Interview

ธีร์ ไชยเดช ส่งอัลบั้ม Robin เข้าชิงสองรายการระดับประเทศ

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Neungburuj

เป็นเวลาหลายปีที่ ธีร์ ไชยเดช ไม่ได้กลับมาอย่างเต็มรูปแบบ อย่างที่ผ่านมาก็มีคอนเสิร์ตใหญ่ Cat to the Future ที่กลับมาเล่นเพลงเก่าให้แฟนเพลงหายคิดถึง แต่ในที่สุดพี่โอ๋ก็ทนกระแสเรียกร้องจากแฟน ๆ ไม่ไหว ส่งอัลบั้มใหม่ Robin ที่ยังคงอัดแน่นในความเป็นตัวเขา และถ่ายทอดออกมาอย่างดีเยี่ยมจนได้เข้าชิงในรายการสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 27 สาขาศิลปินชายเดี่ยวยอดเยี่ยม, อัลบั้มยอดเยี่ยม จาก Robin, เพลงในการบันทึกเสียงยอดเยี่ยม จากเพลง TV, และเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม จากเพลง Empty เท่านี้ยังไม่พอ เขายังได้เข้าชิงรางวัลศิลปินชายเดี่ยวยอดเยี่ยม และ เพลงยอดเยี่ยมจากเพลง TV ในคมชัดลึกอวอร์ด ครั้งที่ 13 อีกด้วย Fungjaizine เลยชวนพี่โอ๋มาพูดคุยถึงอัลบั้มนี้และความรู้สึกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งสองรายการนี้กัน

 

Robin นี่เกี่ยวกับ Batman หรือเปล่า

ไม่เกี่ยวเลย (หัวเราะ) Robin มันเป็นเพลงบังเอิญที่ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเลย เป็นคำบ่นกับตัวเองที่นั่งจับเจ่าอยู่กับที่ตรงนี้มา 2 – 3 วันแล้วก็ยังเขียนเพลงไม่ได้ พยายามที่จะปิดอัลบั้มอันนี้ให้จบ แต่มันก็ยังเหลือที่เราอยากจะเขียนเพลงเพิ่มสัก 2 เพลง เค้นเท่าไหร่ก็เค้นไม่ได้ หลัง ๆ เขียนเพลงยากมาก หมดอาลัยตายอยากไปกับความพยายามทั้ง 3 วัน จนเราวางกีตาร์ลงบนโซฟาแรง ๆ ก็บ่นกับตัวเองว่า โอ๊ย ไอ้โรบิ้นเอ๊ย แค่นี้มึงยังเขียนไม่ได้แล้วเมื่อไหร่จะทำอัลบั้มเสร็จ แล้วมาสะดุดกับคำพูดว่า “ให้ตายเถอะโรบิ้น” เลยนั่งลงแล้วเริ่มต้นประโยคด้วยคำนี้โดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก่อนเลย แล้วมันก็ออกมาจนจบใน 40 นาที

 

แล้วการเพิ่มเข้ามาของวรรคอื่น ๆ มาจากอะไร

ก็นั่นน่ะสิครับ (หัวเราะ) อย่างที่ผมบอกคือผมไม่ได้มีคอนเซปต์ไว้ล่วงหน้า อยู่ ๆ มันก็คิดแล้วมันก็ไหลออกมาเอง อาจจะเป็นเพราะคำมันคล้องจองกัน ให้ตายเถอะโรบิ้น มันเหมือนคำอุทาน ที่ฉันได้ยินมันจริงหรือเปล่า มันเริ่มเข้ากันแล้ว ได้ยินว่าอะไร ฉันได้ยินว่าชีวิตเธอเริ่มมีปัญหาแล้ว เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ทีนี้เราก็พยายามบิดสิ่งที่เราเขียนโดยทั่ว ๆ ไป โดยที่มีความรู้สึกว่า โอเค สิ่งที่เธอเจ็บน่ะ ฉันเคยเจ็บมาก่อนนะจากการกระทำของเธอ แล้วตอนนี้เธอโดนเองบ้าง เธอรู้สึกยังไงบ้าง พอเราเริ่มเขียนได้แล้ว เราก็คิดว่า  ให้ตายเถอะโรบิ้น แล้วมันมีคำไหนอีก ก็เป็น ให้ตายเถอะค้างคาว มันก็ไปคล้องจองกับคำว่า เปล่า เออ มันก็ไม่เลวนี่ โรบิ้นมันคู่กับค้างคาวพอดี ใช่ไหม พอมันเริ่มเป็นอย่างนี้แล้ว มันพอจะมีคำพูดอะไรที่เราชอบพูดกันในยุคก่อน ๆ อีกหรือเปล่า ก็มี ให้ตายเถอะแม่เจ้า ให้ตายเถอะเจ้าจอร์จ ก็ไม่เลว มันทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่พูดว่า ฉันเคยเศร้า แต่ตอนนี้ฉันไม่เศร้าแล้วนะ ฉันกลับจะสมน้ำหน้า ยิ้มเยาะเธอเสียอีก เป็นไงล่ะ โดนบ้าง

 

ที่บอกว่าช่วงหลังมานี้เขียนเพลงยากขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร

ด้วยส่วนตัวแล้วพี่โอ๋คิดว่ามันมาจากงานเยอะมากกว่า แล้วก็ระยะเวลากว่าสิบปีให้หลังมาเนี่ย มันไม่มีแรงบันดาลใจ หมายถึงมันไม่มีจุดหมายปลายทางว่าเราเขียนไว้แล้วจะทำอะไร มันเหมือนเราไปเก็บผลผลิตมาแล้วจะเอาไปขายใคร เราก็เลยไม่มีกำลังที่จะไปรดน้ำพรวนดิน เพราะว่าสังคมการดนตรีมันเปลี่ยนไป การที่เราจะทำดนตรีอย่างสมัยก่อนที่เราทำมันทำยาก มันทำไม่ได้ factor ที่เกี่ยวข้องมันมากมายมหาศาล เราหาทางออกที่สวย ๆ ไม่เจอ ก็เลยทำให้เราเหมือนกับเล่นชักเย่ออยู่กับเรื่องนี้พอสมควร ไม่ใช่พี่โอ๋ไม่พยายามที่จะเริ่มต้นกับมัน ก็พยายามมาหลายปีแต่เราก็ยังอยู่ในสภาพแบบนี้ มีสัญญาเซ็นไว้ แต่เซ็นไว้เพื่ออะไร ทำแล้วตลาดการขายมันไม่มี ใครจะลงทุน คนลงทุนมันก็ไม่ง่าย เราทำงาน เราต้องการคุณภาพของการอัดเสียงที่ดี การลงทุนมันไม่ถูก แล้วเราจะไปลงทุนที่ไหน เราจะต้องเอาเงินตัวเองออกมาหรอ อะ โอเค ได้ แล้วเงินตรงนี้เหมือนเราเอาทิ้งท่อไปโดยเปล่าประโยชน์รึเปล่า เพราะการขายซีดีมันเป็น 0 ถึงได้มามันก็ไม่มีทาง cover กับการลงทุนของเราไปได้ สิ่งเหล่านี้มันทำให้ความทะเยอทะยานของเราน้อยลง ไม่ได้ถึงขนาดว่าไม่มีเลย แต่มันน้อยลงไปเยอะมาก ก็เลยล่องลอย ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนมันมีเป้าหมาย มีความคาดหวังจากการขายซีดี ขายเพลง ขายอะไรต่ออะไรเยอะแยะ แต่ตอนนี้นักดนตรีเหลือแค่อย่างเดียวคือการขายโชว์ ไปมองถึง step ahead ตรงนู้น เพราะฉะนั้นถ้าขั้นตอนแรกเรายังไม่ได้เริ่มต้น เรายังไม่รู้ว่าถ้าเราเริ่มต้น เราจะสามารถเดินทางไปยังจุดที่ทำให้คนชอบงานเราไหม เพราะถ้าเรายังมองไม่ออกว่าเราจะเดินไปได้ไหม ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เหมือนเราต้องทำงานหนักขึ้น แล้วสังเกตไหมครับในช่วงที่ผมบอกเนี่ย มีแต่คนทำเพลงคัฟเวอร์ออกมาทั้งนั้นเลย เพราะว่าเขาไม่ต้องการลงทุนใหม่ หนึ่งอย่างละ การลงทุนใหม่กับเพลงใหม่อาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้ฟังเกิดความชื่นชอบขึ้นมา มันต้องมีแรงกระตุ้น มีเม็ดเงินไปผลักดัน เหมือนเราโปรโมตในสมัยก่อน เพราะงั้นมันไม่มีใครมีแรงจะไปทำตรงนั้น เลยคิดว่าจะเขียนเพลงใหม่ไปทำไม ผมเคยคุยกับคน ๆ นึงเรื่องจะทำอัลบั้มชุดใหม่ ก็ได้รับคำพูดตอบผมกลับมาว่า ทำเพลงคัฟเวอร์สิ เอาเพลงดัง ๆ มาทำใหม่ ซึ่งผมพูดตรง ๆ นะ มันง่ายเกินไป ผมเคยทำมาหลายเพลงแล้ว จะทำอีกก็ได้ มันไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่ผมเชื่อว่านักดนตรีทุกคน คนที่สามารถเขียนเพลงได้ทุกคนอยากจะทำงาน original อันใหม่ออกมา เขียนหนังสือเล่มใหม่ออกมาโดยที่ไม่ไปอิงวรรณคดีหรือนิยายเก่า พอมันเจอทางที่มันไม่ค่อยจะราบเรียบนักก็ laid back ก็เฉย ๆ อีกอย่างผมไม่ปฏิเสธว่าตัวผมเองยังมีงานประจำทำอยู่ มันเลยทำให้ความรู้สึกที่เราจำเป็นต้องขวนขวายมันน้อยลง คือจริง ๆ มันควรจะต้องเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วครับ ผมไปแนะนำเพื่อน ๆ มาเยอะว่าน่าจะมีงานประจำกัน เพราะสภาพแวดล้อมงานดนตรี หรือธุรกิจการดนตรีของบ้านเรามันมีแนวโน้มว่าจะเติบโตสำหรับผู้ลงทุนมากกว่า แต่อาจจะไม่โตสำหรับศิลปินเอง

 

ตอนนี้ทำงานอะไร

พี่โอ๋ทำงาน air traffic control ครับ ควบคุมการจราจรทางอากาศ ปีนี้ปีที่ 30 แล้ว

อัลบั้ม Robin ใช้เวลาทำงานนานไหม

ถ้าเขียนไม่นานนะครับ เมื่อเขียนได้มันจะเขียนได้ภายในระยะเวลาเพียงแป๊บเดียว แต่พี่โอ๋จะไม่พยายามเขียนเพลงข้ามวัน เพราะความรู้สึกมันไม่ปะติดปะต่อ แล้วส่วนมากพี่โอ๋จะขยำทิ้ง ก็เลยพยายามจะเขียนเพลงใหม่ขึ้นมา ไม่ปฏิเสธว่าหลาย ๆ เพลงเอามาจากเค้าโครงเดิม ๆ ที่เคยเขียนไว้ แต่ไม่สามารถเอามาปะติดปะต่อกันได้ เลยทำความเข้าใจกับมันใหม่แล้วเขียนออกมา ซึ่งการปะติดปะต่อเพลงแต่ละเพลง เรื่องแต่ละเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าเอาเพลงมาต่อกัน แต่หมายถึงเรื่องที่เราจะ manage ตัวเองเรื่องเวลา การทำ arrangement ร่วมกันกับเพื่อน การ brainstorm ร่วมกันกับบุคลากรทางดนตรีที่เราคุ้นเคย ก็คือ ภิทรู พลชนะ (เป้ วง Pause) ก็มานั่งคุยกัน ผมเองผมก็ยุ่ง เป้เองเป้ก็ยุ่ง ก็พยายามจะหาเวลาที่จะมาเจอะเจอกันให้มากที่สุด แล้วก็ปล่อยวางไปก็เยอะครับจากงานที่มันรุม ๆ เข้ามา ก็เลยใช้เวลาอัดเสียงกัน ผมจำเวลาที่แน่นอนจริง ๆ ไม่ได้ ก็หลายเดือนเหมือนกัน มีหลายเหตุการณ์รุม ๆ เข้ามา ตัวผมเองก็ป่วยด้วยในบางช่วง

 

สิ่งที่ยากที่สุดในขั้นตอนการทำอัลบั้มชุดนี้

ยังมองไม่เห็น process ที่ยากในการทำงาน เพราะตัวพี่โอ๋เองเวลาทำงานพี่โอ๋จะทำการบ้านมาก่อน เพราะฉะนั้นการบ้านมันผ่านไปแล้ว พอถึงเวลาเรามานั่งแจกงานแล้วมันง่าย ตัวพี่โอ๋เองเป็นคนให้ความเคารพกับหมู่เพื่อนพ้องนักดนตรีที่เราเลือกว่าคนนี้จะมาทำอะไร พี่โอ๋จะไม่เขียนให้เขาเดิน แต่พี่โอ๋จะบอกเขาว่า เนื้อเรื่องมันเป็นยังไง สีมันเป็นยังไง แล้วพี่โอ๋ต้องการให้เขาเข้ามาอยู่ในสีของเรา โดยที่เขาไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง เพราะงั้น process ในการทำงานมันก็ง่าย มันมีแต่หัวเราะ หัวเราะจริง ๆ ไม่ว่าเราทำผิดพลาดเราก็หัวเราะ แต่ทุกคนเนี่ยจะเคารพซึ่งกันและกันให้เอาไอเดียของเขาออกมา ถ้าไม่ใช่ก็จะมีการพูดคุยกันหรืออธิบายว่าขออย่างนี้ได้ไหม แล้วมันจะมีความสุขในการทำงาน ความยากไม่ค่อยเกิดครับ ความยากไปเกิดจากเรื่องหลังจากทุกอย่างมันเสร็จสมบูรณ์แล้วมากกว่า ก็คือซีดี กว่ามันจะออกมาได้เนี่ยมันยากมาก ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องตัวเงินหรืออะไร แต่คอนเซปต์บางอย่างของผู้ร่วมลงทุนบางทีเขาเปลี่ยนไป คือตอนแรกเนี่ยซีดีจะไม่มีมาให้ฟังหรอกนะครับ มันจะมีแค่ digital download อาจจะเป็นด้วยเหตุผลว่า ไม่รู้จะทำไปทำไม ทำไปแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมา อาจจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เขาคิดอย่างนั้น ผมเองก็พยายามคุยกับทาง Sony BEC-Tero ว่าทำเถอะ ผมต้องการจะทำ เพราะคนในยุคของผมยังฟังซีดีอยู่ แล้วอุตส่าห์ผลิตมาด้วยขั้นตอนกรรมวิธีการผลิตที่ดี ผมก็ไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นเพียง digital download ผมอยากให้มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่จับต้องได้ มีค่าควรแก่การสัมผัส การฟัง การอ่าน แม้กระทั่งกลิ่น ใช่ไหมครับ digital download มันมองไม่เห็น มันวิ่งผ่านไปผ่านมา Robin คืออะไร ไม่เคยเห็น อัลบั้มเป็นไง ไม่มีสี มีแต่เพลงมาฟัง ผมคิดว่าอรรถรสมันหายไป มันก็มาเจอกับปัญหาที่ว่า ถ้าอยากจะทำ พี่ก็หายี่ปั๊วมาละกัน นั่นหมายความว่า ทุก ๆ วันนี้ ระบบเกี่ยวกับการที่เราจะทำซีดีแล้วไปวางขายตามที่ต่าง ๆ มันเริ่มไม่มีแล้ว เพราะว่ามันไม่คุ้มกับการที่เขาจะมี messenger หรือฝ่ายบัญชีมานั่งคิดว่าบวกลบเท่าไหร่ ค่าขนส่งเป็นยังไง ขายได้เท่าไหร่ เขาก็แค่บอกว่าถ้าใครอยากจะทำให้หายี่ปั๊วมาซื้อขาดไป ก็ผมเนี่ยแหละ ยี่ปั๊ว เพราะหันซ้ายหันขวาผมไม่เจอใคร ด้วยความที่ผมต้องการจะให้มันเป็นซีดีให้ได้โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเป็นผลกำไรอะไร ก็ทำมันทุกอย่างเพื่อที่จะให้เป็นซีดีอันนี้ออกมา ทำแม้กระทั่งมานั่งคุยกับครีเอทีฟที่เป็นรุ่นน้องคนนึง อยู่ในขั้นตอนการพูดคุยคัดเลือกสี ตัวหนังสือ ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นจนจบผมอยู่ด้วยตลอด รูปภาพเกือบทุกรูปในอัลบั้มนี้เป็นภาพที่ผมถ่ายเองทั้งหมด ผมเกือบจะควบคุมการผลิตทั้งหมด เพื่อที่จะให้ออกมาเป็นอย่างที่ผมต้องการ ผมคิดว่าผมภูมิใจที่ออกมาเป็นอย่างนี้ ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยครับ ตรงที่ว่า เอ๊ะ เราต้องเป็นยี่ปั๊วด้วยเนาะ ทุก ๆ วันนี้เราอยากมีซีดีเอง ก็ไม่เป็นไร แต่ผมก็ต้องคิดและผมก็ต้องเหนื่อย ผมผลิตเอง ผมเขียนเอง ผมอัดเสียงเอง ผมต้องซื้อซีดีของตัวเองเอามาขายเอง ในราคายี่ปั๊วด้วยนะ อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นราคาผลิต เหมือนผมเป็น T2 ขอซื้อไอ้นี่เอาไปขาย มันก็ต้องเสี่ยง ต้องคิดว่าเราจะขายได้ไหม รับมาทีก็รับมาเป็นพัน ๆ แต่ก็ด้วยความมั่นใจว่างานของเราน่าจะเป็นที่ยอมรับสำหรับชุดนี้ แล้วก็น่าจะมีคนที่รออยู่พอสมควรจาก media ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Facebook เอย ใน YouTube เอย ที่เขารองานของเรา แต่เขารอด้วยคำพูดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งพอมันออกมาแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องซื้อมาเสพ เขาอาจจะขอมาเสพก็ได้ เราก็ไม่ว่ากัน ไม่เป็นไร ผมก็คิดว่ากลยุทธสมัยนี้มันง่ายมาก ผมก็คิดว่าซื้อซีดีมาไม่ว่าทาง Sony BEC-Tero ขายให้ผมยังไง ผมมีวิธีขายเอง ผมอาจจะจัดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ แล้วเอาไอ้นี่ไปรวมอยู่ในตั๋วก็ได้ ผมมีวิธีจัดการของผมเยอะเพื่อที่จะไม่ให้เจ็บตัว ผมไม่ได้คาดหวังกำไร ก็ไม่เป็นไร ก็ไปซื้อมาแล้วเอามาขาย

 

แล้วผลตอบรับเป็นยังไง

(ตอบทันที) ดีมากครับ ดีจนไม่คาดคิดว่ามันจะดีขนาดนี้ ไม่เคยคิดว่าซีดีผมจะขายได้สองสามพันแผ่น แต่มันขายได้จริง ๆ ในยุคปัจจุบัน แล้วก็ยังมีสั่งมา ยังมีขอร้องให้ผลิตต่อมาจนถึงทุกวันนี้วันละนิดวันละหน่อย ก็ถือว่าดีมาก แล้วผมคิดว่าตรงนี้แหละครับเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ตัวผมเองเดินไปคลุกฝุ่นกับมันมา แล้วก็เอามาเพื่อที่จะแนะนำกับเพื่อน ๆ บางคนว่า ไม่เลว กับความคิดที่จะทำแบบนี้ แต่ขอแค่เรามีวิธีที่จะบริหารจัดการที่อย่าให้เจ็บตัว เพราะว่านักดนตรีเจ็บตัวแล้วมันจะแหยง มันเหมือนเราขึ้นชกไปแล้วแพ้ยกนึงก็คงไม่เอาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ได้ขึ้นสังเวียนมานาน อย่างพี่โอ๋ไม่ได้ขึ้นเวทีมา 12 ปี อยู่ ๆ ขึ้นมาแพ้น็อคยกแรกก็เลิกแล้ว ก็ถือว่าโอเค การทำรูปเล่มมันบ่งบอกให้เห็นถึงความตั้งใจว่าเราตั้งใจมั้ย เราใช้รูปของเรา เราใช้ความรู้ความสามารถของเรา รู้สึกว่านี่คือศิลปะ ไม่เลว

ทำไมรูปปกถึงเลือกรูปนี้

ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย แม้กระทั่ง Robin ก็คือชื่อเพลงเฉย ๆ ไม่มีความหมาย ในนั้นผมก็จะบอกว่าอย่าถามผมนะว่า Robin คืออะไร เพราะทุก ๆ วันผมก็ไม่รู้ว่า Robin คือใคร คืออะไร ผมแค่รู้ว่า Robin มันมาจากอะไรก็แค่นั้นเอง แล้วก็รูปหน้าปกก็เป็นรูปที่ผมถ่ายไว้ตอนเดินตามน้องคนนึงที่เดินอยู่ในตลาด ลึก ๆ อาจจะบ่งบอกถึงชีวิตผมที่ผ่านมาว่ายังใช้ชีวิตตามปกติอยู่ ยัง walk on ชีวิตทางดนตรียังมีอยู่ เพียงแต่หาโอกาสวันนี้ที่จะทำอะไรออกมาครับ

เพลงในอัลบั้มพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง

ไม่ได้หมายความว่าจะผูกเรื่องมาเป็นหนึ่งเรื่อง แค่มีความรู้สึกอะไรก็เขียนออกมาในแต่ละมุมมอง บางอันก็เป็นคอนเซปต์ของบางช่วงความรู้สึก บางอารมณ์ แต่มันก็แฝงบางอย่างที่แอบ ๆ เอาไว้ เหมือนอย่างเพลง เรื่องธรรมดา ที่ฟังดูมันก็คือเรื่องธรรมดาของสามัญมนุษย์โลกว่ามันอย่างนี้ มันอย่างนั้น แต่มันจะแฝงหัวใจของเพลงอยู่นิดนึง ตรงที่ว่า แล้วมันก็เป็นธรรมดาด้วยใช่ไหมที่ฉันต้องทนให้ไหวกับทุกอย่างที่มันวิ่งเข้ามากระทบฉัน หัวใจของเพลงมันอยู่ตรงนั้น แต่ต้องฟังแล้วคิดตามด้วย หลาย ๆ เพลงก็จะมีอะไรแฝง ๆ อยู่

เพราะในยุคหลัง ๆ มาศิลปินจะออกเป็นอัลบั้มรวมเพลงมากกว่าคอนเซปต์อัลบั้มที่เล่าเรื่อง

คือในสุนทรีย์ของการฟังเพลงมันมีอยู่สองอย่าง มันมีการเล่าเรื่องตั้งแต่ 1 ถึง 10 ถ้าสมมติมี 10 เพลง กับอีกอย่าง ถ้าลักษณะนึงคือการต่อเพลง เราใช้ melody เป็นตัวเล่าเรื่อง ถ้าเราไม่พูดถึงเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องอาจจะไม่เหมือนกันหรอก แต่เรามาเรียง melody ให้มันมีความรู้สึกปะติดปะต่อ คล้องจองกัน

ทิศทางของดนตรีมีอะไรแปลกใหม่กว่างานก่อน ๆ ไหม

ผมว่ามันสดใสขึ้นถึงแม้จะมีอะไรหม่นหรือเจ็บปวดอยู่กับ wording แต่ผมพยายามที่จะเพิ่มความสดใสแฝงในความหม่นเหล่านั้น แล้วก็จะมีจังหวะจะโคนมากขึ้น อะไรต่ออะไร ก็ไม่อยากที่จะให้มันเป็นอะไรที่หลับซะทีเดียว แต่เอาน่ะ ถ้ามันจะหลับก็คงเป็นหลับสบายไม่ใช่หลับฝันร้าย

แสดงว่ารู้อยู่แล้วว่ามีคนขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อเพลงเศร้า

เป็นเจ้าพ่อเพลงเศร้า แล้วก็เป็นเหมือนโดมิคุมสักเพลงสองเพลงก่อนนอนแล้วจะหลับสบาย ก็ดีใจนะที่เป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย สิ่งเหล่านี้ประสบมากับลูก ๆ หลาน ๆ ของเพื่อน ๆ หรือหลานของตัวเองที่จะบอกว่า ลุงโอ๋ เปิดเพลงลุงโอ๋หน่อยสิ หนูจะนอน โอเค ๆ ลุงเปิดให้ ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองชอบแบบนี้ก็ได้มั้งครับ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองทำอะไรครึกครื้นไม่เป็น ก็เคยเล่นดนตรีที่มันอึกทึกครึกโครมมาก็พอสมควรแล้วล่ะ เพียงแต่ว่า ทำอย่างนี้แล้วมันน่าจะมีสุนทรีย์ในการฟังมากกว่า

จริง ๆ แล้วเป็นคนยังไง

พี่โอ๋เป็นคนสนุกครับ แต่ผมเป็นคนสีเทา อยู่ใน greyscale มากกว่า ชอบฝนตก ชอบอากาศหนาว ๆ ครึ้ม ชอบอยู่ในเมฆดำ ๆ ทั้งที่ไม่ได้เป็นทุกข์เลย ชอบมอง ไม่รู้ ไม่เข้าใจ หลาย ๆ เพลงที่เขียนก็เขียนจากความรู้สึกของตัวเอง ชอบคิดว่ามันเป็นภาพขาวดำ ชอบคิดว่ามันเป็นสมัยพี่โอ๋เด็ก ๆ ยุคที่ตัวเองเอาหน้าแนบไว้กับมุ้งลวด ซึ่งสมัยนี้มันหาไม่ได้แล้วเนาะ ตอนฝนตกมันมีความรู้สึกว่าเราโดนฝนด้วย แล้วก็มองแบบเนี้ย ก็จะอินกับสิ่งตรงนี้มหาศาล นอนฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคาสังกะสีบ้าง ที่อื่นบ้าง ตอนนั้นไปเรียนที่อังกฤษอยู่หลายเดือน ในช่วงที่แดดออก คนอังกฤษส่วนมากเขาก็จะเดินออกมาจากตึก มาดื่มชากันที่แดด พี่โอ๋ยืนอยู่ข้างนอก พอแดดมาพี่โอ๋เดินกลับเข้าไป พอฝนตก คนอังกฤษก็วิ่งกลับเข้าไปในตึก พี่โอ๋ก็วิ่งกลับเข้าไปในตึกเหมือนกัน แต่ไปหยิบโค้ทตัวนึง แล้วออกไปเดิน ก็จะไปเดินอย่างนี้ ดูตามลำธาร ดูเป็ด ดูหงส์ มีความสุข ยิ่งหม่น ยิ่งครึ้ม ยิ่งชอบ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร อาจจะเป็นไปได้มั้งครับเวลาเขียนงานมันก็เลยออกมาในลักษณะแบบนี้

เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้ม Robin

หลายเพลงเนาะ (หัวเราะ) เรื่องธรรมดา พี่โอ๋เองก็ชอบ พี่โอ๋ว่ามันเหงา ๆ ดี สายไป ก็ดี มาจากเรื่องจริงที่ไปอ่านเรื่องของคนบางคนที่เขารู้ว่าตัวเขาเองกำลังจะเสียชีวิตอีกไม่นาน แล้วพี่โอ๋ก็เลยเขียนเพลงนี้เป็นเชิงว่า กว่าจะรู้ อยากจะทำอะไร บางทีมันก็สายไปแล้ว เพื่อที่จะบอกว่าอยากทำอะไรรีบ ๆ ทำเถอะ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายคนนี้เดือนธันวาคมอุ้มลูกไม่กี่ขวบไปเล่น ไปเที่ยวคริสต์มาส ปีใหม่ในบ้านเราตามเทศกาลต่าง ๆ มีความสุขอยู่กับโลก พอข้ามปีเท่านั้น เดือนมกราคมไปตรวจเจอมะเร็งตับระยะสุดท้าย ซึ่งหมอบอกว่าอาจจะอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน ซึ่งมันเปลี่ยนชีวิตเขาในบัดดล มนุษย์เราที่ยังยิ้มมีความสุขอยู่ได้อาจจะเพราะเราไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของเราจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ถ้าเกิดเรารู้ ต่อให้รู้ว่าอีก 7 ปี อีก 10 ปี เราคงยิ้มได้ไม่เต็มที่หรอก เพราะเรารู้ว่าอีกไม่นานมันจะมาถึง โดยเฉพาะคนบางคนที่อยู่ ๆ มีใครมาขีดเส้นตายว่า อีก 6 เดือนนะ โห 6 เดือนเองหรอ บางทีเราฝันว่าปีหน้าจะทำอะไร ปีหน้าจะไปเที่ยวไหน ปีหน้าจะพาลูกไปนี่ มันไม่มีแล้ว เพราะเรามีแค่ 6 เดือน ชีวิตมันเจ็บปวดมหาศาลนะ คนที่รู้ว่าบั้นปลายของชีวิตจะเป็นยังไง พี่โอ๋ก็เลยเขียนเพลงเพลงนี้ขึ้นมา อิงไปนิดนึงเกี่ยวกับคุณแม่ สมัยที่คุณแม่ยังอยู่ คุณแม่เป็นมะเร็งอยู่ 2 ปี 8 เดือนถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ คร่าว ๆ โดยที่เราปิดคุณแม่ ไม่ให้แม่รู้ว่าแม่เป็นอะไร ลองคิดดูสิว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่เรารู้ว่าเขาอยู่ได้อีกไม่นาน คนที่เรารักที่สุดเยี่ยงชีวิต เราคุยกับเขาเนี่ย ตาเขาใสแจ๋วเลย เขาบอกว่า โอ๋ ปีหน้าทำอย่างนี้ ๆๆๆ ให้แม่นะ โอ๋บอกได้ แล้วเดี๋ยวโอ๋มา โอ๋วิ่งไปร้องไห้ พี่โอ๋ร้องไห้เสร็จแล้วกลับมาคุยกับเขาต่อ เราร้องไห้เพราะเรารู้ว่า แม่จ๋า วันนั้นมันมาไม่ถึงหรอก มันเจ็บปวดครับ วันแรกที่ผมรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งคือเดินเข้าไปเคาะห้องนายที่ทำงานแล้วบอกว่า พี่ครับ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมไม่รู้ว่าระยะเวลาแค่ไหน ผมขอไม่เดินทาง ไม่โปรโมต ไม่เอาอะไรเลย ผมขอทำงานแบบนี้ แล้วผมจะลาเยอะด้วย แกก็ถามว่าทำไม ผมก็บอกด้วยเหตุผลว่า แม่เป็นมะเร็ง คงอยู่ได้อีกไม่นาน ผมพยายามที่จะใช้เวลาอยู่กับแม่ให้เยอะที่สุด กอดแม่ อยู่ใกล้ ๆ แม่ตอนที่แม่ยังตัวอุ่น ๆ อยู่ ผมไม่อยากมากอดแม่ตอนแม่ตัวเย็นแล้ว ก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ เขียนมาเป็นเพลง สายไปเพื่อจะบอกทั้งตัวเอง กับคนอื่นด้วย มันสายไปนะถ้าเพิ่งมารู้อะไรแบบนี้ อยากทำอะไรก็รีบทำเถอะครับ ใครไม่เคยกอดแม่กลับไปวันนี้รีบกอดเลย

ความสร้างสรรค์ของวงการดนตรีในปัจจุบัน

อาจจะเป็นอย่างที่พี่โอ๋บอกครับว่า ในเมื่อมันไม่มีแรงบันดาลใจ eager หรือความอยากที่จะสร้างสรรค์มันก็น้อยลง มันเหมือนเราจะทำหนังสักเรื่องนึกแล้วเราก็รู้ว่ามันไม่ค่อยมีคนดูในทุก ๆ วันนี้ เอาน่ะ อยากทำก็ทำ แล้วแรงบันดาลใจในการทำให้ดีก็มีน้อยลง ไม่ต้องไปลงทุนเยอะหรอก ยังไงก็ได้แค่นี้ สิ่งเหล่านี้มันเป็นตัวถ่วงการพัฒนาทั้งนั้น

มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นบ้างไหม

อะไรใหม่ ๆ ที่มันออกมา ผมภูมิใจไปกับความตั้งใจของพวกเขาทั้งนั้นเลย ผมภูมิใจนะครับ แต่ให้ผมไปฟังจนลึกซึ้งว่ามันเป็นยังไง ผมอาจจะไม่ได้ไปฟัง แต่เวลาผมเห็นมีอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาจากการเขียนงานใหม่ ทำใหม่ ผมดีใจ และผมยกย่องกับการที่เขากล้าตัดสินใจทำอะไรออกมา ผลดีไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาเพียงอย่างเดียว เขาทำออกมาก็เหมือนเขาเกี่ยวเหยื่อใส่เบ็ด ถ้าจะบอกตรง ๆ จะมีอะไรมาสนใจกับขนมหวานชิ้นนี้ไหม ทั้งนี้ทั้งนั้นมันอยู่ที่คนฟังมากกว่า

รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เข้าชิงรางวัลสีสันอะวอร์ดส์และคมชัดลึกอวอร์ด

ขอบคุณครับ ถามว่ารู้สึกยังไงผมก็ดีใจฮะ ภูมิใจ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะไม่ได้อยู่ในกระบวนการเป้าหมายตั้งแต่เริ่มต้น ผมทำงานชุดนี้โดยที่ไม่ได้มีเป้าหมาย ต่อให้ครั้งนึงที่เคยได้รับอะไรที่เป็นเกียรติสูง ๆ มาก ๆ ในปี ๆ นึง สิบกว่าปีก่อน เป็นปีเดียวกันที่ได้รางวัลพร้อม ๆ กันก็คือทั้งจากสีสันด้วย แล้วก็ Fat Radio ด้วย ก็เป็นอะไรที่งง ๆ อยู่เหมือนกัน อย่างที่ผมบอกว่าพยายามตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ไม่ได้มีเป้าหมายหลักอยู่กับเรื่องรางวัลหรืออะไร ก็ฝากขอบคุณที่ยังเห็นว่ามันยังมีอะไรดี ๆ อยู่ในนั้น

เร็ว ๆ นี้จะมีผลงานอะไรออกมาไหม

mv คงไม่มี อันนี้อาจจะเป็นพี่โอ๋ขอไว้เอง แต่ไหนแต่ไรแล้วเรามีความรู้สึกว่าดนตรีมันเสพได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเขียนพล็อตเรื่องให้เขา ยกตัวอย่างนิดนึง พี่โอ๋เคยฟังเพลง Have I Told You Lately เวอร์ชัน original ของ Van Morrison หลาย ๆ คนอาจจะไปฟัง Rod Stewart แต่อยากให้ย้อนไปฟังเวอร์ชันดั้งเดิม ฟังแล้วมันดู โอ้โห รักอะไรกันปานนั้น แต่เชื่อไหมว่าพี่โอ๋ฟังเพลงนี้เพราะพี่โอ๋คิดถึงคุณพ่อ ฟังเยอะมาก สะกิดขึ้นมาน้ำตาร่วงเลยตอนเสียคุณพ่อไปใหม่ ๆ เพลง ๆ นึงชื่อเพลงว่า Home ของ Michael Bublé พี่โอ๋ฟังไม่ได้เลยตอนคุณแม่เสีย เพราะฉะนั้นบางทีการเขียนเพลงขึ้นมาเพลงนึงเราอาจจะไม่ได้ไปขีดให้เขาว่าจะต้องหมายถึงคู่รักเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นใครก็ได้ มันคือความรักเหมือนกัน เวลาเขียนเพลง พี่โอ๋ไม่ได้ต้องการที่จะเจาะจงว่ากำลังหมายถึงใคร เพราะงั้นคนฟังก็สามารถจะเอาไปผูกอยู่กับตัวเองได้ว่าเขาหมายถึงใคร มันก็เลยทำให้ผมมีความรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องพาเขาไปให้เห็นว่าห้องของฉันเป็นแบบนี้ ให้เขามโนเอาเองก็ได้

คอนเสิร์ตใหญ่จะมีไหม

มันไม่ยากที่พี่โอ๋จะทำ แต่ว่ากระบวนการที่จะทำมันไม่ได้อยู่ที่ตัวพี่โอ๋เอง มันอยู่ในฝ่าย production ในส่วนพี่โอ๋มันไม่ยากเลยเพราะมีเพื่อนที่เป็นนักดนตรีเก่ง ๆ เยอะแยะ เราถนัดการแสดงสด การคิด เราพร้อมจะทำมันขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ที่มีคนอยากให้เราทำ นั่นแหละครับมันเป็นเรื่องของผู้ร่วมลงทุน คิด marketing อะไรต่าง ๆ มันไม่เกี่ยวกับพี่โอ๋ ถ้าถามพี่โอ๋คงไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว คือถ้าอยากทำก็มาคุยกัน อะไรที่คิดว่าพี่โอ๋สามารถทำได้

ที่ Parking Toys เดือนที่ผ่านมาคือเขาติดต่อไปหรอ

ใช่ครับ อันนั้นก็เหมือนการซื้อโชว์ไปเล่นตามที่ต่าง ๆ ตัวพี่โอ๋จะบอกกับน้อง ๆ ที่ขายโชว์ที่นี่หรือใครก็ได้ที่เขาจะช่วยดูเรื่องนี้ว่า พี่โอ๋พยายามที่จะให้เขามองหาบางสิ่งบางอย่างที่มัน match กับตัวพี่โอ๋ ได้ target ที่เป็นพี่โอ๋จริง ๆ เราไปเล่นเราจะมีความสุข คนที่ฟังเขาก็จะมีความสุข เราก็จะได้เป็นส่วนเดียวกัน มันไม่ได้หมายความว่าโชว์ที่ไหนก็เอา งานปิดทองฝังลูกนิมิตกูก็ไป มันไม่ใช่อย่างนั้น เราอยากให้มันเกิดประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ รายได้มันเป็นส่วนหนึ่ง แต่มันซื้อความสุขไม่ได้หรอกครับ เพราะฉะนั้นถ้ามันได้ที่ ๆ มันใช่ มันได้ target ตรงนี้มา 2 ครั้งแล้ว คนเยอะดีครับ สนุกดี ถ้าสภาพแวดล้อมที่มันเอื้ออำนวยจริง ๆ เชื่อไหมว่าพี่โอ๋สามารถนั่งอยู่ตรงนั้นได้ 3 – 4 ชั่วโมงสบาย ๆ โดยสามารถพูดคุยเหมือนอย่างที่ผมคุยอยู่เนี่ย เล่าเรื่องเพลงที่แต่งให้ฟัง

งาน Play, sing and say

เป็นโปรเจกต์ที่พี่โอ๋ทำขึ้นมาเอง เล่น ร้อง พูดเล่าเรื่อง ทำขึ้นมาเพื่อที่จะลดช่องว่างระหว่างพี่โอ๋เองกับคนฟังเพลง พี่โอ๋ต้องการให้เขาได้รู้จักพี่โอ๋มากไปกว่าที่เขาฟังเพลง อยากให้เขานั่งฟังแล้วเราพูดคุยเล่าเรื่อง ใครอยากถามอะไรยกมือถามเลย จะเป็นห้องเล็ก ๆ 100 – 200 คนพอ ถามได้ทุกอย่าง เล่น ๆ ไปอยู่ ๆ พี่โอ๋มีรูปมาแจก ทายซิ ผมเขียนเพลงนี้เมื่อปีอะไร มีใครรู้บ้าง ผมก็มีของขวัญให้ มีหนังสือแจกให้ มีคนถามทุกอย่าง พี่โอ๋เล่นกีตาร์ยี่ห้ออะไร แพงไหม สัพเพเหระ 6 ชั่วโมงนะครับ ปล่อยไหลเลย พี่โอ๋ทำมา 15 ครั้งแล้วนะครับ ว่าง ๆ เข้าไปใน Main Fanpage ในนี้จะมีรายละเอียด เข้าไปดูเบื้องหลัง รูปเก่า ๆ วิดีโอมาลงไว้ สนุกดีครับ ครั้งสุดท้ายที่ทำคือเมื่อเดือนตุลาคม เมื่อก่อนพี่โอ๋ทำในร้านกาแฟเล็ก ๆ ของพี่โอ๋เอง แล้วเลิกไปแล้ว เลยไปทำที่หอศิลป์กรุงเทพ ฯ 200 คน กำลังดี น่ารักดี เล่นไป เล่าเรื่องไป 4 โมงถึง 2 ทุ่มปลาย ๆ แต่คิดว่าน่าจะต้องร่นขึ้นมาเป็นบ่ายสองแล้วแหละคราวหน้า มีทั้งคนหัวเราะ มีทั้งคนร้องไห้ มีทุกอย่าง แล้วพี่โอ๋ก็จะค่อย ๆ ดึงเพื่อนบางคนที่ถูกมองข้ามไป เอามานำเสนอ สิบกว่าครั้งที่ทำไปก็มี นก-ชีพชนก ศรียามาตย์ มานั่งคุยกัน นกร้องไห้เลยก็มี น่ารักมาก มี เล็ก ทีโบน มาร้องเพลงให้เราฟัง มีเก๋-จิโรจ วรากุลนุเคราะห์ มาเล่นกีตาร์บลูส์ให้ฟัง เล่าว่าเพื่อนคนนึงเล่นเพลงพระราชนิพนธ์ได้ทุกเพลง พี่โอ๋ถามเขาว่า เชน ทำไมเชนเล่นได้หมด บอกว่าผมเคยเล่นให้พระองค์ท่านฟังเป็นการส่วนพระองค์ โห หาใครได้แบบนี้ เชนเล่นไปแล้วผมนั่งร้องไห้ต่อหน้าคนร้อยสองร้อยคน เล็กร้องเพลง เจ้าหญิง หรือเพลง ช่วงที่ดีที่สุด ผมน้ำตาซึมอะ ซึ่งพี่โอ๋จะมาเล่าว่าเขาคือใคร เขาเก่งอย่างไร เรามองข้ามเขาไปยังไง สมัยก่อนพี่โอ๋เคยเล่นดนตรีกับใครไม่มีใครรู้ พี่โอ๋จะมาเล่าให้ฟัง ยังเคยคิดว่าสักครั้งนึงอาจจะมีนักวิชาการเชิงจิตวิทยามาเล่าจิตวิทยาในการดำเนินชีวิต มันเป็นประโยชน์นะ ผมทำถึงขนาดมีเบรกพักทานอาหารน่ะ มีของว่างไว้ให้เขา ลองเข้าไปดูครับ

ฝากอะไรถึงแฟน ๆ

ขอบคุณครับที่ยังฟังผมอยู่ อีกอย่างที่ผมกลับมาทำอัลบั้มชุดนี้เป็นเพราะว่าแรงบันดาลใจ อีกอย่างที่ผมเข้าไปดูใน YouTube ที่เขียนเอาไว้ มันจะมีหลาย ๆ คนที่บอกว่าเพลง ฝันไป เพลงใหม่ของพี่โอ๋เพราะมาก นั่นเขาไม่รู้เหรอว่าเพลงนั้นสิบกว่าปีมาแล้ว ซึ่งหลาย ๆ คนก็จะเขียนว่าเมื่อไหร่จะทำ ตรงนั้นคือกำลังใจที่ทำให้พี่โอ๋ทำเพลงขึ้นมา ก็ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณที่ฟัง ขอบคุณที่ให้เครดิตกับงานชุดนี้ กับตัวผมเองด้วย กับเพื่อน ๆ ด้วย อยากบอกว่านี่อาจจะเป็นตัวอย่างที่ผมกล้าทำ ผมอยากให้ศิลปินเก่า ๆ อีกหลาย ๆ คนที่เริ่ม lay back ที่เริ่มถอยหลัง เขากล้าทำอย่างนี้เพราะผมเชื่อว่าเขาคงเกิดความรู้สึกอย่างผมว่าจะทำไปทำไม แต่ผมอยากให้ทำ ผมเชื่อว่าไม่มากก็น้อยจะต้องมีกลุ่ม ๆ นึงที่เขายังวิ่งไล่คว้างานของเพื่อน ๆ พี่ ๆ เหล่านี้จริง ๆ แล้วก็ศิลปินใหม่ ๆ ขออย่าได้หมดกำลังใจในการที่เขาจะได้ต่อสู้ เพราะผมรู้ว่าการต่อสู้ของพวกเขามันยากลำบาก ลำบากที่จะเริ่มต้น หรือทำให้ใครรู้จัก และอย่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่าเป็นได้ทุกอย่าง ไม่จำเป็น คุณแค่เป็นตัวคุณเท่านั้นแหละ แล้วคุณจะภูมิใจมาก ๆ เลยที่คุณเป็นคุณ

ร่วมเป็นกำลังใจให้ ธีร์ ไชยเดช ในการประกาศรางวัลคมชัดลึกอวอร์ด ครั้งที่ 13 ในวันที่ 22 มีนาคม และสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 27 ในวันที่ 29 มีนาคม ส่วนแฟนเพลงของพี่โอ๋สามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ Main Fanpage ของพี่โอ๋ได้เลย

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้