Feature เห็ดหูหนู

Playlist ของ เป็นเอก รัตนเรือง

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

“เราไม่ใช่คนฟังเพลงมากนะ อยู่บ้านฟังวิทยุก็ไม่ได้ฟังเพลง ฟังข่าว ไม่ใช่ประเภทที่เดินไปไหนแล้วมีหูฟังติดหูอยู่ตลอด”

นี่คือประโยคแรกที่เป็นเอกพูดกับเราหลังจากที่ถามถึงรายนามเพลงโปรดของเขา แต่พอเขาเริ่มไล่เรียงรายชื่อเพลงและศิลปินในดวงใจแต่ละคน คำว่าไม่ใช่คนฟังเพลงมากจากประโยคข้างบนน่าจะหมายถึงความถี่ของการเปิดเพลงฟังในหนึ่งวัน เพราะคนที่รู้จักเพลงต่อไปนี้ (หรือเพลงที่หยิบมาใช้ในหนังแต่ละเรื่องของเขา) ก็ดูจะเป็นคนที่ฟังเพลงเยอะ แถมยังมีรสนิยมน่าสนใจซะด้วยสิ

เราเป็นคนฟังเพลงแล้วร้องไห้ มันเป็นสัญลักษณ์ว่าชอบ

เพลงเอกของเป็นเอก

ศรีไศล สุชาติวุฒิชั่วฟ้าดินสลาย

เพลงนี้เป็นเพลงที่มีคนร้องหลายเวอร์ชันนะ แต่เราชอบเสียงศรีไศลมาก ตอนเขาสาว นี่แอบหลงรักเขาหน่อย ด้วยเพราะเขาสวย… อาจจะไม่ได้สวยขนาดนั้น แต่เขาเท่ดี แล้วเสียงยังเป็นแบบนั้นอีก

ศรีไศล สุชาติวุฒิเสน่หา

เราเคยใช้เพลงนี้ในหนังเรื่อง ‘พลอย’ มีตัวละครแม่บ้านที่ชอบเอากับ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ทั้งเรื่อง พอเสร็จกิจกามแล้วก็นอนอยู่บนเตียงแล้วร้องเพลงนี้ความรักเอย เจ้าลอยลมมาหรือไร มาดลจิต มาดลใจ เสน่หา

จ๊อบ บรรจบแด่คนช่างฝัน

อย่าให้ใครเขาเป็นเจ้าชีวิตเธอนะคนดีเราได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกนะ เราน้ำตาไหลโดยไม่มีเหตุผล แล้วมันไม่ได้เศร้านะ แต่จำได้ว่าได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกแล้วมันสวย มันงาม ตอนนั้นอยู่เกาะพีพี ซึ่งช่วงที่ไปมัน emotional ไปถ่ายหนังเรื่อง ‘Invisible Waves’ ที่ภูเก็ต บรรยากาศมันเศร้ามากเพราะเพิ่งมีสึนามิไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น แล้วช่วงเบรกอาทิตย์นึงเราขึ้เกียจกลับกรุงเทพ เราเลยไปพีพี นั่นน่ะ ก็ไปดูคอนเสิร์ตพี่เขา เป็นคอนเสิร์ตแบบสถานที่เล่นไม่ได้ดีมาก เขาไม่ได้เล่นบนเวที เล่นกับพื้นฝุ่น ๆ อย่างเงี้ย เหมือนงานวัดอะ แต่เพลงมันสวยงาม

จ๊อบ บรรจบลืมไม่ลง

‘ใจมีแต่เธอ มีแต่เธอฉันพูดตรง ๆ’ ไม่รู้อะ เพลงมันหนุก ดี

อารักษ์ อาภากาศน้อยก็หนึ่ง

ขาดไม่ได้เลยครับ (หัวเราะ) ได้รู้จักเพลงนี้ตอนที่เรายังทำงานเป็นครีเอทิฟโฆษณาอยู่ที่ Leo Burnett แล้วจะมีรุ่นพี่คนนึงชอบเอาพวกนักร้องนักแต่งเพลงพวกนี้ที่ไม่มีใครรู้จักมาให้ฟัง แล้วจำได้ว่าเทป อารักษ์ อาภากาศ ที่เขาเอามาให้เราเป็นเทป bootleg ด้วย แบบ ของปลอมอะ เรายังนึกเลยนะว่า ไอ้เหี้ย อารักษ์ อาภากาศ ยังมีคนปลอมอีกหรอวะ (หัวเราะ) มันไม่มีคนฟัง! แต่ว่า น้อยก็หนึ่ง เป็นเพลงที่ฟังเพลงแรก แล้วรู้สึกว่า… พี่เขาเป็นคนแปลกจริง หมายถึงว่าเสียงก็แปลก เนื้อร้องของเพลงแม่งก็แปลก ฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าแปลว่าอะไร ‘น้อยก็หนึ่ง น้อยก็ด้วย หัวใจบริสุทธิ์แปลว่าเหี้ยอะไรวะ ‘วันคืนเปลี่ยน หมุนไป อย่างน่าสนใจ ทุกคนให้ หัวใจแสน บริสุทธิ์งงกว่า ปู พงษ์สิทธิ์ ที่ชอบร้องอะไรที่ไม่รู้เรื่องอยู่แล้วอีก พี่อารักษ์นี่เรียกว่า ปู พงษ์สิทธิ์ คูณห้า คือไม่รู้เรื่องเลย แต่ทำไมมันมีเสน่ห์จังเลย เสียงเขา เพลงของเขา แต่ทำไมมันอยู่ในหัวเราแบบ กูไม่ลืมมันวะ ทั้งที่ฟังไม่รู้เรื่องเลย เป็นเพลงที่ประหลาด amazing มาก แล้วมันยากมากที่จะทำอะไรแบบนี้ที่ไม่รู้เรื่องเลยแต่ entertain คนได้ แล้วมันพาเราไปอีกโลกนึง โลกของพี่เขาอะ ถึงเราไม่เก็ตแต่ก็ไม่อยากออกมา

แต่ก็นะ เราเคยไปงานปาร์ตี้บ้านเพื่อนแล้วพี่เขาอยู่ในงานด้วย ตอนแกเมา ๆ แกจะพูดเยอะ ยิ่งเจอผู้หญิงแกจะเริ่มพูดเลอะเทอะละ ที่เขาบอกว่าคนเราไม่ควรเจอฮีโร่ของตัวเองมันเป็นอย่างนี้นี่เอง แบบอย่าไปรู้จักตัวจริงเขาดีกว่า แต่แล้วไงไม่รู้ พอพี่เขาหยิบกีตาร์มาเล่น เชื่อไหม โลกเปลี่ยน กูให้อภัยหมดเลย จะ insult ผู้หญิงอีกกี่คนตามสบายเลยพี่ คือแบบอัจฉริยะอะ เขาเป็นคนพิเศษจริง ๆ ทั้งในด้านดีและไม่ดี บางทีคนที่พิเศษเกินไปโลกนี้มันโหดกับคนแบบพวกเขา เหมือนอย่าง วัฒน์ วรรลยางกูร นั่นแหละ เมื่อก่อนเขาอาจจะอยู่ในจุดที่ดีกว่านี้ แต่เมื่อกาลเวลามันผ่าน พอเขาแก่ลง ชื่อเสียงก็ถดถอยลงด้วย เด็กรุ่นใหม่ ๆ ก็ไม่ทันเขา ในรุ่นเราที่ทันเขาคนยังรู้จักเขาน้อยเลย ก็น่าจะเรียกว่าหน้า B เต็มแก่แล้วอะ (หัวเราะ)

อารักษ์ อาภากาศเงาดวงจันทร์

รู้ใช่ไหมว่ามันคือทำนองเพลง Moonshadow ที่ก็แปลว่า เงาดวงจันทร์ รู้สึกว่าจะเป็นของ Cat Stevens ซึ่งปัจจุบันเขาเปลี่ยนชื่อเป็นมุสลิมไปแล้วเป็น Yusuf Islam แล้วพี่อารักษ์เอาเพลงนี้มาแต่งเป็นไทยแน่ มันทำนองเดียวกันเลย

มาโนช พุฒตาลอยู่อยุธยา

เพลงนี้แปลกหน่อย เหมือนจะไม่มีเหตุผลแต่ชอบทุกครั้งที่ได้ยิน มันเรียกว่าเป็นเพลงหรือเปล่าไม่รู้นะ เหมือนเป็นเขาพูด เหมือนเขาพล่ามไปเรื่อย ไม่ค่อยมีอะไรเกี่ยวกันเท่าไหร่ บ้านเกิดเขาอยู่อยุธยามั้ง แล้วเขาก็พูดถึงเรื่องกระโดดน้ำเล่นตอนเด็กแล้วปลามาตอดสะดือ มันก็มีความประชดประชันกระทบกระเทียบอยู่หน่อย เหมือนพวกเรา… ไม่ใช่สิ พวกผู้นำของเราชอบพูดอะไรบ้า บอ แบบนี้ ไม่งั้นเป็นผู้นำไม่ได้ (หัวเราะ) ว่าอยุธยายังไม่สิ้นคนดีในเพลงก็ถามต่อว่า ‘แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน’ เพลงนี้ดี แล้วในแง่ดนตรีมันก็มีความไพเราะ

หงา คาราวานดวงดาว ดวงตา ดวงใจ

เพลงนี้เคยใช้ในหนัง ‘เรื่องตลก 69′ ตอนใกล้จะจบเรื่องละ นางเอกเอาเงินไปทิ้งแล้วจะหนีไปต่างจังหวัด แล้วเขาเหนื่อยมาก หนังเรื่องนี้นางเอกมันก็น่าเหนื่อยอะ ผจญอยู่ทั้งเรื่องไม่ยอมหยุด คนดูยังเหนื่อยเลยแล้วนางเอกจะไม่เหนื่อยได้ไง ฆ่าคนมาเยอะขนาดนั้น มันก็เป็นตอนที่เขาเข้าไปพักนอนหลับในรถ ก็ใช้เพลงนี้ด้วยความหมายไม่ได้เข้ากับหนังด้วย แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้าจะปลอบใจใครสักคนเราจะใช้เพลงนี้ คงจะปลอบใจได้ดี ‘ดวงดาว เจ้าคงจะหนาวเมื่อคราวฟ้ามืดคือนางเอกของเรื่องต้องการการปลอบใจอย่างแรงจากผู้กำกับครับ (หัวเราะ)

หงา คาราวานสันติภาพ

โดยเฉพาะเวอร์ชันที่เขาร้องกับน้าโต้งไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ผมชอบมาก

ชรินทร์ นันทนาครคิดถึง (จันทร์กระจ่างฟ้า)

ไม่รู้จักคนแต่ง ไม่รู้จักคนร้องเลยครับ ‘จันทร์กระจ่างฟ้า นภาประดับด้วยดาว โลกสวยราวเนรมิตประมวลเมืองแมน ลมโชยกลิ่นมาลากระจายดินแดน เปรียบมีแสงคะนึงถึงน้องนวลจันทร์’ เพราะมาก ตอนนั้นเราอยู่นิวยอร์ก แฟนอยู่เมืองอื่นแล้วมาหาเรา วันนั้นเรานั่งรถไปกับแฟน เขามีเทปในรถก็เปิดเพลงแล้วเพลงนี้มันดังขึ้นมา เรานั่งเงียบไปเลย เขาก็ไม่รู้เรื่องเพราะเขาขับรถอยู่ สักพักเขาได้ยินเราร้องไห้ฮือ ในรถเขา เขาแม่งจอดเลย ถามว่าเราเป็นไรอะ เราบอกไม่รู้ ไม่ได้เป็นไร (หัวเราะ) แล้วมันหยุดไม่ได้นะ เราร้องไห้เหมือนเด็กเลย เพลงนี้พ่อเราชอบร้อง เวลาฟังแล้วคิดถึงพ่อ (หัวเราะ) แต่ไม่ได้สนิทกับพ่อนะ ทะเลาะกับพ่ออยู่เรื่อยสมัยที่พ่อมีชีวิตอยู่… คงจะเป็นเรื่องนั้น กับอีกเรื่องนึงคือเพลงมันสวยงาม เนื้อร้องมันวิจิตร มันเหมือนเราไปดูภาพเขียนแบบ Gustav Klimt พวก Art Nouveau มันสวยมันงามแต่มีความ precised ไม่ได้ลอยไปลอยมา

พงษ์เทพ กระโดนชำนาญมือเรียวเกี่ยวรวง

ประมาณ 200 เพลงเลยครับที่ชอบ (หัวเราะ) มีเพลงที่เฉย ของเขาน้อยมาก นอกนั้นชอบหมดเลย ตอนนั้นเรียนอยู่เมืองนอกแล้วแฟนเราไปได้เทปนี้มา สมัยพี่หมูหนุ่ม เอ๊าะ หล่อเลย แล้วเปิดฟังตอนอาบน้ำอยู่ ก็นั่นแหละครับ ร้องไห้เลย เราเป็นคนฟังเพลงแล้วร้องไห้ มันเป็นสัญลักษณ์ว่าชอบ (หัวเราะ) ‘กำด้ามเคียว มือเรียวเกี่ยวรับรวง รวงข้าวรีบหล่นร่วงลงดินจากนั้นมาก็เลยกลายเป็นแฟนของเขา เขาไปเล่นที่อเมริกากับพี่แอ๊ด คาราบาว เป็นตัวเบรกให้ พอพี่แอ๊ดเหนื่อยแล้วเขาจะออกมา แล้วเขาพูดจาเก่งมาก ตลกมาก เราไปคอนเสิร์ต แอ๊ด คาราบาว ครั้งนั้นแต่เราจำเพลงเขาไม่ได้เลย จำได้แต่พงษ์เทพ สองสามเพลงที่เขาร้อง คือเขาพรสวรรค์จริง แล้วก็รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ต่างจากพี่อารักษ์ พี่หมูเขาจัดการกับชีวิตเขาได้ ทำมาหากินได้ แต่ก็ไม่เคยทำมาหากินซะจนเสียตัวเอง เขาก็อยู่ตรงนั้น ทุกอย่างที่เขาทำมีความสวยงาม เป็นคนลึกซึ้งมาก แล้วมีการใช้ภาษาที่เจ๋งดี ใช้ ร. เรือ ติดกัน 8 ตัว (หัวเราะ) ผมชอบแทบจะทุกเพลงเลยครับ มีคอนเสิร์ตเขาเมื่อไหร่ก็จะต้องไปดูทุกครั้ง

ศรคีรี ศรีประจวบคิดถึงพี่ไหม

‘คิดถึงพี่หน่อยนะกลอยใจพี่ห่างกันอย่างนี้ น้องคิดถึงพี่บ้างไหม’ มันมีท่อนนึงตอนหลังที่บอกว่า ‘ฝากใจกับจันทร์ฝากฝันกับดาว ทุกคราวก็ได้ เราต่างสุขใจเมื่อคิดถึงกันเป็นเพลงที่โรแมนติกมาก ๆๆๆๆ เพลงนึงในชีวิตเราเลยนะ แล้วเสียงของศรคีรีเพราะมาก

ทุก เพลงของ Nick Cave

(หัวเราะ) โห คนนี้เรียกว่าเป็นศิลปินที่ชอบมาก ๆๆๆ เขาเป็นกวีนะ แล้วก็รู้จักเขาได้ไงจำไม่ได้ แต่ถ้าอยู่เมืองนอกแล้วมีคอนเสิร์ตเขาตรงกับที่เราไปพอดีก็จะไป

ทุก เพลงของ Tom Waits

Tom Waits นี่น่าสนใจ บางทีเขาก็ร้องเพลงรัก บางทีก็ร้องบัลลาด บางทีก็ร้องแจ๊ส บางทีก็ร้องเพลงเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่มีห่าอะไรเลย มีแต่เสียงร้องว้าก แฮ่ แฮ่ แฮ่ ไปเรื่อย แต่ว่ามันมีคุณสมบัติที่เขาเนี่ยคือศิลปินของจริง เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานคนนึง เหมือนกับเป็นคนไม่กลัวการทดลองอะไรเลย ผมว่าเป็นคุณสมบัติที่สุดยอดมากสำหรับคนที่ทำงานสร้างสรรค์ คือคนที่มีชื่อเสียงปกติจะกลัวทำแล้วแป๊ก นี่เขาไม่กลัวเลยครับ

ทุก เพลงของ Leonard Cohen

ตอนนี้เริ่มรู้รสนิยมของผมแล้วใช่ไหม (หัวเราะ) Sad songs say so much. Leonard Cohen นี่ก็ไม่ต้องให้พูดเลยเนาะ คนเก็ตก็จะหลงรักเลย คนไม่เก็ตก็จะแบบ เหี้ยไรวะเนี่ย เขาเคยบวชเป็นพระพุทธนะ แต่ไม่ได้บวชในไทยหรือเอเชีย บวชที่แคนาดา ไปอยู่ในวัดบนเขา เลิกทำทุกอย่าง แล้วไม่แน่ใจนะ อาจจะช่วงที่เขาบวชเนี่ย คนที่เคยจัดการชีวิตเขาเรื่องเงินทองโกงเขาไปหมดเลย เขาก็เลยต้องสึกออกมาเพื่อมาทำมาหากินต่อ ต้องกลับมาทำอัลบั้ม กลับมาเล่นคอนเสิร์ตทั้งที่อายุ 70 กว่าจะ 80 แล้ว จนนี่ตายเนี่ย ทัวร์แหลกเลย เงินมันหายไปหมดมาก

สามคนนี้ Nick Cave, Tom Waits, Leonard Cohen นอกจากจะมีอะไรใกล้เคียงกันในความเป็น singer-songwriters แล้ว เขาเป็น fashion icons ด้วยนะ แต่งตัวดีมาก แล้วเป็นคนเท่ ใส่หมวกก็เท่ ใส่สูทก็เท่ แต่งปอน ก็เท่ แบบ dandy ขี้แต่งตัว ช่างดูแลตัวเอง สนใจแฟชัน

ทุก ๆ เพลงของ Rasmee Isan Soul

นี่ favorite เลยฮะ (หัวเราะ) ได้เจอตัวเขาด้วยฮะ ตื่นเต้นกันทั้งคู่ที่ได้เจอกัน แต่เขาไม่รู้ว่าเราตื่นเต้นกว่าที่ได้เจอเขา ตอนไปฟังที่ Studio Lam จริง เราไปบ่อยนะ มันจะมีอะไรเจ๋ง อยู่เรื่อย แต่ส่วนใหญ่คนจำนวนนึงจะฟัง คนจำนวนนึงก็นั่งกินเหล้า คุยกัน แต่วันนั้นคนโคตรแน่นเลย แล้วทุกคนเงียบกริบ แบบโดนสะกดเลยอะ รู้สึกเลยว่าบรรยากาศวันนั้นแม่งไม่เหมือน Studio Lam มันพิเศษจริง เขา gifted มาก แล้วเขารู้ตัวว่าเขาทำอะไรอยู่ เขาเจ๋งตรงนี้แหละ (FJZ: อัลบั้มใหม่เขามาแล้วนะ) เอ้าหรอ เดี๋ยวซื้อเลย

img_3350

Talk Talk Talk

หนังเป็นเอกจะดูไม่ยากถ้าไม่คิดมากกับมัน ควรจะปล่อยตัวปล่อยใจให้หนังมันพาไปแล้วจะได้รับความบันเทิงครับ

ดูจะชอบฟังเพลงไทยสมัยก่อนเยอะ คิดว่าเพลงสมัยก่อนมีเสน่ห์กว่าเพลงสมัยนี้ยังไง

ไม่ได้คิดว่าเพลงสมัยนี้มีเสน่ห์น้อยกว่าเพลงสมัยก่อนครับ เพียงแต่เวลาต้องเลือก ใจมันเทไปทางเพลงที่ทดสอบด้วยกาลเวลามาแล้วเท่านั้นเอง เพลงสมัยใหม่ก็ฟังครับแต่ส่วนมากเป็นวงฝรั่ง

ปกติเป็นคนซื้อแผ่นเก็บหรือเปล่า

เออ เราก็เป็นคนประเภทที่ยังซื้อแผ่นซีดีอยู่นะ ในรถก็ยังมีเครื่องเล่นซีดีอยู่เลย มันเป็นนิสัยที่ติดมาจากโบราณมั้ง คือไปไหนก็ต้องไปหาร้านซีดี แล้วเวลาเห็นร้านซีดีจะดีใจมาก แต่เดี๋ยวนี้ซีดีหายากแล้วเพราะคนกลับไปเล่นไวนิลกันหมด ถ้าเราจะไปไวนิลเราก็ไม่อยากจะไปลงทุนตรงนั้นอีกแล้ว มันแพงเกินไป ไม่ได้อยากทำงานหาเงินหนักขนาดนั้นแล้วไง แล้วถ้าไม่เล่นไวนิลส่วนมากก็โหลดเอาใช่มั้ย ซีดีมันเลยอยู่ตรงกลาง  และเพราะมันมีปกซีดีที่เราชอบ สมุดเล่มเล็ก นั่นน่ะที่มันเล่าเพลงในแผ่น เวลาโหลดมามันไม่ได้ไง

แล้วอย่างนี้ไปดูคอนเสิร์ตบ่อยไหม

ไม่เลย เพราะไปคอนเสิร์ตแล้วไม่มีความสุข เราไม่ชอบคนเยอะ คอนเสิร์ตมันต้องคนเยอะใช่ไหม (หัวเราะ) ไม่เยอะก็ไม่ใช่คอนเสิร์ต (FJZ: บางงานก็คนน้อยยยย) โอเค ก็เป็นคนไม่ค่อยชอบแหละ เวลาไปนี่ต้องพิเศษจริง ต้องเป็นศิลปินที่เราชอบมาก พี่หมูเนี่ยยังไงก็ไป ที่เขาใหญ่ให้ไปนอนเต๊นท์ข้ามคืนอันนั้นเราก็ไป งานกวีศรีชาวไร่ จองเป็นแพ็คเกจ แล้วก็มีครั้งนึง ทีมงานเขาเคยติดต่อมาให้เราทำมิวสิกวิดิโอให้พี่หมู แต่เราทำไม่ได้เพราะไม่ว่าง เดินทางอยู่ ไปเมืองนอก เขารีบเอาด้วยไง ก็เสียดาย อยากทำให้เขา (FJZ: แต่มีผู้กำกับหลายคนไปขอเพลงของศิลปินที่ชอบมาทำเยอะเหมือนกันนะ) อ๋อหรอ เราไม่เคยมีเวลา ถ้ามีเวลาคงทำ

แต่มิวสิกวิดิโอไม่ใช่สิ่งที่เราชอบทำเลยนะ ทำไม่เป็นอะ ทำแล้วมันเบื่อ เคยทำให้ Modenrdog แบบถูกมาก เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แลกกัน ตอนนั้นเราไม่มีเงินทำหนัง ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ ก็ไป Bakery Music สมัยยังอยู่ที่สยาม เอาหนังที่ตัดเสร็จแล้วไปฉายให้เขาดู จำได้ว่า สุกี้—กมล สุโกศล แคลปป์ กับ สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ มาดู น้อย วง Pru ด้วยมั้ง ไม่รู้ คือตอนนั้นจะขอใช้เพลง score เขา พวกเพลงแอมเบียนต์ไม่มีเนื้อร้องอะไรที่เขามี แต่ต้องขอฟรีเพราะเราไม่มีเงินจ่ายเขา แล้วสมเกียรตินี่ดีมาก เขาบอกว่า เอางี้ไหม เดี๋ยวเขาทำสกอร์เพิ่มให้ ไม่คิดเงินเลย แต่เขาบอกว่าสกอร์ที่ทำให้เนี่ยเขาขอเอาไปออกอัลบั้มขายของเขาเองด้วยนะ เราก็บอกว่า โห ตามสบายเลย อุตส่าห์ทำให้เรา แล้วตอนหลังเขาบอกว่าอยากให้ทำมิวสิกวิดิโอให้โมเดิร์นด็อกด้วย เราก็ได้ทำเพลง รูปไม่หล่อ ถ่ายที่นี่ (The Film Factory) แลกกัน แล้วก็เพิ่งทำให้ อพาร์ตเมนต์คุณป้า เพลง นาฬิกาทราย กับ วันสุดท้าย ทำให้เขาสองเพลง เคยทำให้คุณเพชร โอสถานุเคราะห์ ด้วย Let’s Talk About Love กับ I Still Love You So เคยทำพวกเนี้ย ไม่เคยชอบเลยฮะ มันเป็นรูปแบบของการทำหนังที่เราไม่เคยรู้สึกมันทำซ้ำไปซ้ำมามั้ง ก็มีเพลง มีภาพ นึกออกไหม เราว่าเราไม่มีความสามารถในการทำมิวสิกวิดิโอเลยไม่ชอบทำ แต่มันก็มีมาให้ทำอยู่เรื่อย นะ ปฏิเสธไม่ได้อะบางทีเป็นเพื่อน อย่างตุลนี่ก็เอามาทำ แล้วส่วนมากงบมันน้อยซะจนทำอะไรไม่ค่อยได้ ก็ลำบาก

img_3355

ให้ความสำคัญกับเพลงประกอบในหนังมากน้อยขนาดไหน

โห มาก ๆๆ ก็ซีนเดียวกันเราวางเพลงต่างกันแม่งคนละเรื่องเลยนะ มันมีบางกรณีที่เราตัดหนังออกมาแล้วคิดว่าจะโยนซีนนี้ทิ้งแล้ว เพราะว่ายังไงแม่งก็ไม่เวิร์ก แต่แล้วใครไม่รู้ไปเจอเพลงมาแล้วลองมาวาง เวิร์กเลย กลายเป็นซีนทอง มันช่วยให้หนังเราไปต่อได้ ให้มีอารมณ์ แต่ว่ากฎง่าย  ของหนังเราก็คือว่า ถ้าสกอร์มันมาหรือมันไปเนี่ย คนดูห้ามรู้มัน blend แบบ มารู้ตัวอีกทีคือได้ยินสกอร์มาแล้ว พอมันไปก็ไม่รู้ตัวว่ามันไปตอนไหน

ทำไมถึงเลือก Koichi Shimizu มาทำเพลงประกอบให้ในหลาย เรื่อง รวมถึงใน ‘Samui Song’ ด้วย

โคอิชิเนี่ยถูกแนะนำมาโดยเพื่อนที่ทำพวก sound design แล้วโคอิชิมาร่วมงานกับเราครั้งแรกเลยคือเรื่อง ‘Invisible Waves’ ตอนที่ทำงานกับเขามันเปลี่ยนวิธีการทำงานของเราไปนิด ปกติเวลาเราทำหนัง เราจะถ่ายเสร็จแล้วมาตัดต่อ ระหว่างที่ตัดต่อเราจะเอาเพลงจากซีดีบ้าง จากหนังเรื่องอื่นบ้าง มาเป็นแซมพ์ก่อน เสร็จแล้วก็ส่งหนังให้คนทำสกอร์ ซึ่งเราพบว่าวิธีนั้นไม่เวิร์ก พอสกอร์ให้คล้าย  กับแซมพ์มันก็ไม่เห็นใช่สักที พอทำวิธีนี้ โคอิชิทำไม่เป็น เขาไม่ได้เป็น composer แบบนั้น เราเลยใช้วิธีว่า เขียนสคริปต์แปลเป็นอังกฤษแล้วเอาให้เขาอ่านเพราะเขาอ่านไทยไม่ออก แต่ก็ต้องแปลเป็นอังกฤษอยู่แล้วเพราะต้องหาทุนเมืองนอก แล้วบอกว่า เอางี้ไหม อ่านเสร็จแล้วเห็นภาพอะไรในหัวก็สกอร์เลย อะไรก็ได้ที่คุณรู้สึกว่าเป็นมู้ดนี้ เราก็จะนั่งคุยกับเขาสักครึ่งวันว่าเห็นภาพหนังเป็นแบบนี้ ๆ คุยเรื่องความรู้สึกกัน จากนั้นเขาจะลุยไปเองโดยที่หนังยังไม่ได้ถ่าย ยูก็รู้นี่ว่าพาร์ตนี้มันจะเศร้าหน่อย พาร์ตนี้มันจะตื่นเต้นหน่อย เขาก็จะสกอร์มาให้เราสัก 7-8 แทร็ค เอามู้ดนี้ไว้สู้กันนะพี่ มู้ดนี้เอาไว้ใช้ตอนฝันนะ มู้ดนี้ตอนกลัวหลอน ๆ หน่อย ตอนนี้เงียบหน่อย แล้วพอเราถ่ายหนังมาเสร็จ มีเพลงเรียบร้อย ก็ตัดด้วยเพลงจริงเลย แต่บางทีอันนี้เขาบอกให้ใช้ตอนสู้กัน อันนี้ให้ใช้ตอนที่ร้องไห้ เราเอามาใช้สลับกันแล้วมันโคตรเวิร์ก ในที่สุดมันก็กลับมาเหมือนที่เราเขียนสคริปต์ มีอะไรก็เอามาผสม ผสมอย่าให้เหมือนใคร แล้วก็ค้นพบว่าผลลัพธ์แม่งออกมาแปลกดี คราวนี้ก็ไม่ต้องสกอร์เพลงใหม่อีกแล้ว เสร็จเลย 

หนังเรื่องไหนของเป็นเอกที่ชอบสกอร์มากที่สุด

‘นางไม้’ ถึงขั้นว่าไม่มีสกอร์แล้ว ใช้เสียงที่ไปอัดมาในป่า แต่โคอิชิเอามาผ่านใน process โปรแกรมอะไรของเขาสักอย่าง ลองกลับไปดู ‘นางไม้’ แล้วฟังเสียงสกอร์ เราจะไม่รู้เลยว่า ไอ้เหี้ยนั่นมันเสียงจากที่โปรดักชันที่ถ่ายมา หรือสกอร์ใหม่ คือมันเบลนด์จนกลายเป็นสกอร์ที่ดีที่สุดในหนังของเราเลยนะ ก็นั่นล่ะ มันพัฒนากันไปเรื่อย แล้วเวลาทำกับโคอิชิเหมือนเขาพาหนังไปอีกสเต็ปนึง เขาไม่ได้เป็นแค่คนทำเพลงประกอบ เขาเป็น artist แล้วสิ่งที่เขาทำมันเพิ่มมิติของหนังขึ้นมา แต่ปัญหาของการทำหนังเรื่องต่อไปกับโคอิชิคือตอนหลังตารางชีวิตเขายุ่งมาก แล้วเวลาคนยุ่งมากเขาจะทำงานกับเราไม่ค่อยได้ เพราะเราเรียกร้องเยอะเรื่องเวลาว่าต้องนั่งอยู่กับกูนาน (หัวเราะ) เหมือนพลอย เฌอมาลย์ต้องถ่าย 40 เทคกับเรา แล้วบางทีชีวิตคนมันไม่อนุญาตให้ทำสิ่งเหล่านั้นได้ทั้งหมด

img_3344

เรื่อง ‘Samui Song’ มีเพลงไหนเป็นหมัดฮุกของเรื่องไหม อย่าง ‘Last Life in the Universe’ ก็มี แรงดึงดูด ‘ฝนตกขึ้นฟ้า’ ก็มี ส่วนที่หายไป

มีครับ แต่เพลงนี้มาตอนกลางเรื่อง ตอนที่หนังมันเปลี่ยนโทน เป็นเพลงของ Kai-Jo Brothers แต่ จีน มหาสมุทร แต่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับทะเล ชื่อเพลง สุขใจ เพลงนั้นเพราะดี แล้วตอนท้ายเรื่องมีเพลงของวง Into the Air เพลง Air#1 เหมือนมัน sum up ชีวิตของพลอย

ถ้าพูดถึง ‘Samui Song’ คิดว่าเพลงไหนใช้แทนหนังเรื่องนี้ได้ดีที่สุด

น่าจะเป็นเพลง แด่คนช่างฝัน ของพี่ จ๊อบ บรรจบ เพราะนางเอกของเรื่องโหยหาอิสรภาพจากชีวิตคู่ที่แย่มาก จนเธอต้องเลือกการฆาตกรรมเป็นทางออก

‘Samui Song’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักแสดงสาวที่แต่งงานกับชายชาวต่างชาติ อะไรทำให้สนใจประเด็นนี้

คือหนังเราเวลาประกอบร่างไอเดียนี่มันไม่ได้มาแบบตั้งใจนะ มันมาแบบเห็นภาพในหัว หรือว่าอ่านข่าวเจอ อะไรแบบเนี้ย นึกออกไหม อย่างอันนี้คือห้าปีมานี้มันเปลี่ยนแปลงเยอะมาก แถวที่เราอยู่คือเราอยู่กลางเมืองมาก แถว Emporium ทุกวันเราจะได้ยินภาษาฝรั่งกับภาษาญี่ปุ่นเยอะพอ กับภาษาไทย พอเราหันไปเห็นมันเป็นคนไทยพูดกับฝรั่งอยู่ เมื่อก่อนเวลาฝรั่งซื้อของกับแม่ค้าข้างถนนเขาก็พูดภาษาฝรั่ง แม่ค้าก็เดาไปดิว่าจะเอาอะไร เราเดินผ่านเราก็ต้องไปช่วยแปล ใช่มั้ย หลัง นี่หนักขึ้นอีกคือฝรั่งเริ่มพูดภาษาไทย อย่างเรียกมอเตอร์ไซค์เนี่ย จะไปไหนพูดไทยชัดมาก ยิ่งสองปีที่ผ่านมาเหมือนปฏิกิริยามันเร่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่กรุงเทพ ฯ นะ ตอนนี้ไปต่างจังหวัดก็มีฝรั่งเต็มไปหมด แล้วตอนนี้เพื่อนเราก็มีจำนวนเยอะมากที่แต่งงานกับฝรั่ง เราเลยอยากรู้ว่าถ้ามีภาษาอังกฤษในหนังไทยมันจะเป็นหนังไทยอยู่ไหม จะเขียนสคริปต์เกี่ยวกับมันดีไหม

เรื่องของเรื่องคือมันเห็นตำตาอยู่ทุกวันนั่นแหละ อันนี้จริง ๆ เราไปเห็นนักแสดงคนนึงเขามาช็อปปิ้งกับฝรั่งอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต เราก็เริ่มคิดว่าชีวิตที่บ้านคู่นี้มันเป็นยังไงบ้างวะ คือมันดูดีมากนะ ผู้หญิงก็สวย เป็นดาราอะ ฝรั่งก็แก่ หน่อย แต่ดูดีเหมือนทำงานองค์กร แต่แล้วมันดีอย่างที่เห็นหรือเปล่า ในความเป็นจริงเขาอาจจะโคตรดีก็ได้นะ อยู่บ้านอาจจะรักกันชิบหาย แต่ว่าไอ้หัวสมองเราก็ไม่ทำงานอย่างนั้นไง พอเริ่มคิดถึงชีวิตเขาก็เริ่มคิดเหี้ย เอาละมึง มันมีเรื่องเดือดปุด ๆๆๆ อยู่ข้างใต้เว่ย มันก็เริ่มประกอบ มาเป็นแบบนั้น

ทำไมถึงโยงมาเป็นเรื่องลัทธิได้

เรื่องศาสนานี่มันมาทีหลังเลย พอแต่งเรื่องไปเรื่อย แล้วถึงจุดนึงที่รู้แล้วว่าดาราผู้หญิงคนนี้มันจะฆ่าผัวมัน แต่มันหาจุดกระตุ้นที่จะมาทำให้เกิดฆาตกรรมไม่ได้ ก็คิดไปเรื่อยว่า ไอ้ฝรั่งมีกิ๊ก ไม่เวิร์ก ให้ผู้หญิงไทยมีกิ๊ก ก็ไม่เวิร์ก คือช่วงนั้นคิด mechanic เต็มไปหมดว่าอะไรจะทำให้มัน trigger แล้วตอนนั้นมันมีข่าวว่าพระที่มีชื่อเสียงหน่อยไปทำอะไรผิดไม่รู้ คล้าย ว่าเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง เรื่องเงิน แล้วโดนสึก แต่เหมือนเขาไม่ยอมสึก ไปตั้งลัทธิใหม่ ศิษยานุศิษย์ก็ตามไปเพียบเลยนะ แล้วก็มีที่ต่างประเทศด้วย ตอนนั้นกำลังต้องการพล็อตบางอย่างพอดี ก็เลยลองเอาอันนี้เข้ามาเสียบแล้วมันไปต่อได้ ก็เริ่มเขียนไปทางนี้

จากการทำรีเสิร์ชเรื่องศาสนาเพื่อเอามาเขียนบท คิดว่าศาสนาหรือลัทธิไหนที่น่าสนใจ

เราไม่เคยรีเสิร์ชเลย ถ้าเราทำหนังเรื่อง ‘Samui Song’ เป็นเรื่องการเสียดสีพวกศาสนาทางเลือกหรือลัทธิบ้าบอคอแตกเราคงรีเสิร์ช แต่อันนี้มันเป็นเหมือนกับว่าส่วนที่เป็นลัทธิในหนังเรื่องนี้มันไม่ได้เยอะ เป็นแค่ catalyst ตัวเร่งที่ทำให้ความบาดหมางของเมียนักแสดงมันเริ่มทำงาน เราเลยคิดเอาเองหมดเลย เอาเข้าจริงไอ้ที่เราได้ยินอยู่ทุกวันนี้ก็ขำกลิ้งแล้ว

เรายังเคยคิดเลยว่ามีพระเยอะมากเลยที่เป็นพระที่เก่ง ความรู้เรื่องศาสนานี่ลึกมาก แต่คุณจะเป็นพระที่เก่งได้ยังไง หนึ่งคุณต้องมีบารมี มีบุญเก่าอะไรที่สั่งสมมาจากชาติต่าง ๆ ก่อน กับอีกอย่างนึงที่คุณต้องมีความลึกซึ้ง มีความสนใจจริงที่จะศึกษาเรื่องนี้ ทีนี้พอคุณยิ่งศึกษา ยิ่งมีความลึกซึ้ง ก็ออกไปเทศน์ ก็ดูยิ่งรู้จริง เริ่มดูดี ดูมีเสน่ห์ขึ้น ดึงดูดคน แต่คล้าย ๆ ว่าดันมีเสน่ห์จนพวกแม่ยกเริ่มตาม แล้วเวลาเธอไปนั่งตรงนั้น มีออร่าขนาดนั้น มันยิ่งกว่าเลื่อมใสอีก เหมือนมันพาไปสู่เรื่องทางเพศได้เลยนะสำหรับคนที่เป็นแม่ยกผู้หญิง เหมือนเห็นร็อกสตาร์อะ มันเป็นการทดสอบความเข้มแข็งของพระรูปนั้นจริง ว่าคุณจะฝืนฝ่า sexual vibes ของคนที่มาเลื่อมใสได้ไหม คือมันยากมากนะ แล้วศาสนาพุทธเสียพระดี ไปเยอะมากจากเรื่องผู้หญิง เรื่องเซ็กซ์ ซึ่งพระฝรั่งแม่งไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เพราะแต่งงาน มีเมียได้ ยังแอบคิดเลยนะว่าถ้าพระไทยมีเมียได้ก็คงดี (หัวเราะ)

ในหนังก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วย

มันก็ไม่ได้ขนาดนั้น แต่มันโชว์ผลของมันอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือในเรื่องเนี้ยตัวสามีฝรั่งไปเลื่อมใสลัทธินี้ แล้วมันก็เป็นเพราะเรื่องเซ็กซ์เป็นเหตุผลที่เขาไปเลื่อมใส เหมือนกับเขามีปัญหาเรื่องเซ็กซ์กับเมีย แล้วเขาชื่นชมท่านลัทธินี้ เพราะเขาดูเวิร์กมากกับเหล่าศิษยานุศิษย์หญิง อยากจะเป็นแบบเขาบ้าง หรือมันอาจจะมีเคล็ดลับอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันหายจากความไม่ได้เรื่องของฉัน

คนมักให้เรื่องศาสนามาจะเชื่อมโยงกับความเป็นไทย จริง ๆ แล้วมันเกี่ยวกันไหม สำหรับเป็นเอกคิดว่าความเป็นไทยคืออะไร 

สมัยนี้มันยากมากที่เราจะบอกว่าอะไรคือความเป็นไทย มันคงมีแหละแต่มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของเรา หนังเราจะออกมาเป็นไทยไม่ไทยเราไม่เคยสนใจ คือหนังเรามันออกมาเป็นเราอะ มันจะไทยมันก็ไทย มันจะไม่ไทยมันก็ไม่ไทย อย่าง ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ มันเป็นหนังชีวิตคนบ้านนอก ร้องเพลงลูกทุ่งกัน แต่มันก็ไม่ได้ไทยขนาดนั้น ฝรั่งดูก็เก็ตเท่า กับคนไทย แต่เรื่องความเป็นไทยเนี่ยมันก็คงมีแหละ อย่างเรื่อง ‘อย่าพูดความจริง’ คนไทยห้ามพูดความจริง (หัวเราะ) ต้องพูดอ้อมไปอ้อมมา ‘การผูกใจเจ็บ’ นานเท่าไหร่ก็ไม่ให้อภัย ฝรั่งด่ากันจบแล้วก็เลิก ‘ไม่ชอบปกครองตัวเอง’ ชอบให้คนอื่นปกครอง ‘ชอบปฏิวัติ’ แล้วก็อยู่ ไปยกใครคนนึงมาเป็นผู้นำ คนไทยไม่ชอบอิสรภาพ’ เพราะมันน่ากลัว คุณมีสิทธิจะทำอะไรก็ได้ แต่อะไรที่คุณทำไปต้องรับผิดชอบ  งั้นไม่เอาดีกว่า สั่งฉันดีกว่าให้ทำยังไง เดินเข้าแถวยังไง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรงไหน ฉันจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ เนี่ย ใช่หมดเลย แต่ข้อดีก็มีนะ อย่าง ‘การไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหา’ เพราะบางอย่างในชีวิตเราก็ไม่ควรจะเผชิญหน้าตลอดเวลา อย่างรัชกาลที่ 5 เนี่ย ฝรั่งเศสจะเอาประเทศไทยตรงนั้นตรงนี้ ถ้าชนเลยก็คงเสียอะฮะ แต่ท่านก็มีวิธีจัดการ บางครั้งก็เป็นวิธีที่ไม่ตรงไปตรงมา แต่ก็อยู่มาได้ ที่เราพูดมาในเชิงเป็น fact มากกว่า criticize นะ

เราจะไม่ถามว่าทำไม พลอย เฌอมาลย์ ถึงต้องมารับบท วิยะดา ในเรื่องนี้ แต่จะถามว่าตั้งแต่เธอเล่นบท นิด จาก ‘Last Life in the Universe จนมาเล่น ‘Samui Song’ เป็นเอกเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในพลอยบ้าง

โอ้โห เปลี่ยนไปเยอะฮะ ตอนเขาเล่น Last Life in the Universe‘ เขายังเด็กมาก แล้วเราแทบไม่รู้จักเขาเพราะเขามาเล่นแค่สองวันเองนะ น้อยมาก แต่เขาก็ดังมากแล้วแหละในตอนนั้น แต่ตอนนี้คนละรูปแบบเลย เป็นมาดาม เจ้าแม่ ต่างไปเยอะมาก ประสบการณ์ก็ช่วยในการแสดงของเขา แล้วมันก็ไปเป็นปัญหาด้วยเหมือนกัน พอมีประสบการณ์มากแล้วบางครั้งการแสดงของเขามันจะเป็น auto-pilot ไปหน่อย เราต้องเข้าไปจัดการว่าอย่าทำแบบนั้น ซึ่งพอถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ เขากับเราจะ clash กันทันที แต่ไม่ใช่แบบด่าทอกันนะ ซึ่งมันมีบ่อย เหมือนกันในการถ่ายทำเรื่องนี้ มันก็จะเป็นความลำบากของทั้งคู่แล้ว คราวนี้เราก็จะต้องจัดการให้ได้ เราก็อยากจะเอาสิ่งที่เราต้องการให้ได้ให้ ขณะเดียวกันเขาก็จะรู้สึกว่า เชี่ย จะเอาอะไรจากกูนักวะ เพราะดาราระดับเนี้ย มันจะมีเรื่องคล้าย กับว่า จำนวนเทคกี่เทคมันมีผลกับเขา อย่างเวลาเขาเล่นละครเงี้ย สามเทคก็ผ่านแล้ว แต่อย่าลืมว่าละครมันมีฟอร์แมตของมัน แล้วมันก็ไม่ค่อยมีใครมากำกับคุณหรอก คุณเล่นอะไรก็เล่นไป กับอีกอย่างคือในแต่ละวันมันถ่ายเยอะมาก มันประดิษฐ์ไม่ได้ พอพูดครบ พูดได้แล้วก็ไป แต่อย่างของเราไม่หนิ เราต้องฟังเขาพูดจนกว่ามันจะเกิด magic moment นั้นในซีนแต่ละซีน แล้วบางทีมันไม่ใช่เรื่องฝีมือการแสดงนะ ไอ้ magic มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทุกอย่างมารวมตัวกันพอดี เพราะงั้นถ้ามันยังไม่เกิดก็ต้องทำไปเรื่อย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทีนี้ดาราระดับเบอร์ใหญ่อย่างพลอยอาจจะไม่เคยถูกให้ต้องทำแบบนี้มั้งฮะ ที่ทำไปเรื่อย จนกว่าจะเกิดอะไรพิเศษขึ้นงี้ (หัวเราะ) เพราะงั้นตรงนี้ทุกครั้งต้องทำความเข้าใจกัน เราพยายามจะบอกนักแสดงว่าอย่าไปสนใจจำนวนเทคได้ไหม เพราะว่า สมมติคุณเล่นสิ่งนี้ซ้ำ 50 เทค มันไม่ได้แปลว่าคุณไม่เก่งนะ มันแปลว่าผู้กำกับมันกำลังหาอะไรที่มันยังหาไม่เจอ แล้วเราใช้เขาเป็นร่างทรง ร่างทรงก็ต้องนั่งทรงไปจนกว่าเราจะเจอ เพราะงั้นไม่ใช่ความผิดของร่างทรง หรือคุณเล่นสองเทคแล้วผ่านเลยก็ไม่ได้แปลว่าคุณเก่งนะ มันมาเร็ว มันเลยสองเทคผ่าน แค่นั้นเอง หรือบางทีคุณเล่นไม่ได้เรื่องแล้วผมช่างแม่ง เพราะไม่งั้นถ่ายไปกูทิ้งแน่ เอาแค่สองเทคพอ เพราะงั้นอย่าคิดว่าตัวเองเก่งถ้าเล่นแค่สองเทคผ่าน

ขณะที่เราถ่ายหนังกับสายป่านเรื่องแรก ‘พลอย’ เงี้ย เขาไม่เคยมีปัญหานี้เลย พี่อยากถ่ายกี่เทคก็เรื่องของพี่ พี่หาไม่เจอพี่ก็หาไป ซึ่งเราชอบมากเลยเราทำงานกับคนแบบนี้ เขาไม่รู้สึกว่าเขาโดนกดดัน หรือไม่ทำให้เรารู้สึกว่าไปกดดันเขา (FJZ: นี่ลงได้ใช่ไหม เขาจะไม่โกรธพี่นะ) ได้ ทุกอย่างที่เราให้สัมภาษณ์ไม่ว่าจะสำนักไหนเราค่อนข้างจะพูดจาตรงไปตรงมา อยู่ที่วิจารณญาณของคนที่เอาไปลงมากกว่า เพราะว่าเราไม่ได้ criticize เขา จริง เขาก็รู้ตอนบทสัมภาษณ์ของ The Cloud เขาก็นั่งคุยกับเรา พอคำถามว่าได้มาทำงานกับพี่ต้อมเป็นเอกเป็นไง เขาก็เริ่มทำท่าจะพูดเหมือนดาราทั่วไปว่ามันเลิศ มันดี เราก็ต้องเบรกเขาละว่า พลอยมีปัญหากับเรา พลอยก็บอกเขาไป ก็ทำงานกันอะ มันจะไม่มีปัญหาได้ไง คนร้อยพ่อพันแม่มารวมตัวกัน แล้วเราไม่ได้มีปัญหาแต่กับพลอยคนเดียวนี่ กับเดวิด อัศวนนท์ เราก็มีปัญหา กับพี่ปู วิทยา กับตากล้องเราเองเราก็มีปัญหา กับโปรดิวเซอร์ คนตัดต่อ เราก็มีปัญหา คือมันต้องมี (หัวเราะ) โห ทำงานที่แม่ง abstract ขนาดนี้ หมายถึงทุกอย่างฟุ้ง อยู่ในอากาศทั้งนั้น มันจะไปเห็นโชะเด๊ะเหมือนกันหมด มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ แล้วกองถ่ายนี่รู้ใช่ไหมฮะ ศิลปินกันทั้งนั้น อารมณ์แม่งแต่ละตัว ไม่ใช่คนที่ทำงานเป็นรูทีนตามระบบมารวมตัวกันนี่ นี่คือตัวแสบมารวมตัวกันอะ เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่จะต้องเจอการกระทบกระทั่งกัน เรากลับรู้สึกว่าดี รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่มันควรจะเป็น เพราะเราชอบเห็นสัมภาษณ์กองถ่ายอื่น เขาดูแฮปปี้กันจังเลย ไอ้นั่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี คนนี้หนูอยากทำงานด้วย คนนี้ก็เก่ง ก็เลิศอะไรวะ ทำไมกูไม่เคยเจอแบบนั้นบ้าง

img_3315

นักแสดงถือเป็นองค์ประกอบที่ต้องรับมือมากที่สุดในกองถ่าย

อย่างอื่นมันไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่ กองถ่ายเราอยู่ด้วยกันมา 20 ปีแล้ว มันแทบจะรู้กันทุกอย่าง แต่นักแสดงเนี่ย ต้องจัดการเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สุด แล้วอย่าลืมว่าเราเป็นคนที่ชื่นชอบนักแสดง เราชื่นชมคนที่ทำอาชีพนี้ เพราะแม่งยากสัสเลย ให้ไปยืนหน้ากล้องแล้วพอเสลทตีแป๊บนึงก็ต้องกลายเป็นคนที่เป็นเอดส์ กำลังจะตาย กำพร้าแม่มาตั้งแต่ 8 ขวบ แล้วพอสั่งคัตก็กลับมาเป็นคนเดิม พอเสลทตีใหม่ก็กลับไปเป็นเอดส์อีกและ แม่งไม่ง่ายนะ แล้วบางคนเขาทุ่มเทถึงขนาดเขาดิ่งเข้ามาแล้วเขาออกไม่ได้ มีกรณีนี้ที่เกิดขึ้นกับเราเหมือนกัน เพราะงั้นเราจะแคร์นักแสดงมาก ในกองเรานักแสดงเป็น asset ที่สำคัญที่สุดของเราเลย เพราะว่าเรื่องที่เราคิดมา บทพูด ความคิดทั้งหมดเลยเนี่ย เราต้องผ่านเขาหมดเลย แล้วถ่ายภาพไม่ค่อยสวยไปนิด มืดไปหน่อย out focus ไปหน่อย ยังไม่เป็นไรเลย แต่การแสดงนี่ถ้าเล่นแล้วเราไม่เชื่อ คนดูไม่เชื่อ ชิบหายเลยนะ ไม่ว่านักแสดงเขาจะมีชื่อเสียงแค่ไหน มันจบเลยนะ มันช่วยไม่ได้ มันเอาไม่อยู่จริง แล้วทุกเรื่องนักแสดงจะเป็น element ใหม่ของเราเสมอ เราไม่ได้ใช้คนซ้ำเท่าไหร่ ก็จะเป็นเรื่องนี้ที่ต้องจัดการกัน แล้วนักแสดงเป็นคน อย่างอาทิตย์นี้มา โห ดี๊ดีเนาะ ราบรื่น เล่นดีชิบหาย หายไปสองวัน weekend กลับไปกรุงเทพ วันจันทร์กลับมา เอ๊ะ ทำไมมันออกท่านี้เรื่อย วะ ต้องเข้าไปจัดการ นักแสดงคือปัญหาใหญ่สุดของเรา แล้วเราไม่ใช่ผู้กำกับประเภทที่เขาสามารถกำกับการแสดงให้จริง เขามีทริคเลยนะว่าถ้าให้ทำแบบนี้แล้วเล่นเท่าไหร่ก็ยังเล่นไม่ได้อะ ออกมาแล้วไม่เหมือน ไม่ชอบ บางคนที่เขาเป็นผู้กำกับเก่ง เขาจะมีวิธีแบบ งั้นหายใจแบบนี้ซิ หรือไปทำ excercise แล้วกลับมาแม่งได้เลย เขามีวิธีพูด เราไม่มีทริคเหล่านี้เลย แล้วเราไม่ใช้ acting coach เราพยายามดีลเอง พยายามเข้าไปสะกดจิตเขา ใช้วิธีอย่างนั้น แล้วก็ค่อย แตะไป แต่มันก็แล้วแต่ บางทีมันก็มีบางวันที่ไม่เหนื่อยเลย วันนี้มันเล่นอะไรกันดีขนาดนี้ กูแทบจะไม่ต้องทำอะไร งงไปเลย มันก็จะมี เป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้พอ กับแดดหรือฝนอะ อยากได้แดดแม่งก็ครึ้มทั้งวัน อยากได้ครึ้มก็แดดเปรี้ยง

ก่อนหน้านี้เป็นครีเอทิฟโฆษณา อะไรทำให้เบนเข็มมาทำหนัง

พี่หนังพงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู เขาเป็นครีเอทิฟมาก่อน แล้ววันนึงเขาออกมาเปิด The Film Factory ที่นี่ก็ 27 ปีแล้วนะ เราอะ ตอนเป็นครีเอทิฟอยู่ก็ไม่ได้มีความอยากเป็นผู้กำกับหนังหรอก ก็แฮปปี้มากกับชีวิตที่จะเป็นครีเอทิฟ จนวันนึงได้โปรโมตไปเป็นหัวหน้า รุ่นใหญ่ขึ้น เป็น creative director แล้วมันไม่ได้ทำงานไง ต้องมีลูกน้อง 3-4 คนอยู่ในมือแล้วต้องคอยดูพวกนี้ เราเป็น supervisor ไม่เป็น เราเป็นแรงงาน ชอบทำงาน แล้วพอต้องไปไกด์คนอื่นเราทำไม่ได้ วันดีคืนดีต้องไปกินข้าวกับลูกค้า account ที่มีปัญหา โห นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่เราจะทำ เราก็เลยแบบ คิดดูดิ เดินไปบอกเจ้านายว่าเราทำไม่เป็น ตอนนั้นเจ้านายเราคือคุณภาณุ อิงคะวัต เจ้าของ Greyhound ขอเขาเอาเงินเดือนเท่าเมื่อก่อนตอนที่เราเป็นครีเอทิฟ เพราะตำแหน่งมันสูงขึ้น เงินเดือนมันก็สูงขึ้นไปเรื่อย เราขอไม่เอาลูกน้อง ขอทำงานอย่างเดียว เขาก็ด่าเราเช็ดเลย (หัวเราะ) มึงคิดเหี้ยอะไรของมึงวะ

แล้วเขายอมไหม

ไม่ยอมฮะ เราก็โทรไปปรึกษาพี่หนัง ไม่ได้จะขอมาทำนะ แค่แบบ แม่ง ชีวิตจะเอายังไงดี สิ่งที่ชอบทำก็ไม่ได้ทำแล้ว เพราะถูกโปรโมตขึ้นไปเป็นหัวหน้า จะไปคืนเงินเขาก็ด่าอีก เพราะธุรกิจเขาไม่ได้ทำกันด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่มึงอยากจะทำอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิต ไม่ได้ มึงต้องก้าวหน้า ถ้ามึงไม่ก้าวหน้า บริษัทมันก็ไม่ก้าวหน้า ซึ่งเราก็คิดว่าไม่เห็นจะ make sense เลยความเชื่อพวกเนี้ย แล้วพี่หนังตอนนั้นเขาเปิดบริษัทนี้ได้ 2-3 ปี เขาเลยถามว่า มึงมาลองกำกับดูไหม เราก็เลยได้เริ่มเป็นผู้กำกับหนังโฆษณา มันก็เริ่มจากตรงนั้น ทำอยู่ 4-5 ปี ก็เริ่มอยากทำอะไรยาว ที่มากกว่า 30 วินาที ก็เลยขอเขาลาออก ไปเขียนบทปีนึง

หรือนั่นคือจุดเริ่มต้นของ ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ ?

ใช่ คือหนังสั้นเราก็ไม่เคยอยากทำ มันเสียเวลา เพราะมันผ่าน process เหมือนกัน ต้องมานั่งลงไอเดีย ต้องคิดเรื่อง ต้อง casting นักแสดงเหมือนกัน ถ้าจะทำก็ทำหนังยาวไปเลยสิ แต่ทำด้วยความรู้สึกว่า อยากจะรู้ว่าตัวเองชอบไหม ถ้าทำเสร็จแล้วชอบก็คิดว่าจะทำต่อ แต่ถ้าไม่ชอบก็เลิก กลับมาทำโฆษณา ไม่ได้มีจุดมุ่งหวังอะไรมากไปกว่านั้น แล้วการเลือกเรื่องนี้มาทำเพราะมีรุ่นพี่มาเล่าให้ฟัง รู้สึกว่ามันตลาดมาก คือผู้หญิงคนนึงฝันถึงแม่ที่ตายไปแล้วว่าแม่สร้างบ้าน ก็ไปหาหมอดูให้ทำนายฝัน หมอดูบอกว่าถ้าบ้านในฝันสร้างเสร็จเมื่อไหร่พ่อมึงจะตายนะ ไอ้นี่ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้บ้านเสร็จ ก็กลายมาเป็น ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ เราไม่สนใจเรื่องจะเป็นยังไง แต่คิดว่ามีหมอดู มีไสยศาสตร์ ทำแล้วคงหนุกดี ก็เลือกเรื่องนี้มาทำ แต่แล้วก็ออกมาไม่เห็นจะตลาดตรงไหน พอผ่านมือเรามามันก็เป็นอย่างนั้น จริง ๆ ก็นับเป็นหนังไม่ได้เท่าไหร่เพราะตอนนั้นมันยังทำไม่เป็น ถ้ามานั่งดูตอนนี้แต่ละซีนดีมากเลยนะ แต่พอรวมกันทั้งเรื่องแล้วไม่เวิร์ก มันไม่เล่าเรื่อง ไม่โฟลว มันมาดูเป็นหนังช่วง 20 นาทีสุดท้ายแล้ว

เอาจริงว่าถึงไม่ค่อยพอใจผลลัพธ์แต่รู้สึกว่าทำสิ่งนี้แล้วชอบชิบหาย ไปออกกองถ่ายกับเพื่อน อยู่กันเป็นครอบครัว ทำสิ่งนี้เป็นเดือน ไม่มีลูกค้ามาตามจิก กูได้ทำแต่สิ่งที่ชอบได้อย่างชนิดที่แบบ โห อะไรจะดีขนาดนี้ ไม่ได้ค่าจ้างยังไม่เป็นไรเลย มันกินอยู่กับกองถ่ายอาหารเขาก็มีเลี้ยงทุกมื้อ ทุกวัน ตอนนั้นยังคิดเลยว่าถ้าได้ทำตลอดชีวิต ทำฟรีก็ยังเอาเลย ก็มันชอบมากอะ การทำหนังเนี่ยแม่งโคตรจะเป็นธรรมชาติกับเราเลย เหมือนเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้จริง เราไม่ต้องพยายามหรือใช้ความพยายามน้อยมาก พอทำเรื่องแรกเสร็จก็เสือกรู้ด้วยว่ามันไม่เวิร์กเพราะอะไร แล้วก็เลยทำเรื่องต่อไปเลย

แต่เรื่องที่ว่าหนังเรากลายมาเป็นแนวนี้เพราะอะไรมันก็มาจากการที่เราทำมาเรื่อย แล้วเหมือนเราไม่ค่อยควบคุมตัวเองระหว่างทางด้วยฮะ ทำหนังมาทุกเรื่องก็ปล่อยให้จิตใจตัวเองมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง ในความอยากทดลองเนี่ย มันเลยมีอำนาจเหนือเหตุผล หนังที่ตอนเขียนสคริปต์ทำท่าว่าจะตลาดแน่ ทำเงินแน่  พอผ่านการทำมาแล้วก็กลายเป็นออกมาพลาด เหมือนเวลาจะทำซาลาเปาเพราะรู้ว่าทำออกมาแล้วขายดีแน่ แต่พอทำเสร็จแล้วกลายเป็นราดหน้า มันกลายเป็นราดหน้าได้ไงวะ เพราะเราปล่อย อยากลองนั่นนี่ ข้อเสียคือมันไม่ได้เงิน ขาดทุน แต่ข้อดีก็คือมันทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นเรื่อย ว่าเออ กูเป็นคนแบบนี้จริง ทำให้เริ่มรู้ว่าตัวเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วก็มีข้อจำกัดอะไร บางอย่างเราชอบมาก อยากทำมาก แต่ไม่มีความสามารถก็ทำไม่ได้ สังเกตสิ หนังเราตัวละครจะไม่ค่อยพูด พูดก็พูดน้อย มันจะเงียบ เพราะงั้นรู้เลยนะฮะ บางทีอยากจะทำซีนที่มันหนุก โฉ่งฉ่าง มีการตัดต่อเร็ว พูดแบบเยอะ ทำไม่เป็น ทำออกมาแล้วทิ้ง ไม่เวิร์ก ทำไมคนอื่นเขาทำแล้วดูดีชิบหายเลย แต่พอกูทำแล้วดูประดักประเดิด ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรา ซึ่งการรู้จักธรรมชาติของตัวเอง แล้วก็ mature ขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเกิดเราไปอยู่ในระบบของการทำหนังยังไงก็ได้ให้ได้ตังค์ ลองไปเทสต์กับคนดูกลุ่มนี้แล้วเขายังไม่เก็ต เอ้า ไปถ่ายเพิ่ม ไปปล่อยมุขนี้เพิ่ม ทำแบบนี้เราจะไม่มีวันค้นพบสิ่งนี้เลย เพราะในระบบนั้นคุณก็จะเป็นแค่น็อตอีกตัวนึง

แล้วเวลาหนังไม่ทำกำไร ต้องเอาไปฉายที่เฟสติวัลอย่างเดียวเลยไหม หรือเอาทุนมาจากไหนมาโปะตรงนี้

ก็มันมีคนอยากให้ทำ คนที่ให้ทุนน่ะ แล้วเขาก็รู้ว่าเขาจะได้หรือไม่ได้อะไรจากตรงนี้ แต่ไม่ใช่เราไม่มีแรงกดดันนะ เรามีแรงกดดันมหาศาล เพราะหนังที่เราทำมันต้องเอาไปเตะพรีเมียร์ลีกให้ได้ หมายถึงว่ามันจะไปเปิดตัวแค่เทศกาลปูซานมันไม่พอ มันต้องไปเบอร์ลิน เวนิซ หรือคานส์ เปิดตัวครั้งแรกทุกเรื่องต้องทำให้ได้อย่างนั้น แล้วต้องขายให้ได้เท่าไหร่ในโลกนี้

คือหนังเรามีเจ๊งน้อยมาก แทบจะไม่เจ๊งเลยเกือบทุกเรื่อง ในเมืองไทยมันอาจจะดูเหมือนเจ๊งเพราะคนไทยมันดูกันน้อย แต่ว่าพอมันขายทั่วโลกรวมกันแล้วมันขายได้เยอะ โห ‘Last Life in the Universe’ หรือ ‘Invisible Waves’ นี่แทบจะได้กำไรพอสมควรเลย ไม่ถึงกับรวยขนาดออกรถใหม่ได้ แต่ทุกคนแฮปปี้ หมายถึงคนที่มาร่วมสังฆกรรมด้วย แล้วบางทีการคืนทุนหรือกำไรมันไม่ได้มาในรูปแบบเงินอย่างเดียว มันอาจจะเป็นเรื่องเกียรติยศ มันก็มีหลายคนที่เขารวยมาก  มาลงทุนกับเรา สมมติเขาทำเงินสามล้านหายเขายังไม่รู้เลยฮะ ใช่มะ แต่ว่าถ้าหนังที่เขาลงทุนได้ไปเมืองคานส์ บางทีเขาก็ถือว่านี่เป็นกำไรของเขานะ แล้วถ้าเกิดว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่ฉลาด สิ่งเหล่านี้เขาอาจเอาไปต่อยอดได้ด้วย บางทีเราจะไปโฟกัสแต่เรื่อง box office อะ ข้าโรงพฤหัสนี้แล้ววัดดวงสองอาทิตย์ข้างหน้าแล้วจบชีวิต แบบ เจ๊งก็เจ๊ง ได้ร้อยล้านก็ได้ร้อยล้าน แต่หนังเราไม่ได้จบแค่ตรงนั้น ทุกวันนี้หนังเก่า ที่เรายังพูดถึงกันอยู่อย่าง ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ มันก็ยังทำเงินอยู่นะครับในต่างประเทศ หมายถึงทุกครั้งที่มันฉายในทีวีที่เยอรมัน ทุกครั้งที่ฉายในมิวเซียมที่ไหน ทุกครั้งที่มันมีการ release ดีวีดีเวอร์ชันใหม่นายทุนเราก็ได้เงินนะ

คนไม่ค่อยรู้ว่างานที่ออกมาในเชิง art house จริง ก็ทำเงินได้

ทำฮะ จริง แล้วเนี่ย ถ้าคนมาลงทุนกับหนังเรา มันเป็นการลงทุนที่โคตรจะดีตรงไหนรู้ไหมฮะ ตรงที่เขารู้แน่ ว่าเขาจะได้คืนประมาณไหน ถ้ากูรู้ว่ากูจะได้คืนเท่านี้ กูก็ลงน้อย แล้วเราก็เอาคนลงน้อย หลาย เจ้ามารวมกันเพื่อทำหนัง เราใช้วิธีนี้ มันก็ไม่มีใครเจ็บตัวถึงขนาดนั้น หรือว่าก็ไม่มีใครรวยอยู่คนเดียวประเภทซื้อเรือยอทช์ได้ ทุกคนก็จะได้ประมาณนึง หรือถ้าเสียก็เสียประมาณนึง จริง มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างเซฟฮะ แต่คนส่วนมากจะไม่รู้ คนชอบนึกว่าหนังเราไปแต่เทศกาล คือไปเทศกาลเนี่ยมันไปเพื่อขายนะ สมมติว่าหนังเรื่องเดียวกัน ถ้ามันเปิดตัวที่เทศกาลเมืองคานส์ ราคามันขึ้นพุ่งเลยนะ ในขณะที่ถ้าไปเปิดตัวที่ปูซาน ราคามันจะดรอปลงมา เพราะฉะนั้นเวลามันไปเทศกาลมันไม่ได้ไปเพื่อเกียรติยศลูกเดียว เกียรติยศนี่เป็นเรื่องรอง หนังมันไปเพื่อธุรกิจ ถ้าไปเทศกาลหนังเมืองคานส์เนี่ยจะเห็นเลยว่า ตัวเทศกาลหนังมันก็งั้น อะ มีแต่ดาราฮอลลิวู้ดไปเดินพรมแดงกัน มีหนังเราไปฉายประกวดสายนู้นสายนี้ แต่ที่ที่คึกคักตลอดเวลาทุกวันเป็นเวลาสองอาทิตย์คือ film market ที่ไปตั้งบูธกันเนี่ยแหละ เทศกาลมันเป็นสถานีที่เอาหนังไปเผยแพร่ ตัวเราก็ต้องไป บางทีเขาเอานักแสดงไปเดินพรมแดงกันอะไรกันไม่ได้ไป show off แต่เพื่อไปโปรโมตหนัง ทำให้มันมีมูลค่า แล้วโปรดิวเซอร์หรือคนจัดจำหน่ายหนังเราในประเทศนั้นก็ต้องจัดปาร์ตี้ให้หนังเรา ถ้าไม่จัดปาร์ตี้หนังคุณก็จะถูกกลืนหายไป เพราะพวกดาราเองมันก็จัดปาร์ตี้ทุกคืน หนังฮอลลิวู้ดอีกตั้งกี่เรื่อง หรือหนังจีน อย่างหนังฉีเคอะเงี้ย เอาดาราไปด้วย จัดปาร์ตี้ด้วย เรียกว่าใช้เงินกันสองล้านยูโรแค่อาทิตย์เดียว สิ่งเหล่านี้ทำไปเพื่อธุรกิจ เพื่อให้ขายหนังได้ แล้วหลังจากนั้นมันก็จะขายไปประเทศนู้น ประเทศนี้ เข้าโรงหนังในประเทศเขาอะ

pen-ekk

สมัยที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมาก ทำยังไงให้คนอยากมาดูหนังของเรา

ถ้าเรายังไม่ได้อยู่ในระดับอย่างนั้นแล้วหนังเราไม่มีวันมีปาร์ตี้หรอก เพราะมันแพง ก็ใช้วิธีแบบ เราเคยไปยืนแจกโบรชัวร์หน้าโรง บอกว่าหนังกูฉายพฤหัสนี้นะ (หัวเราะ) ก็เคยทำครับ แต่ว่าตั้งแต่เราทำ ‘เรื่องตลก 69′ เสร็จ เรื่องนี้มันไป premiere ที่ Rotterdam แล้วมีผู้ชายคนนึง เป็นคนดัตช์ มาทิ้งโน้ตที่ห้องโรงแรมเราบอกว่าอยากเจอเรา ไปดูหนังนี้มาแล้วเขาชอบมาก เขาอยาก represent เรา หมายถึงว่าเอาหนังไปขายให้ เป็น sales agent บริษัทเขาชื่อนี้ แล้วเราก็ไปเจอเขา คุยกัน แล้วคนนี้ก็เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรา ทำให้หนังเราดีขึ้น ทำให้เรามีชื่อเสียงขึ้นทุกอย่าง แล้วเขาก็เป็นคนที่พาหนังเราไปให้คนนู้นคนนี้รู้จัก หาเงินทุนจากเมืองนอกมาให้หนังเรา พอเรื่องที่สาม เราไม่ต้องทำอะไรเองแล้วเพราะเขามีบริษัท เขาก็อยู่กับเรา กลายเป็นเพื่อ เป็นโปรดิวเซอร์ กลายเป็นผู้จัดการ เป็นทุกอย่างให้เราหมด อยู่สิบกว่าปี จนเขาเสียชีวิตไป 6 ปีแล้ว เขาโปรดิวซ์ให้เราเรื่องสุดท้ายคือ ‘นางไม้’  นั่นมันตั้งแต่เรื่องที่สองอะ คิดดูสิ

หนังของเป็นเอกเซอร์ ดูยาก จริงไหม แล้วถ้าคนจะลองดูหนังของเป็นเอกควรเริ่มดูเรื่องไหนก่อน

หนังเป็นเอกจะดูไม่ยากถ้าไม่คิดมากกับมัน ควรจะปล่อยตัวปล่อยใจให้หนังมันพาไปแล้วจะได้รับความบันเทิงครับ ถ้าใครจะลองดูหนังเป็นเอก อยากให้เริ่มด้วย ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ หรือ ‘เรื่องตลก 69′ ครับ

การไม่ควบคุมตัวแปรของหนังทำให้คุณไปอยู่ในจุดที่ทุกคนจำงานของคุณได้

ใช่ครับ แล้วในแง่จิตใจมันก็ค่อย แข็งแรงขึ้นเรื่อย หมายถึงว่า ถึงแม้เราทำงานที่ออกจะส่วนตัวแบบนี้ แต่มันไม่ได้เก็บไว้ดูคนเดียว มันต้องไปเช่าโรงฉายให้ประชาชนคนอื่นเขาดู เพราะงั้นไอ้นี่มันก็จะสวนทางเพราะมึงเอาไปเข้าโรงเพื่อให้คนเขาเข้ามาดูเยอะ อยากให้คนมาซื้อตั๋วดูเยอะ แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่มึงทำมีมึงชอบอยู่แค่คนเดียว หัวเราะก็หัวเราะอยู่คนเดียวคนอื่นเขาไม่เห็นขำกันเลย มันก็เลยเป็นสิ่งที่เป็นความขัดแย้ง แต่มันไม่รู้จะทำวิธีอื่นยังไง 

ทำไมตัวละครในหนังของเป็นเอกชอบมีความเป็น fictional character คือมีความแปลก ไม่เป็นมนุษย์ธรรมดา

วิธีทำหนังของเรามันคือที่มาของความ absurd เหล่านี้ หนังที่เขาปกติหน่อยส่วนมากจะเริ่มจากไอเดียก่อนว่าอยากพูดเรื่องอะไร สมมติว่าอยากพูดเรื่องชีวิตผู้หญิงในสังคมไทย เขาก็จะมานั่งดูว่า ชีวิตผู้หญิงในสังคมไทยเสียเปรียบผู้ชายตรงไหน ได้เปรียบตรงไหน มีอะไรที่ไม่เท่าเทียมบ้าง พอได้ปั๊บก็คิดเรื่องให้ตอบโจทย์นี้ ก็เป็นเรื่องเด็กคนนึงที่มาจากอีสาน แล้วไต่เต้าในบริษัทหนึ่งจนกลายเป็นผู้บริหารใหญ่สุด (FJZ: ทำไมเรื่องคุ้นจัง) พอได้เรื่องแล้วก็เขียนสคริปต์ให้ตอบโจทย์ หนังส่วนใหญ่ทำด้วยวิธีนั้น ถ่ายทำ ตัดต่อ การแสดงก็ต้องตอบโจทย์ด้วย แล้วจริง ๆ บทเขียนออกมาเพื่อให้ทีมงานทำต่อได้ ต้องไปหาอะไรบ้าง โรงพยาบาล บ้าน โรงเรียน มีพร็อพอะไรบ้าง แล้วให้นายทุนอ่านเพื่อดูว่ากูจะลงทุนหรือไม่ลงทุน แต่ของเรามันคล้าย กับว่าไม่มีโจทย์เลย

ตอนเราเริ่มทำหนังทุกครั้งเราไม่เคยรู้เลยว่าเราจะพูดเรื่องอะไร หรือหนังเราเกี่ยวกับอะไร เราถึงเวลาทำหนัง เขียนบท ก็จะเททุกสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาวางบนโต๊ะ มีอะไรบ้างอะ ไปเห็นดาราคนนึงช็อปปิ้งกับผัวฝรั่ง ตรงนี้มีอานมอเตอร์ไซค์ ตรงนี้มีช้อนส้อมคู่นึง ก็พยายามปะติดปะต่อ element ที่ดูจะไม่ต่อเนื่องกันให้เข้ากัน แต่แน่ คือถ้ามันออกมาจากหัวเราที่เทออกมากองบนโต๊ะได้ แสดงว่าเรื่องเหล่านั้นมันต้องเป็นอะไรที่มีความหมายกับเราสักอย่าง ไม่งั้นมันไม่อยู่ในหัวเราหรอก หรือบางทีมีเรื่องแล้วพอได้นักแสดงมา มันไม่ได้ตรงกับบทเลย เราก็เปลี่ยนเรื่องตามนักแสดง อย่างสคริปต์ ‘นางไม้’ เปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะวันที่ได้ กิ๊บซี่ วนิดา มา คนนี้โคตรน่าสนใจอยากได้มาเล่น นั่งดูเขาได้เป็นชั่วโมงเพราะตาดูโคตรมีความผิดเลย เหมือนไปทำอะไรผิดมา อย่างเงี้ย บางทีเจอโลเคชันก็เปลี่ยนเลย

เพราะงั้นถ้าเทียบหนังเรากับหนังที่ใช้วิธีการตอบโจทย์ ของเขามันจะ solid มาก ในขณะที่ของเรามันเหลวไปเหลวมาตั้งแต่ระหว่างทางจนจบ ตอนสุดท้ายพร้อมฉายน่ะถึงจะเห็นว่า อ๋อ กูทำหนังเกี่ยวกับเรื่องนี้นี่เอง หรือบางทีฉายไปแล้วด้วยแต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร จนมีคนมาบอกว่า เป้นเรื่องสิทธิสตรีว่ะ พอเราคิดตามก็แบบ เออเฮ้ย จริงว่ะ แบบเนี้ย มันเหมือนกับ reverse กับ process ปกติ แต่มันเป็นวิธีที่ไม่ค่อย professional เท่าไหร่ วิธีเนี้ย ไปทำกับค่ายหนังไม่ได้ เขาได้ไล่เราออกระหว่างทาง ถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง ทำไมทำอย่างนี้ ทำไมชอบอย่างนี้ ไม่รู้ แต่ชอบ ของเรามันเป็น process ของการนึกเป็นภาพแล้วมันใช่ มันจะเห็นต่อ กัน ประกอบกับพอมีประสบการณ์ขนาดนี้แล้วเราจะรู้ว่าเดี๋ยวมันจะออกมาดี แต่สมมติถ้าต้องให้ไปอธิบายกับใครก็จะลำบากฮะ เพราะมันดูไม่ make sense

ยิ่งตัวละครผู้หญิงยิ่งโดดเด้งออกมาในหนังทุกเรื่อง แม้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะเป็นตัวประกอบก็ตาม

ก็ชอบเรื่องผู้หญิง เราสนใจเรื่องผู้หญิง ชื่นชมผู้หญิง ชอบผู้หญิง จะว่ามีเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชายหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ไม่รู้ดิ เรียนรู้เรื่องสำคัญ ในชีวิตสองสามเรื่องก็ได้มาจากผู้หญิง จากแม่ พี่สาว แฟน ไม่ค่อยได้จากผู้ชายหรอก เพื่อนผู้ชายมีไว้แค่เตะบอลกับกินเหล้า มีไว้สนุก ไว้เฮ เราว่าผู้หญิงเป็นเพศที่น่าสนใจ จะมีความใจกว้าง มีความซวย (หัวเราะ) มีความอดทนมากกว่าผู้ชาย แล้วตัวเรามีความเป็นผู้หญิงสูงนะ เราก็ไม่ได้เป็นผู้ชายแบบ ชาย อะ นึกออกไหม เราก็มีความอ่อนไหวตรงนั้นประมาณนึง คนชอบนึกว่าเป็นตุ๊ดอะ แบบ พี่เขาเป็นป่าววะ ไม่รู้เป็นไหมอะ ลองส่งน้องสาวมาเทสต์ดูสิว่าเป็นไหม (หัวเราะ

img_3345

การทำหนังของเป็นเอกคือการทดลอง จนทำมาได้ 20 ปีแล้ว

ก็ยังทดลองไม่เสร็จสักที (หัวเราะ) เพื่อนเราที่เรียนมาด้วยกันที่วชิราวุธมันไม่ดูหนังเราสักคน แต่พวกลูกมันอะดู เป็นแฟนคลับเรา มันบอกว่า ‘ลูกกูเนี่ยชอบหนังมึงมากเลยไอ้เหี้ย เดี๋ยวมันจะขอไปเรียนฟิล์มที่อังกฤษ’ แล้วมันบอกว่า ‘มึงแม่งทำหนังทดลอง กูเนี่ยไม่กล้าไปดู’ (หัวเราะ) มันบอกมึงทดลองเสร็จเมื่อไหร่กูจะไปดู มันก็ทดลองไม่เสร็จน่ะฮะ

มีสูตรสำเร็จหรืออะไรที่ play safe ในหนังของเป็นเอกบ้าง

ไม่มีเลย เพราะมันยากทุกเรื่องเลย

ที่ทำมาสนุกกับงานไหนที่สุด

โห เรานี่เมื่อไหร่ที่ได้ทำหนังก็คือสนุกทุกอัน พอเริ่มทำหนังทุกอย่างในชีวิตกลายเป็นเรื่องรองหมด เราชอบทำหนังอะ ไม่รู้ดิ พอได้ทำเนี่ยผลลัพธ์ยังเป็นเรื่องรองเลย การทำหนังมันต่างกับการเขียนหนังสือ บางทีไอ้เส้นทางการเป็นนักเขียนมันโดดเดี่ยวเหมือนกันไง มันนั่งอยู่คนเดียวหน้าคอม พอถึงตรงไหนมึงคิดไม่ออก มึงก็คิดไม่ออกต่อไป แต่ทำหนังมันมีครอบครัว มีเพื่อนที่รู้ใจ แล้วพอมันออกไปผจญภัยด้วยกัน มันก็ไม่ค่อยโดดเดี่ยว แล้วมันก็ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพาตัวเองไปถึงจุดอันตรายปุ๊บ มันก็จะมีคนเซฟเรา แต่หมายถึงว่าคนพวกนั้น 20 ปีนี่ต้องไม่เปลี่ยนเลยนะ คือโตไปด้วยกัน แก่ไปด้วยกัน มันก็เลยสนุกทุกครั้งที่ทำ แล้วหนังเราไม่ได้ทำบ่อย เรื่องนึงทำทีก็ล่อไป 2-3 ปี

ทำมาทั้งโฆษณา มิวสิกวิดิโอ หนังสารคดี อนาคตอยากลองทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อนบ้าง

อยากทำภาพพิมพ์ แล้วก็อยากทำโต๊ะปิงปอง

บทเรียนราคาแพงของการเป็นผู้กำกับชื่อ เป็นเอก รัตนเรือง

เวลาไปเทศกาลหนังคนชอบคิดว่าเราเป็นพวกชอบปาร์ตี้กินเหล้า เลยต้องกินเหล้าเยอะปาร์ตี้แยะ ได้พักผ่อนน้อย

อายุ 55 แล้ว เห็นโลกมาเยอะแล้ว มีอะไรที่ยังอยากเห็น ที่ยังไม่เคยเห็น อีกบ้าง

ข้อนี้ขอไม่ตอบเพราะคงจะตีพิมพ์ไม่ได้

จริงไหมที่พี่ไม่ยอมสูบบุหรี่กับคนที่ไม่ยอมโรลบุหรี่เอง ทำไม

ไม่จริง ใครไม่มวนเองเราก็มวนให้ได้ครับ

สุดท้าย ทำไมต้องดู ‘Samui Song’

มันคือหนังที่จะติดตราตรึงใจคุณไปอีกนานเท่านาน อันนี้ไม่ได้พูดเล่น ที่สำคัญเป็นหนังที่ไม่ใส่ผงชูรส เป็นรสชาติเดิมๆ แท้ๆ ที่มาจากวัตถุดิบธรรมชาติครับ

เรากลั่นกรองออกมาเป็น ‘เป็นเอก รัตนเรือง ในความคิดของฉัน’ ได้ในระดับนึงจากการดูหนังหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมาของเขา แล้วอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าคนประเภทไหนกันที่จะทำหนังออกมาแบบนี้ แต่การพูดคุยกว่าสองชั่วโมงนี้ทำให้เราได้รู้จักกับเป็นเอกในมุมมองที่ต่างออกไปจากที่คิดไว้มาก เชื่อว่าเขาก็ยังมีแง่มุมที่น่าสนใจอีกมากมายในชีวิตที่เราไม่ทันได้มีโอกาสถาม เลยคิดว่าการไปดูหนังเรื่อง ‘Samui Song ไม่มีสมุยสำหรับเธอ’ ที่จะฉายพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ น่าจะทำให้เรารู้จักตัวตนของเขามากขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ระหว่างที่รอหนังเข้าโรง ขอไปตามฟังเพลงจากศิลปินที่เป็นเอกแนะนำให้เราฟังไปพลาง ๆ ก่อน

img_3364

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้