จ๋อง พงศ์นรินทร์ Cat Radio ผ่านมา 17 ปีแล้วตั้งแต่ Fat Radio ที่เปิดเพลงแปลกหูให้เราฟังกันทุกวัน ถ้าคลื่นวิทยุคือคน ก็เหมือนเด็กที่เติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

Article Interview

นั่งจ๋องคุยกับ พี่จ๋อง ผู้อยู่เบื้องหลัง Cat Expo 4 อีกเทศกาลดนตรีที่คุณไม่ควรพลาด

  • Writer: Peerapong Kaewthae
  • Photographer: Chavit Mayot

ผ่านมา 17 ปีแล้วตั้งแต่ Fat Radio ออนแอร์จนกลายมาเป็น Cat Radio ที่คอยเปิดเพลงแปลกหูให้เราฟังกันทุกวัน ถ้าคลื่นวิทยุนี้คือวัยรุ่นคนหนึ่ง ก็เหมือนเด็กที่เติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์และอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่น่าภาคภูมิใจในตัวเองที่สุด เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่โตมากับการฟังเพลงจากคลื่น Fat Radio ประหนึ่งเพื่อนที่แนะนำให้เราได้รู้จักเพลงต่าง ๆ มากมายที่หาฟังที่ไหนไม่ได้ ไป Fat Festval มาตั้งหลายครั้ง หรือ Cat Expo ก็ยังไม่เคยพลาด ดีใจมาก ๆ ที่วันนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับ เฮนรี่ จ๋อง หรือ พงศ์นรินทร์ อุลิศ ผู้บริหาร Cat Radio ที่อยู่เบื้องหลังคอนเสิร์ตที่จัดมาแล้วถึง 25 ครั้ง อยากรู้หรือเปล่าว่าทำไม Cat Expo ยังตอบโจทย์การฟังเพลงของเด็กแมวมาได้ทุกครั้ง

จ๋อง พงศ์นรินทร์ อุลิศ ผู้บริหาร Cat Radio และผู้จัดงาน Cat Expo
จ๋อง พงศ์นรินทร์ อุลิศ ผู้บริหาร Cat Radio และผู้จัดงาน Cat Expo

 

คอนเซปต์ ‘คนเล็ก เพลงโต’ มีที่มายังไง

คอนเซปต์หลักของมันก็ว่าด้วยเทศกาลดนตรีของคนเล็ก ๆ กับตลาดเพลงไทย น่าจะเป็นแท็กไลน์ที่ใช้กับ Cat Expo ไปซักพักใหญ่ ๆ เราชอบคำว่าคนเล็ก ๆ เพราะเรามองว่าการเสพเพลงหรือความบันเทิงทางศิลปะเป็นเรื่องเล็ก เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ประชามติใด ๆ ทั้งสิ้น ในแง่คนจัดก็เป็นคนเล็ก ๆ คนฟังหรือคนมาเที่ยวเทศกาลก็เป็นปัจเจกชน แม้แต่ศิลปินเขาจะเป็นที่รู้จักหรือเป็นที่นิยมแค่ไหนก็ตามก็เริ่มมาจากคนเล็ก ๆ ทั้งนั้น คนเล็ก ๆ ที่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบทำด้วยความรักแน่ ๆ แต่ก็ทำเป็น side project เพราะสภาพโดยรวมทำให้มันเป็นอาชีพยากจังเลยเนอะ แต่สิ่งที่มันใหญ่จริง ๆ มันคือเพลง ไอ้งานที่เขาสร้างมันคือสิ่งที่ทำให้เขาโต คุณไม่รู้จักวง ไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง แต่คุณชอบเพลงได้ ในความเป็น expo เรื่องเพลงนอกจากเป็นหัวใจหลักที่ทำให้เกิดงานแล้ว ส่วนหนึ่งที่นอกจากตัวคอนเสิร์ตเองหรือกิจกรรมอื่น ๆ ก็คือตลาดเพลงไทยที่มีการซื้อขายกันเป็นอีเวนต์ที่น่าจะใหญ่ที่สุดจริง ๆ คอนเซปต์โดยรวมก็แค่ถอดความของตัวคอนเซปต์ของงานออกมาเท่านั้นเอง

แล้วความจริง ‘คนเล็ก เพลงโต’ มันไม่ใช่ธีมหรอก ตอนประชุมคอนเซปต์ Cat Expo 4 กันเนี่ย มันก็น่าสนุกหมดเลย แต่พี่ก็มีความเห็นขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า การที่งานจะต้องมีธีมเนี่ยเป็นภาวะผูกพันไปป่าววะ นึกถึงตอนทำ Fat Festival เราทำอยู่ห้าปีโดยไม่มีธีมอะไร พอเราเริ่มมีธีมปีที่หก จากนั้นทุกคนก็ถามว่าปีนี้ธีมอะไร จากตอนแรกคิดทำธีมเอาสนุกซักปีนึง กลายเป็นความคาดหวังของคน เราก็ไม่ได้คิดจะเลิกเร็ว ๆ นี้ปะ นึกภาพตัวเองต้องมาจัดครั้งที่ 25 เนี่ย เราจะไปคิดอะไรดี ๆ ได้อีก 25 ปีเชียวหรอวะ (ยิ้ม) ก็กังวลตรงนี้เหมือนกัน อีกเหตุผลหนึ่งคือ Fat Festival มันอาจจะเหมาะตรงที่ว่าชื่อมันติดหูคนแล้ว แต่ Cat Expo ยังใหม่มาก ยังจัดไม่กี่ปี ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ทำให้แบรนด์ดิ้งมันแข็งแรงเลย ปีแรกชื่อ Cat Expo ปีที่สองก็ชื่อ Cat Expopo ปีที่สามก็ Cat Expo 3D ชาวบ้านที่เขาไม่ได้เป็นแฟนเราเนี่ยจะรู้มั้ยว่าเป็นงานเดียวกัน เราเลยอยากวางแบรนด์ Cat Expo ให้มันนิ่ง ๆ แล้วใช้ยังงี้ไปยาว ๆ ก่อนให้เป็นที่รับรู้ของตลาด ไอ้ความเด๋อด๋าของเราอย่างนึงคือเดินไปไหนถามเขาว่ารู้จัก Cat มั้ยครับ เขาก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าถามว่ารู้จัก Fat มั้ย ทุกคนจะรู้จัก Fat Fest พี่จะเจอสิ่งนี้ตลอดเวลา แล้วเรารู้สึกว่า เออ หรือจริง ๆ การเรื่องการตั้งชื่อมันก็สำคัญวะ เลยคิดว่าเราใช้ชื่อ Cat Expo ไปยาว ๆ ดีกว่าแล้วใส่ตัวเลขลงไปให้มันรู้ปีก็พอ ซักพักค่อยกลับมาใช้ธีมอีกครั้งหนึ่ง

ปัญหาอย่างหนึ่งในการคิดธีมขึ้นมา ไอ้สิ่งที่เราต้องเสียเวลากันไปพักหนึ่งเวลาจะโปรโมตงานคือเราจะต้องขยี้กับธีมไง แล้วเราไม่ได้เป็นแบบช่อง 3 หรือสื่อที่ทรงพลังมากจนสามารถปล่อยอะไรทีละนิด ๆ แล้วคนจะมานั่งติดตามเรา พอเราไปเล่นธีมการรับรู้ของสังคมก็จะเป็นครั้งที่หนึ่ง พอเราพูดในสเต็ปที่สองอย่างไลน์อัพกลายเป็นความน่าตื่นเต้นมันน้อยลงไป เราก็ไปเล่นกับ 3 มิติอยู่ตั้งนาน ไอ้ที่เขาอยากรู้คือมึงเอาใครมาเล่นวะ เราเลยกลับทางกัน ไม่ต้องไปเสียเวลากับธีมเหอะ บอกไปเลยว่าเขาจะได้ดูใคร น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่ากับพลังที่เราไม่ได้มีมากมาย พี่ว่ามันก็ตอบโจทย์ คนเขาก็อยากมาดู ไอ้ที่เหลือเป็นบรรยากาศ ธีมมันคือหีบห่อปะ มันไม่ใช่แก่น

ศิลปินที่เพลงไม่ดังก็เลยต้องไปหาช่องทางอื่นในการเกิด ต้องไปโผล่ใน ฟังใจ ไปโผล่ใน Fat ใน Cat หรือปล่อย YouTube เองก็ได้วะ แล้วก็มานั่งบอกว่าพวกนี้อินดี้ คือเพลงมันป๊อบจะตายแค่คุณไม่เปิดป่าววะ

คอนเสิร์ตปีนี้มีอะไรที่ต้องไม่พลาด

ไอ้สิ่งที่เราพยายามจะทำและคงจะทำตลอดไปคือเราพยายามทำให้มันเป็นงานที่หลากหลาย เราเชื่อว่าวง ๆ หนึ่งไม่ว่ามันจะดังน้อยแค่ไหนก็จะมีคนที่ชอบเขาน่ะ เราไม่เคยจัดงานโดยเอาศิลปินดังเท่านั้นน่ะ เพราะเราทำมานานจนเรารู้ว่ามันมีคนที่เคยดัง ดังมาก ๆ แล้วมันไม่ดังก็ได้ หรือคนไม่ดังเดี๋ยวมันก็ดังได้ คนเรามันไม่ได้เริ่มต้นพร้อมกัน บางคนมันเพิ่งเริ่มเมื่อวานนี้ มันจะไปมีชื่อเสียงเท่าคนเล่นมาสิบปีได้ยังไง ถ้าเราไปสนใจความดังอย่างเดียวเนี่ย คน ๆ นั้นก็จะไม่ได้เล่นใช่มั้ย มันคือสภาพที่แท้จริงของวงการวิทยุมาโดยตลอด อย่างน้อยสิบห้าปีมาเนี่ยคือเล่นแต่เพลงดังกัน ศิลปินที่เพลงไม่ดังก็เลยต้องไปหาช่องทางอื่นในการเกิด ต้องไปโผล่ใน ฟังใจ ไปโผล่ใน Fat ใน Cat หรือปล่อย YouTube เองก็ได้วะ แล้วก็มานั่งบอกว่าพวกนี้อินดี้ คือเพลงมันป๊อบจะตายแค่คุณไม่เปิดป่าววะ (หัวเราะ) งั้นเวลาเราจัดงานมันต้องหลากหลาย ถ้าถามว่าต้องไม่พลาดอะไร ก็แล้วแต่เขาชอบอะไรละกัน คุณชอบอะไรคุณก็ไปดูอันนั้น เวทีมันก็เล่นพร้อมกันด้วยตั้งห้าหกเวที คุณต้องเลือกอยู่แล้ว ก็ไปเลือกอันที่คุณชอบ แต่บอกคุณได้อันหนึ่งว่า คุณจะได้เจอวงที่ไม่ได้เจอตั้งนานแล้วอย่าง Soundlanding หรือ Armchair คุณจะได้เจอวงเท่ ๆ ที่คนฟัง ฟังใจ คงจะชอบเยอะ เต็มไปหมด คุณจะได้เจอวงป๊อบฟังง่าย ๆ สบาย ๆ มากมาย คุณจะได้เจอแสตมป์Getsnova หรือ BNK48 ยังเงี้ยมันก็แมสจะตาย ผมว่าเจ๋งที่สุดของการฟังเพลงก็คือการยอมรับในกันและกัน เพื่อนเราอาจจะชอบวงอะไรอีกอย่างก็ได้ เป็นเรื่องรสนิยม หน้าที่ของพี่หรือของทีมเราคือทำให้มันหลากหลายก็พอ แล้วให้เขาไปเลือกกันเอง มันเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา

Cat Expo มีเกณฑ์ในการคัดเลือกวงมาเล่นยังไง

เนี่ยฮะ ความหลากหลายและใครว่างเล่น นี่คือโจทย์สำคัญเลย คุณว่างรึเปล่า เราไม่เคยทำงานโดยการตั้งเป้าไว้ว่าเราอยากได้วงอะไรบ้างเลยครับ ไม่เคยเลยจริง ๆ  เราก็เอาวันเป็นตัวตั้งแล้วถามไปว่าใครอยากมาเล่น เพราะเราไม่ได้จ่ายค่าจ้างเขาอย่างที่เขาควรจะได้ไง มันต้องสะดวกใจเขาด้วยว่าเขาอยากจะมามั้ย ถ้าถามว่าอยากได้คาราบาวมั้ย อยากได้ Bodyslam มั้ย ผมก็คงอยากได้เพราะเชื่อว่ามีคนอยากดู แต่ถ้าเขาไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ผมก็ถามไปหมดว่าใครว่างก็มา ใครตอบก่อนก็ได้เล่นก่อน เพราะที่มันจำกัด นี่ก็ต้องตัดวงไปอีกมากมายเลย ขออภัยเพื่อน ๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ไม่สามารถให้ทุกคนเล่นได้จริง ๆ ถ้าคุณตอบช้า ไม่เคยกั๊กที่ไว้ให้ใครจริง ๆ ในแง่หนึ่งเราก็เห็นว่ามันเป็นสปิริตของวงการ ถ้าเขาไม่เอ็นจอยเราจะไปบังคับเขาทำไม ถ้าคุณเอ็นจอยก็มา ใครอยากเล่นต้องได้เล่น แต่ใครมาก่อนก็ได้ก่อน

img_9755

อยากรู้ว่าทำไมถึงเลือก BNK48 มาเล่นใน Cat Expo

ถ้าพี่ตอบหล่อ ๆ จะตอบว่าเพื่อความหลากหลายของรสนิยมเพลง ถ้าพี่ตอบจริง ๆ คือทีมงานแม่งกรี๊ดวงนี้ (หัวเราะ) มันมีทีมที่พยายามกดดันพี่อยู่ ‘น้องเขาว่างนะครับ!’ พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงนะ อย่างที่บอกว่าทีมงานก็คือคนเล็ก ๆ ทุกคนก็จะเป็นแฟนวงโน่นวงนี่ มันก็อยากให้วงที่มันชอบมาเล่น ไอ้คนหนึ่งมันก็กล้ายกมือบอกว่า BNK48 สิครับ ผิดตรงไหน มึงไม่ผิดอยู่แล้วมึงลองไปชวนดูสิ แล้วเขาก็มา เราก็โอเค

แล้วมีวงไหนเพิ่งมาเล่น Cat Expo ครั้งนี้ครั้งแรก

เนี่ยแสตมป์ไม่เคยมา แสตมป์มันเล่นงานอื่นของเราทุกงานเลยแต่ Cat Expo ไม่เคย ครั้งที่แล้วมันควรจะได้เล่นแต่ต้องเลื่อนเลยไม่ได้เล่น Getsunova นี่ก็ไม่น่าจะเคยนะ ยังมีวงใหม่อีกมากมายที่ไม่น่าจะเคยเล่นอย่างวง Tilly Birds

ปีนี้ก็ยังจัดที่ Wonder World ใช่ไหม ที่นี่ตอบโจทย์ Cat Expo ยังไงบ้าง

ข้อหนึ่งคือค่าเช่าถูก ข้อสองคือเราต้องใช้พื้นที่ใหญ่ครับ แล้วพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ในเมืองมันไม่ได้มีเยอะ ถ้าหากมันมีมันก็คงแพงถ้าคนฉลาดหน่อยก็คงไม่เลือกแบบเรา เขาคงอยากให้คนไปเที่ยวเยอะ ๆ ซื้อบัตรง่าย เดินทางสะดวกใช่มั้ย แต่ถ้าเรามีปัญญาจ่ายได้ไอ้สิ่งที่ตามมามันมักจะติดบ้านคน ติดโรงเรียน ติดสถานราชการ แล้วยุคนี้มันเป็นยุคที่คนเขาไม่ทนกันครับนอกจากเขาโทรมาด่าคุณ เขาก็โทรไปด่าตำรวจ ตำรวจก็จะมาหาคุณมันจะชวนให้คุณปิดงานเร็วขึ้น นู่นนี่นั่น มันจะวุ่นวาย มันจะมีแต่ปัญหา เราก็ต้องแลกกับมันคือการเดินทางที่ไกลเหลือเกิน แต่มันจัดงานได้เวิร์กกว่า และสเปซเองมันก็เหมาะสม ระยะจากเวทีหนึ่งไปอีกเวทีหนึ่งแล้วเสียงมันไม่ตีกัน แต่ก็เดินไม่ไกลนัก ในแง่ฟังชั่นแล้วมันก็ตอบโจทย์ แต่ปัญหาเรื่องไกล ไม่มีที่จอดรถ ก็เป็นเรื่องที่เราต้องจัดการให้ดี ให้คนรู้สึกอยากไปทำไงดีวะ

มีปัญหาอะไรที่คนฟังร้องเรียนเยอะที่สุด

พื้นฐานง่ายสุดก็บ่นว่าไกลอะครับ เราต้องขอโทษที มันต้องจัดตรงนี้อะ มันต้องใกล้บ้านใครบ้างป่าววะ ใครบ้านใกล้ช่วยบอกทีว่าดี ๆ ช่วยผมหน่อย (หัวเราะ) พื้นที่มันก็เก่าหน่อยเพราะมันเป็นสวนสนุกที่มันไม่ทำงานแล้ว ที่จอดรถมันก็ย่ำแย่มาก มีแค่ 400 คันเองครับ มันไม่มีทางจะพออยู่แล้ว ถ้าถามว่าคุณแก้ปัญหาด้วยการไปจอดตามห้างใกล้ ๆ ได้มั้ย ห้างมันเต็มทั้งวันอยู่แล้วก็ลำบากอีก ขนส่งมวลชนก็ไม่ค่อยดี ไม่มีรถไฟฟ้าถึง ในแง่การเดินทางผมว่าลำบากแต่ที่เหลือน่าจะเวิร์ก เราก็พยายามบรรเทาแต่ยังแก้ไม่ได้จริง เราพยายามเอาแท็กซี่มาสแตนด์บาย มีชัตเตอร์บัสวิ่งรอบ ๆ แต่ก็มีอยู่คันเดียวไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก ที่จอดรถเราก็พยายามไปดีลเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่พออะ จะบอกว่าคุณไม่ต้องขับรถมาก็ไม่ได้อีก ถ้าเราจัดงานอยู่พารากอนก็คงไม่มีใครพูดเรื่องนี้ไง พยายามแก้ครับ แล้วขออภัยที่แก้ยังไงก็ยังแก้ได้ไม่ดีแน่ ๆ ก็ขอบคุณที่อดทนและเข้าใจกัน (ยิ้ม)

แล้วฝั่งคนจัดงานนี่มีปัญหาอะไรกับที่จัดบ้าง

ไม่มีเลย เขาซัพพอร์ตดี อยากทำอะไรเอาต้นไม้ตรงนี้ออกได้มั้ยครับ เขาก็เอาออกให้เลย ซัพพอร์ตดีมากเลยครับ ปีนี้เขาพยายามซ่อมเครื่องเล่นให้ทันบางชิ้นด้วย แต่พี่ยังไม่คอนเฟิร์มว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงมั้ย แต่เขาพูดยังงี้ เขาจะทำให้ชิงช้าในงานหมุนได้ น่าสนุกดีเนอะ ประสบการณ์ตอนเราจัดที่สวนสยามสมัยโน้นโคตรสนุกเลย พอเครื่องเล่นมันเล่นได้แล้วมันตอบโจทย์หมดเลย อันไหนเสียงดังเราก็ไม่เอา แต่แบบเขาดูดนตรี เขาดูงานศิลปะ เขากิน เขาเดินเล่น เขาขึ้นเครื่องเล่นนี่แม่งแบบมันใช่หมดแล้ว อันนี้ก็ต้องรอดูก่อนเนอะ

จ๋อง พงศ์นรินทร์ หรือ เฮนรี่ จ๋อง

เทศกาลดนตรีในอุดมคติของพี่จ๋องมีภาพเป็นยังไง

พูดตรง ๆ ไม่ได้มีความหลงใหลกับเทศกาลดนตรีอะไรเลยนะ พี่ไม่ใช่คนใฝ่ฝันอยากจัดเทศกาลดนตรีเลยครับ อย่างที่เราทำ Cat Expo เองหรือ Fat Festival ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้คิดว่า ‘อ๋อ เราไม่เคยทำเทศกาลดนตรี งั้นมาทำเทศกาลดนตรีกันดีกว่า’ เราคิดว่าควรทำงานอะไรวะที่สะท้อนความเป็นคลื่น จะทำคอนเสิร์ตวงวงหนึ่งมันก็ไม่ใช่ เราเปิดเพลงเยอะกว่านั้น ที่ที่มันต้องมีหลาย ๆ เวทีเว้ย มีของขายด้วยดีมั้ย เราคิดแค่นี้จริง ๆ ต่อมาเขาก็เรียกมันว่าเทศกาลดนตรี ซึ่งเราไม่เคยเรียกมันแบบนั้น เทศกาลดนตรีคืออะไรเราก็ไม่รู้ เราไม่มีประสบการณ์ไปดูเทศกาลดนตรีที่ไหนมาก่อน ตอบยากมากว่าในอุดมคติเทศกาลดนตรีจะมีหน้าตาเป็นยังไง พี่แค่ทำในสิ่งที่เราอยากทำอะ สมมุติว่ามันมีไบเบิ้ลออกมาว่าเทศกาลดนตรีควรจะประกอบด้วยหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ด พี่เชื่อว่าเราก็ไม่อ่านอยู่ดี กูก็จะทำยังเงี้ยแล้วกัน แต่ก็ไม่ปิดกั้นถ้าบังเอิญไปเจออะไร หรืออ่านไบเบิ้ลแล้วมันมีข้อห้า เราว่ามันเวิร์กก็เอามาใส่ แต่ว่าเริ่มต้นคงเริ่มจากสิ่งที่เราอยากทำก่อน ใช่ไม่ใช่ไม่รู้อันนี้คนอื่นคอมเมนต์ละกัน ตอบไม่ได้จริง ๆ

ทุกวันนี้พี่จ๋องภูมิใจกับมันแล้วหรือยัง

ส่วนใหญ่พี่ก็จะภูมิใจกับงานที่พี่ทำเสมอ อาจเพราะพี่เป็นคนมีความสุขง่าย มาตรฐานต่ำอะไรเงี้ย (หัวเราะ) ถ้า Cat Expo หรือ Cat Foodival มันออกมาดีอย่างที่ตั้งใจและคนมางานมีความสุขก็ภูมิใจเพราะสิ่งนี้ อย่างไรก็ดี ความภูมิใจที่ว่านั้นก็แค่ครึ่งเดียว เราไม่เคยให้เครดิตตัวเองมากมาย ไม่ได้ถ่อมตนอะไรหนักหนานะครับ แต่คิดว่างานเราออกมาดีก็ต่อเมื่อมันได้รับความร่วมมือจากคนสองคนอย่างน้อยที่สุด ก็คือเพื่อน ๆ ในวงการที่มาด้วยใจอะ คุณให้ศิลปินมานั่งทำอาหารนี่คุณบ้าแล้ว (หัวเราะ) คุณให้เขาเดินทางมาแล้วคุณไม่ได้จ่ายตังค่าตัวเขาเนี่ยคือเราเฮงซวยจะแย่อยู่แล้วในแง่การจัดการ คุณนึกออกมั้ย แต่เขามามันคือใจเขา เราขอบคุณข้อนี้ก่อน สิ่งต่อมาที่ทำให้งานมันดูดีคือคนที่มาครับ พอคนมันใช่อะไรก็ใช่อะ ไม่ต้องมาเยอะ ๆ เป็นหมื่นเป็นแสน มันมาเท่าที่มันมาเนี่ยแต่มันใช่ทุกคนมันก็ใช่แล้วเนอะ ศิลปินก็จะมีความสุขจากสิ่งเนี้ย คือคนที่มาซื้องานเขาด้วยแววตาคู่นั้น ด้วยคำพูดคำนั้นมันใจถึงใจ ไปยืนดูเขาเล่นดนตรีแล้วร้องตามได้ ซัพพอร์ตกันแม้ไม่รู้จักกัน เนี่ยแหละมันคือสิ่งที่มีคุณค่าของงานพี่ ไม่ใช่เพราะพี่จัดงานดี เก่ง ฉลาด เจ๋งว่ะ คำพูดพวกนี้ไม่เคยมีในทีมเราเลย แต่เป็นเพราะคนพวกนี้ต่างหากที่ทำให้งานมันดีเสมอ นี่ไม่ได้พูดหล่อ ๆ นะ พูดจริง ๆ หากจะภูมิใจอะไรก็ภูมิใจที่มีคนเหล่านี้ช่วยซัพพอร์ตเราต่อ ๆ ไป ยกตัวอย่างพี่ขายบัตร early ไปเมื่อต้นเดือนสิงหาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ใครมาซื้อจะสกรีนเสื้อให้ฟรีด้วยลายที่จะไม่มีอีกแล้ว ก็เตรียมตัวได้แย่หน่อยตามประสาเราอะเนาะ คนมารอนาน บางคนรอสี่ชั่วโมง การจัดการที่ไม่ใช่มืออาชีพ เสือกสกรีนกันเองด้วย แท็กที่ติดบอกว่าเสื้อตัวนี้ของใครแม่งก็หลุดบ้าง นี่เสื้อใครวะนู่นนี่นั่น งง นอกจากรอนานแล้วบางคนไม่ได้เสื้อด้วย ประมาณห้าคนเดินมาบอกพี่ว่า นานแต่ไม่เป็นไรครับ เข้าใจว่ายุ่ง เสื้อผมหายไปสามตัวครับพี่ แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปซื้อเสื้อมาสกรีนใหม่ คือมีแต่คนพูดว่าไม่เป็นไร หนูเห็นคนเยอะหนูก็ดีใจแล้ว คือแบบ บ้ารึเปล่า (หัวเราะ) เราทำบุญมาด้วยอะไรกันวะ นึกออกปะ มีคนทวิตด่าใน Twitter คนหนึ่งบอกว่าผิดหวังกับ Cat จังเลยรออยู่ตั้งสี่ชั่วโมง แต่ที่เหลือคือเข้าใจ งานมันดีด้วยคนพวกนี้จริง ๆ งานเราเจ๋งตรงนี้แหละ

ทิศทางการฟังเพลงวัยรุ่นสมัยนี้เป็นยังไงบ้าง

พี่ไม่รู้ว่าสมัยก่อนเป็นยังไงเนาะ เลยไม่แน่ใจว่าสมัยนี้เป็นยังไง แต่สมัยไหนก็คงเหมือนกัน คนส่วนใหญ่ก็จะฟังเพลงตามที่คนส่วนใหญ่ฟัง ใครฟังอะไรกันก็จะฟังอันนั้น ก็จะมีคนส่วนน้อยที่เจาะลึกหน่อย หาเอง พี่ว่าสภาพยังคงเหมือนกันนะ ถ้าถามว่าพรุ่งนี้เป็นยังไงก็คงเป็นยังงี้เสมอ ที่นี้ สิ่งที่มันจะเปลี่ยนไปคงเป็นชาม ชามที่ใส่เพลงนั้นมันอยู่ที่ไหน เดิมมันเคยอยู่ในวิทยุ เราก็ต้องไปฟังในวิทยุ วันนี้วิทยุไม่เปิดเพลงอย่างนั้นมันก็ไปอยู่ในชามอื่น อยู่ใน Cat Radio อยู่ใน ฟังใจ อยู่ใน YouTube อยู่ที่เพลงมันอยู่ที่ไหน พอไอ้เครื่องมือแบบนั้นเป็นเครื่องมือของคนส่วนน้อย ไอ้คนส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าถึง วัยรุ่นวันนี้อาจจะรู้จักเพลงน้อยกว่าเพลงที่มันมีอยู่ในตลาดเพราะรายการวิทยุส่วนใหญ่ดันไม่เล่น แต่เขาก็จะไปรู้จักจากที่อื่น เขาดู The Mask Singer แล้วรู้จัก เป๊ก ผลิตโชค ขึ้นมา ทั้งที่เขามีผลงานมานานแล้ว มันเป็นยุคของคนที่เริ่มต้นใหม่ ไม่ได้มีชื่อเสียงแบบค้างฟ้าแล้วลำบากมั้ย ในแง่หนึ่งก็ลำบาก ในแง่หนึ่งก็มีช่องทาง โอกาสมากมายเหมือนกันที่ทำให้คุณได้รับความสนใจโดยไม่จำเป็นต้องทำวิธีเดิม ๆ ถ้ามันยังมีเพลงที่น่าฟังวัยรุ่นไทยก็ยังฟัง อาจจะลำบาก อาจจะใช้เวลามากกว่าเดิมกว่ามันจะรู้ว่ามีวงแบบนี้ แต่ว่าธรรมชาติของมันมันจะฟังตามเพื่อน ๆ ไปซักพักหนึ่ง แต่ถ้ามันชอบฟังเพลงมันก็จะไปหาอะไรที่ไกลไปกว่าเพื่อนฟังของมันเอง แต่ถ้ามันอยากฟังยังที่คนอื่นชอบฟังมันก็จบตรงนั้น สิ่งที่ต่างไปคงเป็นแค่ชาม พฤติกรรมคนฟังก็ยังเหมือนเดิม

พฤติกรรมคนไปคอนเสิร์ตเปลี่ยนไปบ้างไหม จากการจัดมาหลายสิบปีตั้งแต่ Fat Festival จนมาถึง Cat Expo

พี่ว่าไม่ต่างมั้ง เดาเอานะ อันที่ต่างคือเดี๋ยวนี้อะไรมันแพงไปหมด ค่าครองชีพมันคงแพงขึ้นมั้ง ไม่รู้ละ ที่เหลือไม่น่าต่าง แต่ที่จะเห็นอย่างหนึ่งคือคอนเสิร์ตฝรั่งขายดีกว่าคอนเสิร์ตไทย อันเนี่ยชัด ความเป็น global มันน่าจะทรงพลังขึ้นกว่าสมัยสิบห้าปีที่แล้ว ตอนเราเริ่มทำ Fat ความเป็น global น่าจะไม่แข็งแรงเท่านี้ ยุคนั้นยังต้องแนะนำกันอยู่ว่าวงนี้มันเจ๋งยังไง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องโปรโมตละ เขารู้จักวงนี้กันหมด ดูดิจัด Phoenix คนแม่งเต็มเลย ถ้าเป็นสิบห้าปีที่แล้วต้องให้ความรู้นะว่า Phoenix คืออะไร ยุคนี้มันเป็นยุคที่วงเมืองนอกขายดี แต่คอนเสิร์ตไทยในแง่หนึ่งอาจจะเพราะมันเยอะแล้วมั้ง มีทั้ง Cat เดี๋ยวก็มี เห็ดสด ไอ้วงนี้ก็เล่นอยู่ได้ อาจทำให้โชว์นั้นไม่น่าซื้อเท่าไหร่ พี่ว่าคนอะเหมือนเดิม อยากซัพพอร์ตกัน อยากแสดงความชื่นชอบกันในทางใดทางหนึ่ง คอนเสิร์ตก็เป็นแบบนั้น

เฮนรี่จ๋อง พงศ์นรินทร์ Cat Radio พี่จ๋อง Cat Expo
จ๋อง พงศ์นรินทร์

การมีคอนเสิร์ตเล่นสำคัญที่สุดสำหรับนักดนตรีรึเปล่า

พี่ไม่เคยเป็นนักดนตรี เข้าใจว่าน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญในการลุกขึ้นมาเป็นศิลปินทำผลงานขึ้นมา ก็อยากให้เพลงเป็นที่ได้ยิน เป็นที่รู้จัก ไกลกว่านั้นคงอยากให้คนชอบงานของเรา ที่นี้การมายืนดูกันคือการแสดงออกว่าชื่นชอบ พี่ว่ามันก็เป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้ ไอ้คนคนนั้นเดินตามถนนอาจเป็นใครที่ไม่มีคนรู้จัก พอมายืนอยู่บนเวทีแล้วมีคนตบไม้ตบมือ เต้นตามเพลงที่มันเล่น โห พี่ว่ามันจะไปซื้อที่ไหน จะไปจ้างใครที่ไหนพันหนึ่งให้เราทำแบบนี้ให้ผมดูหน่อย ไม่มีใครทำไม่มีใครจ้างให้ทำแบบนั้นหรอกเพราะมันไม่จริง สิ่งที่มันได้มาโดยจริงเงี่ย ความรู้สึกที่เขาส่งให้กันแม่งน่าจะเป็นความสุขของนักดนตรี ความสุขของคนทำเพลง แต่งเพลงให้วงนี้เล่น ยืนยิ้มอยู่ข้างหลังตรงบอร์ด น่าจะเป็นความสุขอะ น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญ

Cat Expo ช่วยต่อลมหายใจให้ศิลปินมากน้อยแค่ไหน

พี่ไม่ได้ตั้งโจทย์นั้นในการทำงานนะครับ พี่คิดว่าพี่ต่อชีวิตให้เขาไม่ได้ ชีวิตเขาเขาก็ต้องสู้เอง แล้วเรื่องแบบนี้บางทีมันก็บุญกรรม มันก็ไม่ใช่เรื่องฝีมืออย่างเดียวที่จะเป็นคำตอบของชีวิต ไม่ใช่เรื่องรูปร่างหน้าตา เพลงนั้นดี หรือเพราะ หรือ classy แค่ไหน บางทีมันมีปัจจัยอื่นที่เราไม่เข้าใจไง นักร้องที่คุณแม่งไม่เคยชอบพอมันใส่หน้ากากขึ้นเวทีแล้วคุณชอบขึ้นมามันคืออะไรวะ บางทีปัจจัยเป็นเรื่องนอกเหนือสิ่งที่เราจับต้องได้ แต่สิ่งที่พี่พยายามทำมาโดยตลอดตั้งแต่ Fat หรือวันนี้ก็ตามที่ทำ Cat Radio พี่ไม่ได้เอนไปที่ศิลปิน เพราะพี่คิดว่าศิลปินเป็นเรื่องที่คุณทำด้วยใจไม่มีใครบังคับคุณ มองในแง่เราเราทำรายการวิทยุแบบที่คนส่วนใหญ่เขาไม่ชอบฟัง แม่งมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทำปะ เพราะว่ามันเป็นธุรกิจที่หวังจากสปอนเซอร์ และสปอนเซอร์ก็ย่อมมาจากความยอดนิยม แต่คุณตั้งเป้าทำรายการที่ไม่ยอดนิยมนี่คุณบ้าแล้วปะ คนฉลาดต้องไม่ทำ แต่เราเลือกทำเองแล้วเราไม่เคยบ่นนะ เราไม่เคยบ่นเศรษฐกิจเป็นอะไรไป รัฐบาลไม่เคยสนับสนุนศิลปิน เราไม่เคยบ่นเรื่องนี้เพราะเราเลือกทำเอง ไม่มีหมาตัวไหนบังคับเรา ผมก็คิดเช่นนั้นกับศิลปินนะ ว่าคุณเลือกทำเองว่ะ ไม่มีใครบังคับให้คุณเป็นศิลปินเนอะ คุณเป็นของคุณเอง ดังนั้นชีวิตลำบากก็ยอมรับมันเว้ย เราเลือกทางนี้กันเว้ย แต่สิ่งที่พี่ทำคือพี่สร้างคนฟัง คนฟังเขาไม่ได้เลือกเอง ซึ่งเป็นเพราะเขาไม่รู้จะเลือกอะไร แต่เขามักถูกบังคับให้เลือกก่อนโดยเขาไม่รู้ เรามีหน้าที่นำเสนอสิ่งนั้นให้เขา ทำให้เขารู้ แล้วสุดท้ายให้เขาไปเลือกเอง ผมสร้างคนที่มันเอนจอย คนที่ชื่นชอบในดนตรี คนที่มีความสุขกับเสียงเพลง เห็นมั้ยคุณจะชอบแบบไหนก็ได้ไงเพราะศิลปินมีทุกแบบ ในทางอ้อม ๆ เราก็คงช่วยสนับสนุนศิลปินแหละ เราคงมีผู้กำกับหนังเก่ง ๆ หลายคนไม่ได้หรอกครับถ้าไม่มีคนดู พี่คิดว่าการสร้างคนฟังมันช่วยทุกอย่างในตัวมันเองอยู่แล้ว มันจะได้ผู้ชมที่ดีที่รู้จักเลือกเป็น รู้ว่าอะไรควรจะชอบอะไรไม่ควรชอบ มีความหลากหลาย พอมันมีคนหลากหลายเยอะ ๆ ก็จะยอมรับในความแตกต่าง อย่างน้อยจะได้แมสที่ดีอะ แล้วหวังว่าจะเกิดศิลปินที่ดีกับแมสนี้ แล้วทำไมจะไม่มีล่ะในเมื่อมีคนฟังที่ดี เหมือนคุณมีดินที่ดีแล้วต้นไม้ต้องงอกงาม พี่ทำดิน พี่ไม่ได้ปลูกต้นไม้ ฟังใจ ปลูกต้นไม้ไปเถอะ ที่คุณทำมาดีอยู่แล้ว

เราเลือกทำเองแล้วเราไม่เคยบ่นนะ เราไม่เคยบ่นเศรษฐกิจเป็นอะไรไป รัฐบาลไม่เคยสนับสนุนศิลปิน เราไม่เคยบ่นเรื่องนี้เพราะเราเลือกทำเอง ไม่มีหมาตัวไหนบังคับเรา ผมก็คิดเช่นนั้นกับศิลปินนะ ว่าคุณเลือกทำเองว่ะ ไม่มีใครบังคับให้คุณเป็นศิลปินเนอะ คุณเป็นของคุณเอง ดังนั้นชีวิตลำบากก็ยอมรับมันเว้ย

แล้วอย่างวงที่ไม่มีคอนเสิร์ตเล่น พวกเขาควรทำยังไงดี

ต้องไปดูก่อนว่าทำไมถึงไม่มีคอนเสิร์ตเล่น เขาอาจจะแค่รอเวลาที่เหมาะสมก็ได้ หรือเขาอาจะไม่พร้อมแสดงก็ได้ พี่ว่าใครอยากเล่นก็ได้เล่นทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามองในมุมธุรกิจ ถ้ามันเป็นปากท้องแบบ เราไม่มีงานจ้างเลยว่ะ นั่นอีกเรื่องหนึ่งเนอะ ถ้าคุณอยากเล่นคุณไปเล่นงานไหนก็ได้ เล่นให้เพื่อนดู ปัจจัยมันมากมาย ถ้าถามว่าต้องทำยังไง คุณทำยังไงก็ได้ วิธีไหนก็ได้ผมไม่รู้เหมือนกัน ให้คุณเป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ เดี๋ยววงล้อมันก็จะขับเคลื่อนเอง กลับไปดูนักร้องที่คุณไม่เคยชอบแต่พอใส่หน้ากากแล้วคุณก็บอกว่าร้องดี พอถอดหน้ากากคุณก็ชอบเขาขึ้นมา เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ว่ะ พี่พูดตรง ๆ พี่ดู The Mask Singer ด้วยความมึนงงมาก มัน wonder เหมือนกันว่ะ มันคงมีวิธีทางอื่นอีกถ้าคุณคิดได้ ซึ่งพี่ไม่รู้และไม่ใช่หน้าที่ต้องมาคิดแทนด้วย ในการทำให้เป็นที่รู้จัก แต่ใด ๆ ก็ตาม ไม่มีอะไรผิดจากเบสิก ก็คือทำหน้าก้มตาทำงานให้ดีครับ แล้วหวังว่าโอกาสนั้นจะมาถึง ทำเพลงที่ดีที่เราพอใจ เราแฮปปี้กับมันก่อน สังคมจะยอมรับมันแค่ไหนมันอีกเรื่องหนึ่ง คุณไปถามไอ้วงที่มันเล่นเหนื่อย ๆ ดูสิ เล่นปีละสามร้อยโชว์มึงเบื่อมั้ยวะ มันก็เหนื่อยทุกคนอะ ไอ้พวกนั้นก็เยอะไป๊ ไอ้พวกน้อยก็น้อยไป๊ (หัวเราะ) ความพอดีมันอยู่ที่ไหน มันไม่มีหรอกครับ เราไม่ได้อยู่ในประเทศที่เป็นคอมมิวนิสที่แจกคูปองอาหารเท่า ๆ กัน มันเป็นเรื่องของโอกาสที่ต้องหาเอง สิ่งที่ได้รับมันก็ไม่เท่ากันด้วย ไม่ได้อยู่ที่ว่าแต่งเพลงมาสิบเพลง เล่นดนตรีมาสิบปี นักดนตรีวงผมหล่อห้าคน เป็นแบบนี้ห้าวงแม่งก็ได้ผลไม่เท่ากันนะเว้ย มันไม่ใช่คณิตศาสตร์ งั้นทำยังไงกับวงที่ไม่ได้เล่นวะ ถ้ามึงอยากเล่นมึงก็พยายามหน่อย ถ้ามึงยังไม่ได้เล่นก็ไม่ใช่ปัญหาป่าววะ เราลุกขึ้นมาทำดนตรีกันเพราะอะไรลองกลับไปดูข้อนี้กันก่อนดีกว่า

ให้พี่จ๋องชวนคนไป Cat Expo

ถ้าว่างก็เชิญครับ (ยิ้ม) จัดงานก็อยากให้มา แล้วมันต้องมีซักวงสองวงที่คุณชอบ ว่างก็เชิญ ไม่ว่างก็เจอกันปีหน้า

จ๋อง พงศ์นรินทร์ Cat Radio ผ่านมา 17 ปีแล้วตั้งแต่ Fat Radio พี่จ๋อง Cat Expo
จ๋อง พงศ์นรินทร์ Cat Expo
Facebook Comments

Next:


Peerapong Kaewthae

แม็ค เป็นคนชอบฟังเพลงเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และก็ชอบแนะนำวงดนตรีหรือเพลงใหม่ ๆ ให้คนอื่นรู้จักผ่านตัวอักษรตลอดเวลา