Article Interview

ความ ‘ไม่สมประกอบ’ ที่น่าหลงใหลในเพลงล่าสุดจาก The Dai Dai

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Genie Records

ใครที่ถามถึง The Dai Dai ว่าวงนี้เขาหายไปไหน จริง ๆ พวกเขาหลบไปซุ่มทำเพลงมาแปปนึง จนตอนนี้ปล่อยซิงเกิ้ลล่าสุด ไม่สมประกอบ ออกมาให้ได้ฟังกันแล้ว และอีกหน่อยจะมีผลงานต่อเนื่องมาให้ติดตามกันอย่างแน่นอน ตอนนี้มาอ่านเบื้องหลังของเพลงนี้และแผนการทำงานในอนาคตของพวกเขากันดีกว่า

ตอนซิงเกิ้ล ฝนโปรยปราย แฟนเพลงเซอร์ไพรส์ไหมที่มาทำเพลงแบบนี้

มิ้นท์: จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ค่ะ เซอร์ไพรส์ที่มันมีความร็อกขึ้นนิดนึง แต่เราก็ยังรู้สึกว่าไม่ขนาดนั้นอยู่ดี ยังมีซินธ์ฟุ้ง ลอย หน่อย เป็นแอมเบียนต์ที่ฟังแล้วยังมีความแฟนซีอยู่ดีใช่ เราอยู่บนพื้นฐานความสนุกแหละ แต่มันก็คือการทดลองของเราแหละค่ะ เพราะเรากำลังเริ่มเดินทาง เวลาเราทำเพลงมันขึ้นอยู่กับความรู้สึกในแต่ละช่วง อย่างช่วงนั้นไหนลองทำเพลงช้าดูซิ ก็เลยกลายเป็นเพลงฝนโปรยปราย แล้วก็คงจะดาร์กสุดแล้วที่เคยทำกันมา

หายไปปีนึงไปทำอะไรมา

มิ้นท์: หายไปทำเพลงให้ผ่านค่ะ (หัวเราะ) คือหลายอย่าง เราก็พยายามอยากจะสต๊อกเพลงไว้ด้วย

โดนัท: ทำไว้หลายเพลง กลับมาทีเดียว จะได้สร้างความต่อเนื่องหลังจากนี้ จริง พอที่จะเป็นอัลบั้มแหละ

มิ้นท์: แต่ว่าก็ต้องปรึกษากับทางค่ายด้วยเพราะการออกอัลบั้มก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่มันก็คือเป้าหมายของเรา

แล้วทำไมทีแรกถึงเลือกมาอยู่ Genie Records เพราะภาพของวงที่อยู่ค่ายนี้จะเป็นร็อกหมดเลย

มิ้นท์: เป็นจังหวะมากกว่า คือตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะไปส่งค่ายไหน ก็เดโม่ไปก่อนประมาณนึง แล้วจังหวะพอดีว่ารุ่นพี่เขามีโอกาสได้คุยกับพี่นิคเจ้าของค่ายพอดี แล้วพี่นิคกำลังมีโปรเจกต์ปั้นศิลปินใหม่ เอา Showroom กลับมา ก็เลยบอกว่าลองดูไหม เพราะเขากำลังอยากได้ศิลปินหญิงอยู่พอดี ก็ลองคุยดู ไม่เสียหาย แล้วเขาให้ทางพี่โน่ Wayfer Records ที่ตอนนั้นยังอยู่ Genie อยู่มาช่วยดู หลังจากที่คุยกับเขาเราก็ยังไม่ได้ไปคุยกับที่ไหนเพราะอยากลองทำงานกับเขา พอเริ่มแล้วก็ได้ทำไปเรื่อย เขาก็ให้ไปเล่นเปิดคอนเสิร์ต G16 แล้วก็มีโอกาสมาเรื่อย จน Showroom รู้สึกว่ามันมาถึงขนาดนี้แล้วแหละ มันก็น่าลองเพราะทุกคนเป็นหน้าใหม่เหมือนกันหมด ก็คิดว่านี่เหมือนเป็นการแจ้งเกิดไป แล้วผลตอบรับจะเป็นยังไงก็เป็นกำไร เพราะว่าตอนนั้นคิดว่าไม่ว่าจะไปยื่นค่ายไหนยังไงมันก็ต้องนับหนึ่งใหม่หมด กับตอนนั้นเราคิดว่าเราไม่ร็อกนะ มันจะยังไงวะ แต่เมื่อก่อนก็ Saturday Seiko, พี่แหลม 25 Hours ที่ยังทำคนเดียวอยู่, The Richman Toy, Paradox ก็อยู่แต่ไม่ใช่โปรเจกต์นี้ เลยรู้สึกว่าคนที่เขาไม่ได้ร็อกขนาดนั้น ตอนนั้นเขาก็ยังอยู่ได้ แล้วโปรเจกต์ Showroom เขาก็ไม่ได้บอกนี่ว่าเขาคือร็อก Showroom คือความหลากหลายที่เขาอยากนำเสนอ เป็นโปรเจกต์ที่เขาตั้งใจมีหลาย สีอยู่แล้ว แล้วเราก็เป็นหนึ่งในสีนั้นที่อยู่ท่ามกลางสีดำก็ได้นี่นา

จนมีเพลง หากค่ำคืน มันกลายเป็นว่าเราได้รับ feedback ที่ดีมากที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ Showroom มันดีตรงที่เขาให้อิสระเราทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นตัวเพลง mv เสื้อผ้า ได้คิดค้นเองหมดทุกอย่าง เพราะค่ายก็อยากจะดูสิ่งที่เป็นตัวศิลปินจริง เพียว เพราะเขายังไม่อยากไปปรับแต่งอะไร แล้วดูซิว่า คนจะตอบรับกับสิ่งที่เราเป็นยังไงบ้าง แล้วพอมันออกมาดีขนาดนี้มันก็มาพร้อมกับความกลัวของเรา เพราะนี่คือซิงเกิ้ลแรก นี่คือเพลงแรกในชีวิตของการเป็นศิลปินของเรา ซึ่งลึก เราก็มีความคาดหวังแหละ เพราะตอนนั้นยังปล่อยเพลงไม่ถึง 24 ชั่วโมงมันขึ้นอันดับ 2 ยอดดาวน์โหลดใน iTunes ก็งงกันว่ามันไปถึงอย่างนั้นเลยหรอ เราก็รู้สึกว่ามันโอเค เป็นการเริ่มต้นที่ดี มีกำลังใจที่จะทำต่อไปก็เลยสานต่อมาเรื่อย

จริง Genie Records ก็เคยทำที่ไม่ร็อกนะ อย่าง Blissonic แล้วเพลงก็เป็นที่พูดถึงมาเป็นสิบ ปี คิดว่าวงจะไปอยู่ตรงจุดนั้นได้ไหม

มิ้นท์: คิดว่าได้ คาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น คืออย่างน้อยเราก็สร้างตัวตน จุดยืนของเราให้มันโผล่ขึ้นมาแล้ว อย่าง Blissonic เขาก็ทำไว้ดี ที่มันเป็น talk of the town เพราะว่าตัวตนเขาชัด เขายึดพื้นที่นั้นได้ กลายเป็นว่าไม่ว่าจะอยู่ยุคสมัยไหนทุกคนก็จะนึกถึง เราเลยรู้สึกว่า เราพยายามที่จะสร้างพื้นที่ของเราให้แข็งแรง เพื่อหวังว่าวันนึงทุกคนจะได้นึกถึงเราบ้างว่า เฮ้ย เมื่อก่อนมันมีวงนึงที่แต่งตัวบ้า บอ สีจัด แล้วก็อะไรของมันก็ไม่รู้ (หัวเราะ)

แต่ถือเป็นวงที่ให้ความสำคัญกับวิชวลเหมือนกันนะ ในนี้มีใครเรียนศิลปะมาไหม

มิ้นท์: ไม่มี แต่ทุกคนเกิดจากความชอบ อย่างมิ้นท์เรียนอักษร ซึ่งไม่เกี่ยวเลยเรื่องศิลปะ (หัวเราะ) ไม่รู้เป็นอะไรพอชอบแล้วจะชอบดูชอบศึกษา พอมันมีข้อมูลระดับนึงแล้วจะใช้ก็จะเลือกดึงออกมา แล้วงานอดิเรกของคนในวงเราก็เป็นแบบนี้กันทุกคน มือซินธ์ คามิน เขาเรียนวิศวะ แต่งานอดิเรกคือวาดรูป ทำกราฟฟิก ตัดต่อ ทำอะไรท่ีมันต้องมีส่วนผสมของความคิดสร้างสรรค์หรือจินตนาการอยู่ตรงนั้น มันเลยกลายเป็นว่ามีสกิลด้านนี้มาประกอบกัน หรืออย่างโดนัทเรียนด้านดนตรีโดยตรงเขาก็จะเป็นคนสร้างสรรค์เพลงอยู่แล้ว หรือแม้แต่คนที่ทำงานร่วมกับเรา ผู้จัดการวงหรือคนที่มีโอกาสร่วมจอยกันก็เป็นคนที่มีหัวศิลปะ มันเลยกลายเป็นกรุ๊ปครีเอทีฟทั้ง ที่สายตรงไม่ใช่ The Dai Dai เหมือนไม่ใช่แค่เพลงอย่างเดียว แต่เราจะดูองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย เราพรีเซนต์ความเป็นแฟชัน ค่อนข้างจะ futuristic แต่เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาล้ำนะ คือทุกอย่างมันออกมาของมันอย่างนั้นเองจากความชอบ แล้วคนจะไปตีความเองว่ามาจากดาวอังคารปะวะ (หัวเราะ)

โดนัท: เราว่ามันมีคนที่ชอบแบบเดียวกับเรานะ แบบ เฮ้ย อย่างนี้ก็ได้หรอวะ มันก็ทำให้รู้สึกว่าเราก็แสดงความชอบของเราแบบนี้ก็ได้ เราไม่ใช่คนผิดประเภทนะเว่ย (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่า แต่ถูกใจไว้ก่อน

มิ้นท์: แค่ต้องไปให้สุดก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันว่าจะยังไง แต่ถามว่าแอบลนไหม ก็นิดนึง (หัวเราะ) มันไม่ได้อยู่กับร่องกับรอยขนาดนั้น จริง The Dai Dai ไม่ได้เป็นวงที่ต้องเข้าใจ

แล้วเวลาหยิบคอนเซ็ปต์มาครอบในแต่ละเพลง เราตัดสินจากอะไร

มิ้นท์: เอาจิตวิญญาณตัดสินล้วน เลย มิ้นท์ไม่ได้เรียนศิลปะ ไม่รู้ทฤษฎีว่าแบบนี้จริง เขาเรียกอะไร (โดนัท: สไตล์ไหน ยุคอะไร) คือทำออกมาเลย เนี่ย ฉันจะแต่งตัวแบบนี้ จะใส่อย่างนี้ จะเพ้นต์เสื้อเอง ทำ ๆๆๆ ขึ้นมา ใส่เอง สวยเอง ชมเอง มั่นใจเอง (หัวเราะ) ไม่ถามคนอื่นด้วยว่าดีไหม ไม่ ทำไปเลย

โดนัท: บางที mix and ไม่ match (หัวเราะ) จะดูว่าเข้ากับคาแร็กเตอร์เราหรือเปล่ามากกว่า ผสม กันไป

มิ้นท์: เหมือนมันมีสารตั้งต้นที่ชัดเจนอยู่อย่างนึง แล้วส่วนที่เหลือที่มาเติม เราเปิดดูด้วยว่ามีอันไหนบ้างที่น่าทำ ดู reference ศึกษา mv งานศิลปะที่ดูเข้ากับทางเรา โทนสีต่าง ที่มาตบ ตรงนี้ให้ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น

โดนัท: สมมติเราดู mv วงนอกเราไม่ได้ดูแค่เพลง ดูโทนแสง วิธีการถ่ายทำ เสื้อผ้า คือเพลงเราฟังอยู่แล้วแต่เราจะศึกษาลึกขึ้นไปอีก มิ้นท์จะส่งมาให้ดูว่าอันนี้สวยดี เราก็จะซึมซับจากความเป็นมิ้นท์ ก็ได้สังเกตอะไรมากกว่าแค่เพลง เพราะเราเป็นนักดนตรี เราฟังเยอะอยู่แล้ว ก็เริ่มที่จะดูบ้าง ซึ่งการเอามาใส่ในงานเราก็เป็นการหยิบอันนั้นอันนี้มารวมกัน ไม่ใช่ดูคนนี้แล้วเราจะยกทุกอย่างของเขามาเลย

มิ้นท์: ถ้าให้จัด category ว่าชอบแบบไหนอะ สำหรับมิ้นท์คือชอบศิลปินที่เพี้ยน ใครที่ออกมาแล้วแปลก ผิดแผกจากธรรมชาติ แล้วเราจะ crazy ไปโดยปริยาย มันมาจากนิสัยส่วนตัวด้วยแหละ คือมิ้นท์จะเป็นคนเพี้ยน หน่อย ก็จะชอบอะไรที่ใกล้ความเป็นตัวเอง

โดนัท: มีช่วงนึงอะเจอ Die Antwoord เป็นวงที่บ้ามากซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยรู้จัก พอมาเจอก็แบบ เฮ่ย วงอะไรวะ ก็คิดว่าว่าที่ใกล้เคียงตัวเองที่สุดแบบที่มิ้นท์ว่าก็คือ มันบ้าอย่างนี้นี่เอง สุดเลย

Dai Dai

ด้วยปัจจัยอะไรแบบนี้เป็นที่มาของคำว่า ไม่สมประกอบ ในเพลงล่าสุดด้วยหรือเปล่า

มิ้นท์: ใช่ เพลงนี้มีพี่โฟร์ 25 Hours มาเป็นโปรดิวเซอร์ในเพลงนี้ ก็ส่งดนตรีไปให้พี่ปู๋ 25 Hours ช่วยเขียนเนื้อ เขาก็ตีความจากสิ่งที่เขาได้ยิน เพลงมันบวกมาก ค่อนข้างจะสว่าง กรูฟ จังหวะแบบดิสโก้ ฟังก์ ซาวด์ซินธ์ เขาก็บอกว่าจะใช้คีย์เวิร์ดว่า ไม่สมประกอบ นะ พี่โฟร์ก็เห็นด้วย บอกว่าดูเข้ากับคาแร็กเตอร์ของวงด้วย เราก็ ก็ได้ ก็เป็นกิมมิกดี เขาไม่ได้พูดอะไรผิดนี่ (หัวเราะ) เพลงนี้ตั้งใจจะให้ย่อยง่าย ไม่ต้องสลับซับซ้อน เรามาบวกขนาดนี้จะไปเขียนเพลงเข้าใจยากทำไม พยายามอยากจะให้สนุก โยก กันมากกว่า

โดนัท: ไม่สมประกอบนี่มันคือคำเปรียบเปรย คนฟังชื่อเพลงทีแรกอาจจะคิดว่าพิกลพิการอะไรหรือเปล่าวะ จะมีใครที่ใจไม่สมประกอบแบบเราแล้วจะเอามารวมกันให้สมประกอบได้หรือเปล่า

มิ้นท์: ก็พูดให้น่ารักขึ้น ดีกว่าพูดว่าไม่สมประกอบแบบ ไม่ครบถ้วน สมองฉันทำงานไม่ถูกต้อง (หัวเราะ) แต่พูดไปพูดมามันก็ไปได้นะ เหมือน Saturday Seiko ปะคะ ‘เป็นบ้า เป็นไข้ อะไรที่ฉันเป็น’ ก็ฟีล เราแหละ แต่ด้วยความที่ดนตรีเรา องค์ประกอบหลาย อย่างมันไม่ดาร์กหม่นเท่าเขา จริง เราก็อาจจะมีมุมนั้น เราจะเพิ่มสเต็ปเข้าไปเรื่อย จะไม่ได้บวกอย่างเดียว คือชื่อเพลงเราเรียกแขกด้วยแหละ ให้เขารู้สึกว่า อะไรวะ แต่แค่ใจ เป็นใจต่างหากที่ไม่สมประกอบ แล้วมิ้นท์เป็นพวกชอบเปรียบเปรย เอาความรักไปเทียบกับอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างตอน หากค้ำคืน มันจะแฟนตาซีเพ้อเจ้อมาก แบบว่า ถ้าไม่มีดาวแล้วพระจันทร์จะเหงาไหม อย่างนั้นอย่างนี้ เพลงต่อ มาก็น่าจะได้ยิน

แล้วดนตรีรอบนี้ได้อิทธิพลมาจากอะไร รู้สึกก่อนหน้านี้วงมีความญี่ปุ่น J-pop มาก

โดนัท: คามินฟังเพลงพวกดิสโก้ โซล ฟังก์ ของญี่ปุ่น ยุค 80s-90s แล้วผมก็เป็นคนชอบดนตรีที่เป็นกรูฟ เพราะผมเป็นคนเล่นเบส ชอบฟังกี้ ดิสโก้ เหมือนกัน ก็เลยขึ้นโครงมา พอฟังก็รู้สึกใช่เลย มิ้นท์ก็มาคิดทำนอง คือความชอบเราก็เปลี่ยนไปเรื่อย อยู่ในโมเมนต์นี้ก็ชอบเพลงแบบนี้ ดนตรีประมาณนี้ แต่มันก็ยังเป็นความสีสัน มีซินธ์ แบบพวกเราอยู่

ทำไม mv ถึงเป็นห้องเขียนแบบ

มิ้นท์: เราให้ผู้กำกับคิดมา ช่วยตัดสินใจกับทางค่ายอีกทีว่าจะเป็นฟีลไหน เขาก็เขียนสตอรี่มาว่าเป็นเด็กเรียนศิลปะแล้วกัน น่าจะเข้ากับเรา แล้วก็ไปเจอผู้ชาย แอบชอบเขา แล้วก็ไปแอ๊วเขา จะนกไม่นกก็ไม่รู้ ก็ช่วยกันดูหลาย ฝ่าย คิดว่าจะแต่งตัวยังไงด้วยการอิงกับเพลง เพราะเพลงออกมาค่อนข้างจะมีความน่ารัก เราก็อาจจะต้องน่ารักขึ้นอีกสักนิดนึง ในความคิดคนอื่นน่ารักหรือเปล่าก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ลองดู ก็ได้ชุดแบบมีความชมพู ขึ้นมา ก็เป็น The Dai Dai ในรูปแบบใหม่

คิดว่าตัวเองเป็นคนไม่สมประกอบทางไหน

โดนัท: การทำเพลงทั้งหมด คงเป็นด้านนี้ที่ไม่สมประกอบอยู่ ทั้งสกิลการเล่น อยากพัฒนาทางด้านดนตรีเนี่ยแหละ ให้มีแรงบันดาลใจเข้ามาเยอะ ก็พยายามศึกษาเรื่องเพลงอยู่ทุกวัน แล้วก็ต้องศึกษา social media ด้วย การทำเพลงไม่ใช่แค่เล่นดนตรีอย่างเดียวแล้วไม่ดูอะไรเลย มันโบราณแล้ว ต้องศึกษาทุกด้าน ตั้งแต่ต้น ทำเพลงเนี่ยจะทำให้คนฟังเยอะที่สุดได้ทำยังไง มันก็เรื่องโซเชียล เรื่องการโปรโมต สร้างคาแร็กเตอร์ตัวเองให้คนสนใจ ก็ต้องสื่อสารให้คนฟังชอบในแบบที่เราชอบให้ได้มากที่สุด เราอยู่ในยุคที่ฟังเพลงตั้งแต่ซื้อเทป มาจนซื้อซีดี เดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรแล้ว เด็กสมัยนี้จับต้องเพลงง่ายเกินไปหรือเปล่า ฟังแล้วก็ผ่านไป ไม่เหมือนการที่เราฟังหน้า A หน้า B จนเราร้องเพลงของเขาได้ หรือฟังกแล้วรู้เลยว่าซาวด์แบบนี้มาต้องเป็นเพลงนี้นะ นั่นแหละ ก็ต้องศึกษาว่าจะทำยังไงให้มันอยู่ในยุคนี้ได้

มิ้นท์: สำหรับมิ้นท์มิ้นท์ชอบความไม่สมประกอบของตัวเอง เรื่อง performance การสื่อสารอะไรเงี้ย ก็อยากจะ keep มันเอาไว้ คิดว่ามันไม่ต้องเพอร์เฟกต์หรอก เราชอบความไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่แล้ว แต่ก็แค่ต้องปรับให้มันบาลานซ์หน่อย พูดไปเรื่อง energy ด้วย เวลาเล่นคอนเสิร์ต มิ้นท์เป็นคนใส่เต็มตลอด ขึ้นเวทีนับหนึ่งเมื่อไหร่ ก้าวขึ้นไปคือใส่ร้อยเลย (โดนัท: เต็มหรือล้น) เต็มของมิ้นท์คนอื่นก็จะมองว่าล้นแหละ (หัวเราะ) ร้อยมิ้นท์คนจะมองว่าห้าร้อยเขา เนี่ยก็ความไม่สมประกอบของเรา พอโชว์ไปได้สักพักก็หอบกิน (หัวเราะ) ก็รู้สึกว่าไม่ได้ละว่ะ ต้องบาลานซ์ energy ด้วย ค่อย ไล่เรียงความไม่สมประกอบของเราจากน้อย ไปไม่สมประกอบมาก เพื่อคนจะได้ไปพร้อมกับเราได้ทัน (หัวเราะ) ไม่ใช่พุ่งไปก่อนแล้วก็แฮ่ก คนก็รู้แล้วล่ะว่าโอ้ ๆๆๆ กูรู้พลังมึงเยอะ เสร็จปุ๊ป เอ้า ไปแล้วหรอ แต่อันที่จริงคนไม่รู้หรอกว่าเรา แฮ่ก ๆๆๆ เพราะตอนนั้นเราเหลือ 70-80% ซึ่งมันก็ดูสองร้อยสำหรับเขาอยู่ดี (หัวเราะ) เรื่องการทำงานด้วยอะ เราควรรู้ว่าช่วงไหนควรจะต้องพัก ช่วงไหนควรจะคิดงาน คือเป็นคนใช้หัวสมองมากด้วย เป็นคนจริงจังกับการทำงานมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว คิดงานตลอดเวลา คิดวนไปวนมา ย้ำคิดย้ำทำ กลายเป็นว่าเราไม่ได้พักทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไร แต่สมองเราทำงานตลอด เราบาลานซ์ชีวิตเราไม่ดี ควรสร้างสมดุลให้กับชีวิตเพราะเราทำงานเกี่ยวกับศิลปิน งานศิลปะมันจะไม่ออกมาถ้าเราทำงานภายใต้ความเครียด เครียดแล้วจะคิดงานไม่ออก แต่ถ้าฝืนทำทำได้นะ ได้หมดแหละในภาวะไหนก็ตาม แต่รู้ว่ามันไม่ดี เปรียบเทียบกันดูกับตอนไม่เครียดแล้ว ต้องทำให้มันสมดุล ให้สมประกอบด้วย ทุกอย่างมันมีไดนามิกของมัน มิ้นท์คิดว่าศิลปินที่ดีไม่ใช่แค่คุณทำงานเพลงได้ดีอย่างเดียว ถ้าจะเป็นมืออาชีพต้องเก็บได้หมดทุกอย่าง เพลงคุณต้องดี คุณเล่นสดก็ต้องดี มันต้องเหนื่อยแหละ ต้องเก็บรายละเอียดทั้งหมดให้ได้ เพื่อจะได้ยืนระยะทำงานได้ต่อ ไป

เนื้อหาหลาย เพลงชอบมีช่วงกลางคืนอยู่ในนั้น อันนี้ก็เหมือนกัน คืออะไร ชอบกลางคืนมากกว่ากลางวันหรอ

มิ้นท์: ไม่รู้เลยอะ เขียนกลางวันมันไม่สนุกเลยอะ กลางวันมันเป็นอะไรที่ไม่น่าค้นหา กลางคืนมันลึกลับ พิศวง มันเต็มไปด้วยบรรยากาศของความอะไรก็ไม่รู้

โดนัท: กลางคืนมันนึกถึงการนอนเหงา เศร้า ร้องไห้คนเดียว เพ้อ หรือคิดถึงใคร การอยู่คนเดียวก่อนนอน…​หรือบางทีก็มีฝันกลางวันนะ (หัวเราะ) เป็นด้วยบรรยากาศแหละ บางทีก็ชอบต่างกันนะ กลางวันมันก็มีอะไรดี มันสว่าง แล้วร้านอะไรก็เปิดตอนกลางวัน (หัวเราะ)

มิ้นท์: อือ จริง ชอบกลางคืน แล้วมิ้นท์มองว่า The Dai Dai มันมีสีสัน แล้วถ้าอยู่ในกลางคืนมันจะโดดเด่น จะเฉิดฉายท่ามกลางความมืดมิด แม้กระทั่งเล่นคอนเสิร์ต อยากจะมีโอกาสได้เล่นช่วงกลางคืนสักครั้ง เพราะคิดว่าถ้ามันมีสี เรืองแสง มันน่าจะเจ๋งดี คือโชว์ที่ผ่าน มาเราเล่นกลางวันซะส่วนใหญ่ วงเราเป็นพวกพร็อพเยอะ

โดนัท: ต้องมีป้ายข้างหลัง มีหัวม้า เอาถุงมือล้างห้องน้ำมาพ่นสีบ้าง เอาธงมาวาด มาเต็มไปหมด อย่างตอน G19 พาพวกขึ้นไปด้วย มีศาสไดขึ้นไปโบกธง

มิ้นท์: เป็นม้าของ The Dai Dai มีการตัดเย็บชุดให้ม้าเอง เพ้นท์ชุดให้ม้าด้วย ไม่ได้ใส่ชุดแฟนซีที่เขาขายทั่วไป คือทั้งโชว์และเพลงต้องไปด้วยกัน ทำไปทำมา ม้ากลายเป็นอวกาศยังไงไม่รู้ เป็นม้าขาว มีสี เอาขึ้นไปเล่นด้วยตอนเป็นวงเปิด ก็คิดว่าจะทำยังไงให้คนสนใจด้วย เพราะมีคนที่ไม่รู้จักเราอีกเยอะ เวทีก็ใหญ๊ใหญ่ ความที่วงเรากวน ก็อยากจะเอาฮา อยากแกล้ง แจกรองเท้า (หัวเราะ) เพ้นท์เองเป็นชั่วโมงเลยนะ แจกงู แจกไก่โอ๊ก ตอนโยนงูลงไปคนก็แตกกระเจิงอยู่ช่วงนึง

ตอนขึ้น G19 รู้สึกยังไงบ้าง มี reaction จากคนที่ไปดูเรายังไง

มิ้นท์: เป็นเวทีที่ใหญ่สุดในชีวิตละ มี feedback ที่ดี จากคนที่ไม่รู้จักเราเลย อ๋อ ไอ้วงที่มันอะไรก็ไม่รู้อะหรอ สนุกดี บางคนรู้จักเราแต่ไม่เคยดูโชว์ คือ ฮู้ย ไอ้วงนี้มันสนุกดีว่ะ เขาก็พูด มา เราก็ตั้งใจนำเสนอความสนุก อยากให้ทุกคนมาสนุกกับเรา จุดเด่นอย่างนึงของ The Dai Dai นอกจากเรื่องเพลงหรือวิชวลก็คือการเล่นสด มันจะแตกต่าง มันจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด มิ้นท์รับประกันได้เลย เราจะมีความแข็งแรงกว่าที่ได้ฟังกันมาก เพลงซินธ์คิดว่าจะดุ๊กดิ๊กแต่พวกเราใส่เต็ม ถามว่าจำเป็นต้องเล่นถึงขนาดนี้ไหม แต่เราก็สนุกอะค่ะ น่าจะสร้างความเซอร์ไพรส์ให้คนดูต่อไปอีกได้เรื่อย แต่วงเราก็แปลกคือจริง เป็นวงใหม่ วงเล็กมาก แต่สเกลงานที่ได้ส่วนใหญ่จะเจอแต่งานใหญ่ เล่นเปิดพี่ วง Klear คนดูหลักหลายพัน มันเลยทำให้เราต้องพัฒนาขึ้นตาม

แล้วระหว่างที่คามินไปเรียนต่างประเทศ ก็ใช้วิธีส่งเพลงกันไปกันมาข้ามโลกหรอ

โดนัท: เมื่อเช้าเราเพิ่งคุยกันอยู่เลย (หัวเราะ) (มิ้นท์: ปีนึงที่มันเป็นอย่างนี้เราก็ชินแล้ว) เราเหมือนไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่ มีแค่เรื่องเวลา แรก เราจะงงเวลาเฉย ว่านี่ 8 โมงเช้าที่บ้านเรา แหกขี้ตาตื่นมาคุยกับเขาที่นู่นเพิ่งจะ 2-3 ทุ่ม ยังไม่นอน พอเราทำอย่างนี้เรื่อย ก็ชินแล้ว ก็พิมพ์คุยกันปกติ โลกมันทำให้ไม่เหงา ทำงานง่ายขึ้น

ช่วงนี้มีโปรเจกต์อะไรบ้าง

โดนัท: เดี๋ยวจะมี live session คัฟเวอร์ต่าง รอติดตามดูได้ในเพจของเรา แต่ถ้ามีโชว์เดี๋ยวเราจะรีบบอกเลย

มิ้นท์: ก็ฝากผลงานของพวกเราเหล่าคนไม่สมประกอบ (หัวเราะ) อยากให้เพลงนี้ไปถึงคนฟังเยอะ เพราะหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเราปล่อยเพลงใหม่แล้ว

โดนัท: มีหลายคนงง บางทีมาทักว่า นึกว่าวงแตกแล้ว ยังอยู่!

มิ้นท์: ต่อจากนี้จะ nonstop แล้ว แล้วถ้าใครชอบ หากค่ำคืน ก็คิดว่า เพลงนี้ก็น้อง อะเนาะ ถ้าใครคิดถึงฟีลอย่างนั้น โยก หนุก สีสัน ก็ลองฟังเพลงนี้ดู อยากฝากเพลงนี้ ฝากท่าเต้นใหม่ด้วยนะคะ อุตส่าห์คิดเอง (หัวเราะ) มีคลิปด้วย ไปเสิร์ชดู YouTube channel The Dai Dai จะมีอะไรแปลก มาสอนเต้นด้วย จริง ก็คิดว่า สอนทำไม ใครเขาจะเต้นตามเมิ้งงงง ก็ไม่ได้จะมีใครเต้นตามเป็นแสนเป็นล้าน แต่อยากทำ เป็นความสบายใจของเรา (หัวเราะ)

โดนัท: มันต้องมีคนไม่สมประกอบแบบเราบ้างแหละ

ติดตามความเคลื่อนไหวของวงได้ที่ Facebook Fanpage The Dai Dai

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้