Article Interview

‘The Yers’ Cry’ คุยกับผู้ชายที่ร้องไห้ออกมาเป็นอัลบั้มอะคูสติก

  • Writer: Gandit Panthong and Chawanwit Imchai
  • Photographer: Chavit Mayot

The Yers ยังคงรักษามาตรฐานได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปล่อยเพลง การสื่อสาร ซิงเกิ้ลแรกของวงออกมา และอัลบั้มเต็มทั้งสองอัลบั้มก็ทำให้พวกเขาได้เล่นเวทีที่ใหญ่ขึ้น อีกทั้งก็เริ่มทำให้คนไทยในวงกว้างเริ่มคุ้นชินกับซาวด์ของดนตรีแนว post punk มากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าการโลดแล่นบนโลกที่กว้างขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน 

ลมหายใจบางเบาจาก The Yers ในบทสัมภาษณ์ เป็นสิ่งที่เหลือรอดมาจากการทำอัลบั้มอะคูสติก Cry ที่กำลังจะปล่อยในเร็ว ๆ นี้

1-the-yers-fungjaizine-01-%e0%b9%82%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%97-%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c-boat-the-yers

ท่ามกลางเสียงสังเคราะห์และเสียง distortion ก็ยังมีเสียงลมหายใจที่เหนื่อยล้าซ่อนอยู่ ไปดูกันเถอะว่าอะไรที่ทำให้ชายชุดดำต้องร้องไห้ออกมา

 เป็นความตั้งใจของเราตั้งแต่ตอนแรกเพราะเราชอบอัลบั้มอะคูสติกที่มันจริงใจ ไม่ควรจะเนี้ยบ ควรจะเป็นอะไรที่มันอยู่ในบ้าน เราถึงบอกให้คนฟังอัลบั้มนี้ใส่ใจกับมันหน่อย แล้วมันจะได้ยินบ้านเรา มันเหมือนเราเล่นดนตรีให้ฟังอยู่ในบ้านนั้นจริง ๆ

โครมครามมา 2 อัลบั้ม จู่ ๆ มาทำอะคูสติก

อู๋: ค่ายอยากให้มีผลงานปีนี้ครับ แต่เราไม่อยากมี เราอยากเบรกแบบไม่อยากทำเพลงไปซักพักหนึ่งเลย แต่ปรากฏว่าเพื่อน ๆ เห็นด้วยกับค่ายครับ เราก็เลยคิดอะไรที่มันอยู่คั่นกลางระหว่างอัลบั้มที่ผ่านมากับอัลบั้มใหม่ ก็เลยนึกถึงอัลบั้มอะคูสติก เลยเป็นทางออกของการมีผลงานต่อเนื่องที่ง่ายที่สุด 

ทำไมถึงอยากเบรก

อู๋: เราไม่ชอบทำงานต่อเนื่องกันเยอะ ๆ คือการมีอัลบั้มอะคูสติกเรายังรู้สึกว่ามันเร็วไปด้วยซ้ำ ระหว่างซิงเกิ้ลสุดท้าย TV ของอัลบั้ม You มาจนถึง พายุหมุน มัน 9 เดือนเอง ยังไม่ถึงปีเลย แต่ปรากฏว่าพอมันเป็นอะคูสติกกลับรู้สึกว่ามันผ่อนคลายขึ้น เราไม่ต้องซีเรียสกับการปล่อยผลงานมากขึ้น แล้วเราก็อินกับการมีอัลบั้มอะคูสติกอยู่แล้ว (FJZ: ที่ผ่านมาใช้พลังงานไปเยอะมาก?) ใช่ เราเครียดมากเพราะเราเป็นคนเขียนเพลงทุกเพลง แล้วพอทำอัลบั้มอะคูสติกกันแล้วทุกคนมัน เออ โอเคกันหมด เราก็โอเค ค่ายก็โอเค เราก็แฮปปี้มาก ๆ ที่จะทำอัลบั้มอะคูสติกเพราะคิดว่ามันง่าย แค่ดีดกีตาร์ป๊องแป๊ง ๆ แต่ปรากฏว่ามันไม่ง่ายเลย

ต่อ: โคตรยาก (หัวเราะ) (FJZ : ทำไมถึงยาก)

อู๋: ความยากของมันคือเราต้องซีเรียสกับการอัดมากกว่าเดิม เพราะว่ามันไม่ได้มีเสียงแตกที่มากลบเกลื่อนความห่วยในการเล่นของพวกเราเลย มันเป็นอะคูสติกแล้วมันฟ้องง่ายมากเวลาเราเล่นผิด และความยากของมันอีกอย่างคือตอนแรกเรากะจะทำเพลงเก่าหมดเลย แล้วทำเพลงใหม่แค่ 2 เพลง ทำไปทำไมกลับมีเพลงใหม่เยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนเราถอนเพลงเก่าที่เรียบเรียงไว้แล้วออกเกือบหมด เลยกลายเป็นอัลบั้มพิเศษที่มีเพลงใหม่เยอะกว่าไปซะอย่างงั้น ซึ่งก็ยังบอกไม่ได้ว่าเอาเพลงเก่าเพลงไหนมาทำ จะรู้ทีเดียวก็ตอนปล่อยอัลบั้มเลยเพราะเราอยากให้คนตื่นเต้นว่า เอ้ย เลือกเพลงนี้มาทำเป็นอะคูสติกเหรอ อะไรแบบนี้

2-%e0%b8%ad%e0%b8%b9%e0%b9%8b-the-yers-the-yers-fungjaizine-2

ทำไมถึงตั้งชื่ออัลบั้มว่า Cry

อู๋: เพราะตอนเราทำอัลบั้มนี้เราร้องไห้เยอะประมาณหนึ่งเลย เราร้องไห้ให้กับเรื่องคนนู้นเรื่องคนนี้ แล้วเราก็คิดขึ้นมาได้ว่าอัลบั้มนี้มันขับเคลื่อนด้วยความเสียใจของเราล้วน ๆ เลย เพลงทุกเพลงแม่งมาจากโมเมนต์ที่เราแอบร้องไห้ที่บ้านคนเดียวตลอดโดยที่เพื่อนไม่รู้ แฟนไม่รู้ ใคร ๆ ก็ไม่รู้ อัลบั้มนี้เลยมีความส่วนตัวมาก ๆ บำบัดมาก ๆ แล้วก็ช่วยผ่อนคลายความเครียด โมเมนต์นั้น ๆ ได้พอสมควรเลยครับ แล้วก็เราอยากให้ทุกอัลบั้มมีตัว Y อยู่ในนั้นซึ่งมันไปพอดีกับคำว่า Cry อีกอย่างดนตรีในอัลบั้มนี้มันผ่อนคลาย คำว่า Cry มันเลยตอบโจทย์ที่สุด

ทำไมถึงยังคงเสพติดความเจ็บปวดอยู่

อู๋: (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วเรารู้สึกว่าไอ้เรื่องพวกนี้มันเป็นความสุขของเราไปแล้ว อย่างเพลง เสพติดความเจ็บปวด มันก็เป็นเพลงที่บอกชีวิตเราได้ดีมากเลยนะ ตอนแรกท่อนฮุคของเพลง เสพติดความเจ็บปวด มันร้องว่าความสุขที่ตามหามานาน ความสุขที่ได้ทุกข์และทรมานตอนแรกมันร้องแบบนั้นแต่เรามาเปลี่ยนทีหลัง คือจริง ๆ แล้วมันคือความสุขของเราไปแล้วเวลามาเจอเรื่องอะไรพวกนี้ มีความสุขที่ได้เรียบเรียงมันให้อยู่ถูกที่ถูกทางเป็นชิ้นงานออกมา อะไรที่มันเป็นความเสียใจ ความมืดมน เรามองมันหรือได้ยินมันทีไรเรามีความสุขตลอดเลย เหมือนเราชอบถ่ายทอดอารมณ์ฝั่งนี้ให้คนรับรู้ แต่จริง ๆ เราเป็นตลกมากเลยนะ ชอบเล่นมุกพร่ำเพื่อจนเพื่อนด่าประจำ ซึ่งเวลาเราถ่ายทอดอะไรตลก ๆ เพื่อนก็จะเกลียด คนรอบข้างก็จะรำคาญเวลาตลกมากเกินไป พอเป็นเรื่องที่ซีเรียสเรากลับสื่อสารได้อย่างไม่เขิน สื่อสารได้อย่างเต็มที่

โบ๊ท: วงวงหนึ่งไม่ว่าจะทำเพลงดีแค่ไหนก็ตามสุดท้ายมันอยู่ที่คนสื่อสาร ถ้าอย่างคุกกี้เสี่ยงทาย by อู๋ อย่างเงี้ยะ มันก็สื่อสารอีกแบบละ มันอยู่ที่ใครเหมาะจะสื่อสารอะไร

มีวิธีในการเลือกเพลงที่จะปล่อยเป็นซิงเกิ้ลอย่างไร

อู๋: เราไม่ค่อยแคร์เรื่องเนื้อหาเท่าไหร่ครับ เราแคร์เรื่องคนจะเก็ตกับคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มยังไงมากกว่า อย่างเช่นตอนเราทำอัลบั้ม You เราจะรู้แล้วว่าเพลงที่คนจะฟังเยอะที่สุดคือเพลง เพียงหนึ่งครั้ง ซึ่งทุกคนก็บอกให้ซัดเพลงนี้ ตีหัวไปเลย เราก็เลยแบบ โห นี่เราเพิ่งย้ายจาก Smallroom มา Genie เราคิดว่าคนแม่งต้องด่าแน่ ๆ ว่าเราโดนค่ายบังคับให้ทำเพลงช้าเป็นเพลงแรก ค่ายแม่งเปลี่ยนตัวตน The Yers อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งจริง ๆ เปล่าเลย เราก็แต่งเพลงเองมาโดยตลอด คือค่ายไม่มีผล แต่ว่าเราไม่อยากให้มองว่าค่ายทำให้เราเปลี่ยนไป เราก็เลยปล่อยเพลง คืนที่ฟ้าสว่าง เป็นเพลงแรกก่อน เพื่อให้คนรู้สึกว่า เออ The Yers ยังเหมือนเดิม

บูม: ขนาดปล่อยเพลงเร็วยังโดนด่าเลย (FJZ: โดนด่าว่าอะไรบ้าง)

อู๋: คือคนจะเข้าใจว่าเวลาเราย้ายมาค่ายใหญ่ก็จะป๊อปขึ้น จะแมสขึ้น ซึ่งเปล่าเลย เพราะเราทำเพลงเองมาแต่ไหนแต่ไร เราก็เลยกั๊ก เพียงหนึ่งครั้ง ไว้เป็นเพลงที่สาม คือก่อนหน้านั้นเราปล่อย คืนที่ฟ้าสว่าง กับ เสพติดความเจ็บปวด เพื่อให้คนฟังรู้สึกว่ามันยังมีอะไรที่สนุกสนานอยู่ ไม่ใช่รู้สึกว่าเราโดนค่ายเปลี่ยน แล้วก็อย่างพายุหมุน เราก็โหวตกันเลย ซึ่งวงไม่เคยใช้วิธีแบบนี้มาก่อน แล้วจริง ๆ เราก็ยังไม่อยากปล่อยเพลงนี้นะ แต่ทุกคนฟังแล้วบอกว่าน่าจะเป็นเพลงที่บอกให้คนรู้ได้ว่า พอ The Yers เล่นกีตาร์โปร่งเล่นเบสโปร่งแล้วซาวด์มันเป็นแบบไหน แล้วทุกคนก็บอกว่าแค่อินโทรมาก็รู้แล้วว่ามันเป็นอัลบั้มของอะคูสติกของ The Yers จริง ๆ เราไม่ได้เลือกจากความฮิตไม่ฮิตหรือว่าเนื้อหาเพลงอะไรเลย เราเลือกจากความเป็น root ของวงดนตรีวงหนึ่ง อย่างตอนเด็ก ๆ เราจะตื่นเต้นกับ หูว! Moderndog ปล่อย เวตาล ตามด้วย สิ่งที่ไม่เคยบอก หรือว่า ยาพิษ ต้องตามด้วย อกหัก แล้วมาที่ สติกเกอร์ แบบ เร็ว ช้า แล้วมา กลาง ๆ อย่างนี้เราจะชอบมาก

3-%e0%b8%ad%e0%b8%b9%e0%b9%8b-theyers-%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c-the-yers-fungjaizine

ทำไมถึงเลือกทำเป็นอะคูสติกในรูปแบบนี้

อู๋: ก่อนที่จะมี 7 เพลงที่เป็นเพลงใหม่เนี่ย มันมี 6-7 เพลงที่เป็นเพลงเก่าซึ่งโบ๊ทและต่อทำขึ้นมาเป็นไกด์คร่าว ๆ โบ๊ททำมาแบบหนึ่ง ต่อมันก็มาอีกแบบหนึ่ง ส่วนเพลงใหม่ที่เราทำมันก็ออกมาอีกแบบหนึ่ง คือเราไม่ได้กำหนดว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน แต่ว่ามันก็มีโจทย์หลัก ๆ ที่เราให้ทุกคนก่อนเริ่มทำอัลบั้มคือฟังแล้วต้องหลับ เพราะว่าเราอยากเล่นดนตรีแบบที่มันใช้ใจใช้สมาธิในการฟังมากกว่าเพลงมัน ๆ หรือว่าเพลงโครมครามทั่วไป เราอยากมีอัลบั้มที่ถ้าคุณปิดบ้านเปิดลำโพงดัง ๆ แล้วนั่งจิบกาแฟแบบเล่นมือถือเลย แล้วฟังให้มันดิ่งลงไปในอัลบั้มจริง ๆ เราอยากให้มันมีอัลบั้มนั้นเกิดขึ้น แล้วเรามองไปถึงตอนเล่นสด ซึ่งเราเจอแต่โชว์ที่มีแต่คนนั่งดู อย่างไปร้านหนึ่งแล้วแฟนเพลงมาเยอะมาก เปิดเพลงตึ๊ดมาก แต่ว่าวางเก้าอี้กับโต๊ะไว้ทั่วร้านเลย คนก็เลยไม่กล้ายืนกัน เราก็เลยอยากมีเพลงที่เอาไว้ดีลกับสถานการณ์แบบนี้ รวมไปถึงเราอยากมีคอนเสิร์ตอะคูสติกที่มันเงียบมาก ๆ ที่คนไม่คุยกันและโฟกัสกับการฟังดนตรีจริง ๆ มันเป็นอีกหนึ่งความฝันของเราที่เราอยากให้คนซึมซับอะไรที่มันช้า หน่วง คือถ้าใครไม่มีสมาธิในการฟังอัลบั้มนี้เราว่าแม่งอาจจะเกลียดอัลบั้มนี้ไปเลยก็ได้ แต่ถ้าได้เปิดใจและลองมีสมาธิกับอัลบั้มนี้ดูก็จะรู้ว่าเราโคตรประณีตกับมันมาก ๆ ตอนอัดนี่แม่งโคตรแห่งโคตรของความประณีตเลย (FJZ: ประณีตอย่างไรบ้าง) คือเราอัดในห้องนอนโดยมีเพื่อนในวงนี่แหละที่เป็น engineer แล้วเครื่องดนตรีทุกชิ้นก็อยู่ในห้องนอนเราหมด สมมติเราเริ่มอัดกลองเราก็จะได้นอยซ์ตอนเราอัดกลอง พออัดเบสก็จะได้นอยซ์จากตอนอัดติดมา นอยซ์มันจะเยอะมากเพราะมันไม่ใช่ห้องเก็บเสียงจากข้างในและข้างนอก แต่วิธีการเล่นเราจะทำให้มันสมบูรณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ที่สุดเพราะมันจะฟ้องง่ายมากถ้าเราเล่นไม่ดี เราจะประณีตกับวิธีการเล่นและวิธีการดีดมาก บางเพลงอัดแบบใช้ปิ๊กไปแล้วทั้งเพลง จนมันเสร็จแล้ว พอมาฟังอีกทีก็พบว่าแม่งไม่ใช่ว่ะ จริง ๆ มันต้องใช้นิ้วว่ะ แล้วกลายเป็นอีกเพลงไปเลย ซึ่งอย่างนี้เราก็ต้องรื้อใหม่หมด และเราก็ประณีตกับการเก็บเสียงสิงสาราสัตว์ (หัวเราะ) คือพวกเสียงรบกวนอย่างเสียงรถยนต์ เสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงคนคุยกัน เสียงฝนตก อะไรพวกนี้เราจะเอาออกหมด แต่ถ้าเป็นเสียงนก เสียงไก่ขัน เสียงหมา เสียงจิ้งหรีด เสียงพวกนี้เราจะเก็บไว้หมด เห็นได้จากซิงเกิ้ลแรกที่จะได้ยินชัดมากถ้าใครสั่งหูฟังฟัง เป็นความตั้งใจของเราตั้งแต่ตอนแรกเพราะเราชอบอัลบั้มอะคูสติกที่มันจริงใจ ไม่ควรจะเนี้ยบ ควรจะเป็นอะไรที่มันอยู่ในบ้าน เราถึงบอกให้คนฟังอัลบั้มนี้ใส่ใจกับมันหน่อย แล้วมันจะได้ยินบ้านเรา มันเหมือนเราเล่นดนตรีให้ฟังอยู่ในบ้านนั้นจริง ๆ อีกอย่างเรากำลังจะย้ายออกจากห้องนั้นแล้วด้วย อัลบั้มนี้มันเลยเป็นเหมือนการบันทึกความทรงจำของห้องนอนนี้ที่เรานอนมา 8-9 ปี เราหวังว่าคนฟังจะได้รับรู้อารมณ์ของห้องนอนห้องนี้จริง ๆ

ขั้นตอนไหนเครียดที่สุดในการทำเพลง

อู๋: ตอนเขียนเนื้อเพลงครับ เราเป็นคนไม่อ่านหนังสือเลย ก็เหลือแค่สองวิธีคือ เค้น กับ รอ ถ้าเค้นไม่ได้ก็รอ ถ้ารอไม่ได้ก็เค้น แล้วมันทรมานมากเวลามันนึกเนื้อไม่ออก เราคิดช้ามาก แต่ถ้าอันไหนมาก็มาเลย อย่าง ผีตากผ้าอ้อม ใช้เวลา 3 ชั่วโมง แอบรอ ก็ชั่วโมงนิด ๆ แต่ เสียสละ นี่ลากยาวกันสามสี่เดือนถึงหกเดือนไปเลย

ชอบอัลบั้มอะคูสติกของใครบ้าง

อู๋: สำหรับเรามันมีอัลบั้มหนึ่งซึ่งน่าจะเป็น reference ของอัลบั้มนี้เลยก็คืออัลบั้ม Flaws ของวง Bombay Bicycle Club มันเป็นวงที่เล่นเครื่องไฟฟ้าเก่งมาก ๆ ซึ่งพอมาทำอะคูสติกก็ยังรู้สึกถึงความเป็นวงมันอยู่ แล้วเราชอบที่มันทำเพลงใหม่ ไม่ใช่เอาเพลงเก่ามาทำทั้งหมด

ต่อ: ที่ผ่านมาก็มีอัลบั้มอะคูสติกของ Placebo ที่ชอบ ๆ แต่จริง ๆ ก็ชอบ Flaws มากกว่า ชอบที่มันยังเท่เหมือนตอนเล่นเครื่องไฟฟ้าอยู่

บูม: จริง ๆ ก็ไม่ได้อินกับอะคูสติกเพราะมันไม่ค่อยมีกลองเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ว่ามันก็มี live ของวง Mew ครับที่ชอบ มันก็ไม่เชิงเป็นอะคูสติกทั้งหมดแต่ว่ามันจะมีแค่เปียโน 2 ตัวกับนักร้อง กีตาร์โปร่งอีกตัวหนึ่ง แล้วก็ชอบ MTV Unplug ของวง Nirvana

โบ๊ท: มันจะมีช่วงที่เราอยากอยู่บ้านแล้วฟังเพลงที่มีเสียงกีตาร์โปร่ง ประกอบกับเป็นช่วงที่เรากำลังจะทำอัลบั้มอะคูสติก ตอนนั้นผมชอบ Kurt Vile มาก ผมอยากจะเล่นแบบนั้น ทำแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้เลยทั้งการเล่นและแต่งเมโลดี้แบบนั้น คือเอาอะไรมาใช้ไม่ได้เลย แต่ว่าเป็นอัลบั้มที่ชอบมาก

ต่อ: คืออัลบั้มนี้มันเกิดจากความมั่วมากกว่า เพราะว่าจู่ ๆ มาเล่นกีตาร์โปร่งให้มันเหมือนที่เราเคยเล่นมันก็ไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการเล่น เปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่าง มันก็เลยออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่มันเหนือความคาดเดา

บูม: อย่างพาร์ตกลองก็เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนตีอะครับ น้ำหนักและไดนามิกมันต้องลดลง และเราต้องอยู่ข้างหลังทั้งหมด เพราะเราไม่สามารถเล่นอะไรที่มันโฉ่งฉ่างได้ แต่ชอบนะ ไม่เหนื่อย เล่นสบายดี

โบ๊ท: ผมเปลี่ยนเบสเลย มาใช้เบสโปร่ง วิธีการดีดก็ต้องปรับเยอะเหมือนกัน จากที่เคยซัดปิ๊กก็ต้องเปลี่ยน

4-%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%ad-the-yers-the-yers-fungjaizine

คิดว่าอะไรที่ทำให้เพลงเกลียดไปถึงล้านวิวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต่างจากเพลงก่อน ๆ ของ The Yers

อู๋: จริง ๆ เรารู้ตั้งแต่ตอนเพลงมันเสร็จแล้วครับ เพราะเราไม่เคยพูดเรื่องที่เป็นเรื่องทั่วไปของคนมาก่อน แม้กระทั่งที่เราเคยพูดเรื่องทั่วไปอย่างเช่น เสพติดความเจ็บปวด หรือ เพียงหนึ่งครั้ง มันก็จะมีดีเทลในเรื่องนั้นอยู่ อย่างเช่นมันจะมีซักกี่คนวะที่เลิกกับแฟนแล้วไม่ต้องการใครมาปลอบใจ แบบอยากจะอยู่กับความเจ็บปวดเว้ย หรือคนที่ไปจูบแฟนใหม่แต่เห็นเป็นหน้าแฟนเก่าซึ่งมันมีแต่ก็คงไม่ได้มีเยอะ แต่เนื้อเรื่องในเพลง เกลียด มันพูดว่าเราเกลียดตัวเองที่ยังลืมเขาไม่ได้สักที เราว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องทั่วไปที่มันเกิดขึ้นกับทุกคน อย่างเช่นเวลาเราบอกว่าเราเกลียดคนนี้ชิบหายเลย ไม่อยากเจอหน้าแม่งเลย ทำไมแม่งต้องทำอย่างนู้นอย่างนี้ บลา ๆๆ ซึ่งปรากฏว่ามันคือตัวเราเองแหละที่มัวแต่คิดถึงเขาอยู่ได้ เราว่ามันคือความ universal ของเรื่องที่พูดที่ไปตรงกับชีวิตคนได้ง่าย แล้วมันก็เคยเกิดเพลงแบบนี้ใน The Yers มาก่อน ทำให้สิ่งเหล่านี้น่าจะมีผลกับยอดวิว

เพราะแบบนี้ทำให้วิธีคิดในการเขียนเพลงเปลี่ยนไปหรือเปล่า

อู๋: เราไม่เคยคิดถึงวิธีการเขียนเนื้อเลย เรื่องไหนเข้ามาเราก็เขียนไป แบบอยู่ดี ๆ มันก็ฟลุคได้เรื่องที่มันเป็นเรื่องทั่วไปของคนโดยอัตโนมัติ ซึ่งก่อนทำเพลงเราไม่ต้องมานั่งคิดว่าจะทำยังไงดีวะ ให้เพลงนี้เป็นเพลงของคนทั่วไป เราไม่ได้คิด มันแค่ โมเมนต์นั้นเราเกลียดคนคนหนึ่งมาก ๆ และเราก็ไม่รู้จะระบายทางไหน แล้วพอระบายออกมามันแล้วมันก็ เออ มันกลายเป็นเรื่องของไอ้บูมก็ได้ เป็นเรื่องของไอ้โบ๊ทก็ได้ เป็นเรื่องของไอ้ต่อก็ได้ หรือเป็นเรื่องของพี่ยามก็ได้

ไปเจออะไรมาถึงเกิดเพลง พายุหมุน ขึ้นมาได้

โบ๊ท: โห ถาโถมเลยครับ

อู๋: มันเป็นดีเทลที่เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยครับเพราะเล่าไม่ได้ คนที่เราบอกคนเดียวคือแฟนเรา เราคุยเรื่องนี้กับใครไม่ได้เลย สำหรับเรามันหนักหนามาก เราไม่เคยดู mv เพลงของเราเพลงไหนแล้วต้องไปแอบร้องไห้อีกรอบ ทั้ง ๆ ที่ตอนเขียนเราก็ร้องไปแล้ว คนอื่นก็ดูเฉย ๆ มากตอนไปดูที่ห้องตัดต่อ มันก็แค่พี่ต้าร์ Barbies แม่งวิ่งลงมาแล้วภาพคนคนนั้นมันซัดเข้ามา แต่เรานี่ไม่ได้ ทนดูไม่ได้เลย เรารีบลุกออกจากห้องไปเลย แล้วเมื่อวันก่อนเราเจอดีเจจาก EFM เขาเดินมาหาเราแล้วถามว่า พี่แต่งเพลงนี้จากอะไร? เจออะไรมามันถึงขนาดนั้น? ชอบมากเลย อย่างนี้เราก็รู้เลยนะว่าพี่เขาต้องโดนมาหนักแน่ ๆ

5-%e0%b8%9a%e0%b8%b9%e0%b8%a1-the-yers-fungjaizine

พอมันเสร็จออกมาเป็นเพลง เป็น mv แล้ว มันเยียวยาตัวเราได้หรือเปล่า

อู๋: จริง ๆ พายุหมุน นี่แม่งเหมือนตอกย้ำตัวเองอยู่เหมือนกันนะ แม่งไม่ได้ช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเลย ก็อย่างที่บอกว่าตอนนั้นมันหนักมาก อย่างตอนซ้อมเพลงนี้ครั้งแรกหรือไปเล่นโชว์ครั้งแรกที่ช่างชุ่ยเราก็ต้องฝืน ฝืนไมให้ไม่คิดถึงชีวิตตัวเองในตอนที่แต่งเพลงนี้ ถ้าเรามัวแต่คิดถึงตอนนั้นเราจะร้องไห้จนร้องเพลงไม่ได้เลยครับ เราโคตรไม่เชื่อพวกนักร้องที่บอกว่าเวลาร้องเพลงให้หลับตาแล้วคิดถึงคนคนนั้น เราโคตรเกลียดคนที่แนะนำการร้องเพลงแบบนั้นเลยอะ มันเป็นไปไม่ได้! ยิ่งเพลงในอัลบั้ม Cry นี่แม่งตัวดีเลย ทุกครั้งที่เราร้องเราต้องโฟกัสคนดู กีตาร์โปร่งกูเสียงเป็นยังไง หรือว่าไมค์กูเป็นยังไง ในคอมีสเลดหรือเปล่า อะไรพวกนี้เราจะโฟกัสกับมันมาก ๆ และสิ่งเดียวที่เราจะไม่ทำเลยคือการนึกถึงคนที่ทำให้เกิดเพลงนี้ขึ้นมาได้ ถ้านึกถึงแม่งเมื่อไหร่ โห ร้องไม่ได้ มันจะมาทันทีเลย ใครที่ร้องเพลงแล้วร้องไห้เราจะรู้สึกว่ามันไม่ professional เลย นักร้องที่ดีควรร้องเพลงด้วยเสียงที่มีคุณภาพตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่ร้องเพลงแล้วมานึกถึงเรื่องราวชีวิตมึงแล้วก็เอาไปผูกแล้วก็ร้องไม่ได้แล้วก็ร้องไห้

ถ้าเรามัวแต่คิดถึงตอนนั้นเราจะร้องไห้จนร้องเพลงไม่ได้เลยครับ เราโคตรไม่เชื่อพวกนักร้องที่บอกว่าเวลาร้องเพลงให้หลับตาแล้วคิดถึงคนคนนั้น เราโคตรเกลียดคนที่แนะนำการร้องเพลงแบบนั้นเลยอะ มันเป็นไปไม่ได้!

เพื่อน ๆ รับรู้ถึงความกดดันตรงนี้บ้างหรือเปล่า

อู๋: ไม่รู้เลย มันสนใจแต่เสียง ear monitor ในหูตัวเอง (หัวเราะทั้งวง)

บูม: (หัวเราะ) ทุกวันนี้แม่งก็ยังไม่เคลียร์เลย เล่นมาเกือบปีแล้ว

เสียงตอบรับจากตอนไปโชว์เป็นอย่างไรบ้าง

อู๋: อู้หู โชว์แรกของเพลง เกลียด นี่ประทับใจมากเลยครับ แม่งอย่างกับป่าช้า (หัวเราะทั้งวง) มันมีเรื่องตลกอยู่ คือเราเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยมากเพราะเราจะชอบไปเจอร้านที่แบบ what the fuck อะ ร้านแบบนั้นอะ มันเป็นเรื่องปกติที่วงดนตรีวงหนึ่งเมื่อได้เขยิบขึ้นมาเล่นอีก division แล้วก็มักจะเจอกับงานที่เราเลือกไม่ได้ อย่างเช่นร้านที่มีแต่เสี่ยมา ร้านที่มีคนพกปืนมาเที่ยว เป็นเรื่องจริงของวงการเพลงบ้านเราซึ่งเราเลือกไม่ได้ แต่เราก็ไม่ซีเรียสกับมันมาก ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ก็มาเกิดขึ้นกับโชว์แรกของเพลง เกลียด

บูม: เราก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นการซ้อมแหละ ซ้อมสถานที่จริง

อู๋: เงียบสงัดเลยครับ แฟนเพลงเรามาไม่เยอะเท่าคนทั่วไปที่มาเที่ยว ที่ตลกคือตอนที่เราร้องเพลง เกลียด อยู่เนี่ยเพลงมันล้านวิวแล้ว เราก็กะจะฉลองบนเวทีเลย ประทับใจแน่นอน แต่ก็เรียกได้ว่า หงัดอ่ะ

บูม: ระหว่างที่เล่นก็เห็นป๋าที่อยู่ข้าง ๆ กำลังสีเด็กอยู่

อู๋: คือน้องที่จ้างเราไปเล่นเขาเป็นเจ้าของร้าน เขาเคยไปดูโชว์ของ The Yers แล้วประทับใจมาก แล้วเขาก็น่ารักมากตรงที่เขาอยากให้จังหวัดนี้ได้รู้จักวงเรา อยากให้คนพื้นที่ตรงนั้นที่ยังไม่รู้จักวงเรารวมถึงรู้จักแล้วแต่ยังไม่เคยดูได้ดูวงเราเล่น เหมือนกับว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาไปเที่ยวกัน ซึ่งมันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยมาก ๆ

บรรยากาศของโชว์ในต่างจังหวัดต่างจากในกรุงเทพ หรือเปล่า

โบ๊ท: มันแล้วแต่จังหวัดเลยนะ

บูม: เราว่าวงเราจะได้กับจังหวัดที่มีมหาวิทยาลัย แบบนี้เราจะได้คนดูที่เป็นเพลงของพวกเราจริงๆ

อู๋: มันมีเรื่องของร้านด้วย อย่างเราไปสองครั้งในจังหวัดเดียวกันแต่เล่นคนละร้านและคนละเดือนกัน ครั้งแรกคนเยอะที่ร้านนี้ พอเดือนต่อมาเปลี่ยนร้านเล่นกลายเป็นว่าคนไม่มากันเพราะมันไม่ใช่ที่ของพวกเขา เหมือนเขาก็ไปร้านประจำของเขาอะ แล้วพอมาเล่นอีกทีที่จังหวัดเดิมแต่ไปเล่นที่ร้านที่วัยรุ่นชอบมาเพราะมันสนุก โชว์มันก็สนุกชิบหายไปเลย แล้วอีกเรื่องที่เราเชื่อว่ามันไม่มีอยู่จริงแต่มันมีอยู่จริงคือรสนิยมในการฟังเพลงของคนบ้านเราในแต่ละโซนมันเหมือนในอเมริกาที่แบบ นิวออร์ลีนส์แม่งคือแจ๊สว่ะ นิวยอร์กแม่งคือฮิปฮอป ดี.ซี.เป็นสายฮาร์ดคอร์พังก์ว่ะ ซึ่งบ้านเราก็เป็นแบบนี้เลย อย่างถ้าใครเป็นวงร็อกแล้วไปเล่นที่ภาคใต้นี่ประสบความสำเร็จแน่นอน ถ้าใครนอกกระแสหน่อยก็จะไปได้กับภาคอีสานและภาคเหนือ ในขณะเดียวกันถ้าวงที่เป็น god ของภาคใต้ไปเล่นที่ภาคเหนือก็กลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย ขนาดรอบนอกกรุงเทพ ที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วก็ยังเป็นอีกมู้ดหนึ่งเลย

6%e0%b9%82%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%97-the-yers-%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c-fungjaizine-boat-the-yers

คิดว่าเป็นที่มาของการเหยียดรสนิยมกันอย่างที่เห็นกันตามคอมเมนต์ใน YouTube หรือเปล่า

อู๋: เราว่าเรื่องเหยียดมันเป็นกันมานานแล้ว แต่เราชอบนะ เราสนุกกับอะไรพวกนี้ ตลกดี คือจริง ๆ เราก็เป็นคนเหยียด ทุกคนเป็นคนเหยียดกันหมดแหละ แต่คนที่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ คือคนที่ขาดความยับยั้งชั่งใจและแสดงออกว่าตัวเองเหยียด อย่างเราเป็นคนเหยียดคนนะ แต่เราไม่เคยไปพิมพ์ด่าใคร ไม่เคยไปอี๋ใส่แนวดนตรีแนวไหน เวลาเห็นอะไรแบบนี้ก็จะรู้สึกว่ามันตลกดี แต่ที่เราอี๋จริง ๆ คือประเด็น อินดี้ vs แมส ซึ่งเราจะแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าเราไม่ชอบสุด ๆ คือมึงไม่รู้เลยเหรอว่าวงดนตรีที่ไม่ได้อยู่แกรมมี่ อาร์เอส หรือว่าค่ายใหญ่ ๆ เขาก็ทำเพลงในแบบที่เมนสตรีมก็ทำกัน ลองไปดูก็ได้ว่าเพลงดัง ๆ หลายเพลงที่มากจากค่ายที่ไม่ใช่แกรมมี่ตอนนี้มันเป็นโครงสร้างเพลงแมสเลย เวิร์สพรีฮุกเวิร์สพรีฮุกโซโลฮุก จบ ซึ่งในขณะเดียวกันเรากำลังพยายามจะฉีกออกจากโครงสร้างที่มันแมส แต่ว่าเราอยู่แกรมมี่อ่ะ ทำให้ตายยังไงคนก็จะเข้าใจว่านี่คือเพลงแมส เป็นเพลงตลาด

อยากจะบอกอะไรกับคนเหล่านี้

อู๋: ควย (หัวเราะ) คือตั้งแต่มีคำว่าอินดี้เข้ามาอยู่ในวงการเพลงมันมีทั้งแง่ดีและแง่ไม่ดี แง่ดีของมันคือเป็นการเปิดโอกาสให้วงหน้าใหม่ ๆ มากขึ้น แล้วก็เปิดโอกาสให้คนฟังฟังเพลงที่หลลากหลายมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ตีตรากันจนไม่ลืมหูลืมตาเลย บางวงทำเพลงที่ขึ้นมาแบบ ตึ่งปร๊ะ ตึ่งตึ่ง ตึ่ง ปร๊ะ ตึ่ง ตึ่งตึ่ง ปร๊ะ แต่ว่ามึงอยู่ค่ายเหี้ยอะไรก็ไม่รู้อ่ะ คนก็จะมองว่า เชี้ย! วงนี้แม่งเจ๋งว่ะ โคตรเป็นตัวของตัวเอง แม่งโคตรอินดี้เลยอะ โคตรนอกกระแส กูอินดี้กูฟังวงนี้เว้ย มันไม่ใช่คนอย่างเดียวนะที่รับรู้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือสื่อ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีสตางค์จ้าง เวลาอยากได้วงอินดี้ก็จะเลือกวงพวกนี้ คือพวกเขาไม่เข้าใจว่าอินดี้กับเมนสตรีมคืออะไร ตอนนี้เราอยู่แกรมมี่นะ แต่ว่ามีเพลงอย่าง ผีตากผ้าอ้อม งี้ หรือว่าเพลงแบบ เสียสละ งี้ แม่งโคตรจะไม่ใช่โครงสร้างเพลงแมสเลย มันคือโครงสร้างของการทดลองทำนู่นทำนี่มาก ๆ ถ้าในเชิงดนตรีมันคือ indie music มันคือดนตรีทางเลือก ซึ่งทำให้ตายยังไงคนแม่งก็จะเข้าใจว่ามึงแม่งวงแกรมมี่ วงตลาด วงแมส นึกออกปะ แล้วมันไม่ใช่แค่วงเรานะ มันยังมีอีกหลายวงที่โดนแบบนี้ (FJZ: จะแก้อย่างไรดี) แก้ไม่ได้ครับ มันฝังรากไปแล้วว่าถ้ามึงไม่ได้อยู่แกรมมี่มึงคืออินดี้ (FJZ: คิดว่าเป็นความไทย ๆ อีกแบบหนึ่งหรือเปล่า) เราว่าใช่เลย สุด ๆ เลย

โบ๊ท: ในบ้านเราเวลาจะวัดว่าวงไหนเจ๋งไม่เจ๋ง เพลงดีไม่ดี แม่งนับยอดวิวเอา เจ้าของร้านก็ตัดสินใจจากยอดวิวเวลาจะจ้างวงดนตรีไปเล่น

อู๋: คำว่าอินดี้มันคือวิธีการทำงานอะ ไม่ใช่ค่ายเพลง อย่างตอนนี้เราเป็นโปรดิวเซอร์ให้วงหนึ่งอยู่ที่ไม่ได้อยู่ค่ายใหญ่ มันก็กลัวกัน ไม่กล้าทำเพลงแบบที่แมสฟังกัน เราก็บอกว่ามึงทำไปเลย ต่อให้มึงตื่อดี้ดตือขนาดไหนคนก็ไม่ด่ามึงเพราะมึงไม่ได้อยู่แกรมมี ซึ่งแม่งมีวงนอกแกรมมี่เยอะมากที่เพลงมึงโคตรจะเมนสตรีมเลย โคตรจะไม่ทางเลือกเลย แต่เพียงแค่มึงไม่ได้อยู่ในตึกนี้เท่านั้นคนก็จะมองว่ามึงเป็นอินดี้ เพลงดีว่ะ

ปัญหาที่ว่ามาทั้งหมดมันสั่นคลอนอะไรในตัวเราบ้างหรือเปล่า

อู๋: เราก็เครียดนะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง จริง ๆ มันกระทบเราแหละ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันหนักหนาอะไร เราว่าสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือเราทำเพลงแบบที่เราเชื่อต่อไปเรื่อย ๆ สักวันไอ้พวกโง่ ๆ ก็จะรู้เองว่าแหละว่าโครงสร้างเพลงที่มันบอกว่าอินดี้เหล่านั้นมันก็คือโครงสร้างเพลงแมสที่อยู่กับคนไทยมาตั้งแต่สามสิบสี่สิบปีที่แล้วนั่นแหละ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีสุด คนไม่รู้ก็ปล่อยมันไป ปล่อยมันโง่อยู่อย่างนั้นไป ส่วนคนไม่รู้ที่มารู้ทีหลังมันก็จะเงียบไปเอง แล้วที่โกรธสุด ๆ คือแม่งเสือกเป็นเพลงที่คนชอบกันทั้งประเทศด้วย

7-the-yers-fungjaizine

เห็นว่าช่วงหลังมีการออกสื่อเยอะขึ้น ซึ่งบางครั้งก็ดูจะไม่ค่อยเข้ากับความเป็น The Yers เท่าไหร่ ตรงนี้มีวิธีรับมืออย่างไร

อู๋: คือเราไม่ซีเรียสนะ เราก็เข้าใจว่าที่ออกสื่อเยอะ ๆ ก็เพื่อจะให้คนเห็นเรามากที่สุด แต่บางทีมันก็มีที่เราทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน อย่างซิงเกิ้ลที่แล้วก็มีที่ต้องไปออกรายการแนว ๆ ซุบซิบเม้าต์มอยอ่ะ แล้วพิธีกรเป็นเจ๊ ๆ แต่งตัวแฟนซี เราว่าไม่เป็นไร เราสนุกไปกับรายการมันจะดีที่สุด เพราะถ้าเรามัวมานั่งขรึมนั่งเก๊กกันมันจะยิ่งดูเด๋อ ดูแย่ไป

โบ๊ท: บางทีเราก็คิดนะว่า เฮ้ย นี่กูดูตลกเหรอวะ ให้ทำไรเนี่ย ซึ่งเราก็ต้องปรับตัวไปแหละ เราก็คิดว่าไม่น่าจะมีคนใกล้ตัวได้ดู แต่จริง ๆ มันมีเว้ย

บูม: รายการแบบนี้แม่งตัวดีเลย

อู๋: เราเข้าใจว่าพีอาร์กว่าจะได้คิวรายการมันก็ยาก เราก็ต้องให้เกียรติเขาด้วย สิ่งที่เราไม่ชอบก็ต้องปรับตัวครับ เช่น ทำไมจะต้องให้เราร้องสด ตอนนั้น แบบ อะ ไหนโชว์สักท่อนสิ (หัวเราะทั้งวง) คือถามกูมั้ยว่ากูมีอารมณ์ร้องตอนนี้มั้ย คือกูหลับในรถตู้คร่อกฟี้ ๆ ตื่นมางัวเงีย ๆ พูด ๆๆๆๆ แล้วให้กูร้องเพลงตอนนี้เลยเหรอ เราไม่ชอบเลยนะ แต่ก็ต้องปรับตัวให้ได้โดยทำให้เป็นเรื่องตลกไปเลย โดยการบอกว่าเป็นเวอร์ชั่นพิเศษแล้วโยนให้โบ๊ทร้อง ร้องแบบติดขำ ๆ หน่อย คือมันเด๋อแน่ ๆ ถ้าเราเป็นคนร้อง มันไม่รู้จะทำหน้าอินยังไงเพราะมันไม่มีกีตาร์อะ สุดท้ายเราก็ต้องทำให้มันตลก ๆ ไป ซึ่งหลัง ๆ นี่เราต้องการสิ่งนี้มาก ๆ เลย แบบจะให้กูเต้นตรงนี้ก็ยังได้ แล้วเราก็จะโยนไปให้โบ๊ทจัดการ เราก็ไม่เขิน รายการก็ได้อะไรพิเศษกลับไป วินวินทั้งคู่

ต่อ: แล้วโบ๊ทได้ไรวะ

โบ๊ท: คนแม่งชอบคิดว่ากูเก๊ก เป็นไงล่ะกูจัดให้เลย

อู๋: คือเราเข้าใจ ด้วยความที่เขาเป็นสื่อใหญ่ที่ก็จะมีอีกหลายวงที่ต้องทำข่าว มีอีกหลายข่าวที่ต้องไปดูแล เช่นข่าวของเปรมชัยงี้ ข่าวหวย 30 ล้านงี้ เขาไม่มีเวลามานั่งทำการบ้านเกี่ยวกับวงเราหรอก ก็จะมีแต่คำถามเดิม ๆ ตลอดเช่น วันนี้มาทำอะไร ซิงเกิ้ลใหม่มีอะไรพิเศษบ้าง นอกจากเพลงนี้แล้วเราจะได้ฟังเพลงใหม่เมื่อไหร่ สุดท้ายแล้วฝากอะไรหน่อย อะโชว์ซักท่อนหนึ่ง มันจะเป็นฟอร์แมตเดียวกันไปหมด

บูม: ยังดีที่มีข้อมูลมา ไม่เหมือนสถานีวิทยุแห่งหนึ่งที่ทักเราว่า สวัสดีครับ อู๋ เหน่ง โจ๊ก จาก The Yers (หัวเราะ) คือมันเป็นชื่อสมาชิกเก่าที่ยังไม่ได้แก้ในวิกิพีเดีย

โบ๊ท: เดินมากันห้าคน แต่ไหว้สามคน

อู๋: ประเด็นคือทำหน้าเหมือนเรามาขอเขาออกรายการ ทั้ง ๆ ที่ก็นัดแนะเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เคยรู้สึกแย่จากเรื่องพวกนี้บ้างหรือเปล่า

อู๋: เราเคยรู้สึกแย่มาก ๆ จนเราเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น และเราเริ่มตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าจะทำยังไงให้มันตลกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ขอย้อนไปที่คอนเสิร์ต G19 ที่ผ่านมาหน่อย เป็นอย่างไรกันบ้าง

บูม: ตื่นเต้นครับ ไม่ใช่ประหม่านะ แต่ว่ามันตื่นเต้นกับจำนวนคนที่มันเยอะมาก เราต้องพยายามคอนโทรลตัวเองให้มีสติให้ได้ คือตอนนั้นจะสติแตกอยู่แล้ว

ต่อ: แล้วซ้อมกันหนักมาก ซ้อมวนอยู่แค่สี่ห้าเพลงนั้น

แล้วเล่นออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

อู๋: พลาดสิครับ คนอื่นเป็นยังไงไม่รู้ ที่รู้คือผมพลาดไปแบบนิดหน่อยซึ่งปกติไม่พลาด เราว่าเป็นผลกระทบจากคนที่มันเยอะมาก ๆ แบบนั้น แต่เรารู้เลยนะว่าคนรู้จักเราน้อย พอเราแอบดูวงอื่น ๆ อยู่หลังเวทีก็เห็นว่าคนแม่งฮึ่ม ขึ้นมาเลย เราแม่งยังต้องไปอีกเยอะ อีกไกลอะ คนเพิ่งรู้จักเราจาก G19 เยอะมาก มันทำให้เรารู้เลยว่าในยี่สิบวงนี้เราคือวงที่ที่ยี่สิบ ยังต้องสู้ต่อไป (FJZ: ต้องสู้กับอะไร) ต้องสู้กับการอยู่ในวงการนี้ในประเทศนี้ต่อไปให้ได้ แล้วก็ทำให้มีคนรู้จักเรามากกว่านี้

โบ๊ท: ได้ประสบการณ์มาก ๆ เลย เพราะเพิ่งมาเจอกับระบบการจัดการที่ดีแบบนี้ แบบมีคนคอยบอกว่าอย่าเดินไปข้างหน้านะมันจะดีเลย์ อย่ามาข้างหลังมากนะเพราะเดี๋ยวคลื่นจะแทรก อะไรแบบนี้ก็เพิ่งมาเคยเจอที่นี่ แต่โชคดีที่มันเป็นงานของ Genie ที่คนดูก็พร้อมให้การต้อนรับเรา

ได้ทำเพลงธีมของคอนเสิร์ต G19 รู้สึกอย่างไรบ้าง

อู๋: เครียด เกร็ง ท้าทาย มัน และดีใจที่พี่โน่ พี่นิคนึกถึงเราเพราะเห็นว่าเราจบงานได้และเริ่มโปรดิวซ์ให้คนอื่นแล้ว แต่เราก็ไม่คิดว่าจะต้องมาโปรดิวซ์ให้นักร้องไอดอลของคนทั้งประเทศตั้ง 19 คน

โบ๊ท: ต้องมาคุมพี่ตูนร้องเพลงตัวเอง

อู๋: เออ โอ้โห พี่ตูนนี่เกร็งสุดละ กับอีกคนก็พี่ป้าง คือพี่ป้างเค้าเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ แล้วเราก็เกรงกลัว

%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94-the-yers-fungjaizine

ได้เรียนรู้อะไรจากพี่ ๆ บ้าง

โบ๊ท: เราไปลึกกับพี่ปี๊ดเลย ด้วยความที่พี่เขาจบจิตวิทยามาเราก็เลยปรึกษาว่าทำไมยิ่งโตความมั่นใจยิ่งหาย พี่เขาก็บอกว่าเรามีเงื่อนไขในใจเยอะเกินไป ซึ่งพอไปคุยกับแฟนก็พบมันจริง คือเรามีเงื่อไนไขเยอะเกินไป ทำให้มีความสุขยาก ความมั่นใจก็หาย ทำให้มีผลต่อโชว์

อู๋: เราเจอเรื่องแปลกใหม่อย่าง Big Ass ที่ปฏิเสธการอัดด้วย MIDI ต้องอัดสดทุกชิ้น กับพี่ปาล์มมี่ที่เราไปทำเพลงด้วย เราก็มาพบว่าด้วยความเป็นซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทยทำให้พี่เขาคิดเยอะมาก เป็น mindset อีกแบบหนึ่ง พี่มี่จะคิดเผื่อหน้า เผื่อหลัง เผื่อซ้าย เผื่อขวา เผื่อตะวันออกเฉียงเหนือ คือคนระดับนั้นเวลาจะทำอะไรมันต้องคิดเยอะกว่าคนทั่วไปเพราะมันมีความคาดหวังของคนหมู่มากรออยู่ แม่ค้าขายส้มตำก็รออยู่ ช่างแต่งหน้าแถวจังหวัดเชียงใหม่ก็รออยู่ คนในวงการที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ก็รอฟังอยู่ มันละเอียดมาก ๆ

เป้าหมายต่อไปของ The Yers คืออะไร

อู๋: เราอยากได้ยอดวิวแบบพี่หนุ่ม กะลา อยากรู้ว่าพี่เขาทำยังไง อยากรับรู้ความรู้สึกแบบนั้น

บูม: คือตื่นมาแล้วล้านวิวเลย เจ๋งนะ

ฝากอะไรถึงวงหน้าใหม่ ๆ ที่กำลังต่อสู้อยู่

อู๋: ขอฝากประโยคหนึ่งจากพี่ต้าร์ Barbies ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับทุกคน ‘โชคดีนะ ไอ้ควย!’ (บูม: เฮ้ย เอาดี ๆ) ประโยคนี้มันหมายความตามนั้นจริง ๆ แบบโชคดีนะ คือถ้าไม่เจอเองก็ไม่มีมีทางรู้หรอก ของแบบนี้มันไม่ได้สวยหรูไปตลอด

บูม: เส้นทางของแต่ละวงมันไม่เหมือกัน

อู๋: ใช่ มันไม่ได้ประสบความสำเร็จไปซะทุกวงนะ มันไม่ใช่ทุกวงที่ปล่อยเพลงมาแล้วคนชอบเลย มีแฟนเพลงเลย ออกไปเล่นที่ไหนก็มีคนเฮทุกที่ ได้เงินกลับมาเยอะจนสามารถทำเป็นอาชีพได้ คือแม่งไม่ใช่อย่างนั้นเลยอะ มันคือคำว่าโชคดีนะไอ้ควยจริง ๆ ที่พี่ต้าร์บอกไว้มันจริงอะ แล้วแต่โชคของแต่ละคนเลย

บูม: คือเราต้องลองถามตัวเองด้วยว่าเรารักในสิ่งที่ทำจริง ๆ หรือเปล่า

อู๋: ใช่ คือถ้ามึงหยิบกีตาร์ขึ้นมาดีดแล้วยังยิ้มได้ก็จบแล้ว แค่นั้นแหละ ที่เหลือคือมึงสู้ต่อไป แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นก็เลิกเถอะ เพราะทุกคนในวงการนี้ไม่ได้ทำเพื่อเงิน ทุกคนทำเพราะมีความสุขที่ได้เขียนเพลง ได้ระบายอารมณ์ตัวเองออกผ่านเสียงเพลง ได้ไปเล่นดนตรี ได้สร้างเสียงเพลงให้คนฟัง และคนฟังตอบสนองกลับมาด้วยรอยยิ้ม ด้วยคำพูดที่เติมเต็มชีวิตทั้งเขาและเรา คือถ้าไม่รักก็ไม่รู้จะเล่นไปทำไมจริง ๆ

%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%9b%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94-the-yers-fungjaizine

ติดตามผลงานและความเคลื่อนไหวของ The Yers ได้ ที่นี่ และรับฟังเพลงของพวกเขาบนฟังใจได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Chawanwit Imchai

เจมส์ มองอะไรก็เป็นหนัง ฟังอะไรก็เป็นเพลง เลยทำมันทั้งสองอย่างเพื่อให้มีชีวิตรอด ระหว่างนี้ก็ค้นหาความหมายของ sex, drugs, rock n' roll ว่าทำไมคำเหล่านี้ถึงมาอยู่ด้วยกัน