Feature เห็ดหูหนู

The Songs That Make GHOST รวมเพลงโปรดจากวงโกสต์

  • Writer: Krit Promjairux
  • Photographer: Chavit Mayot

คอมลัมน์เห็ดหูหนูวันนี้ เรามีโอกาสได้มานั่งจับเข่าคุยกับวงดนตรีที่มีชื่อว่า Ghost อีกครั้ง จากเหล้าเก่าในขวดใหม่ที่เป็นการรวมตัวระหว่างอดีตสมาชิกของวง AB Normal และ เอก ฟรอนต์แมนจากวง Sleeping Sheep เราจะมาพูดคุยกันถึงบทเพลงที่เป็นอิทธิพลที่ส่งผลให้พวกเขาเป็นคนในแบบที่พวกเขาเป็น ณ ตอนนี้ และถามถึงประสบการณ์ในฐานะวงดนตรีหน้าใหม่ (อีกครั้ง) หลังจากที่เดบิวต์มาแล้วหนึ่งปีพวกเขาผ่านอะไรกันมาบ้าง

เก่ง – นที แสนทวี (เบส)

Pantera – Mouth For War

จำได้ว่าเราได้เจอกับเพลงนี้ครั้งแรกในช่วงเราอยู่ซ้อมคนเดียวในห้องที่บ้าน ตอนนั้นมันเป็นช่วงเรากำลังเริ่มจริงจังกับการเล่นดนตรี ซึ่งพอได้ฟังเพลงนี้เรารู้สึกว่าเพลงมันมีพลัง ซึ่งทุกครั้งที่เราได้ยินเพลงหรือได้มานั่งเล่นเพลงนี้มันทำให้เราอยากเล่นดนตรี เหมือนมีพลังในการเล่นยิ่งขึ้นไปอีกจากปกติ

Guns N’ Roses –Welcome To The Jungle

จำได้ว่า โอ่ง (มือกีตาร์ วง Ghost) นี่แหละเป็นเอาคนซีดีมาให้ฟังตอนเด็ก ๆ เลย เป็นเพลงฝรั่งเพลงแรก ๆ ที่ได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามันร็อกมากอะ ทั้งวิธีคิดลูกกีตาร์ สัดส่วนในเพลงมีความหลากหลาย เรารู้สึกว่าเพลงนี้แม่งเท่มาก

No Doubt – Just A Girl

อาจจะดูฉีกจากสองเพลงแรก แต่กลายเป็นว่าจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ฟังเพลงร็อก/เมทัล เยอะ ๆ พอมาเจอวง No Doubt แล้วมันทำให้เรารู้สึกแบบ เฮ้ย จริง ๆ แล้วเราชอบเพลงแบบนี้ เป็นอัลเทอร์เนทิฟ เป็นป๊อปพังก์ เป็นสกางี้ ประกอบกับรูปแบบของวงนี้มันดูมีความเป็นวาไรตี้ดี มีการนำเสนอที่น่าสนใจ แล้วก็ Tony Kanal มือเบสของวงนี้ก็เป็นมือเบสคนนึงที่เราชื่นชอบสไตล์การเล่นและวิธีคิดไลน์เบสของเขามากๆ

เอก – สุทธิเทพ สัตนาโค (ร้องนำ)

Pantera – Slaughtered

จริง ๆ ผมก็ฟังมาหลายวง แต่ถ้าเกิดจะถามว่าวงไหนที่ฟังแล้วทำให้เรารู้อยากลุกขึ้นมาเล่นดนตรีหรือร้องเพลง ก็คงจะเป็น Pentera เพลง Slaughtered ทำให้ผมลองหยิบกีตาร์ขึ้นมาลองจับไลน์เบสเล่นเป็นเพลงแรก มันทำให้เรารู้สึกว่าเราสามารถทำอย่างอื่นได้นอกจากร้อง และต่อให้ไม่ได้หยิบเครื่องดนตรี เพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ดิบและสากที่สุดของ Pantera เลยรู้สึกว่าถ้าเกิดเราเอาเพลงนี้ไปเล่นบนเวทีไหนก็ตาม ทุกอย่างคงพังพินาศ

Deftones – My Own Summer

เส้นทางชีวิตทางดนตรีของผมผูกพันกับวงดนตรีวงนี้มาตลอด ด้วยความที่เรามาเริ่มสนใจดนตรีในยุคนูเมทัลครองเมือง ตอนนั้นเพื่อนแถวบ้านมันเลยเอาเพลงของ Deftones มาให้ฟัง แล้วก็มาลองแกะกันดู พอได้มาลองเล่นด้วยกันในห้องซ้อม ปรากฏว่าเพื่อนเห็นแววว่าผมแม่งร้องได้ ก็เลยฟอร์มวงกันเพื่อที่จะไปเล่นงานนู้นงานนี้ด้วยกัน ซึ่งกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเส้นทางดนตรี และเพลงนี้แหละที่ทำให้พี่ ๆ วง Sleeping Sheep มองเห็นว่าไอ้นี่มันร้องได้เว้ย ก็เลยทำให้เราได้มาเป็นฟรอนต์แมนให้กับ Sleeping Sheep ด้วย

Silly Fools – รอยยิ้ม

ถ้าถามว่าวงนี้ influence เราตั้งแต่ตอนไหน ก็คงจะเป็นตอนที่ ซิลลี่ ฟูลส์ ออกสู่โลกใบนี้ครั้งแรกเลย ซึ่งก็คืออัลบั้ม Bakery’s sampler เพลง รอยยิ้ม เป็นเพลงที่ทั้งหวาน ทั้งหม่น ทั้งบาดใจ ทั้งกระแทกกระทั้น อยู่ในเพลงเดียว มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากไปยืนในจุดนั้น ที่สามารถทำเพลงหนัก ๆ แบบนี้แต่ยังสามารถถ่ายทอดให้กับคนฟังในวงกว้างได้

โอ่ง – วิสารท กุลศิริ (กีตาร์)

แจ้ ดนุพล – เชื่อฉัน

เพลงนี้อาจจะไม่ใช่เพลงร็อกอะไรเลย แต่เพลงนี้ของพี่ แจ้ ดนุพล คือเพลงที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ให้เราเริ่มสนใจในการฟังเพลง เราจำได้ว่าสมัยที่เราเป็นเด็ก มันเป็นเพลงแรก ๆ ที่ได้ยินแล้วรู้สึกว่ามีความสุขอะ มันทำให้เรารู้สึกสดชื่น ไปโรงเรียนก็มีความสุข ทำให้เราเปิดรับความสวยงามของดนตรีเข้ามาในชีวิตไปโดยปริยาย และหลังจากนั้นเรากลายเป็นแฟนเพลงของพี่แจ้มาตลอด จำได้ว่าเคยได้ไปดูคอนเสิร์ตพี่แจ้ด้วย ตอนเราเด็ก ๆ เลย ไปกับพี่สาว เพื่อจะไปฟังเพลง เชื่อฉัน นี่แหละเป็นประสบการณ์คอนเสิร์ตครั้งแรก จำได้ว่าหลับ ๆ ตื่น ๆ เราเลยขอยก พี่แจ้ ดนุพล ให้เป็นผู้ที่ทำให้เราเป็นคนที่หลงใหลในเพลงและดนตรี

The Olarn Project – เพราะรัก

เราเริ่มรู้จัก The Olarn Project จากอัลบั้ม หูเหล็ก จำได้ว่าตอนนั้นดูรายการบันเทิงคดีของพี่ซัน—มาโนช พุฒตาล แล้วเขาบอกว่านี่เป็นวงเฮฟวี่เมทัลของไทย เราก็แบบ ฮึ้ย อะไรวะ พอเราได้มาเห็นลุค เห็นลักษณะท่าทางของคนในวงแล้วเรารู้สึกว่า มันดูเกรี้ยวกราด มันแบบ แม่งโคตรร็อกอะ ใส่ชุดหนัง มันใช่ ก็เลยไปหาซื้อเทปมาฟัง ตอนนั้นก็เริ่มจาก ชุด หูเหล็ก ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 2 ก่อนที่จะตามไปซื้อ กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งตอนนั้นก็หาค่อนข้างยากแล้ว แต่หลังจากที่ฟังเพลงจากวงนี้หลาย ๆ เพลงเรามาสะดุดเพลง เพราะรัก ตรงเนื้อร้องนี่แหละ ตอนนั้นจำได้เลยว่า ผม กับ โต Silly Fools แล้วก็เก่ง เป็นเพื่อนกันอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซอยเดียวกัน ก็ซื้อเทปชุดนี้แล้วก็เอาผลัดกันฟัง เหมือนของ Guns N’ Roses ที่เก่งเล่าไปก่อนหน้านี้ พอซื้อเทปม้วนนี้มาก็เอาให้โตฟัง โตก็บอก มันจะมีเนื้อร้องของเพลง เพราะรัก ที่ร้องว่า ‘โอบกอดจูบลูบไล้เธอ แอบอิงเอนกายแนบชิดผูกพัน อกสั่นหวั่นทรวงสะท้าน เพราะลมจูบนั้น แต่กายเธอ กลับร้อนดั่งไฟร้อนแรงโลมเลีย ดั่งถูกตอกยอกย้ำ ภายใน จวนจนธารอารมณ์ ไหลหลากมา’ ให้ไปลองฟัง พอเราฟังแล้วเขาก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย เราไม่เคยได้ยินมาก่อนในเพลงไทย ที่จะพูดเรื่องความรักมันเลยไปถึงเรื่องลึก ๆ ได้ คือเพลงนี้มันเป็นเพลงที่มีความสยิวมากนะ เป็นเพลงรักที่มันมีความอีโรติกสูงมาก แต่มันไม่ได้หยาบโลน เป็นเนื้อร้องดูที่สวยงาม ตอนนั้นเราเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้วล่ะ มันเป็นเพลงที่ฟังแล้วอยากเปิดให้แฟนฟังแล้วร่วมรักกับแฟนด้วยเพลงนี้ อารมณ์นั้นเลย

Richie Kotzen – Special

Richie Kotzen นี่จริง ๆ ชอบหลายเพลง สำหรับเพลงเร็วของเขาเนี่ยจะมีความดุเดือด ความสนุกสนานอยู่แล้ว แต่พอพูดถึงเสียงเพลงของเขาในเพลงช้า รวมถึงเสียงร้องของเนี่ย มันผสมกลิ่นอายของความโซลของเขาอยู่ แล้วก็ยังเขียนเนื้อเพลงเองด้วย สำหรับเพลง Special พอผมมาฟังจากเนื้อที่เขาเขียนแล้วรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วเหมือนเขาก็เป็นคนที่มีความรักที่มันฝังใจ เพลงมันพูดถึงคนพิเศษที่เขาเก็บเอาไว้ในเพลง ชอบเพลงนี้มากจนต้องเอาชื่อเพลงนี้มาสักไว้ที่ตรงหน้าอกตัวเองเลย

Talk

หนึ่งปีหลังจากการเริ่มนับหนึ่งใหม่ในฐานะวงดนตรีที่ชื่อว่า Ghost

โอ่ง: มันถือว่าเป็นหนึ่งปีที่รวดเร็วเหมือนกันนะ จริง ๆ ตั้งแต่ก่อนจะเปิดตัวก็เริ่มรวมตัวทำเพลงกันก่อนหน้านั้นเกือบ ๆ ปี ก่อนจะปล่อยซิงเกิ้ลแรก ปีที่แล้วเราก็ได้ไปเล่นคอนเสิร์ตในหลาย ๆ ที่ เหมือนเป็นการได้กลับไปผจญภัยด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะการเป็นวงดนตรีมันก็ต้องออกไปลุย เราก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่าง ๆ ร่วมกันมาพอสมควร

เก่ง: สำหรับเราหนึ่งปีที่ผ่านมามันคือการที่เราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างคนในวง แม้ก่อนหน้านั้นจริง ๆ เรารู้จักกันมาก่อนอยู่แล้วแหละ แต่การเป็นวงดนตรีมันคือการได้ไปเล่นดนตรีด้วยกัน การได้ใช้ชีวิตด้วยกัน อย่างที่พี่โอ่งบอกคือได้ไปเล่นหลาย ๆ ที่ ได้ไปเล่นที่ญี่ปุ่นด้วย รวมถึงงานในส่วนอื่น ๆ ที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการใส่ไอเดียต่าง ๆ สำหรับเรามันถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย อย่างที่บอกว่านี่มันคือการเริ่มใหม่ มันคือจุดเริ่มต้นจริง ๆ และเราทุกคนได้มีส่วนร่วมกับมันในทุกขั้นตอน ที่มาผ่านมามันเป็นความท้าทายนะ ต่อจากนี้เราก็ยังจะทำผลงานในแบบที่พวกเราอยากนำเสนอ และพยายามทำมันออกมาต่อไปให้ดีที่สุดครับ

ความยากง่ายระหว่างการทำวงดนตรียุคก่อนกับยุคนี้

โอ่ง: ยุคนี้ยากกว่านะ แม้จริง ๆ มันเหมือนจะดูง่าย เพราะยุคนี้ส่วนใหญ่จะออกเพลงกันเป็นซิงเกิ้ล ไม่ต้องคิดเป็นเรื่องรูปแบบอัลบั้มเหมือนอย่างแต่ก่อนที่เวลาทำเป็นอัลบั้ม มันต้องมี 10 เพลง มีลำดับ 1 2 3 ในการโปรโมต แต่ตอนนี้มันไม่ได้ยากเรื่องการผลิตเพลงละ แต่จะไปยากตรงความต่อเนื่องในการทำ คือสมัยนี้ทุกอย่างมันเร็วไปหมด เราสามารถเช็ก feedback ได้ทันทีเลยว่า ปล่อยเพลงออกมาแล้วเป็นยังไง ไปในทิศทางไหน ซึ่งจริง ๆ ถ้าเราขยันพอหรือมีระเบียบวินัยพอ ความเร็วตรงนั้นจะกลายเป็นข้อได้เปรียบ เราสามารถทำเพลงแล้วปล่อยมันได้ทุกเดือนเลย แต่อย่างตัวผมเองเนี่ยจะไม่ค่อยคุ้นกับการทำงานในรูปแบบซิงเกิ้ลเท่าไหร่ เพราะแต่ก่อนเวลาเราคิดงานกันเราจะคิดกันในรูปแบบอัลบั้ม ดนตรีจะไปในทิศทางไหน เราจะพูดเรื่องอะไร ซึ่งปัจจุบันเราก็ต้องเปลี่ยนตามยุคสมัย ซึ่งแม้ว่าวง Ghost ที่เราคุยกันไว้ตั้งแต่แรกว่าเราอยากจะทำงานกันเป็นอัลบั้ม แต่ด้วยระยะเวลาและเงื่อนไขต่าง ๆ มันก็ไม่เหมือนแต่ก่อน

แล้วเรามีวิธีรักษาพื้นที่คนฟังของเรายังไงในวันทุกอย่างมันเร็วไปหมดแบบนี้

โอ่ง: จริง ๆ ผมไม่สนใจเรื่องของจำนวนหรือตัวเลขเป็นยังไงเท่าไหร่ แต่เพียงว่า มันก็อาจจะดีตรงที่เราจะได้รู้คำตอบเร็ว จากเมื่อก่อนแต่ละครั้งที่เราปล่อยเพลงมันจะมีระยะโปรโมตที่กว่าเพลงมันจะเดินทางไปถึงคนฟัง มันเคยช้ากว่านี้ แต่อย่างเดี๋ยวนี้เราปล่อยเพลงปุ๊ป เราสามารถรับรู้และเห็นได้เลยว่ากลุ่มคนที่เขาชอบเราจริง ๆ มีจำนวนเท่าไหน เราสามารถรู้ได้เลยว่าพื้นที่ของเราจะอยู่ตรงไหน หรืออย่างเพลงที่เราตั้งใจจะปล่อยออกไปเพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้ยินเนี่ย เขาได้ยินจริง ๆ หรือเปล่า แต่ถ้าไปมองเรื่องตัวเลขอย่างเดียวมันก็คงปวดหัว

เก่ง: มันก็พูดยากนะเรื่องนี้ คล้าย ๆ กับคำถามที่หลาย ๆ คนชอบถามประมาณว่า แต่งเพลงให้ฮิต แต่งยังไง มันไม่มีอะไรบอกได้ว่าเราจะสามารถทำให้เพลงของเราอยู่ในตลาดได้ตลอดเวลา อยู่ตรงนี้ ทำแบบนี้มา สไตล์นี้มา มันบอกไม่ได้หรอก วันนึงจากคนฟังเขาฮิตเพลงแบบนี้อาจจะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบนึงได้เสมอ สำหรับเราเอง เรามองว่าถ้าทำผลงานออกมาแล้วเรารู้สึกโอเค เรามีความสุขกับงานที่เราทำ ผมมองตรงนั้นว่ามันตอบโจทย์พวกเรามากกว่า

โอ่ง: ใช่ เพราะคนฟังตอนนี้เขามีโอกาสในการเลือกฟังเพลงได้เยอะกว่าแต่ก่อน อย่างเมื่อก่อนพวกช่องทางการฟังเพลงเหล่านี้อาจจะอยู่ในมือของพวกค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่สามารถเป็นคนกำหนดได้ว่าคนฟังจะต้องฟังอะไร ซึ่งสมัยก่อนมันก็ยังมีคนฟังเพลงแบบอื่นหรือเพลงนอกกระแสนะซึ่งรวมถึงตัวเราเองด้วย แต่มันไม่ได้หาฟังง่ายเหมือนสมัยนี้ อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนสื่อมันยังไม่ได้กว้างขนาดนี้ ที่ทำให้คนฟังเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกฟังเพลงที่เขาอยากฟังจริง ๆ ไม่ใช่โดนยัดเยียดให้ฟังแล้วนั้นจะกลายเป็นเพลงฮิต ซึ่งมันก็วกกลับมาที่ตัวศิลปินในแง่ความขยัน ความแนวแน่ในการทำงาน

การสร้างฐานแฟนเพลงที่ยากขึ้นในยุคดิจิทัล

เก่ง: มีส่วนนะ ถ้านับเราเป็นวงดนตรีหน้าใหม่ ในหนึ่งปีที่ผ่านมาเรามี 3 ซิงเกิ้ล ก็เท่ากับว่าเรามีแค่ 3 เพลง พอไปเล่นคอนเสิร์ตเราก็จะมีเพลงเราแค่ 3 เพลง มันก็เลยจะสร้างกลุ่มก้อนของแฟนเพลงลำบากนิดนึง

โอ่ง: อย่าง Ghost อาจจะโชคดีหน่อยที่แต่คนละคนอาจจะเคยอยู่ในวงที่เพลงจากวงเก่าของพวกเรามันยังทำงานอยู่ด้วย มันเป็นปัญหาอย่างบอกก่อนหน้านี้ว่า มันใช่เลย การออกเป็นซิงเกิ้ล ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ตาม มันจะทำออกมาทุกเดือนเลยเหรอ สมมุติอย่างเราเองนี่แหละ อย่างเก่งก็ได้แบบ 3 เพลงต่อปี มันจะเห็นภาพเลยอย่างเวลาเราต้องไปเล่นคอนเสิร์ต หรือทางออนไลน์แฟนเพลงของเราจะได้ยินเพลงเราน้อย มันไม่ค่อยพอ

เอก: ด้วยความยุคสมัยนี้สื่อมันทั้งไวด้วย แล้วศิลปินก็เยอะด้วย มันยิ่งทำให้สมาธิของคนที่รับสื่อ มันเลยยิ่งน้อยลง ถ้าจะมีผลกับวงที่ปล่อยเพลงเป็นซิงเกิ้ล มันก็คงจะเป็นคลื่นเล็กๆ ปล่อยออกไป แล้วมันจะมีคลื่นอื่นมาตีทับกลบลงไป แต่ถ้าเกิดทำเป็นอัลบั้ม ต่อให้เราจะเป็นคลื่นเล็ก ๆ แต่มันก็ยังจะยังเป็นกลุ่มคลื่นที่ตามกันมา วิธีที่พอจะช่วยได้อีกวีธีนึงก็คงจะเป็นการที่เราต้องพาตัวเองออกมาพบกับสื่ออย่าง Fungjaizine ในแบบนี้ด้วย

จะมีโอกาสได้ฟังอัลบั้มเต็มจาก Ghost เร็ว ๆ นี้ไหม

โอ่ง: หลัก ๆ อยู่ที่ตัววงเลย ล่าสุดเราไปอัพเดตกับค่าย เขาบอกว่าถ้าทางวงพร้อม หรือว่าสามารถทำชิ้นงานออกมาได้เขาก็พร้อมที่จะให้เราออกเป็นอัลบั้ม แต่ตอนนี้คือยังเป็นช่วงเก็บวัตถุดิบกันอยู่ ยังอยู่ในช่วงเก็บข้อมูล รวมถึงเนื้อเพลงที่แต่งโดยเอกและเก่งด้วย แต่มีแน่นอน

ประสบการณ์การไปทัวร์ที่ญี่ปุ่นครั้งแรกใน Ghost Live in Tokyo

เก่ง: การไปเล่นที่ญี่ปุ่นมันเริ่มจาก ส่วนหนึ่งที่วงเราคุยกันไว้ว่าอยากหาพื้นใหม่ ๆในการไปเล่น บวกกับช่วงนั้นผมทำวง side project อีกวงอยู่ด้วยแล้วทางวงนั้นเขาก็คุยกับวง Ghost ตลอดว่าน่าจะลองหาเวทีเล่นด้วยกันบ้างนะ เราก็เลยเกิดไอเดียว่า เฮ้ย งั้นลองไปเล่นสถานที่แปลกออกไปอย่างญี่ปุ่นเลยดีไหม เพราะทางเราก็อยากจะลองไปเล่นในที่ที่คนไม่รู้จักเรามาก่อนจริง ๆ เนื่องจากที่ผ่านมามักจะมีคนถามพวกเรามาตลอดแบบ เฮ้ย เพลงพวกเราจะเป็นแบบ AB Normal ไหม พี่เอกจะว้ากแบบตอนเล่นกับ Sleeping Sheep ไหม ทุกครั้งที่ไปเล่นคอนเสิร์ตอย่างที่เราบอก เราก็จะมีแฟนเพลงเก่า ๆ ที่ยังมีความคาดหวังกับวงเราในรูปแบบนั้นอยู่ ก็เลยคิดว่าถ้าเราไปเล่นกับวงดนตรีท้องถิ่นของที่นู่นหรือกับวงจากประเทศอื่น ๆ ลองมาเล่นด้วยกัน มันคงจะเหมือนได้ย้อนเวลาไปตอนเด็ก ๆ ที่เรายังเป็นแค่กลุ่มเพื่อนที่ขึ้นเวทีไปเล่นดนตรีเพราะอยากเล่น เพราะอยากสนุก ก็เลยมาลองคุยกันจริง ๆ จัง ๆ บวกกับได้การสนับสนุนจากทางค่ายด้วย ไปคุยกับทาง Muzik Move และ Me Records เพื่อของบเขาส่วนนึงมาเป็นค่าใช้จ่าย แล้วก็ติดต่อเพื่อนที่เขาอยู่ญี่ปุ่นให้ช่วยหาที่เล่นให้

แล้วการที่เราเป็นวงดนตรีที่ร้องภาษาไทยที่ไปเล่นในต่างประเทศมันเป็นอุปสรรคไหม

เอก: ผมมองว่ามันไม่เป็นอุปสรรคนะ แน่นอนว่าด้วยความที่เราไปต่างบ้านต่างเมือง เราก็กังวลว่าภาษาของเราจะไปเข้ากับเขาได้ไหม แต่พอมาถึงโชว์แรกที่เราเล่น ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นวงเดียวที่เป็นวงต่างชาติที่เข้าไปเล่นในพื้นที่ของเขา ในวันนั้น มันเท่ากับว่า คนฟังในงานเขายินยอมพร้อมใจที่จะเจอกับดนตรีใหม่ๆ รวมทั้งเสียงร้องที่เป็นภาษาอื่นๆมันก็เหมือนเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีเหมือนกัน พอคิดอย่างนี้เวลาขึ้นไปเล่นมันก็ไม่มีความกังวลอะไรละ มันก็คือรูปแบบการเสนอดนตรีในอีกรูปแบบนึง

โอ่ง: คือตอนแรกที่เราไปเราคาดหวังอย่างเดียวคือ ความสนุกจากการที่เราได้ไปเล่นดนตรี แต่พอได้ไปเล่นจริง ๆ มันเหมือนเราได้รับพลังงานบางอย่าง ได้กำลังใจกลับมาด้วย อย่างที่เอกบอกเลยว่าตอนแรกพวกเราก็กังวลเหมือนกันในความที่เราเป็นวงที่สื่อสารด้วยภาษาไทย แต่ว่าพอขึ้นไปเล่นพวกเราก็ได้รู้ว่า มันก็มีคนที่เขาเสพทุกอย่างเป็นดนตรี เขาอาจจะไม่รู้ความหมาย แต่เขายังสามารถซึมซับบรรยากาศของเพลงที่เราเล่น พวกเขาดูสนุกไปกับดนตรีของเราได้ด้วย แล้วคนดูสนุกมันก็ทำให้เราสนุกไปด้วย เราก็เลยคุยกันอีกว่าถ้ามีโอกาสอีกเราก็อยากจะหาที่เล่นใหม่ ๆ ขยายออกไปเรื่อย ๆ เหมือนตั้งใจเอาไว้เป็นเป้าหมายไว้ประมาณว่า ทุกปีหรือ ทุก ๆ สิ้นปี

การเปิดโอกาสให้แฟนเพลงได้มีส่วนรวมในโปรเจกต์ ‘ผีจ้างหนัง’ กับซิงเกิ้ลล่าสุด

เก่ง: หลัก ๆ คือเราอยากเปิดโอกาสให้ตัวเองได้รับสิ่งใหม่ ๆ จากน้อง ๆ ที่มีความคิด ความครีเอทีฟ ไม่ใช่เปิดโอกาสให้ทางน้อง ๆ นักศึกษาอย่างเดียวนะ ก็มีน้อง ๆ ส่งเข้ามาเยอะ ซึ่งเท่าที่ได้ดูเราว่ามันก็ตอบโจทย์นะ ชอบการที่ได้ห็นวิธีคิดและวิธีนำเสนอของน้อง ๆ ผ่านเพลงของพวกเรา มีหลายอันที่ดูแล้วขนลุกเหมือนกัน ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการตัดสินอยู่ ก่อนจะประกาศผู้ชนะในวันที่ 21 กรกฎาคม นี้ ตอนนี้ทุกคนสามารถลองเข้าไปดูผลงานจากน้อง ๆ บางส่วนได้ทาง YouTube เห็นมีหลายทีมอยู่เหมือนที่ upload งานปล่อย public ลองไปเสิร์ชดูกันได้กับเพลงที่มีชื่อว่า จาง จาง

จาง จาง ซิงเกิ้ลล่าสุดจาก Ghost

โอ่ง: เพลงนี้เกิดขึ้นจากการนั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องความรัก เป็นเพลงที่เขียนมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตอนนั้นนั่งคุยกับเบียร์ด้วย (ฟองเบียร์ ผู้เขียนเนื้อเพลง จาง จาง และ ผู้บริหาร ค่าย Me Records) จนเบียร์รู้สึกว่ามันน่าจะเขียนเป็นเพลงออกมา น่าจะเป็นเพลงที่เราสามารถถ่ายทอดความรู้สึกจากความรักที่มันเคยเกิดขึ้น ก็ได้ท่อนฮุคมาก่อน แล้วค่อยก่อร่างสร้างดนตรีขึ้นมา เพลงอาจจะยาวหน่อยนะ ประมาณ 6 นาทีครึ่ง แต่ว่าในภาคของดนตรีมันจะมีบรรยากาศหลาย ๆ อย่าง จะมีทั้งเครื่องสายซึ่งถือเป็นครั้งแรกของพวกเราที่ได้ร่วมงานกับวงวงออเคสตรา 12 ชิ้น ที่มาร่วมบันทึกเสียงให้กับเรา มีทั้งท่อนโซโล่ และ outro ที่เหมือนพาคนฟังให้มาอยู่ในบรรยากาศของความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเรา ณ ตอนนั้น แต่คนที่ยากที่สุดน่าจะเป็นเอก ที่ต้องเป็นคนถ่ายทอดเสียงร้องออกมา

เอก: ด้วยความที่อารมณ์ของคนต้นเรื่องหรือคนที่เขียนเพลง กับอารมณ์ของผมที่ต้องมาถ่ายทอดมันเป็นคนละส่วนกันด้วย พอเวลาเรามาถ่ายทอดมันก็อาจจะประกบกันไม่พอดีบ้าง ซึ่งแน่นอนตอนเข้าห้องมันก็ต้องมาปรับจูนกัน แบบ ท่อนนี้แรงไป ท่อนนั้นเอาให้สมูธกว่านี้หน่อยไหม ต้องปรับกันให้พอดี จาง จาง เป็นซิงเกิ้ลที่ 3 ที่พวกเราทั้งตั้งใจกลั่นกรองกันมา ถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่ อยากจะให้เพื่อน ๆ ที่ไม่เคยฟังก็อยากจะให้ลองฟัง ถ้าใครเคยฟังแล้วก็อยากจะให้ลองนึกภาพตาม เนื่องด้วยเนื้อหาของเพลงมันเป็นเรื่องสามารถเกี่ยวโยงกับประสบการณ์ของใครก็ได้ที่มีโอกาสที่จะเดินไปสะดุดกับความหลัง แล้วรื้อฟื้นอะไรบางอย่างขึ้นมา เลยอยากจะฝากให้เพลงไปอยู่ในมือถือของทุก ๆ คนครับ

Facebook Comments

Next:


Krit Promjairux

kicking and screaming in Pistols99 อยากใช้ชีวิตเหมือน William Miller ในหนังเรื่อง Almost Famous.