Article Interview

SOLE ชวนมาเช็กของ ลองแล้วติดแน่ ๆ *คำเตือน มาอ่านแต่ตัว ตำรวจไม่ต้อง

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Malama

ทุกวันอังคารจะเป็นวันที่เราต้องทำการบ้านหาเพลงมาเขียนแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้ลองเปิดหูกันในคอลัมน์ ‘เห็ดใหม่’ แต่มีอยู่วันอังคารหนึ่งที่เราเลื่อนไปเจอเพลงของ SOLE วงอิเล็กทรอนิกสายโหดที่ตอนนั้นยังไม่รู้จักมักจี่ใด ๆ ก็ลองฟังดู พอคลิกแทร็คอย่าง Call Me เข้าไปเท่านั้นแหละ โอ้โห มันระเบิดระเบ้อหูดับ ทำไมต้อง aggressive บ้าคลั่งขนาดนี้ด้วยวะ

sole_01

ไป ๆ มา ๆ ก็มารู้ว่าเบื้องหลังวงดนตรีสี่ตัวอักษรนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ ไตเติ้ล—ปฏิภาณ สุวรรณสิงห์ นักร้องนำวง The Whitest Crow ที่ผันตัวมาทำเพลงอิเล็กทรอนิกร็อก 90s ที่น่าสนใจมากทีเดียว โดยโปรเจกต์นี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณปีครึ่ง ก่อนที่อัลบั้มเต็มของ The Whitest Crow จะออก และเพลงแรกที่เขาได้เริ่มทำก็คือเพลง Don’t You Know ซึ่งเป็นเดโม่ที่จะส่งไปอยู่ในอัลบั้มเต็มของ The Whitest Crow แต่ก็ไม่ผ่าน ด้วยความเสียดายและเชื่อว่าเพลงนี้จะต้องเป็นเพลงที่ดี เขาจึงดื้อเอามาทำเป็นโปรเจกต์เดี่ยวเอง และตอนนั้นก็เป็นช่วงที่เขาเพิ่งได้ดูหนังวัยรุ่น 90s เมายาบ้าหลุดโลกเรื่อง ‘Trainspotting’ ของ Danny Boyle ก็ได้แรงบันดาลใจทางวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์จึงเกิดสนใจที่จะทำอะไรแบบนั้นดูบ้าง ด้วยความที่ในหนังจะมีเพลงอิเล็กทรอนิกแบบ rave ประกอบอยู่ แต่ตัวเขาเองไม่ใช่คนที่ฟังอิเล็กทรอนิกมาแต่แรก จึงได้ลองสร้างสรรค์เพลง rave ในแบบของเขาออกมา

Rave คืออะไร

เติ้ลบอกกับเราว่าหลังจากที่เขาได้ดู Trainspotting เขาก็เริ่มศึกษาวัฒนธรรม rave มากขึ้น โดยได้ดูสารคดีของ Vice ที่ชื่อ ‘Rave Renaissance’ เป็นการกลับไปสำรวจวัยรุ่นตั้งแต่ปี 1997 ว่าดนตรีตอนนั้นเป็นยังไง โดยเติ้ลรู้สึกว่าความเจ๋งของซีนนี้คือเพลงทั้งหมดไม่มีเนื้อร้อง แต่กลับทำให้คนฟังหรือคนที่กำลังเต้นอยู่อินกับเพลงพวกนั้นได้

“Rave มันมีความดิบเถื่อน แล้วก็สนุก มันเหมือนเป็นความสูบฉีดของเลือดวัยรุ่น เรารู้สึกว่ามันสะใจดี อยากทำอะไรที่มันสะใจแบบนี้ สเน่ห์ของมันคือความเป็น community การรวมตัวกันเป็นกลุ่มก่อนอารมณ์เหมือนตอนที่เราเริ่มทำเพลง ตอนอยู่ Stu B ที่ศาลายา เป็นห้องอัดที่เราชวนน้อง ๆ มานั่งกินเบียร์ สังสรรค์ เปิดเพลงที่ชอบฟังกัน แต่แค่ดนตรีเราฟัง Bruno Mars, Tame Impala ไม่ได้ฟังอิเล็กทรอนิกแบบเขา แต่การที่มันเป็น squad แบบนี้มันก็เหมือนคอนเซปต์ rave ในปีก่อน ๆ ครั้งแรกที่ SOLE เล่นก็คือเล่นกันข้างหน้า Stu B เลย แล้วมีกลุ่มเพื่อนเรามาดู มาปาร์ตี้กัน มีทำแผ่นขายล็อตแรก กะดูกันเองสนุก ๆ มีกัน 20-30 คนได้”

ทำไมถึงทำคนเดียว

มันง่ายกว่าเพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนจบพอดี แล้วเวลาว่างเราก็มีเยอะ วัน ๆ เราก็หมกมุ่นอยู่กับห้องซ้อม ห้องอัด ตอนนั้นก็ทำอัลบั้ม The Whitest Crow ด้วยแหละ แล้วก็ทำออกมาเลย ส่วนใหญ่เพลงนึงทำวันสองวันก็เสร็จ เต็มที่จะไม่เกินอาทิตย์เพราะเราชอบความสนุกแบบกะทันหัน ถ้าเรารู้สึกว่ามันสนุกแล้ว เราจะไม่ไปคิดอะไรกับมันเยอะ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นไม่สนุกเอา

เราพยายามนึกกลับไปตอนเด็ก ๆ ตอนไปงานวันในยุคที่มีเพลง โซเดมาคอม แล้วพยายามมโนบีทของเราขึ้นมาว่า เฮ้ย ถ้าเป็นแบบนี้มันต้องสนุกแน่ ๆ เลยว่ะ พอออกมาเป็นดราฟต์นึงก็เอามาเกลา ๆ ว่าท่อนนี้ควรจะไปอยู่ตรงไหน แล้วเราก็พยายามพลิกแพลงบ้าง ด้วยความที่เล่นดนตรีร็อกมาก่อน ก็ลองเอาอะไรที่มันเป็นร็อก หรือริฟดนตรีต่าง ๆ มาทอนออก เปลี่ยนจากกีตาร์เสียงแตกเป็นซินธิไซเซอร์ หรือซาวด์อะไรก็ได้ที่มันสนุกสนานให้มันแว้นขึ้นกว่าเดิม

ชื่อ SOLE มาจากอะไร

เราอยากใช้ชื่อยาว ๆ คือตอนนั้นดูอะไรอยู่ไม่รู้แล้วเจอคำว่า ‘state of’ มีความเป็นวิทยาศาสตร์ดี เหมือน Solid State แล้วพยายามหาต่อว่าถ้าจะใช้เป็นตัวย่อ ควรเป็นคำไหนดีให้ออกมาดูเท่เหมือนกัน state of ก็ได้ S O แล้วใช่ไหม ลองต่อด้วย L ไหม ก็เป็น living ละกัน แล้วก็มาคิดว่า ถ้าเป็นโปรเจกต์เดียวก็เอาคำว่า ‘sole’ ไปเลยสิ เลยมาหาว่าคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว E มีอะไรบ้าง ก็เลยได้คำว่า ‘ecclesiastic’ มา ทั้งหมดเลยแปลว่า ‘สถานะของการอยู่อย่างสันโดษ’ 

ทีแรกได้นึกถึงการเล่นสดไหมว่าทำเพลงแบบนี้ออกมาแล้วจะนำเสนอยังไง

ตอนแรกทำออกมาให้เป็นเพลงเพื่อฟังโดยเฉพาะไปก่อน เพราะไม่คิดว่าเล่นสดแล้วมันจะรอด เพลงมันมีความซับซ้อนอยู่ ไลน์เยอะมาก ใช้เครื่องดนตรีเยอะมาก สภาพที่เล่นสดครั้งแรกมีสมาชิก 7 คน เพราะต้องเก็บทุกเครื่อง มีกลองจริง มีคนที่ตี drumpad ไฟฟ้า แล้วก็มีกลองดั๊บอีกทีนึง มีคนที่ตี floor tom แล้วก็ร้องคอรัสไปด้วย มีเบสจริง เบสซินธิไซเซอร์ มีซินธิไซเซอร์อีกตัว แล้วก็กีตาร์ ส่วนเราก็มีหน้าที่ดั๊บเสียงร้องตัวเอง

sole_05

ไม่คิดจะเปิด midi ช่วยหรอ

เมื่อก่อนเราเป็นคนเหยียดอิเล็กทรอนิกเว่ย รู้สึกว่า เชี่ย มันสังเคราะห์ เหมือนเราสบประมาทมันไปว่ามันห่วย แต่ไป ๆ มา ๆ พอดู Jay Z เล่นสดใน YouTube คลิปนึง แล้วเขาเป็น full band ใหญ่ ๆ เลย โคตรเจ๋ง เลยเอามาเป็นแนวทางว่าเราทำเพลงอิเล็กทรอนิกเนี่ยแหละ แต่เป็น full band กับพอตอนนี้เทคโนโลยีมันช่วยเรามากขึ้นแล้ว ก็เลยเหลือกัน 5 คน ใช้ midi มาเปิดช่วยละ แค่จะต่างจากวงอื่นที่เขาใส่ ear แต่เราไม่ใส่ คือเปิดแล้วต้องเล่นเกาะกับเพลงให้ได้ เหมือนยุคที่เราเปิดเพลงไปด้วยแล้วซ้อมไปด้วย มันก็มีความสนุกตรงที่เหมือนมีอีกคนมาเล่นด้วยต่างหากแต่ไม่มีใครนับจังหวะให้ มันก็เหมือนเป็นการแจมสด ๆ ไป มีพลาดบ้าง แต่มันก็ยังสนุกอยู่ เพราะก็เล่นกันไปตามธรรมชาติ

คุณสมบัติของคนที่จะมาช่วยเล่นในโชว์ของ SOLE

เราเลือกจากความอินกับดนตรีของเราของคนคนนั้น ตอนแรกเล็ง ๆ น้องบลู Lord Liar Boots ไว้ เพราะเป็นคนไทป์เดียวกันเนี่ยแหละ แต่อยากได้คนที่เคมีเพลงตรงกันอยู่แล้วจะได้ไม่เสียเวลาปรุงแต่งอะไร ตอนนี้เลยมีพี่เบน พี่อ๋อง The Whitest Crow กับน้องปอม น้องโบนัส De Flamingo มาช่วย ในอนาคตก็อยากได้หลาย ๆ คนมาแจม มาเล่นกันเยอะ ๆ 

งานเล่นสดครั้งแรกต่อหน้าธารกำนัล

น่าจะที่ Play Yard รอบนั้นก็มีคนมาดูกันอยู่ประมาณนึง เหมือนมีฐานแฟนเพลงจาก The Whitest Crow มาดูด้วย แต่พอหลัง ๆ ก็ได้ฐานแฟนเพลงใหม่ขึ้นมาที่เขาชอบอะไรที่สนุก ๆ เพราะเพลงมันมีความเร้ามากกว่า The Whitest Crow

อะไรทำให้คนสนใจเพลงของ SOLE

เราว่ามันเป็นทางเลือกใหม่นะ จริง ๆ rave มันเป็นแฟชันที่วนกลับมาอีก เหมือนที่เราเคยเจอแฟชันยุค 70s 80s แต่ 90s ที่กลับมาส่วนใหญ่คนจะไปเป็นกรันจ์ อัลเทอร์เนทีฟร็อกกันมากกว่า ซึ่งซีนที่มันเป็นอิเล็กทรอนิกแบบ 90s ยังไม่มีใครทำ แล้วเราสนใจ ด้วยความที่เราชอบอะไรดิบ ๆ อยู่แล้ว มันเลยยิ่งทำให้คิดว่าอันนี้มันก็เป็นตัวเรา แต่อยู่ในพาร์ตที่เป็นอิเล็กทรอนิกมากขึ้น

Feedback ตอนปล่อย EP ครั้งแรก

เราทำด้วยความที่ไม่ได้คาดหวังมาก แต่ได้ผลตอบรับดี คิดว่าเพลงมันเริ่มมีอิทธิพลแทรกซึมเข้าไปที่คนฟัง เห็นทุกคนสนุกกับเพลง

sole_03

คอนเซปต์หรือเรื่องราวที่พูดถึงในเพลงของ SOLE

มันเป็นเพลงรักในรูปแบบที่จกเปรตมาก ๆ อย่าง Like a Magic ทีปล่อยมาเพลงแรกเป็นเพลงอกหักผู้หญิงทิ้ง พูดประมาณว่าถ้ามีโอกาสสักครั้งก็อยากได้คนคนนี้กลับคืนมา เหมือนมีเวทย์มนตร์ แต่ด้วยความที่ band มันถ่อยมาก ๆ เงี้ย มันเลยทำเป็นเพลงซึ้งไม่ได้

ทำไมถึงเขียนเพลงเกี่ยวกับยาเสพติด

เราเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของ Gerard Way นักร้องนำ My Chemical Romance เขาว่ามันเป็นฟีลที่ผู้กำกับคนนึงทำหนังขึ้นมา 4-5 เรื่อง ถ้าเป็นหนังของ Christopher Nolan แม้มันจะเป็นหนังคนละเรื่องกันแต่มันก็จะมีความเป็นผู้กำกับคนนั้น เราเลยรู้สึกว่าการทำ The Whitest Crow กับ SOLE ขึ้นมามันก็เหมือนเป็นหนังคนละเรื่องกัน The Whitest Crow เป็นหนังสายดาร์ก นิ่ง ๆ แต่พอเราทำหนังเรื่อง SOLE มันจะมีความจั๊กจี้ ความซิ่งของมัน เลยเหมือนเป็นการสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่มากกว่า แล้ว direction มันได้ในทางนี้ คือมีความตลกและความจริงจังในเรื่องดนตรีอยู่ ก็เลยเป็นจุดที่คนเข้าถึงเราได้มากที่สุด ในเพจก็มีแอดมินหลายคน ใช้ชื่อถ้ำกระบอกบ้าง แล้วแฟนเพจก็รู้สึกชอบอะไรแบบนี้

คิดยังไงกับการที่คนเคยออกมารณรงค์ต่อต้านเพลงที่พูดถึงยาเสพติด

มันเป็นเรื่องธรรมชาติมาก ๆ เราเห็นคนดูดบุหรี่มันก็ไม่ได้กระตุ้นให้เราอยากดูดบุหรี่ เพลงมันเป็นการเลือกสิ่งที่อยู่ในสังคมเรามาพูดมากกว่า เพราะทุกคนก็พูดถึงแต่เรื่องความรักกันทุกวัน ในขณะที่จริง ๆ แล้วคนมันก็ไม่ได้รักกันทุกวันหรอก เลยคิดว่ามันเป็นอะไรที่เสแสร้งเบา ๆ แต่เรื่องที่เราเจอมันคือความสนุก คิดว่าทุกวันนี้คนก็เครียดมากพอแล้ว อยากให้ดนตรีเราเป็นความสนุกของชีวิตเขาบ้างโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ แค่พูดมันออกมา มันเป็น fact ที่คนไม่กล้าพูด หรือเหนียมอาย อย่างเพลง Call Me เป็นเพลงที่แบบ คิดถึงก็โทรมา แต่จริง ๆ คือคนมันเงี่ยนก็โทรหา มันคือสิ่งที่เป็นพื้นฐานของสันดานมนุษย์ที่มีศีลธรรมมาวางกั้นให้เราไม่สามารถพูดออกมาได้มากกว่า

เป็นคนขวางโลกหรือเปล่า

เป็นครับ แต่เลิกเป็นละ (หัวเราะ) เมื่อก่อนจะเป็นคนที่ aggressive กับทุกเรื่องมาก อินการเมืองเหี้ย ๆ แต่พอหลัง ๆ ก็เข้าใจว่านี่คือโลกมนุษย์ ก็ต้องมีความคิด มีอารมณ์เป็นธรรมดา เราก็เลิกพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ดี หันมาใช้ชีวิตของเราที่ไม่ได้เดือดร้อนคนอื่น ทัศนคติก็พูดให้น้อยลงบ้าง เพราะรู้สึกว่าพูดไปไม่มีประโยชน์ สู้เราทำอะไรขึ้นมา มันน่าจะเปลี่ยนสังคมได้มากกว่าแค่พูด

เห็นว่าชอบตั้งสเตตัสพูดเรื่องเล็ก ๆ ในสังคมที่สะเทือนใจ คิดจะเอาเรื่องพวกนี้ไปเขียนเพลงไหม

จริง ๆ มีตั้งแต่ The Whitest Crow แล้ว แต่สุดท้ายแล้วมันถูกแปรรูปให้มันย่อยง่ายขึ้น เราไม่อยากให้คนซีเรียสมากเกินไปด้วยแหละ จริง ๆ เราเป็นคนซีเรียสอยู่แล้ว แต่พอคนมารู้จักก็จะคิดว่าเป็นคนตลกเฮฮาด้วยความที่เราย่อยความซีเรียสของเราให้เป็นความสนุกของทุกคนดีกว่า ก็อยากให้คนลองมาฟัง มาสนุกกับเพลงของเราดู ไม่ก็พวกสายย่อในเน็ตอะ เอาเพลงเราไปเต้นก็ได้ มันคือจุดสูงสุดในชีวิตเลยนะ ทำดนตรีสายนี้อะ วันก่อนเห็นสายย่อรีวิวครีมเงี้ย แม่งเอาเพลง Twenty One Pilots ไปเต้นเว่ย แล้วมันเจ๋งมากอะ เหมือนวงอินดี้ได้เล่นงาน Cat Expo แล้วเหมือนเขาได้ขยับสเต็ปขึ้นมา มีเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น ถ้าของวง SOLE คงเป็นการที่สายย่อเอาเพลงเราไปเต้นแหละ เหมือนถึงจุดที่คนทาร์เก็ตนี้เขาเอาเพลงเราไปฟัง มันคงพีคมาก ๆ เดี๋ยวสงกรานต์เราว่าจะก็ทำเพลงต้อนรับเทศกาลสักเพลงนึง 

มีเพลงของ The Whitest Crow ที่เอามาทำในแบบ SOLE อีกไหม

มีเพลง Psycho Killer ที่จริง ๆ แล้วมันมีเนื้อเพลงของเพลง I.C.S.T.O.Y ดราฟต์แรกเป็นเพลงที่จะทำส่ง Fat Radio ให้พี่รุ่ง Smallroom คอมเมนต์ให้ เขาให้ทำเพลงที่เล่าเรื่องหนัง เราเลยเลือกเรื่อง ‘Psycho’ ของ Alfred Hitchcock มาทำ

sole_02

เวลา SOLE ทำแผ่น จะทำมาทีละน้อย ๆ และมีการ re-design ปกอยู่ตลอด

เพราะเหมือนว่าสุดท้ายจริง ๆ แล้วคนเขาก็ฟังเพลงกันใน YouTube ฟังใจ Soundcloud หรือโหลด iTune แต่เราคิดว่าซีดีมันเป็นอะไรอีกอย่างที่เหมือนเราให้โปสการ์ด ให้ของขวัญเขามากกว่า ซึ่งเรารู้สึกสนุกกับการที่มีอะไรใหม่ ๆเราเป็นคนเบื่อง่ายอยู่แล้ว ก็ยัดเยียดความเบื่อง่ายให้คนที่อยากได้แผ่นไปละกัน มันเลยดูพิเศษสำหรับทุกคนที่แบบ เฮ้ย เชี่ย รอบนี้มันเป็นแบบนี้ว่ะ อีกรอบเป็นอีกแบบนึง แล้วจำนวนไม่เท่ากันด้วยในแต่ละครั้ง

ทำแบบนี้ช่วยกระตุ้นยอดขายไหม

เรื่องยอดขายเราไม่ได้ซีเรียสเลย แค่รู้สึกว่ามันมีอะไรใหม่ ๆ ให้คนได้จับจองไปเรื่อย ๆ น่าจะสนุกมากกว่า แต่ก็หมดตลอด เวลาสั่งทำเนี่ยต้องทะเลาะกับโรงงาน แต่เพราะรู้จักกันเขาเลยยอมให้เราสั่งน้อยกว่าขั้นต่ำของเขาได้

Cat Expo เวทีที่มันที่สุดของ SOLE

โห มันเหี้ย ๆ คือเล่นดนตรีมา 4 ปี นั่นเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกสนุกจริง ๆ ในชีวิต เราไม่ได้คาดหวังด้วยไง คิดแค่ว่า เอานะ เล่นเวทีเล็ก วงก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก คงมีคนมาดูแค่ 20-30 คนแหละ แล้วคนแม่งมาจากไหนกันไม่รู้ แล้วคนก็สนุกกันไง เราเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันตอบโจทย์ว่ะ เราแค่อยากให้คนสนุก แล้วมันสนุกจริง ๆ เกินความคาดหมาย (หัวเราะ)

EP ชุดใหม่มีเพลง Call Me ที่เป็นเวอร์ชัน 2017

เราชอบเพลงนี้มาก เสียดาย ไม่อยากทิ้ง เหมือนเรายึด Call Me เป็นการเจริญเติบโตของวง ถ้าเป็นเด็กจะใช้อันนี้เป็นตัววัด ดูว่าสูงขึ้นเท่าไหร ส่วน Call Me ก็เหมือนกันที่อาจจะอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่มันอาจจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตาม EP ตามอัลบั้ม อย่าง Call Me อันนี้จะมีความ trance มากกว่า แล้วพอ Call Me ตัวสุดท้ายอาจจะเป็นตัวบอกว่า SOLE ในปัจจุบันตอนนั้นเป็นยังไง

ส่วนเพลงใน EP ใหม่ 3 เพลงนี้ก็จะแว้นกว่า เรียกว่าซิ่งกว่าเซ็ตแรกที่มีความดิบกร้าน แต่ตุ้งติ้งอยู่บ้าง และเป็น band สูงในเรื่ององค์ประกอบ แต่อันใหม่จะเป็นอิเล็กทรอนิกมาก ๆ เนื้อหาก็จะ aggressive กว่า อย่างเพลงแรกชื่อ Far From Home มันเหมือนคนเราไปกินเบียร์แล้วก็จะแบบ เชี่ย ยาวไป ๆ แล้วพอกินเสร็จก็รู้สึกว่าไกลบ้านอะ กลับยาก แต่อีกมุมนึงของ Far From Home มันคือเลยจุดที่เราจะกลับไปที่เดิมได้แล้ว อะไรที่เราทำมาขนาดนี้ก็ทำ ๆ ไปเหอะ ส่วน If You Want to Run, Run Faster คือเราเคยดูหนังเรื่องนึง เหมือนพระเอกเอาปืนจี้นางเอก แบบนางเอกจะทิ้ง แล้วพระเอกก็บอกว่าถ้าจะทิ้งเราไปอะ ก็วิ่งให้เร็ว ให้โอกาสวิ่งแล้วนะ ก็เป็นมุมคนโดนทิ้งที่ aggressive ขึ้น สุดท้ายกลายเป็นเพลงวิ่งหนีตำรวจ (หัวเราะ) แล้วตอนเล่นสดคือ improvise เอา ให้ร้อง ‘วี้หว่อ’ เพราะมันคือเสียงไซเรน แล้วทุกคนมันต้องวิ่งเพื่อหนีตำรวจ

อัลบั้มเต็มจะออกมาเมื่อไหร่

คุยกับทีม Malama อยู่ น่าจะเป็นหลังครึ่งปีนี้ไปแล้ว คิดชื่อว่าเป็น Bangkok Teenage Renaissance รู้สึกว่ามันเท่มาก มันคือคำว่า revival นั่นแหละ แต่ที่ใช้ชื่อนี้เพราะอยากให้รู้สึกว่าจะเอาความสนุกของวัยรุ่นกรุงเทพ ฯ กลับคืนมา แล้วด้วย direction เราชอบอะไรที่เป็นบาโร้ค ความคลาสสิกแบบเรอเนซองส์ มันมีความเยอะในดนตรีช่วงนั้น ดนตรีเราก็เยอะด้วย เลยถือว่าเป็นคอนเซปต์โดยรวมที่ดีและใช้เป็นชื่ออัลบั้มได้ แต่เดี๋ยวจะมีซิงเกิ้ลออกมาก่อน

sole_04

จะมีโปรเจกต์อื่น ๆ อีกไหม

มี แต่ยังไม่บอกดีกว่า แต่ติดตามเราได้ใน hashtag Facebook YouTube Instagram ชื่อ SOLEBKK นะ

รับฟังเพลงของ SOLE บนเว็บไซต์ฟังใจได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้