้าสู่ช่วงที่เราเริ่มทำ Soul-Pop ยาว ๆ เพลงนี้เป็นเพลงที่มีโอกาสได้ร่วมทำกับ OPPO และก็ได้ร่วมงานกับพี่ปิ้ว TELEx TELEXs ซึ่งพี่ปิ้วเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย เขียนทำนองด้วย และก็ arrange ด้วย คือทำหลายอย่างเลย แล้วก็ได้พี่โป โปษยะนุกูล มาช่วยเขียนเนื้อเพลงให้ เพลงนี้ก็จะเป็นจังหวะกลาง ๆ ลงมาหน่อย Tempo มันจะช้ากว่า I ไม่ O (IXO) มันก็จะเป็นอีกรสชาติหนึ่ง ซึ่งเพลงนี้จะเล่าถึงคุณค่าของความทรงจำ เหมือนกับว่าเวลาที่เรามีความรัก เราก็ใช้ชีวิตแล้วเราก็มีความสุขจนวันเวลาผ่านไป พอเรามองย้อนกลับไปดูความทรงจำของเรา บางอย่างที่มันเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเราอาจจะแค่กินข้าวด้วยกัน นั่งรถด้วยกัน หรือแค่เดินผ่านที่ไหนสักที่หนึ่งด้วยกัน ความทรงจำที่ผ่านมามันอาจจะมีคุณค่ามากกว่าที่เราเคยคิดไว้ในวันนั้นพอเรามองย้อนกลับไปในวันนี้ครับ 

 

ถ้าต้องเลือกระหว่างการแสดง และ การร้องเพลง 

บิวกิ้น: ผมชอบทั้งสองอย่างเลยครับ ผมว่าร้องเพลงกับการแสดงเป็นศาสตร์คนละศาสตร์กัน วิธีการ ความสนุกหรือประสบการณ์ที่เราได้มา ผมว่ามันเลือกไม่ได้หรอก ตอบได้แค่ว่าเราแฮปปี้และเอ็นจอยมาก ๆ กับทั้งสองอย่าง และเราก็ยังสนุกกับการทำทั้งสองอย่างนี้อยู่ครับ ความต่างผมว่าการแสดงคือการที่เราเป็นนักแสดง เราลงไปเป็นตัวละครที่ถูกเขียนบทขึ้นมา ถูกกำกับโดยผู้กำกับ ถ้าเป็นศิลปินคือเราเป็นผู้กำกับตัวเอง เราลงไปวาดบทของเราเอง เราเลือกเรื่องที่จะเล่าเอง และเราก็เป็นคนเล่าเองในมุมมองความเป็นตัวเรา ไม่ใช่มุมมองของตัวละครครับ 

 

Billkin’s Playlist

AI JarreauWe’re in This Love Together

บิวกิ้น: ผมชอบมู้ดความแฮปปี้ของมัน เราฟังแล้วเราก็โยกหัวตามในวันพักผ่อน เพลงก็จะพูดถึงว่าเราอยู่ในความรักนี้ด้วยกัน รักหวานชื่น โรแมนติก เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นมู้ดที่ดี ในวันพักผ่อน นั่งดื่มกาแฟแล้วเพลงนี้ก็จะรู้สึกว่าเราผ่อนคลาย ได้บรรยากาศที่ดีครับ

 

Earth, Wind & FireAfter the Love Has Gone

บิวกิ้น: ผมว่ามันเป็นเพลงที่เศร้า แต่มันทำให้เราฉุกคิดว่าความรักมันหายไปแล้ว เราเลิกกันแล้ว เพลงนี้เราชอบเมโลดี้ ชอบ arrangement ของ Earth, Wind & Fire ที่ทำออกมาแล้วมันกลมกล่อมครับ มันไม่ใช่เพลงที่ทำง่ายในเรื่องของ arrangement แต่ว่ามันเป็นเพลงที่ฟังง่าย มันกลมกล่อมครับ คือมันจะมีเพลงที่ยากและฟังยาก แต่เพลงนี้คือเพลงที่ยากและฟังง่าย เลยรู้สึกว่ามันพิเศษครับ

 

Quincy JonesJust Once

บิวกิ้น: เป็นเพลงที่ฟังสบาย ๆ มันเหมือนฉุกคิดหมดเลย ถ้าเกิดว่าอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าอย่างนี้ ผมว่ามันมีการเล่าเรื่องที่พิเศษ Just Once มันไม่ได้เป็นเพลงที่ร้องยาก หรือไม่ได้เป็นเพลงที่มีอะไรยากขนาดนั้น แต่ว่ามันเรียบง่ายและพิเศษ เราฟังแล้วเราชอบ เรารู้สึกว่าพิเศษ แต่มันไม่ใช่เพลงที่มีรายละเอียดยากขนาดนั้นครับ ก็ชอบอะ ไม่ต้องมีเหตุผลได้ไหม (ขำ) 

 

PP Krit It’s Okay Not To Be Alright 

บิวกิ้น: เวลาที่เราชอบเพลง ๆ หนึ่งเรารู้สึกว่าเพลง ๆ นั้นกับศิลปินมันไปด้วยกัน เพลงนี้คือมุมมองของศิลปินที่เขาอยากจะออกมาสื่อสารสิ่งนี้ออกมาจริง ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเรารู้จักพีพีด้วย วิธีการคิดเกี่ยวกับเรื่องแต่ละเรื่อง แบบนี้มันคือความคิดของพีพี มันเลยทำให้เรารู้สึกว่านี่คือเพลงที่เป็นเพลงของศิลปินจริง ๆ ที่เขาลงมาเล่าเรื่องนี้ เพลงอกหักมันมีเพลงเป็นร้อยล้านเพลง แต่ความพิเศษมันคือวิธีการตีความ วิธีการเล่าของศิลปินแต่ละคน และเรารู้สึกว่า สำหรับเพลงนี้มันมีความเป็นตัวพีพีจริง ๆ มันทำให้เราเห็นทัศนคติหรือแง่มุมต่าง ๆ ของพีพีมากขึ้น แล้วเรา รู้สึกชื่นชมครับ 

 

บทบาทใหม่ของ Billkin ที่อยากลองในอนาคต

บิวกิ้น: การแสดงกับการทำเพลงผมก็รู้สึกว่าก็ยังอยากจะพัฒนาตัวเองอีก อยากจะเจองานที่ท้าทายและสนุกอีก แต่อีกมุมหนึ่งที่เราอินและมีแพสชั่นกับมันจริง ๆ คือการทำธุรกิจ คือตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เราโตมาในครอบครัวของคนจีนที่เขาสอนให้เราโตไปเป็นเถ้าแก่ตลอด พาเราไปดูงานของที่บ้าน เลยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันหล่อหลอมเราให้เรามีแพสชั่นในด้านนี้เหมือนกัน บวกกับที่ผมเรียน Business School เกี่ยวกับการทำธุรกิจ ผมว่ามันก็คงเหมือนกับทุก ๆ คนแหละมั้งที่เวลาเราได้เรียนอะไรมาเยอะ ๆ แล้วรู้สึกว่าพอเรามีความรู้กับมันเยอะ ๆ แล้วเราอยากที่จะลองทำมันจริง ๆ สักที จริง ๆ ตอนนี้ก็มีโอกาสได้ทำแล้วนะ เพราะผมเพิ่งเปิดแบรนด์อาหารเสริมใหม่ แต่เราก็รู้สึกว่ามันก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เราก็ยังอยากจะพัฒนาและให้สร้างแบรนด์นี้ให้เติบโตและประสบความสำเร็จไปเรื่อย ๆ ครับ เป็นอีกย่างหนึ่งที่อยากทำและกำลังอินมาก ๆ ครับ

Fungjai: ไหนลองบอกชื่อแบรนด์หน่อย

บิวกิ้น: Wital ครับ ขอเล่าที่มาก่อนแล้วกัน จริง ๆ มันคือคำว่า Wit ที่แปลว่าไหวพริบ บวกกับคำว่า vital ที่แปลว่าสำคัญ ก็จะมีเหมือน Positioning Statement ของเราคือ “Invest in Well-Being” การที่เราดูแลสุขภาพของเรามันเหมือนการลงทุนที่เราไม่สามารถซื้อมันได้ ไม่สามารถจัดการมันได้ แต่เราสามารถวางแผนมันได้ การที่เราดูแลสุขภาพมันมีทั้งการดูแลระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเรามองว่าในอนาคตเราก็อยากจะเป็นแบรนด์ที่ทำเกี่ยวกับสุขภาพของคนให้มันครบวงจร ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ปล่อยออกมาคือ Wital B+Sage ครับ ส่วนประกอบหลัก ๆ คือวิตามินบี บวกสารสกัดใบเซจมันคือการบำรุงสมองครับ แต่นอกจากนี้ก็มีสารสกัดใบแปะก๊วย, ซิงค์, แอล-คาร์นิทีน, แอล-อาร์จินีน มีใบชาเขียว ซึ่งทุกอย่างจะอยู่ในการบำรุงสมองทั้งหมด สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวแรกเราเน้นเรื่องการบำรุงสมองที่ได้ใบเซจจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็น innovative ingredient ของปีนี้ แล้วเราก็เห็นว่ายังไม่ค่อยมีใครหยิบมาทำในตลาด เราก็เลยหยิบตัวนี้มาทำ ซึ่งก็มีงานวิจัยที่พูดเรื่องการช่วยความทรงจำในระยะสั้นและระยะยาว และเรื่องการลดอัตราการเป็นอัลไซเมอร์ บวกกับสารสกัดอื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงสมอง เลยรู้สึกว่า  Wital B+Sage จะช่วยตอบโจทย์เรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพของสมองเราให้ดีที่สุดครับ

Fungjai: สามารถสั่งซื้อได้ที่นี่ Lazada, Line Wital Thailand

ทิ้งท้ายและฝากผลงาน

บิวกิ้น: ถ้าฝากอะไรถึงแฟน ๆ ก็อยากจะบอกว่าขอบคุณทุกคนครับที่สนับสนุนมาตลอดทั้งที่ช่วงหลัง ๆ เราก็มีโอกาสได้เจอกันต่อหน้าน้อยลงเนื่องด่วยสถานการณ์ แต่คิดว่าในอนาคตเราก็น่าจะมีโอกาสได้เจอกันมากขึ้น และได้กลับมาพูดคุยกันมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ก็ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพให้ดีนะครับ สำหรับผลงานก็เพิ่งปล่อยเพลง I ไม่ O (IXO) เมื่อวันที่ 9 เดือน 9 นะครับผล และก็เพลง เก็บไว้ตลอดไป เพิ่งจะปล่อยออกมาไม่นานนี้ครับ ขอฝากแค่สองเพลงนี้ก่อนแล้วกันครับ

Facebook Comments

Next:


Donratcharat

นัท มีหมาน่ารักสองตัวชื่อหมูตุ๋นกับหมูปิ้ง กาแฟดำยังจำเป็นต่อชีวิต และยกให้กาแฟใส่นมเป็นรางวัล