ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม cover

Feature เห็ดหูหนู

เปิดลิสต์เพลงโปรดของ ‘ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม’ เคล้าเรื่องราวชีวิตหลากหลายมุมที่สนุกไม่แพ้กัน

ด้วยภาพลักษณ์ของผู้ชายหุ่นหมีในชุดนักเรียนญี่ปุ่นสีสันสะดุดตา ผมบ็อบสุดคิคุที่ช่วยเน้นให้เห็นรอยยิ้มอันสดใสภายใต้หนวดเข้ม ๆ เป็นอีกหนึ่งคาแรกเตอร์ของ ท็อฟฟี่—จักรพงศ์ พุ่มไพจิตร ที่พร้อมจะส่งต่อความเบิกบานให้กับคนทุกเพศทุกวัย จากพนักงาน IT ที่เปลี่ยนความรู้เกี่ยวคอมพิวเตอร์แสนเข้าใจยาก เป็นภาษาปากแฝงอารมณ์ขันเข้าถึงทุกคน ตอนนี้เขาเทิร์นตัวเองมาเป็น influencer เต็มเวลา แจกความสดใสด้วยคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจแต่ยังอยู่ในสิ่งที่ตัวเองรัก โดยเฉพาะการแคสต์เกมที่สนุกตื่นเต้น แต่น้อยคนไม่รู้ว่า ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม ก็ฟังเพลงนอกกระแสเหมือนกัน ลองไปฟังเพลงที่เขาชอบฟัง และพูดคุยถึงบทบาทต่าง ๆ ในชีวิตของเขากันว่าจะสนุกแค่ไหน

ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม 01

Toffy’s Playlist

Telex TelexsRain

เพลงมันปล่อยมาถูกจังหวะ ช่วงที่เรารู้สึกดาวน์ ๆ พอดี รู้สึกเหมือนว่าฝนตกอยู่ในใจเราเหลือเกินอะไรอย่างเงี้ย มันก็เป็นเรื่องผิดหวังนั้นแหละ แต่พอฟังความหมายแล้ว ฝนมันก็ไม่ได้ตกทุกวัน พอผ่านไปได้เราก็จะแข็งแกร่งแล้วรอรับฝนลูกใหม่ได้อีก

Telex Telexsเรือใบ

เราก็มีคนคุย เราแค่ส่งเขาไปให้ถึงฝั่ง แต่เราก็ยังรอเขาอยู่นะ อะไรประมาณนี้ อันนี้สัมภาษณ์ที่แรกเลยนะเนี่ย (หัวเราะ)

Safeplanetข้างกาย

เพลงมันน่ารัก ความหมายมันดี ไม่ว่าจะไปที่ไหน เธอก็จะมีฉันอยู่ข้างกาย อะไรแบบนี้ ชอบ

Safeplanetกอดความเจ็บช้ำ

รู้สึกว่าเป็นเพลงให้กำลังใจ ต่อให้เราผิดหวังแค่ไหน เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้

electric.neon.lampโทรจิต

เพิ่งมาฟังบ่อยในช่วงนี้ คือจริง ๆ เราไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อน เคยได้ยินผ่าน ๆ ตามร้านเหล้าแต่เราไม่รู้ว่าใครร้อง เลยลองไปฮัมให้เพื่อนฟังว่ากูจำท่อนนี้ได้ มึงหาให้หน่อยเพลงอะไร อยากฟังมาก คือเรารู้จักวงนี้แต่ไม่เคยฟังเพลงวงนี้ เราฟังแล้วเรารู้สึกชอบเลยไปฟังเพลงอื่น

Perfume不自然なガール

อันนี้ก็จะแหวกแนวหน่อย แต่อันนี้คือชอบซาวด์ดนตรีมัน ความหมายที่เป็นคนปากไม่ตรงกับใจ มีคำถามที่อยากถาม แต่ก็ไม่ยอมถามมันออกไป

TALK TALK TALK

ปกติท็อฟฟี่หาเพลงใหม่ ๆ ฟังจากทางไหน

ส่วนใหญ่เพลงใหม่ ๆ เวลาเราเข้ายูทูปสมมุติเราชอบฟัง Telex Telexs มันจะชอบมีอะไรที่คล้ายกันอยู่ข้าง ๆ แล้วก็จะชอบกดฟัง ก็จะไล่ฟังไปเรื่อย ๆ อย่างจริง ๆ ที่ชอบฟังล่าสุดตอนนี้เลยคือ ฝนตกไหม ของ Three Man Down ก็ชอบ เพิ่งฟังเมื่อวาน แต่ก็ฟังทั้งวันเลยนะ เป็นคนที่แบบชอบเพลงอะไรก็จะนั่งฟังทั้งวันอยู่เพลงเดียว

เอาจริง ๆ เป็นคนที่ไม่ฟังเพลงไทยมาเลย จนกระทั้งมาฟัง Telex Telexs เรือใบ เป็นเพลงแรกที่ปล่อยออกมา ผู้ชายส่งให้ฟัง แล้วชอบ เลยกลายเป็นติ่งไปเลย ฟังเพลงแรกแล้วไปตาม น้องเขาไปเล่นที่ไหนในกรุงเทพ ฯ ก็ไปนั่งฟังทุกร้าน แต่ Safeplanet นี่ไม่เคยฟังสดสักทีเพราะว่า คลาดกันตลอด เจอน้องเขา ขอลายเซ็น ถ่ายรูป อ่อ ได้ฟังแค่ครั้งเดียวที่น้องไปเล่นลาดกระบังเมื่อต้นปีถ้าจำไม่ผิด คือจริง ๆ ถ้าเกิดเป็นช่วงวัยรุ่นสักแบบช่วงปี 50 ช่วงนั้นจะฟัง Big Ass กับ Potato กระแสหลัก ซึ่งเราฟังเพราะว่าเพื่อนแม่งเปิดให้ฟังทุกวัน แต่จริง ๆ แล้วเนี่ย พอเราเพิ่งมาค้นเจอ เพลงที่เราชอบจริง ๆ คือพวก Stoondio รู้สึกว่าเนี่ย สไตล์นี้แหละที่ฉันชอบ Scrubb เราชอบเพลงที่ไม่ดัง แต่ก็ไม่ได้ฟังบ่อย ฟังแค่เอาอินเนอร์เฉย ๆ แต่ถ้าเกิดมาชอบจริง ๆ ก็ Telex Telexs ฉันก็ไปหาเพลงไทยที่มันสไตล์คล้าย ๆ นี้ฟัง Polycat ก็ชอบ แต่จะชอบช่วงเพลง เมื่อเธอมาส่ง ช่วงซาวน์แบบนั้นเราชอบ Slur ก็ชอบมาก ๆ อุคริ จุ๊บุ หุหุ, ว่าแล้ว, ไม่ใช่มนุษย์, D.I.Y เวลาฟังแล้วเราฟังหมดเลย

ก่อนที่เราจะเดบิวต์เป็นตุ๊ดซ่อมคอมเนี่ย เราเป็นใครมาก่อน

ก็เป็นท็อฟฟี่นี่แหละ แต่ว่าเป็นพนักงาน เป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่แผนกไอที ที่ชอบเล่นเกม

แล้วหลังจากที่เราทำเพจแล้ว ชีวิตเรามันเปลี่ยนไปมากแค่ไหน

ถามว่าเปลี่ยนไปมากไหมเหรอ ก็มีรายได้เยอะขึ้น เพียงแต่ว่าการใช้ชีวิตของเราก็ยังเป็นแบบเดิม เหมือนเดิมทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่ดังจนถึงตอนนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิม มีแฟนคลับเยอะขึ้น ก็ไม่รู้สึกว่าไม่มีความเครียด ไม่มีอะไรอย่างงี้

ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม 02

อะไรที่ทำให้ตัดสินใจแสดงตัวตนด้านนี้ออกมา

ปกติเนี่ย เพื่อนในวงสังคมที่เราอยู่ก็เป็น ก็อยู่ท่ามกลางคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วหลายคนที่เป็นคนดัง แต่เราก็แบบ ชอบพูดหรือทำอะไรที่มันตลก ๆ ชอบโพสต์อะไรตลก ๆ ลงโซเชียล แต่งหญิงบ้าง อะไรบ้าง แต่เราก็ให้สาระไปด้วย แต่บางทีเราก็โพสต์สาระเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อะไรแบบนี้ ซึ่งเพื่อนแม่งไม่มีใครมีความรู้เกี่ยวกับคอมเลย เราโพสต์ลงไปเพื่อที่จะแบบ เออ มึงก็เป็นคนเดียวในหน้าฟีดกูที่รู้เรื่องไอทีอะไรอย่างงี้ แล้วก็มีพี่ เจ้ต่าย jaytherabbit เราก็เป็นเพื่อนกับเขาในเฟซบุ๊ค เขาก็บอกว่า ท็อฟฟี่ หนูมีโพเทนเชียลในการทำเพจนะ ลองทำเพจสิ เราก็ลองทำดู แต่ตอนแรกไม่กล้าทำเพราะว่า เรารู้ว่าคาแร็กเตอร์เราเป็นแบบไหน แล้วเรากลัวว่าคนไม่อินกับเราเพราะว่าเราเป็นคนไว้หนวด เป็นตุ๊ดไว้หนวด แล้วเราเชื่อเลยว่าเดี๋ยวต้องมีคนถามแน่ว่า เป็นตุ๊ดแล้วทำไมไว้หนวด เราก็เลยรู้สึกไม่มีภูมิต้านทานด้านคอนเมนต์แรง ๆ เรากลัวไปเอง พอสุดท้ายแล้ว เออ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองทำดูแล้วกัน แต่ปรากฏว่าไม่เจอสิ่งที่เรากลัวเลย (FJZ: ไม่มีคอนเมนต์ด้านลบเลย) ไม่มีคอนเมนต์ด้านลบเลย ทำมาปีที่ 5 แล้ว ก็ไม่ค่อยเจอคอมเมนต์ด่าแรง ๆ ส่วนใหญ่มีแค่สงสัยว่า สุดสวยทำไม่โกนหนวด อะไรแบบนี้ จะเป็นตลก ๆ มากกว่า โชคดีมาก เราคิดว่ามันก็อยู่ที่การวางตัวของเรา เราก็ไม่ได้พูดจาหยาบคาย หรือทำอะไรที่มันดูไม่ดีไม่งาม

คนรอบข้างเรามีความเห็นยังไงบ้าง เพื่อนที่ทำงานหรือที่บ้าน

เพื่อนที่ทำงานก็เอาใจช่วย ที่บ้านเพิ่งมารู้ว่าเราทำเพจนี้ ก็รู้ว่าเราทำเพจ แต่ไม่รู้ว่าไปได้ถึงไหน เขาก็เห็นตั้งแต่ต้นว่ายังหาชุดพะรุงพะรัง ยังไม่มีชุดนักเรียนญี่ปุ่นเลย มันก็ค่อย ๆ ขยับจากตอนแรกก็เอาเสื้อผ้าที่เรามีอยู่ของเพื่อน ของแม่ มาประยุกต์ใส่ไป ๆ มา ๆ มันเริ่มมีคนเอาเสื้อมาให้ เสื้อ ชุดราตรี เดรสที่ไม่ใช้แล้วมาให้เราใส่ จนหลัง ๆ เราไปถ่ายแบบกับเพจของ aday ก็เป็นธีมชุดนักเรียนญี่ปุ่น ปรากฏว่าตากล้องเขา แนะนำให้เราก็คือสนิทกัน พี่ต้อม aday เขาก็แบบ ท็อฟฟี่ พี่อยากเห็นเราใส่ชุดนักเรียนญี่ปุ่น เราก็ลองใส่ชุดนักเรียนญี่ปุ่น แล้วไปถ่ายเซ็ตแฟชั่นกับเขา ปรากฏปล่อยภาพออกมา ปัง แล้วก็เป็นไวรัลอยู่ช่วงนึง แล้วเราก็รู้สึกว่า คาแร็กเตอร์เนี้ยเราชอบ เราก็เลยยึดคอสตูมนักเรียนญี่ปุ่นไปมาจนถึงปัจจุบัน มันก็กลายเป็นซิกเนเจอร์ของเราว่า ชุดนักเรียนญี่ปุ่น ผมบ็อบ ไว้หนวด คือท็อฟฟี่

ดึงดูดงานจากญี่ปุ่นมาบ้างไหม

งานจากญี่ปุ่นไม่มี มีจากไต้หวันมามากกว่า ไต้หวันกับเวียดนามเนี่ย ตอนช่วงสองสามปีก่อนจะเยอะเพราะว่า เหมือนรูปภาพของเรามันไปดังต่างประเทศ ไปดังที่เวีดยนาม ไปดังที่ไต้หวัน ซึ่งคนไต้หวันเนี่ยเขาก็จะมองเราว่าเป็นไอดอลมาก ๆ ก็เกิดเป็นกระแสคนแต่งหญิงตามก็มี ช่วงสองปีก่อน แล้วเราก็งงเหมือนกัน แล้วก็ไปออกอีเวนต์งานที่ไต้หวัน งานคอมนะ โมเมนต์นั้นคือทุกคนมาทรีตเราเหมือนเราเป็นดาราอะ (หัวเราะ) ทุกคนแบบว่า โอ้ว ท็อฟฟี่ คือทุกคนรู้จักเราว่าเราชื่อท็อฟฟี่ “Oh, Toffy. Can I take a picture with you” อะไรแบบนี้ เดินริมถนนก็มีคนวิ่งมาขอถ่ายรูป ตอนนั้นคือโอ้ว แต่ปัจจุบันก็คือก็ยังปังอยู่ถ้าเราไปใต้หวัน คนก็ยังจำเราได้ เพราะว่ารูปอะ เวลามันครบปี มันวนกลับมาเป็นไวรัลทุกปี

ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม 03

มีเรื่องอะไรที่คนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรา

ชอบคิดว่าเราไม่ได้เป็นตุ๊ดจริง ๆ เพราะทุกคนเจอเราจะชอบไปแอบหลังไมค์ถามเพื่อนที่รู้จักว่า ท็อฟฟี่นี่เป็นจริง ๆ ใช่ไหม หรือแค่แกล้งเป็นเฉย ๆ หรือว่าเป็นคาแร็กเตอร์อะไรแบบนี้ ซึ่งเราเป็นจริง ๆ เราไลฟ์เกมเราก็แปะคำว่าเป็นตุ๊ดจริง ๆ ไว้ (หัวเราะ) เพราะมีคนถามทุกครั้งที่มาดูเราไลฟ์ ก็เลยต้องขึ้นไปเลยว่า เป็นตุ๊ดจริง ๆ จะได้เลิกถามสักที ซึ่งก็เคยพยายามอธิบายแล้วก็เหนื่อยอธิบายแล้วจริง ๆ คือทุกคนจะมองว่า เวลาคนเป็น LGBT แบบเนี้ยจะต้องแบบนี้ ๆ ซึ่งเรากอยากจะให้เขาเข้าใจว่ามันก็หลายประเภท แต่ละคนมันก็มีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกัน บางคนก็เป็นแบบแจ๊คเกอรีน ภายนอกดูจ๊ะจ๋า แต่ชีวิตจริงก็นิ่ง ๆ เงียบๆ ไม่พูดเฉย ๆ อะไรแบบนี้ อยู่กับเพื่อนคาแร็กเตอร์นี้ เพื่อนอีกกลุ่มนึงอีกคาแร็กเตอร์นึง อยู่กับรุ่นน้องก็อีกแบบนึง อยู่กับที่ทำงานก็จะอีกแบบนึง

ชินกับสถานะการเป็นเน็ตไอดอลของตัวเองหรือยัง

เรายังมองว่าเราเป็นคนธรรมดาอยู่เลย แค่เหมือนมีเพื่อนเยอะขึ้นเฉย ๆ เรามองอย่างงี้มากกว่า เวลาเราแคสท์เกมก็เป็นลูกเพจที่มาเล่น มาเล่นกับเพื่อน บางคนชอบดู ไม่ชอบเล่นเกมอะไรที่น่ากลัวแล้วก็กดดันด้วย เราก็เล่นอยู่แค่สองเกมคือ Overwatch และ Dead by Daylight เพราะเรารู้สึกว่าคนมันชอบอะไรตื่นเต้น แล้วเกมมันก็แป็ปเดียว มันไม่ได้นาน

ในแวดวงไอทีตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง สำหรับท็อฟฟี่มีเรื่องอะไรน่าตื่นเต้น

ไอทีตอนนี้ถ้าเกิดเปลี่ยนไปจริง ๆ คือปกติไอทีมันก็จะเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แต่สมัยนี้เนี่ย สมาร์ตโฟนมันมาแรง มันก็มี gadget แบบ Apple Watch อะไรต่าง ๆ คนไอทีมันก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็น gadget หรืออุปกรณ์อะไรที่มีความไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น ที่ไม่ได้ไปฟิคแต่กับสเป็กของเครื่องคอมพิวเตอร์ ว่ามันต้องกี่กิ๊ก กี่เฮิร์ต มันจะต้องลงลึก กลายเป็นว่ามันเริ่มที่จะเป็นไลฟ์สไตล์มากกขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มที่จะเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย เหมือนคนไอทีบางคนก็เริ่มผันมาเป็น รีวิวอุปกรณ์ที่ช่วยให้ใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้น เริ่มจะเป็นเทรนด์ของสมาร์ตโฮม โคมไฟดีดนิ้ว เปิดแอร์ผ่านแอพ อะไรอย่างงี้

ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม 05

อีกบทบาทหนึ่งของเราก็เป็น influencer ด้วย เราห่วงเด็กยุคนี้ในการเสพรีวิวผ่าน influencer ไหม

มันเป็นยุคที่คนอยากจะเป็น YouTuber อยากเป็น Influencer เพราะว่าเหมือนเขาเห็นคนพวกนี้ประสบความสำเร็จ ซึ่งใคร ๆ ก็เป็นได้ก็จริง แต่ว่าก็ไม่ใช่ทุกคน มันก็ขึ้นอยู่กับโอกาส ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ ขึ้นอยู่กับจังหวะด้วย ซึ่งบางทีเนี่ย คนก็อยากจะดังเร็ว ทำคลิปเดียวปัง แล้วมีชื่อเสียง มีคนกดไลค์ กดแชร์เยอะ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นไปได้ ก็เป็นแค่คลิปเดียวแล้วหายไปเลย แล้วก็มีเคสตัวอย่างหลายเคสอย่าง น้องเหนียวไก่เอย ดังแค่เรื่องเดียวแล้วก็หาย เขาก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาทำด้วย เพราะว่าเขาสนุกอย่างเดียวไม่ได้ สะใจอย่างเดียวไม่ได้ เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ พอเรามีคนติดตามเยอะ เราเริ่มมีสปอรต์ไลท์เยอะ การทำสิ่งต่าง ๆ เราก็ต้องคิดมากยิ่งขึ้น นี่ก็คิดว่าตัวเองก็มีคนติดตามเยอะ แต่เราก็คิดอยู่เสมอว่า เราก็คือคนธรรมดา ซึ่งสมัยนี้เนี่ย มันใช้เวลาในการสร้างตัวตนและให้มีชื่อเสียงเนี่ย นาน แต่ว่าเวลาขาลงหรือดับลงเนี่ย มันใช้เวลาแค่วันเดียวก็สามารถทำได้เหมือนกัน ซึ่งเราก็มองว่าไม่คุ้ม สมมุติพรุ่งนี้เราทำคอนเทนท์อะไรไม่รู้ ผิดศีลธรรมไปหมดทุกอย่าง เราโดนกระแสตีกลับ เราก็สามารถที่จะหายไปจากกระแสหรือพื้นที่ตรงนี้ได้เลยภายในแค่ชั่ววูบเดียว

ส่วนตัวเรามี dealbreaker ไหม ที่เราจะไม่ทำในฐานะ influencer แน่นอน

การพนันกับสุราที่มันจะเป็นภาพลักษณ์ไม่ดีกับเด็ก เพราะว่าเพจเราก็มีเด็กตามเรา อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับค่านิยมผิด ๆ กับเด็กเราก็จะไม่รับแล้วก็จะไม่ทำ แล้วเราไม่ใช้คำหยาบ หยาบของเราคือพูดออกมาแล้วไม่ใช่คำหยาบ เหี้ย จะกลายเป็น เชี้ยยย จะเป็นเฉพาะตอนเล่นเกม จะไม่ได้เป็นแบบ อีเหี้ยเอ้ย อีสัตว์ จะไม่มี จะมีแบบบเชี้ยเอ้ย พังอีกแล้วกู อะไรอย่างเงี้ย โทนเสียงจะเป็นโทนน่ารัก

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการใช้ชีวิตในฐานะ influencer

การบริหารเวลา การที่มองว่าอันไหนสำคัญก่อนหลัง การให้ลำดับความสำคัญ อันนี้เป็นปัญหาในชีวิตที่เจออยู่ทุกวัน แล้วก็เลยตัดสินใจลาออกมาทำเป็นฟรีแลนซ์ คือบางทีเนี่ยที่ทำงานก็เข้าใจว่ามีอีกพาร์ตที่เป็น influencer ด้วย แค่เราก็ทำงานประจำอยู่ ซึ่งเราก็ต้อง ตอนแรกเนี่ยเรารู้สึกว่าเราสามารถทำได้ที่จะประคับประคองทั้งงานประจำกับงาน influencer ไปด้วยกัน แต่บางทีมันก็มี conflict กันบ้างเช่น ต้องไปออกอีเวนต์ ซึ่งเราก็มองว่ามันเป็นโอกาสนึงของเรา ซึ่งงานประจำเราก็รู้แหละ เราเอาเปรียบออฟฟิศเราอยู่หรือเปล่าวะ บางทีเราก็ต้องบริหาร บางทีเราก็ไปโฟกัสกับงานนอกมากเกินไปจนละเลยงานประจำก็มี เลยตัดสินใจออกดีกว่าเพื่อที่จะเอาดีด้านนี้ให้สุดไปเลย เพราะว่ามันจะไม่สุดสักทาง งานประจำเราก็ไม่ได้ทำได้มาก งานนอกเราก็ไม่ได้ทำได้ดีมาก เพราะว่ามันมีอันนี้รั้งไว้อยู่ มันก็ไม่สุดสักทางเลยเลิกดูสิ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิต แต่ว่าพอลองทำแล้วเรารู้สึกว่ามันต้องลองทำอะ มันไม่ได้น่ากลัวอย่าที่คิด ตอนที่เราออกเรากลัว แต่พอเราออกมาทำแล้ว ทำไมมันยุ่งกว่าเดิมอีกวะ (หัวเราะ) ตอนแรกกลัวจะไม่มีงาน ปรากฏว่าฉิบหายแล้ว งานเยอะกว่าเดิม ไม่มีเวลา

ถ้าเด็กรุ่นใหม่มาขอคำปรึกษาว่าอยากเป็น YouTuber ท็อฟฟี่จะแนะนำอะไร

จริง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบอะไร อยากจะนำเสนออะไรมากกว่า จริง ๆ ทุกคนสามารถเป็นได้ อยู่ที่ว่าจะดึงศักยภาพตัวเองออกมาได้แค่ไหน จะเป็นสไตล์ไหน เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ คิดว่าเขาก็มีตัวอย่างของเขาที่อยากจะเป็น เป็นแบบน้องแป้ง zbing เก๋ไก๋ สไลเดอร์ ทุกคนจะชอบเอาตัวอย่างมาตั้งแล้วทำแพลตฟอร์มเดียวกับเขา พวกพูดเปิด ซึ่งอะไรตรงนี้เราอย่าไปฟิกมันมาก เราสามารถมีสไตล์เป็นของตัวเองได้ บางทีไม่จำเป็นต้องพูดเปิดไปก่อน บางทีเราอาจจะเอาไฮไลต์ขึ้นหน้าแล้วค่อยพูดเปิด หรือจะพูดเปิดแล้วเอาไฮไลต์ แล้วแต่ซึ่งเราสามารถที่จะคัสต้อมสไตล์ของเราให้เหมาะสมได้ การทำคอนเทนท์มันไม่ได้มีแบบฟอร์มที่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะนำเสนอยังไง ที่สำคัญเลยคือความสม่ำเสมอ ตัวตนของเราจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราทำสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเกิดมันไม่เวิร์ค เราก็เปลี่ยนวิธี แล้วก็ทำวิธีนั้นซ้ำ ๆ ดู อย่างไลฟ์เกมช่วงแรก ๆ ก็ไม่ได้มีคนอิน คือคนดูเราแค่ตอนที่เราไลฟ์ครั้งแรกคือ 10-15 คน ปัจจุบันก็ 200-300 แล้วแต่วัน แล้วแต่จังหวะที่เรามา ถ้าเรามาดึกคนก็ดูน้อยหน่อย ถ้าเรามาหัวค่ำจำนวนคนดูก็เยอะ ก็แล้วแต่

ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม 06

การแคสต์เกมมันดีต่อวงการเกมยังไงบ้าง

มันก็ช่วยให้คนสนใจเกมมากขึ้น อีกอย่างนึงก็คือช่วยให้เรารู้สึกว่ามีอะไรทำ เราไม่เหงา จริง ๆ การเล่นเกมเนี่ย มันเหมาะสำหรับคนที่เหงาหรืออะไรพวกเนี้ย มันทำให้เราได้เพื่อนใหม่ ๆ บางคนก็ไม่ได้ผล แต่ของเราได้ผล เราก็ไม่ได้มีแฟน ก็ไม่อยากจะไปร้านเหล้า บางทีก็อยากนั่งอยู่บ้านเล่นเกม แต่ก็อยากมีเพื่อนคุย ก็ต้องหาคนที่ไลฟ์เกมเพื่อที่จะมีคนมาดู คุยกับคนที่ดูเราอยู่ ไรงี้ จะได้รู้สึกว่า มีปฏิสัมพันธ์ เกิดสังคมใหม่ ๆ ขึ้น (FJZ: เป็นเหมือนคอมมูนิตี้เล็ก ๆ ที่ทำให้คนได้เจอกัน) ใช่ ๆ

อะไรทำให้คนอยากดูคนแคสต์เกม

มีหลายเหตุผล หนึ่งเป็นเกมที่เราไม่สามารถเล่นเองได้ สองอยากดูรีแอคชั่นว่าคนเนี้ย เจอสถานการณ์แบบเนี้ย จะมีรีแอคชั่นยังไง อย่างเช่นถ้าเล่นเกมผี จะตกใจไหม จะกลัวไหม ก็อยากดู สามแก้เหงา ฟังเป็นเพื่อนตอนทำงานกะดึก อย่างฐานแฟนที่ดูไลฟ์เนี่ย ก็เป็นกลุ่มพนักงานกะดึก หมอ พนักงานเซเว่น สาวโรงงาน ที่อยู่กะดึกหรือคนเข้ายามกะดึก แล้วมันไม่มีอะไรดู ก็มานั่งดูเราเป็นเพื่อน หมอดูเยอะมาก เวลามีคน pay down, donate ให้ก็เปย์ให้เยอะมาก ไลฟ์นาน ๆ หน่อยนะ เข้าเวรดึกแล้วไม่มีเพื่อนคุย เหงา อะไรแบบนี้ก็มี ขึ้นอยู่กับกลุ่มคาแร็กเตอร์เพจ เพจเรามันเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน มันก็จะดึงกลุ่มคนทำงานเอาไว้ ซึ่งบางเพจก็จะเจาะกลุ่มเด็กเล็ก ก็จะมีแต่เด็กที่เป็นฐานแฟนคลับ ก็มีเหมือนกัน

การที่เราทำเพจ ตุ๊ดซ่อมคอม แต่งหญิง มันเคยมีฟีดแบคจากคนหลากหลายเพศมาบ้างไหม

เจอไม่ดี ช่วงแรก ๆ จะเจอเหมือนประมาณว่า เขาหาว่าเราหากินกับความเป็น LGBT ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่เคยพูดถึงเรื่อง LGBT เพราะว่ากันตามตรงเรื่องของการเรียกร้องสิทธ์อะ เขาบอกว่าพื้นฐานเราแต่งตัวอยู่แล้ว เราแค่แต่งหญิงตอนทำงาน ซึ่งมันก็จริงของเขา แต่ว่าเราได้รับผลกระทบกับการที่จะต้องเรียกร้องสิทธ์อะไรแบบนี้ไหม เราก็ไม่ได้อินมาก เราก็ไม่ได้เสนอตัวในเรื่องของ LGBT เยอะซักเท่าไหร่เพราะว่า บางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่ได้อินกับเขา เรื่องบางเรื่องคือมันไม่ได้อยู่ในเรื่องที่เราอินในพาร์ตนี้ แต่เราอินในพาร์ตอื่น ถ้าให้เราช่วย เราช่วยได้ บางคนเขาก็จะมีปัญหาว่า เป็น transgender ซึ่งเขาอาจจะถูกปฏิบัติไม่ดีหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งในสังคมที่เราอยู่ เราเป็นอย่างงี้ก็จริง เราเปิดเผยก็จริง แต่คนที่อยู่รอบข้างตัวเราทรีทเราดีมาก เราก็เลยรู้สึกว่าเรายังไม่เคยเจอกรณีที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ส่วนมากจะเจอ LGBT ด้วยกันเองที่มาว่าเรา (FJZ: ตอนนั้นเรารับมือยังไง) ไม่ตอบ ไม่อ่าน เราเลือกที่จะนิ่ง เพราะมันเป็นเหตุผลของเขา ถามว่านอยด์ไหม มันก็นอยด์ เพียงแค่เราก็ไม่โต้ตอบ ซึ่งเราก็มีเหตุผลของเรา เขาก็มีเหตุผลของเขาที่จะเอาประเด็นมาด่าเราในเรื่องนี้ แล้วก็มีเหตุผลที่เราทำแบบนี้ เราก็ไม่ออกตัวว่าก็เราไม่อินจะให้แสร้งทำเป็นอินกับพวกเธอมันก็ดูไม่จริงใจ ให้เราช่วยได้ไหม เราก็สามารถช่วยได้ แต่ถ้าเกิดว่าจะมาบังคับให้เราเห็นด้วย เราก็คิดว่าอันนี้มันไม่ถูกต้อง เราแค่มีคาแร็กเตอร์ในบทบาทนั้น เราก็ถือว่าการที่อยู่ในวงการไอที การเป็นซับเซอร์วิสในวงการไอที มันก็ถือว่าเป็นการจุดเปลี่ยนของไอที เพราะมันไม่มีใครที่เป็นตุ๊ดซ่อมคอมหรือเป็น LGBT แล้วอยู่ในสายไอทีเลย มันทำให้เวลาเลือก influencer ฝ่ายชาย ก็จะมีคนนู่น คนนี้ อินฟลูเอนเซฮร์ผู้หญิงก็จะมีคนนี้ ๆ พอมาเป็น LGBT ปุ๊ป มีเราอยู่คนเดียว มันก็เป็นจังหวะที่ดี ซึ่งตอนแรกเราก็ไมได้คาดหวังว่าจะไปไกลถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ มาแบบงง ๆ

ตอนแรกที่เรามาก็มีคนแอนตี้เราเยอะมาก พอเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น คนแอนตี้ มีคนสังสัยในตัวเราว่าเป็นแบบนี้จริง ๆ หรือแค่เอากระแส เอาพื้นที่ แต่พอเข้ามารู้จักกัน เขาก็เริ่มเปิดใจขึ้นเรื่อย ๆ จนแคลงใจกลายเป็นสนิท รู้เลยว่าอีท็อฟฟี่ เขาจะเรียกเราว่า งูพิษแห่งวงการไอที เพราะเราชอบร้าย ๆ และแกล้งคน

มีอะไรอยากพูดกับสังคมในฐานะคนหลากหลายทางเพศไหมครับ

ในสังคมเราคิดว่า เราหาคำที่สวยหรูไม่ออก แต่เรารู้สึกว่าเราเคยโดนเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการบุลลี่เรื่องเพศก็จริง แต่เราก็รู้สึกว่าการที่เราปฏิบัติตัว วางตัวในสถานะ LGBT ของเราอะ โดยที่ไม่ไปเบียดเบียนใคร มันก็จะช่วยให้คนอื่นเคารพเรามากขึ้น ซึ่งเราไม่ได้โจมตีเขาเวลาท่ีเขาไม่เห็นด้วยกับเรา เราไม่ได้เกรี้ยวกราดใส่เขา เราก็ค่อย ๆ อธิบายว่า เฮ้ย มันยังงี้ เวลาโดนคำพูด โดนคำเรียกว่า อีตุ๊ด สายเหลือง เราก็จะบอกเขา คำเนี้ยไม่ควรเรียกนะ ฉันไม่ถือแต่คนอื่นเขาจะเกลียดเอา เราก็แค่พออธิบายให้ว่า เราอยากพูดกับสังคมว่า LGBT ว่าเราไม่ต้องไปสงสัยในตัวพวกเขาหรอกว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวเราเป็นไหม หรือเรายอมรับได้ไหมถ้าเกิดว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา เขาก็คนเหมือนกันแหละ ต่างกันตรงที่รสนิยม ความชอบ เขาอาาจะชอบผู้ชายแต่เขาแค่ไม่อยากให้ใครรู้ ไม่อยากเปิดเผย มันก็เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา ซึ่งเราไม่ต้องไปแคลงใจหรอกว่าคนนี้เป็นเปล่าวะ คนนั้นเป็นเปล่าวะ บางทีเราแค่ต้องตอบคำถามว่า เราจะรู้ไปทำไม รู้แล้วได้อะไร พอเราโตไปเราจะเริ่มเข้าใจว่า ทำไม 1+1=2 จริง ๆ มันอาจจะมีเหตุผลก็ได้ที่คำตอบอาจไม่ใช่ 2 แค่อย่าเอาความชอบของเราไปคลุมหรือเอาอคติของเราไปคลุมคนอื่นแค่นั้นเอง เรารู้สึกว่าสังคมเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นกับที่เราเจอ

คำแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่กล้าแสดออกในสิ่งที่เราเป็น

ขึ้นอยู่กับว่าเราจะแสดงออกในเชิงไหน ถ้าเกิดว่าเราอยู่ในสังคมที่เขายังไม่ชินกับ LGBT แล้วอาจจะค่อย ๆ แสดงสัญลักษณ์ ค่อย ๆ ปล่อยออกมาทีละนิดก็ได้ หรือถ้าเกิดว่าเราอยู่ในสังคมที่เขารู้ว่าเราเป็น เขาแค่รอเราเปิด เราจะทำอะไรเดี๋ยวเขาก็รับได้เอง ถ้าเริ่มจากความนุ่มนวลน่าจะดีกว่าการเปิดตัวแบบเฟียส ๆ อะไรที่ไม่ทำให้กระทบความรู้สึกของคนอื่นอะ มันเป็นสิ่งที่ดีอะ เราเปิดตัวเราไม่เคยไปเรียกจิกกัดใคร คนเขาก็เอ็นดูเรา เราเลยรู้สึกว่าการที่เราทรีตคนอื่นดี เจาก็ทรีทเราดีกลับ เราไปเรียกเขาว่า อีผี เราก็รู้สึกว่า เอ้ย การไปจิกกัดเขาแบบเนี้ย บางทีเขาอาจรู้สึกไม่ปลอดภัยกับเราปะ เจอ LGBT แล้วเขาจะจิกกัดหรือเปล่าวะ

ไปพูดคุย ติดตามการแคสต์เกมสนุก ๆ หรือเข้าไปเอนจอยกับท็อฟฟี่ได้ที่เพจ ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม เลยจ้า

ท็อฟฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม 04

Facebook Comments

Next:


Peerapong Kaewthae

แม็ค เป็นคนชอบฟังเพลงเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และก็ชอบแนะนำวงดนตรีหรือเพลงใหม่ ๆ ให้คนอื่นรู้จักผ่านตัวอักษรตลอดเวลา