Article Interview

อยากให้ลอง ‘ฟัง’ เพลงอิเล็กทรอนิกละมุนละไมกลิ่นอายเอเชียนจาก Sin

  • Writer: Kunchanit Liengudom
  • Photographer: Chavit Mayot

วันนี้ฟังใจซีนมีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกับศิลปินและนักแต่งเพลงที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่าง SIN-ทศพร อาชวานันทกุล เกี่ยวกับซิงเกิลใหม่ล่าสุด ‘ฟัง’ ซึ่งเป็นเพลงแรกหลังจากที่ซินได้ย้ายมาร่วมสังกัดกับทางค่ายเพลง White Music Records เรามาร่วมเจาะลึกเรื่องราวการทำงานเพลงชิ้นนี้และมาทำความรู้จักกับซินให้มากขึ้นผ่านมุมมองของเขาไปด้วยกันเลย!

เหตุผลที่เลือกมาอยู่กับทาง White Music

เป็นเรื่องทัศนคติ วิธีการทำงานอะไรแบบนี้ จริงๆเรารู้จักกับพี่อาร์ม (รัฐการ น้อยประสิทธิ์) มานานแล้ว ตั้งแต่ตอนทำเพลงกับลุลา แต่ว่ายังไม่เคยคุยอะไรกันจริงจัง จนมีช่วงที่จะมาอยู่เนี่ยฮะเลยได้คุยกันจริงๆ ซินมองหาอิสระในการทำงาน เพราะเราเป็นคนทำงานเพลงเองก็เลยต้องการพื้นที่ตรงนี้ แต่ไม่ใช่อิสระซะจนทำให้เราเหนื่อยเกินไป เขายังมีสิ่งที่จะมาช่วยซัพพอร์ตเราด้วยก็เลยคิดว่าที่นี่น่าจะลงตัว

ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับทางค่ายเป็นครั้งแรก

ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไร… ตื่นเต้นนะแล้วก็กดดันด้วย แอบเครียดๆนิดนึงในระหว่างที่เขียนเพลงนี้ เพราะเราก็อยากให้ทุกอย่างมันออกมาดีที่สุด แล้วทุกอย่างทุกขั้นตอนมันเริ่มใหม่หมดเลย ต้องทำความรู้จักกับทีมงานใหม่ทั้งเซตก็เลยต้องใช้เวลา กันสักพัก อย่างเพลงนี้ใช้เวลาการทำห้าเดือน ตั้งแต่เดือนมกราฯ ปกติแล้วเวลาซินทำเพลงอื่นๆก็จะแล้วแต่เพลงเลย บางเพลงใช้เวลาในการเขียนน้อยมาก ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว หรือบางเพลงหกปีก็มี สามปีก็มี คือมันไม่แน่นอน แต่ว่าในหกปีสามปีเหล่านั้นมันก็มีแวะไปเขียนเพลงอื่นด้วย ไม่ได้โฟกัสอยู่แค่เพลงเดียว ส่วนเพลงนี้เป็นเพลงที่เราตั้งใจไว้เลยว่าจะทำให้เสร็จตั้งแต่ต้นจนจบ เรียกว่าใช้ระยะเวลาไม่ได้นานที่สุดแต่เข้มข้นที่สุดในการทำ เหมือนทุกวันที่ตื่นมาในห้าเดือนนี้ก็จะต้องนึกถึงเพลงนี้

แล้ววิธีการทำงานของเราล่ะต้องปรับเปลี่ยนอะไรจากเดิมบ้าง แนวเพลงหรือวิธีการทำเพลงเปลี่ยนไปบ้างไหม

จริงๆตัวหน้าที่ของซินไม่ได้เปลี่ยนจากเดิมนะ เพราะมีส่วนร่วมทั้งหมดเองอยู่แล้ว ซินก็ยังเขียนเพลงเอง ทั้งเนื้อร้องทำนอง แบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่ามีอะไรแตกต่างเพิ่มเติมจากเดิมไหม ก็คงมีคนช่วยเยอะขึ้น อย่างเพลงนี้มีคนมาช่วยเรียบเรียงสี่คน มีซิน มีพี่โอ Jetset’er  พี่โซ่ ETC แล้วก็น้องแต๊บที่เมื่อก่อนเป็น AF แล้วตอนนี้ทำ The Rapper อยู่ เขาก็จะมาช่วยเรื่องบีท ทำให้มันสนุกขึ้นเพราะเราได้ให้แต่ละคนโชว์ในสิ่งที่เขาถนัดจริงๆ

จุดเริ่มต้นของเพลง ฟัง คืออะไร มีแรงบันดาลใจอะไรในการเขียนเพลงนี้

เพลงนี้ไอเดียมันเป็นการพูดคุยกันกับทางทีมงานที่ค่าย แล้วค่อยๆตกตะกอนกลายมาเป็นเรื่องของความรักที่ไม่มีกฎเกณฑ์ไม่มีเงื่อนไข เรารู้สึกว่าพ.ศ.นี้แล้ว เรื่องเหล่านี้ควรจะเป็นเรื่องส่วนบุคคลของใครของมัน แต่ละคนควรจะมีพื้นที่ความรู้สึกของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน แล้วเราก็ไม่ควรที่จะไป judge ความรู้สึกของใครด้วย ไอเดียมันเกิดมาจากตรงนี้แหละแล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ ตอนแรกจะเขียนเรื่องความรักที่เป็นความรักแบบ ฉันรักเธอ แต่ว่าพอเขียนไปเขียนมาไอ้คำว่ารักอันนี้มันเหมือนเป็นรักอะไรก็ได้แล้ว เป็นสิ่งที่เรารักที่จะทำ หรือเป็นสิ่งที่เรารักที่จะเป็นก็ได้ คือถ้าไม่เดือดร้อนใคร ขอให้เชื่อความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น

มีจุดไหนในห้าเดือนที่เรารู้สึกว่ายากและใช้เวลากับมันนานที่สุดบ้าง

 มันเป็นเรื่องของการย่อย คิดว่าเป็นพาร์ทนี้ที่ยาก เพราะว่าเราพูดเรื่องที่ต้องใช้พื้นที่ในการอธิบายพอสมควร เราอยากจะย่อยให้ทุกอย่างฟังแล้วเข้าใจได้ ฟังแล้วสื่อสารกับมันได้ ให้แต่ละคนที่มีความรักไม่เหมือนกันมาฟังเพลงนี้แล้วก็ยังสามารถอินไปได้ตามมุมความรักของตัวเอง ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาอินแบบเดียวกัน

ส่วนใหญ่ที่ใช้เวลาไปกับการทำเพลงนานมาก ๆ นี่เป็นเพราะประเด็นนี้ด้วยหรือเปล่า

มีส่วน มีเรื่องคำ เรื่องดีเทลด้วย เหมือนบางคำที่เขียนเรายังรู้สึกว่ายังไม่ใช่ ก็จะหยุดไว้ก่อน แล้วก็ไปทำเพลงอื่นหรือไปทำอย่างอื่น คือไม่ได้ force ว่าต้องเสร็จเลย บางเพลงมันก็เลยนาน

มาถึงเนื้อหาเพลงกันบ้าง ก่อนอื่นซินคิดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ความรักเป็นเรื่องยากหรือเป็นเรื่องเข้าใจยากบ้าง

จริง ๆ เราว่าความรักเป็นเรื่องเข้าใจง่ายมากเลย ถ้าเราสามารถรู้สึกแล้วก็ตามนั้น แต่ไอ้สิ่งที่มันยากคือสิ่งอื่นๆ อารมณ์ ความคิด หรือปัจจัยภายนอก ของคนที่คิดให้มันยากกันไปเองมากกว่า จริงๆตัวความรัก มันเป็นเรื่องไม่ยาก แค่รู้สึกก็จบ

ในเนื้อเพลงพูดไว้ในเชิงว่าไม่มีใครที่จะมากำหนดเงื่อนไข ตั้งกฎเกณฑ์ หรือกำหนดนิยามความรักให้เราได้ แล้วถ้าให้ซินลองนิยามความรักให้กับตัวเองดูล่ะ

นิยามความรักสำหรับเราก็คงไม่มีนิยาม (ยิ้ม) เป็นพลังงานบางอย่าง ที่ทำให้ตัวเรามีพลังในการขับเคลื่อนชีวิต

ชื่อเพลง ฟัง มาจากฟังเสียงใจตัวเอง แล้วหัวใจของซินส่งสัญญาณอย่างไรที่จะทำให้เรามั่นใจว่านี่แหละคือความรัก

มันก็บอกชัดเจนขนาดนั้นไม่ได้นะ ก็แค่ต้องรู้สึกเอง เหมือนเวลาทุกคนมีความรักมันก็ไม่น่าจะบอกได้ว่าเพราะอะไร หนึ่ง สอง สาม สี่ หรืออะไรแบบนี้ มันคงไม่มีสูตรสำเร็จอะไรตายตัว แล้วแต่คน แล้วแต่เวลามากกว่า นี่ก็ไม่ค่อยได้ไปคิดหรือมั่นใจอะไรกับมันมาก ถ้าเป็นเรื่องนี้นะ

แล้วส่วนตัวคิดว่ามีเรื่องอะไรนอกเหนือจากนี้ที่ทุกคนควรจะต้อง ฟัง บ้าง

เอาเรื่องง่าย ๆ ก่อนแล้วกัน เรื่องการฟังกันและกันให้มากขึ้นแค่นั้นแหละ ฟังคนรอบข้าง แล้วก็กลับมาฟังตัวเองควบคู่ไปด้วยว่าเราคิดอย่างไร เริ่มจากเรื่องง่ายๆแบบนี้ดีกว่า

แล้วถ้าเป็นเสียงของชาว LGBT ในวงการเพลงไทยล่ะ คิดว่าสังคมปิดหรือเปิดการรับฟังพวกเขามากน้อยแค่ไหน แล้วมันส่งผลอะไรกับการเปิดเผยตัวตนของเขาบ้างไหมในมุมของซิน

ส่วนตัวรู้สึกว่ายุคนี้ พ.ศ.นี้แล้ว เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่จำเป็นต้องเอามาโฟกัสเป็นประเด็นกันแล้วนะ เพราะคนทำงานแต่ละคนก็คือคนทำงาน เขาก็มาทำงาน มาใช้ชีวิต มาทำในสิ่งที่เค้ารัก ยิ่งวงการบันเทิง น่าจะเป็นสังคมที่มีชาว LGBT+ อยู่เยอะ เท่าที่เห็นมาเขาก็ดูกันที่ผลงานมากกว่าแหละ ส่วนเรื่องการเปิดเผยตัวตน เรามองว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคล อันนี้คงแล้วแต่ตัวศิลปินสะดวกจริงๆ ว่าใครอยากเปิดเผยแค่ไหน เพราะบางคนเขาก็ไม่ได้อยากมานำเสนอตัวเองทางด้านนี้ เขาอาจจะชอบทำเพลงหรือเล่นดนตรีอย่างเดียวก็ได้ แล้วคำว่า LGBT+ มันก็ไม่ได้ว่าจะต้องมาพูดแต่เรื่องชีวิตส่วนตัว เรื่องเพศ หรือแฟชั่นกันยี่สิบสี่ชั่วโมงใช่ไหม บางคนเขาอาจจะเป็นเด็กเนิร์ดๆ เป็นคนไม่ได้ชอบแต่งตัว หรือเป็นอะไรก็ได้ มันหลากหลายมาก

ก่อนหน้านี้ซินบอกว่าอยากจะพูดถึงความรักในแบบที่นอกเหนือจากคู่รักบ้าง ซึ่งก็คือความรักในสิ่ง ๆ หนึ่งหรือความรักในการทำอะไรบางอย่าง แล้วความรักของซินตรงนี้คืออะไร

ก็คงเป็นทุกอย่างในอุตสาหกรรมดนตรีนะ เราชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับวงการเพลง ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง การทำเพลง ทำโปรดักชั่น ไปจนถึงทำวิชวล ทุกอย่างที่เกี่ยวกับด้านนี้ฮะ

ส่วนร่วมในการทำวิชวล

ปกติทำปกเองอยู่แล้วทุกชุดที่ออกมา เพราะเราเรียนมาด้านกราฟิกดีไซน์ เลยได้นำมาใช้ แต่ว่าถ้าเฉพาะซิงเกิลนี้ก็คงเป็นเรื่องของการพูดคุย มีเรื่องไดเร็คชั่นที่บอกไปบ้างว่าอยากได้แบบไหน แบบนี้น่าจะเวิร์ค เราอยากให้ทีมลองมาช่วยเราดูสิว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ออกมาถูกใจนะ

จะเห็นได้ว่าตัวดนตรี อาร์ตเวิร์ก หรือแม้แต่ mv ของเพลงจะมีกลิ่นความเป็นเอเชียนผสมอยู่ ทำไมเราถึงเลือกที่จะดึงธีมนี้เข้ามาใช้

เราไม่ได้กำหนดเลยว่ามันจะต้องเป็นญี่ปุ่นหรือจีน แค่เป็น Asian Vibe เฉยๆ เราสนใจอยากเอาซาวน์เอเชี่ยนแบบนี้มาลองใส่ในเพลงดูอยู่แล้ว รู้สึกว่าเครื่องดนตรีเอเชี่ยนมันมีเสน่ห์ในแบบของมันที่หาไม่ได้จากเครื่องดนตรีอื่นๆ มันมีคาแรกเตอร์ของมันที่ชัดเจนมากๆ ก็เลยอยากลองเอามาใส่ดู ถ้าถามว่ามีเหตุผลอะไรก็ไม่มี (หัวเราะ) (FJZ: เป็นความชอบ?) เป็นความชอบ แล้วก็การดีไซน์ ที่คิดว่าน่าจะเวิร์คกับบีทที่มันเป็นอิเล็กทรอนิกส์ด้วย เพราะว่าเพลงนี้บีททุกอย่างมันจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์หมดเลย ก็อยากจะลองทดลองดูว่าถ้าเอาเครื่องดนตรีเอเชี่ยนที่เป็นเครื่องดนตรีสดมาใส่ดูมันจะเข้ากันไหม หรือว่าต้องใช้เครื่องดนตรีชิ้นไหน ก็มีการทดลองหลายชิ้นอยู่เหมือนกัน มีการถอดเข้าถอดออกนู่นนี่นั่น

แล้วอย่างที่ใช้ในเพลงนี้มีชิ้นไหนบ้าง

ก็มีพิณ มีกลองไทโกะที่เป็นกลองญี่ปุ่นใหญ่ ๆ มีพวกเครื่องเคาะ แล้วก็มีเบลของญี่ปุ่นที่ใช้ตามศาลเจ้า

ที่ชอบสไตล์เอเชียน ส่วนใหญ่เราได้ element พวกนี้มาจากไหน

หมายถึงที่กลายมาเป็นความชอบตอนนี้ใช่ไหม จริงๆซินค่อนข้างคลุกคลีกับสไตล์พวกนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านก็เชื้อสายจีนกันอยู่แล้ว หรือถ้าเป็นตอนเด็กๆก็จะชอบเล่นเกมส์ ฟังเพลงก็ฟังเพลงญี่ปุ่น เพลงจีน พวกนี้มันเลยซึมซับมาเรื่อยๆ ทั้งภาษา วัฒนธรรม ดนตรี หลายๆอย่าง ศิลปะมันก็จะอยู่ในเกมส์ด้วยควบคู่กันไปอยู่แล้ว

ปกติเล่นเกมอะไรบ้าง

เอ้ย จริง ๆ เราเป็นเด็กเนิร์ดคนนึง (หัวเราะ) ก็เล่นหมดนะ เด็ก ๆ นี่คือมีอะไรเล่นก็เล่นหมดเลยใน Play Station แต่จะชอบพวกเกม RPG อย่าง Final Fantasy หรือ Parasite Eve อะไรแบบนี้ โดยเฉพาะ Parasite Eve เราชอบมาก

เพลงนี้ได้โอม Cocktail มาร่วมงานด้วย เป็นยังไงบ้าง

เราอยากได้คนที่จะมาช่วยถ่ายทอดแมสเสจนี้ ด้วยความเชื่อที่เป็นของเขาจริงๆ คนที่เขารู้สึกถึงแมสเสจนี้เหมือนกับเรา เคยอ่านตามบทสัมภาษณ์หรือเคยดูตามรายการที่โอมไปออกก็รู้สึกว่า เขาก็น่าจะมีแอตติจูดอะไรบางอย่างที่ไปด้วยกันกับเพลงนี้ได้ ก็เลยลองไปชวนมา จริง ๆแล้วเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ไม่เคยคุยกันเลย แต่สุดท้ายก็คือเลือกไม่ผิด เพราะเขาเองก็รู้สึกอยากที่จะพูดเรื่องนี้เหมือนกัน ก็เลยได้โอมมาช่วยร้อง

แล้วเราได้เรียนรู้อะไรจากโอมบ้าง อาจจะเป็นแนวคิดการทำเพลงหรือสไตล์ดนตรี

อาจจะไม่ได้ถึงขนาดนั้นนะ เพราะเหมือนกับว่าเพลงนี้เขามาเป็นแขกรับเชิญของเรา เราไม่ได้มาทำเพลงด้วยกันตั้งแต่แรก 

กระแสตอบรับหลังปล่อยเพลงเป็นอย่างไรบ้าง

เท่าที่ทราบคือ ดีแบบมาก ๆ แต่ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวของเราปกติจะไม่ได้ไปนั่งจ้องว่ามันเป็นอย่างไรบ้าขนาดนั้น เพราะเรารู้สึกว่าหน้าที่เราเสร็จตั้งแต่ตอนที่เพลงมันเสร็จแล้ว เราชอบแล้วถึงค่อยปล่อยออกมา หลังจากนั้นเพลงมันจะดังหรือไม่ดังก็เป็นเรื่องของคนฟังว่าจะชอบไหม แต่ถ้าชอบก็จะดีใจและขอบคุณมาก

เพลงนี้ค่อนข้างฉีกจากเพลงเก่า ๆ ที่ซินเคยทำไปเลย แล้วอนาคตเพลงต่อ ๆ ไปล่ะจะเป็นยังไง

ก็ต้องรอชมฮะ ตอนนี้เพลงสองก็เริ่มๆทำบ้างแล้ว (FJZ: แต่ว่ายังไม่ได้มีกำหนดการอะไร?) เราไม่เคยมีกำหนดการอยู่แล้ว เสร็จก็คือกำหนดการ (หัวเราะ) ไม่อยากกดดันตัวเองขนาดนั้น เอาตัวงานที่เราพอใจเป็นที่ตั้งดีกว่า

คิดว่าจะมีอัลบั้มเต็มบ้างไหม

น่าจะมี แต่คงอีกพักใหญ่ ๆ เลย บอกแล้วว่าเราไม่เอาไทม์ไลน์มาเป็นตัวตัดสิน แต่ก็จะพยายามทำให้เสร็จโดยที่ไม่ต้องให้รอกันนาน ๆ

ขอย้อนไปถึงเพลงก่อนหน้านี้สักหน่อย เพลง Game Over ที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับ Rachael Yamagata ที่มาที่ไปและประสบการณ์ครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ที่มาที่ไปคือเขามาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทยเมื่อ หลายปีละฮะ แล้วซินก็ฟังเพลงของเขาอยู่แล้ว ชอบวิธีการเขียนเพลงของเขา ซินรู้สึกว่ามันพิเศษ ก็เลยลองคุยกับที่ค่ายดูว่าถ้าเราอยากจะลองคุยกับเขามันจะเป็นไปได้ไหม สุดท้ายก็ได้มาคุยกัน เราเอาเพลงให้เขาฟัง เขาก็แบบเออเพลงยูก็ดีนะ ก็เลยอะ งั้นลองทำเพลงกันดู ซึ่งตอนแรก เราแบ่งหน้าที่ชัดเจนกันไปเลยว่าให้ซินทำทำนอง แล้วให้เขาเขียนเนื้อร้องเพราะว่ามันจะเป็นเพลงภาษาอังกฤษ ให้เขาเขียนดีกว่าไป ๆ มา ๆ คุยกันไปคุยกันมาอีท่าไหนไม่รู้ กลายเป็นว่าซินร่วมเขียนกับเขาไปด้วย ก็สนุกดีฮะ มันเป็นประสบการณ์ที่หายากนะที่เรา จะได้ทำเพลงกับศิลปินต่างประเทศที่เก่งระดับนี้ ซึ่งเราว่าเขาก็ชิลมากอะ เหมือนคุยกับเพื่อนหรือพี่ที่เป็นโปรดิวเซอร์ที่เคยคุยกันมาเนี่ยแหละ ถึงแม้ว่าภาพลักษณ์อาจจะดูดาร์คๆใช่ไหม แต่จริงๆแล้วเขาก็เป็นคนสบาย ๆ ก็มีคุยเรื่อยเปื่อยนอกเรื่องไปเยอะเหมือนกัน (หัวเราะ) จริงๆมันก็ใช้เวลาเยอะเหมือนกันนะ สามปีกว่าจะได้ออกมาเป็นเวอร์ชั่นปัจจุบัน เราก็ใช้เวลาพัฒนาดนตรีนานอะ เพราะว่าตอนแรกที่ทำมันเป็นเพลงบัลลาด เศร้า ๆ สไตล์ของเขาไปเลย เป็นเปียโนตัวเดียวอะไรแบบนี้ ก็ลองมาหลายแบบ แต่ทั้งเราทั้งเขาก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ จนมาเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดแบบ 80s ที่รู้สึกว่าเออ อันนี้แหละใช่แล้ว ก็ดีเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ประทับใจมาก

ตั้งแต่ทำ Singular จนมาทำผลงานเดี่ยวของตัวเอง ซินรู้สึกว่าตัวเองเติบโตในเรื่องของแนวคิดหรือสไตล์เพลงอย่างไรบ้าง

เราว่าคงเป็นเรื่องประสบการณ์ แต่ถ้าถามเรื่องสไตล์เพลง เราค่อนข้างเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นตัวตั้งอยู่แล้ว หมายถึงว่าถ้าช่วงนี้รู้สึกอินกับเพลงแนวไหน หรืออยากทำเพลงแนวไหนก็จะใช้ความรู้สึกนั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนั่นแหละ แล้วก็เรื่องที่โตขึ้นด้วย ก็เลยเข้าใจอะไรบางอย่างเยอะขึ้น คงเป็นเรื่องนั้นมากกว่า

อย่างตอนนี้ก็อินเพลงอิเล็กทรอนิกหรือเปล่า

ใช่ อินมาเรื่อย ๆ เลย ถ้าใครได้ฟังอัลบั้มเดี่ยวเราชุดก่อนหน้านี้ (Melancholy / HOMEPOP) มันก็มีซาวน์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาผสมด้วยประมาณนึง

แล้วอย่างศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจในแนวเพลงนี้มีใครบ้าง

ไม่มีเฉพาะนะ คือเราเป็นคนฟังเพลงเยอะมาก ๆ ทั้งอินดี้ทั้งสากล มันจะแบบชอบคนนั้นที่ตรงนั้นแล้วก็ชอบอีกคนที่ตรงนี้ มันไม่ได้มีเป็นไอดอลอะไรขนาดนั้น

ฟังอินดี้ด้วย ช่วงนี้มีอินดี้ไทยวงใหม่ ๆ หรือวงที่เราชอบบ้างไหม

เป็นคนฟังเพลงอินดี้คนนึงเลยนะ แต่ส่วนมากคนไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ (ยิ้ม) ถ้าช่วงนี้ก็ชอบ Zweed n’ Roll แล้วก็…แต่อันนี้จะสักพักแล้วนะ พวก Jelly Rocket ญานิน อะไรแบบนี้ ถ้าเป็นลึกๆไปเลยอย่าง Inspirative ก็ฟัง

ฝากเพลง ฟัง รวมถึงช่องทางติดตามผลงานของซินทิ้งท้ายหน่อย

ช่องทางการติดตามก็มี www.facebook.com/whoissin แล้วก็ Instagram @sinofficial ฝากซิงเกิลล่าสุดของซินด้วยชื่อเพลงว่า ‘ฟัง’ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำเพลงเองทุกขั้นตอนเหมือนเดิม บางคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าเราทำงานเพลงเอง ยังไงฝากเพลงนี้ไว้แล้วก็เพลงต่อๆไปด้วย ขอบคุณครับ 

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง