Varis

Interview

คุยกับ Varis ในรอบ 2 ปี ที่พร้อมยอมรับความเศร้าในใจ และรู้จักที่จะรักตัวเองมากขึ้น

หลังจากไม่ได้คุยกันราวสองปีกว่า หลังจากเขาปล่อยซิงเกิลสุดเท่ล่าสุด ‘down down down’ ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเลยชวน Varis วิน–วริศ คงสุวรรณ กลับมาพูดคุยกันอีกครั้งถึงความเป็น Varis และพาร์ตของการเป็นโปรดิวเซอร์ จากความรู้สึกที่อาจไม่พร้อมให้ใครได้เห็น กลายเป็นการยอมรับความเศร้าในใจ และเติบโตจนกลายเป็น Varis ในปี 2023 ที่เขากำลังจะพาพวกเราเดินทางเข้าสู่อีกด้านของเขาที่ทุกคนอาจไม่เคยได้รู้พร้อมกันในปีนี้

กลับมาเป็นศิลปินอิสระเต็มตัวอีกครั้ง ความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง

ความรู้สึกตอนนี้ค่อนข้าง รู้สึกว่าความเป็นไปได้มันเยอะมากเลยไอพวกสิ่งที่เราสามารถ หรือกรอบที่เราเคยมีมันหายไปหมดเลย เราสามารถทำอะไรก็ได้จริง ๆ และทุกการตัดสินใจมันขึ้นอยู่กับเราจริง ๆ มันทำให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันมีหมดตั้งแต่ดีจนถึงกดดัน ไปจนถึงโตขึ้น หรือความรู้สึกที่ว่าเราเหมือนกลับไปเป็นเด็ก กลับไปเริ่มใหม่ อะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็คือมันทำให้เรากลายเป็นคนที่กล้าคิดกล้าตัดสินใจมากขึ้น

FJZ: พอต้องตัดสินใจเองมันยากหรือมันง่ายขึ้น

เราว่ามันทั้งคู่เลย มันยากตรงที่เราต้องก้าวข้ามความไม่มั่นใจบางอย่างของเราไป แต่ถ้าเราทำสิ่งนั้นได้มันคือโคตรง่ายเลย เพราะมันจะไม่มีอะไรมากกว่านั้นแล้ว You’re your worst enemy อะจุดนั้น ถ้าเราก้าวข้ามได้ก็จบ แน่นอนอยู่แล้วคนที่เป็นศิลปิน เราให้ 90% ของในโลกเลย มีความไม่มั่นใจอยู่ลึก ๆ สูงกันอยู่แล้ว มันเป็นอะไรที่ก็ต้องก้าวข้ามกันให้ได้มั้ง เราไม่ได้คิดว่าเราทำได้ดีด้วยนะ แต่เราแค่รู้สึกว่าอย่างน้อยก็รู้ตัวไว้ก่อนว่าเราต้องเจอสิ่งนี้ 

 

ทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องราวของเพลงตัวเองผ่านภาษาอังกฤษ

ชอบก็จริงแต่สำคัญสำหรับเราที่สุดเลยคือเรารู้สึกว่าการทำเพลงภาษาอังกฤษมันทำให้เราดึงความเป็น Varis ออกมามากกว่า ไม่ใช่ว่าเพลงไทยทำไม่ได้เพราะเรามองว่าเพลงไทยของเราก็ทำหน้าที่นั้นได้ในช่วงเวลาหนึ่งเหมือนกัน แล้วมันก็ทำได้แบบที่เราก็พอใจและมีความสุขในช่วงเวลานั้นด้วย แต่ ณ จุดนี้สิ่งที่เราอยากไป เพลงภาษาอังกฤษน่าจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์กับชีวิตและ Varis มากกว่า 

แต่ว่าจริง ๆ ก็ไม่ได้ปิดกั้นเรื่องเพลงภาษาไทย ณ ตอนนี้อยู่แล้ว เพราะเอาเข้าจริงพอมาเขียนเพลงอังกฤษเยอะ ๆ เรากำหนดว่าเราจะทำเพลงอังกฤษ ไอเดียเพลงไทยก็มาเฉยเลย งงเหมือนกัน แต่เราก็ค่อย ๆ ใจเย็นให้มันไปทีละเฟส อาจเพราะไปเขียนเพลงไทยให้คนอื่น ๆ ด้วยช่วงนี้ อย่าง FORD TRIO, ELEVEN พอได้เขียนเพลงด้วยกันก็เหมือนสมองมันรับมา เหมือนพอเราเอาตัวเองออกมาจากการเขียนเพลง Varis ภาษาไทยปุ๊บ เรากลับไปมองเพลงภาษาไทยแล้วมันดูง่ายขึ้นไปหมดเลย เพราะว่าเราไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปลึก เราได้มองจากมุมที่กว้างมากขึ้น ตอนนี้หัวแล่นภาษาไทยมากขึ้น ก็จดเก็บไว้ก่อน

 

ตอนนี้ยังขี้เบื่ออยู่หรือเปล่า

เอาจริง ๆ น้อยลง เรารู้สึกว่าถ้าเทียบกับที่เราคุยกันรอบที่แล้วช่วงนั้นเราใจไม่นิ่งเท่าตอนนี้ ทุกอย่างสามารถทำให้เราวู่วามได้หมด ตอนนี้นับว่านิ่งขึ้นเยอะ เลยทำให้เราไม่ขี้เบื่อเท่าเดิม และเรากล้าที่จะอยู่กับสิ่ง ๆ หนึ่งให้นานมากขึ้นโดยที่ไม่รีบไปโหยหาสิ่งใหม่จนเกินไป

 

down down down

down down down เป็นเพลงที่ไอเดียอยู่มานานพอสมควร อยู่มาตั้งแต่ช่วงที่ทำซิงเกิลอังกฤษ ตั้งแต่เริ่มปล่อย can’t let u go เรารู้อยู่แล้วว่าเราอยากทำอัลบั้มภาษาอังกฤษ แล้วเรารู้อยู่แล้วว่าทั้ง 3 เพลงนั้นไม่ใช่แทร็กเปิดแน่นอน down down down คือเพลงที่เราคิดมาเพื่อให้เป็นแทร็กเปิดของอัลบั้มเลย เพราะมันคือการเซ็ตมู้ดแอนด์โทนที่ชัดเจนที่สุดว่าตอนนี้ Varis คืออะไร เราต้องการอะไร ซึ่งเราอยากจะให้คาแรคเตอร์ในรอบนี้มันมีความดาร์กขึ้น มีความกวนตีนอยู่บางอย่าง เพราะเราชอบ dark humor อยู่แล้ว เราจะชอบพวกเพลงที่เนื้อเพลงมันขัดกับดนตรี อย่างวงโปรดของเราอย่าง Paramore อัลบั้ม After Laughter มันคืออัลบั้มที่เราชอบมาก เพราะทุกอย่างมันคือความกวนส้นตีนข้ันสุด เขาโตขึ้น แอดวานซ์ซาวด์ดนตรีมากขึ้น เราก็เข้าใจแหละว่าอาจจะเสียความเป็นวัยรุ่นพังก์-ร็อก แต่แลกมาแล้วได้สิ่งนี้มามันโคตรคุ้ม 

เพลงอื่น ๆ ที่จะมาหลังจากนี้มันน่าจะไม่หม่นเท่านี้แล้ว ด้วยความที่มันเป็นแทร็กเปิด มันเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในอัลบั้มนี้ มันค่อนข้างเป็นเรื่องราวของการที่เรารู้จักจะปล่อยวางความโกรธ ความเกลียด อยู่กับความเศร้าและความเสียใจให้ได้ เพื่อการโตขึ้่นและการรู้จักตัวเองมากขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบของอัลบั้มนี้ก็จะเล่าเรื่องประมาณนี้หมดเลย ซึ่ง down down down ทำหน้าที่เป็นแทร็กแรก แล้วดันเริ่มมาในจุดที่ชีวิตมึงแม่งโคตรหม่น แต่ไม่ได้อยากให้มันฟังดูแล้วเป็นความรู้สึกในแง่ลบนะ จริง ๆ เราเขียนมันในตอนที่เรารู้สึกว่า เราถึงจุดที่เราเริ่มอยากได้รับความสนใจเหรอ มันก็คงใช่แหละ ถึงจุด ๆ หนึ่งเราก็อยากถูกรับฟัง อยากมีคนที่เข้าใจความเป็นมนุษย์ของเรา แล้วก็พูดไปถึงความไม่มั่นใจต่าง ๆ ที่เรารู้สึกในใจของเราทุกคน ว่าคน ๆ นี้จะรับมันได้จริงหรือเปล่า เราเองยังรับไม่ได้เลย ซึ่งพอยต์ของอัลบั้มนี้ก็คือการที่เราจะต้องรับด้านเหล่านี้ในจิตใจให้มากขึ้นเพื่อการรักตัวเองให้มากขึ้นจริง ๆ

ถ้าเป็นพาร์ตอะเรนจ์คือเราไม่ได้ตั้งใจใช้เสียงไซโลโฟนเพื่อให้มันดูคอนทราสต์นะ แต่เราอยากให้มันมีย่านสูงในเพลงเพราะตอนแรกมันยังไม่มีอะไรที่ทำให้ท่อนฮุกมันเด่นขึ้นมา งั้นก็เอาอันนี้แหละซ้อนเข้าไปเพื่อสร้างความน่าค้นหาบางอย่างและคนฟังอาจจะรู้สึกเอ๊ะ ถ้าสมมติดาร์ก ๆ ทั้งเพลงแล้วถ้ามีเสียงกิ๊งกุ่งเข้ามาคนก็อาจจะ หืม อะไรนะ? แล้วถ้าทุกอย่างมันออกมาลงล็อกกันได้ เขาอาจจะอยากอยู่กับเราต่อ ซึ่งตอนแรกก็กลัวเหมือนกันนะว่ามันอาจจะไม่ติดหู เพราะพอทำเพลงมาถึงจุดหนึ่งเราจะมีความกังวลในกฏเกณฑ์สูงอยู่แล้ว อาจจะเป็นกันทุกคนแหละ ถ้าพอรู้อะไรมากขึ้นมันจะอยู่ในจิตใต้สำนึกเราโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เรารู้อยู่แล้วว่าเพลงเกิน 4 นาทีมันยากมากที่จะอยู่ในโลกแห่งสตรีมมิงทุกวันนี้ ซึ่งช่วงที่ทำเพลงนี้ก็นั่งคุยกับเพื่อนเลย เอาเดโม่มากางเอาโปรเจกต์มาเปิดแล้วถามว่ามันควรตัดตรงไหน สรุปก็คือตัดไม่ได้เลย งั้นก็เลยช่างแม่ง ปล่อยเพลง 5 นาทีไปนี่แหละ (FJZ: เราชอบก็พอแล้วมั้ง) จริง เราชอบก็พอแล้ว บางทีที่ผ่านมาเรามีกรอบเยอะเกิน ตอนนี้เราแฮปปี้กับตัวเองที่ทำเพลงนี้มาก ๆ เพราะรู้สึกค่อนข้างกล้าสู้โลกมากขึ้น จะ 5 นาทีก็ช่างมัน เราชอบที่สุดแล้ว ถ้าเราจะไปตัดอะไรมากกว่านี้ มันก็คงไม่ใช่งานที่เราภูมิใจที่จะปล่อยออกมาจริง ๆ เราอยากทำงานแบบที่เราชอบ เราอยากทำงานแบบที่สมมติมีคนเข้ามาชมเราเราจะรู้สึกไม่ตะหงิด เราจะรู้สึกว่า ใช่! ก็ของกูดี! (ขำ)

ที่ผ่านมาเราปล่อยเพลงมาประมาณหนึ่งแล้วมีความกังวลใจและไม่มั่นใจตลอด ตอนนี้เราเลยอยากทำเพลงที่เรามั่นใจจริง ๆ ในระดับที่ต่อให้มันไม่ดังเราก็ไม่เสียใจ เพราะอันนี้คือเต็มที่ของเราแล้ว (FJZ: แล้ว down down down ก็ทำได้ใช่ไหมสำหรับวิน) ใช่ สำหรับเราแฮปปี้มาก เราก้าวข้ามกรอบทำเพลงภายใน 4 นาทีของเราไปได้แล้วหนึ่ง หรือกรอบของการกลัวว่ามันจะมากไปในทุก ๆ จุดไปได้ แต่สุดท้ายเรารู้สึกว่าถ้าทุกอย่างมันมาจากเราจริง ๆ มันก็คือ Varis แต่ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองเมื่อไร อันนั้นก็คือสิ่งเดียวที่จะทำให้มันไม่ใช่เพลงของ Varis 

อย่างเราเอง เราเลยรู้สึกว่ากับชุดนี้ตั้งแต่ down down down เป็นต้นไป เรากลับไปสู่ความเป็นรากของตัวเองมากขึ้น ดนตรีอีโม (ขำ) กลับไปนั่งฟัง My Chemical Romance, Paramore แล้วก็รู้สึกว่า โคตรรักวงพวกนี้เลยว่ะ ทำไงดีวะ เราห่างหายกันไปนานจังเลย มันไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบสิ่งเหล่านั้นที่เราไปเจอระหว่างทางนะ เราชอบอยู่แล้ว แต่สุดท้ายไอพวกที่เราฟังแรก ๆ มันคือสิ่งที่สร้างเราจริง ๆ เราเลยอยากย้อนกลับไปทำอะไรที่เป็นตัวเองมากขึ้น ก็เลยเป็นวัยรุ่นอีโมอยู่ตอนนี้ ชอบเพราะรู้สึกว่าเป็นตัวเองมาก ๆ (FJZ: make emo great again) make emo great again จริง!

MV ล่ะ

งานนี้กลับมาร่วมงานกับ ADHOC HOUSE อีกครั้ง ผู้กำกับคือพี่ต้นน้ำ ที่เป็นคนทำ mv can’t let u go เหมือนเราก็รักกันมาก อยากชวนกลับมาทำอีกรอบ เรารู้ว่าเขามีสไตล์และเทสต์ที่ตรงกันในเรื่องกันฟังเพลง ชอบคุยกันเรื่องวงอีโม วงบริต ก็เลยไปถามเขาว่ามีเพลงใหม่ พี่กำกับได้ไหม “เราอยากได้ mv เท่ อยากให้มันเท่ พี่เป็นคนเท่” ก็เลยลงล็อกออกมาเป็นพี่ต้นน้ำ ทัวร์ห้วยขวาง เหนื่อย! เรารู้สึกว่าเราก็ทำ mv มาประมาณหนึ่งแต่ตัวนี้ดันเป็นตัวที่จริงจังที่สุดแบบไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความที่ทุกคนลงแรงกันมาก ๆ ประมาณว่าคุยกันว่า “mv ขับรถต้องมี rig ติดรถแล้ว” แล้วทุกคนก็บอกถ้ามันจะเท่มันก็ต้องเอาให้สุด เราดีใจที่พวกเขาก็เป็นคนประเภทถ้าจะทำแล้วก็ต้องเอาให้สุดเหมือนกัน มันเลยออกมาเป็นแบบที่มันเป็นได้เพราะไม่มีใครกั๊กอะไรกันเลย

(FJZ: ขับรถสนุกไหม) สนุกมากขับรถ ยากมาก ขับกันไป 4-5 รอบ รอบรัชดา-ห้วยขวางช่วง ๆ นั้น เปลี่ยนมุมกล้องไป 5 รอบ ติดหน้ารถ ท้ายรถ ซ้าย ขวา แล้วก็ติดรถอีกคัน ช็อตที่ติดรถอีกคันน่ากลัวสุดแล้ว เพราะกล้องไม่ได้อยู่กับเรา แล้วตอนถ่ายพี่ต้นน้ำก็จะนั่งรถกับเรากับนางเอกที่ชื่อเฟรช แล้วก็มีขบวน รถข้างหน้าหนึ่ง มอไซค์อีกคันหนึ่ง ช่วยกันสุด ๆ จุดที่ต้องขับรถไปชิด ๆ กล้องก็วอเข้ามาตลอดว่า “วินเข้าใกล้อีกครับ วินเข้าใกล้อีกครับ” จนเราบอก “พี่ แม่งจะชนกล้องแล้วนะ” โคตรกลัวเลยตอนนั้น แล้วถ่าย mv เสร็จตอนเช้าต้องขับรถกลับบ้านอีก แต่สนุกดี เราชอบมากเพราะภาพที่ออกมาสุดท้ายเราว่ามันคุ้ม เป็นกองที่สนุกมากเพราะทุกคนทำกันเต็มที่จริง ๆ มันสัมผัสได้ทันทีว่ามันมีความแฮปปี้อยู่ในนั้น

ปกติแล้วเวลาเขียนเพลงหนึ่งเพลงขึ้นมา มันมักจะมาจากเรื่องราวอะไรในชีวิต 

เราเขียนจากเรื่องที่เราเป็นทุกข์ส่วนใหญ่ เอาจริง ๆ เราว่าศิลปินมักจะเขียนจากเรื่องที่เราอินกันโดยพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งบางทีเรื่องที่อินของคนอื่นอาจจะเป็นการดูหนังมา การอ่านหนังสือ หรืออะไรก็ว่าไปก็ได้ แต่อย่างเรา เราอินเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา เราเป็นคนคิดมากอยู่แล้วโดยปกติ จนบางทีก็แอบจมกับความรู้สึกไม่ค่อยดีเยอะเกิน และการที่เราได้เขียนมันออกมาเป็นเพลงแล้วใส่เมโลดี้ลงไปให้มันฟังดูติดหูหรือตลกได้ สำหรับเรามันคือการที่เหมือนเราบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไรนะเว่ย นี่ไงได้มาแล้วหนึ่งเพลง ชีวิตมันก็ต้องเจออะไรแบบนี้แหละ จดไว้ซะ” แล้วสุดท้ายพอเราปล่อยมันออกไป เรารู้ว่าเราได้สร้างผลงานสิ่งนี้ให้โลกไปแล้ว เราก็เชื่อว่ามันคงมีประโยชน์กับใครสักคนหนึ่งที่เขาฟังนอกจากเราด้วย เวลาเขียนก็เลยมาจากความทุกข์ของตัวเองแหละเพราะมันเป็นเรื่องที่เราจับต้องได้หมด หรือเวลามีใครถามเราก็ตอบได้หมด

แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะรู้สึกอย่างนั้นตลอดไป มันเหมือนเป็นการจดบันทึกช่วงเวลาหนึ่ง ถ้ามองย้อนกลับไปถึงเพลง 5 ปีที่แล้วเราก็แอบรู้สึกว่า “เชี่ย ตอนนั้นเราก็ใช้ได้เหมือนกันนะ” (ขำ) “เราเขียนสิ่งนี้มาได้ก็คลั่งอยู่นะตอนนั้น” อะไรแบบนี้ (ขำ) แต่มันก็คือการบันทึกของเราแหละเราโอเคและดีใจที่เรากล้าทำมันออกมาเป็นชิ้นงานและกล้าปล่อยให้ทุก ๆ คนฟัง no regrets!

Super Villain

จริง ๆ มันเป็นแพลนที่วางไว้ว่าจะตั้งชื่ออัลบั้มว่า Super Villain เพราะเราไม่เคยรู้สึกว่ามันจะมีคำไหนที่ถูกต้องสำหรับอัลบั้มนี้เท่าคำนี้มาก่อนเลย ตอนแรกมันก็มีคำนู้นคำนี้ในใจแหละ แต่คอนเซปต์ของอัลบั้มมันคือคืนหนึ่งคืนที่เราเรียนรู้ที่จะโตขึ้น สุดท้ายมาสะดุดคำนี้แล้วรู้สึกว่ามันตรงกับทุกอย่างที่เราต้องการเลยนี่หว่า มันมีความเท่ มีความกวนตีนอยู่ในชื่อ แล้วมันก็อธิบายเนื้อเรื่องของอัลบั้มนี้ได้เลย คือการยอมรับว่าเราไม่ใช่คนที่เพอร์เฟกต์ ไม่ใช่คนที่ดีร้อยเปอร์เซนต์ แต่อย่างน้อยเราอยากมีความสุขกับตัวเองให้ได้ เรารู้สึกว่าตัวละครประเภทผู้ร้ายมันมีเหตุผลในการกระทำในบางทีนะ คือไม่ได้กระทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเป็นประโยชน์อะไรมากที่สุดเสมอไป แต่เชื่อดิว่ามันมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้นที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ เราเลยชอบคำนี้จนนับให้มันเป็นคอนเซปต์ ณ เวลานี้

อีกพาร์ตของ Varis กับการเป็นโปรดิวเซอร์

ตอนนี้เราก็เหมือนเด็กจบใหม่หลาย ๆ คน ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานประจำแล้วเราก็ลาออกมาเพราะอยากมาทำโปรดิวเซอร์เต็มตัว เราอยากจะสร้างสิ่งนี้ของเราให้ได้ จริง ๆ งานอื่น ๆ พวกเขียนเนื้อเพลงหรือมิกซ์เพลงก็ยังรับอยู่ แต่หลัก ๆ ที่อยากทำคือโปรดิวซ์อยู่แล้ว พอเหลือแค่โปรดิวซ์เราให้เวลา Varis ได้เต็มที่ ถ้าเราอยากให้มันโตเราก็ต้องให้เวลากับมัน ชีวิตเป็นประมาณนี้เลย 

เรายังเชื่อเรื่องทำอะไรทำให้สุดอยู่ เราเชื่อว่าศิลปินทุกคนที่เวิร์กไม่ว่าจะด้วยมีเพลงดังหรืออะไรก็ตาม อย่างน้อย ๆ เขาต้องตอบได้ว่าเขาอยากทำอะไร หรืออะไรคือคาแรคเตอร์เขาเหมือนกัน ทุก ๆ วันนี้เวลาโปรดิวซ์วง เราจะพูดเรื่องนี้ก่อนเลยว่า “เราไม่รู้นะว่าเพลงจะดังไหม เราไม่ได้มาเพื่อทำสิ่งนั้น แต่เราจะให้สิ่งที่จะอยู่กับคุณระยะยาวให้มากที่สุด นั่นก็คือคาแรคเตอร์คุณ ให้คุณได้รู้จักตัวเองมากที่สุด” เราจะถามเยอะมาก ๆ อยากรู้หมด โตมายังไง ทำอะไรอยู่ ชอบกินข้าวกับอะไร หรือเวลาว่างชอบฟังเพลงอะไร ถึงมันจะดูเบสิคไปนิดหนึ่งแต่เราก็อยากรู้ อยากรู้ว่าเขาเล่นกีตาร์แบบนี้ เปียโนแบบนี้นะ ถ้าสมมติว่าเราวางคีย์บอร์ดหน้าเขานี่คือสิ่งแรกที่เขาจะกด มันคือสิ่งที่มาจากเขาจริง ๆ ดิบมาก ๆ ไม่ได้ผ่านการกรองมาก่อน เราจะอยากรู้สิ่งพวกนี้เพราะเราเชื่อว่าคาแรคเตอร์ที่มันจะอยู่ยาวกับศิลปินมันจะต้องมาจากรากพวกนี้ 

การมีเพลงมันเหมือนมีลูกเลยอะ สุดท้ายแล้วเราต้องรักลูกเราให้มาก ๆ ต้องรักมากจนไม่กดดันทุกอย่างกับเขา เราก็จะต้องทรีตเพลงเราให้เป็นแบบนั้นให้ได้ เราจะไม่เอาทุกอย่างไปลงกับสิ่งนี้จนมันไม่ได้เป็นตัวของมันเอง พูดจา abstrack มากเลยวันนี้ (ขำ) แต่เราก็เชื่อแบบนั้นจริง ๆ พอมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้คนอื่นก็ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ว่าทำเพลงมันเหมือนเลี้ยงลูก แต่ก้อนนี้โปรดิวเซอร์จะไม่เหมือนศิลปินเพราะว่าศิลปินคือพ่อแม่ของลูกคนนั้น แต่โปรดิวเซอร์เหมือนกับครูแหละ นี่คือสิ่งที่เราสัมผัสให้คนอื่นได้ในช่วงที่ผ่านมา แต่ใด ๆ ก็ตามสุดท้ายทุกคนมาเพื่อหวังดีกับเพลง ๆ นี้ เด็กคนนี้เหมือนกัน

FJZ: มีงานไหนที่ประทับใจที่สุดตั้งแต่โปรดิวซ์มาไหม

ถ้าสมมติว่าให้ตอบไว ๆ เลยล่าสุดประทับใจ LOVE MOON เพราะเรื่องที่ได้ลองทำงานกับ LANDOKMAI ก็ด้วย หรือได้ลงลึกกับจาวไปอีกขั้นหนึ่งก็ด้วย แต่หลัก ๆ เลยเรามองว่าเพลงนี้ทำให้เราออกจากคอมฟอร์ตโซนมาก ๆ เราไม่คิดว่าเราจะทำเพลงทรงนี้ได้ เพราะโจทย์ตั้งต้นของเพลงนี้ที่คุยกับจาวแต่แรกเลยก็คือต้องซึ้ง มันเหมือนเป็นจุดที่เราเปลี่ยนผ่านพอดีว่าเราจะมาทำเพลงให้ emotional มากขึ้น และ LOVE MOON ต้องเป็นสิ่งนั้นให้ได้ นับว่าทั้งอัลบั้มของ ELEVEN เลย จาวซีเรียสเรื่องนี้มาก ว่าต้องฟังให้รู้สึกให้ได้มากที่สุด เราก็เลยอินกับสิ่งนี้ไปด้วย เราก็เลยมองว่าโอเคเราไม่ได้ดูแลแค่ดนตรีหรือเทคนิคแล้ว เราดูแลเรื่องความรู้สึกที่คนฟังจะได้รับจริง ๆ และมันเป็นครั้งแรกที่เราปลดล็อกกับสิ่งนั้นจริง ๆ 

ตอนช่วงที่ทำ LOVE MOON สนุกมาก ไปนู่นไปนี่ มาอัดกันที่บ้าน พวกเราก็ไปบ้าน LANDOKMAI พวกเขาก็มาบ้านเรา เหมือนเป็นช่วงปาร์ตี้เราเลยสนุกมาก ๆ พองานออกมาแล้วมันฟังเห็นได้ชัดเลยว่าแฮปปี้ และไอกรอบ 4 นาทีที่เราเคยพูดไว้ เพลงนี้ปลดล็อกได้หมดเลยเพราะเพลงมัน 5 นาทีกว่า เราเคยคุยกับจาวเรื่อง 4 นาทีเหมือนกัน แต่จาวบอก “ไม่สน เอาเลย เพราะว่ารักเพลงนี้มาก ๆ ถ้ามันไม่เป็นแบบที่มันเป็นก็ไม่อยากให้มันอะไรแล้ว” พอได้ยินแบบนี้ก็เลยปลดล็อกเลย นับได้เลยว่าหลังจากปล่อย don’t wanna hold u back เราก็ได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้จากคนที่เราทำเพลงด้วยเยอะมาก ๆ ไม่ใช่แค่จาว แต่รวมไปถึง FORD TRIO ด้วย ที่พูดถึงสองวงนี้เป็นหลัก ๆ เพราะเป็นวงที่อยู่ด้วยบ่อยสุด

อย่าง FORD TRIO ก็เป็นวงที่ทำให้เราเชื่อเรื่องเอเนอร์จี้ในการทำงานมาก ๆ ถ้าทุกคนมาเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน ไปใส่กันในห้องเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุดและสนุกที่สุดได้ ทุกอย่างมันจะจบแค่นั้นเลย แล้วมันจะเวิร์กตั้งแต่ตรงนั้นเลย มีเพลงใหม่ของ FORD TRIO ที่ทำไปเรื่อย ๆ แล้วได้เจอ magic moment ไม่ว่าจะมาด้วย 0 แค่ไหน พอเขาแจมกันก็เวิร์กเฉยเลยทุกอย่าง FORD TRIO ทำให้เราเชื่อในสิ่งนี้มาก ๆ มันคือสิ่งเดียวกับที่ Pharrell Williams เคยพูดในสัมภาษณ์ว่า “Creativity ไม่ได้มาจากเรา แต่มันคือสิ่งที่อะไรก็ตามในโลกนี้ประทานให้เรา เราต้องเก็บมันตั้งแต่โมเมนต์นั้น” เราก็เลยเปลี่ยนความคิดเลย เราจะไม่เมินเฉยกับไอเดียที่มันโผล่มาในหัว เราจะไม่ทำเป็น เดี๋ยว ๆ ค่อยทำก็ได้ อย่างน้อยก็ต้องอัดเก็บไว้ หรือคว้ามันไว้ให้ได้ ไม่งั้นมันจะไปหาคนอื่น

Kings of Converter

มันเกิดจากวันนั้นพี่ฟอร์ดมาทำเพลงคนเดียว แล้วเรามีดีลที่ Blueprint Livehouse อยู่แล้ว แล้วเราก็หยิบกีตาร์ขึ้นมา บอกให้ฟอร์ดหยิบมาอีกตัวมาแจมกัน เล่นเพลง w. ของวง LAAN  พอฟังไปฟังมาก็เลยปิ๊งว่า “เฮ้ย ตั้งวงซุปเปอร์กรุ๊ปกันปะ” แค่นี้เราก็เอาไปเล่นกันสองคน แล้วเขาก็บ้าจี้เอาด้วย สุดท้ายเลยจบที่ให้มาเล่นเปิด Varis วันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา

เพลงสุดท้ายวันนั้นเล่น ให้เธอ มันเป็นเพลงที่เตี๊ยมนะตอนนั้นเลย ซึ่งก็เป็นเพลงที่พี่ฟอร์ดก็ไม่เล่นแล้ว ส่วนเราก็ลืมไปประมาณหนึ่งแล้วว่าเคยทำสิ่งนี้ด้วยกัน มันเป็นเพลงยุคมหา’ลัย ตลกดี ส่วนชื่อวงจริง ๆ ไม่มีอะไรเลยนะ เราก็พูดขึ้นมาว่า “เชี่ย เราเหมือน Kings of Convenience เลยว่ะ” ให้พี่ฟอร์ดคิดชื่อวง พี่ฟอร์ดบอกว่า “Kings of Converter ดิ” (ขำ) ก็เลยใช้ชื่อนี้ไปก่อนแล้วกัน จนถึงวันที่ต้องส่งชื่อให้ Blueprint Livehouse ก็พยายามให้พี่ฟอร์ดคิดชื่ออื่น แต่เขาไม่เอาด้วยแล้ว เขาบอก “อันนี้แหละ เวิร์ก!” หลังจากนี้จะมีผลงานอีกก็ไม่รู้ หรือจะเปลี่ยนชื่อวงอีกไหมก็ไม่รู้ นับว่ารอบวันนั้นพิเศษจริง ๆ

 

ใกล้เลือกตั้งแล้ว นโยบายแบบไหนที่จะช่วยให้วงการดนตรีหรือศิลปะดีขึ้นได้บ้าง จากมุมมองของทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภคที่ Varis เป็น

เราคิดว่าสิ่งแรกเลยคือการไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกต่าง ๆ ถ้าอำนาจใหญ่ไม่ปิดกั้น วัฒนธรรมวันหนึ่งก็น่าจะตามไปได้เอง แต่จริง ๆ มันเร่งกระบวนการได้จากคนที่มีอำนาจในมือนี่แหละ มันมีอะไรเยอะแยะมากมายในโลกตอนนี้ที่เรารู้สึกว่ามันทำให้นักดนตรี หรือคนที่อยากมีพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์มันทำงานยาก หรืออีกอย่างที่คิดก็คือการเพิ่มพื้นที่พวกนี้ให้กับคนทั่วไปนี่ให้เขาอยู่กับศิลปะได้มากกว่านี้ อะไรก็ได้ที่ทุก ๆ คนจะสามารถเข้าถึงได้ถึงแม้เขาไม่มีเงินทุนก็ตาม

แต่ปัญหาโคนที่มันหยั่งรากลึกจริง ๆ ก็คือการที่เรารู้สึกว่า คนจะอยากเสพศิลปะได้ยังไง ในเมื่อเขาควรมีความเป็นอยู่ที่ดีก่อน เราคิดว่าถ้ารัฐบาลน่าจะทำได้ดีที่สุดคือการที่ทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีจนอยากใช้ชีวิตกับศิลปะมากขึ้น เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าเทียบกับปากท้อง ศิลปะก็เป็นเรื่องรองมาจริง ๆ ความเป็นอยู่ต้องมาก่อน มันน่าจะเหมือนกับที่เรเนซองส์เกิดขึ้นได้ก็เพราะความเฟื่องฟูของคนในตอนนั้น มันเลยเกิดขึ้นได้จริง เอาจริง ๆ มันคือคำเดียวเลย คำที่ไม่ได้พูดมานานมาก “ถ้าการเมืองดี” มันคือคำนั้นจริง ๆ ถ้ามันดีพอ ความสุข ความจรรโลงใจของคนมันจะตามมาเองได้เลย (FJZ: เพราะดูศิลปะเริ่มกลายเป็นงานอดิเรกของคนที่เข้าถึงทรัพยากรได้ไปแล้ว) ใช่ แล้วมันไม่ควรเป็นอย่างนั้น ศิลปะมันเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่ควรอยู่ในชีวิตประจำวันของคนได้มากกว่านี้ แต่มันจะเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนได้ไงถ้าวัน ๆ คนยังต้องกังวลว่าเราจะกลับบ้านยังไง เราจะมีตังพอซื้อสิ่งต่าง ๆ ในวันนี้ไหม เราจะได้เงินเดือนวันไหน ปัจจัยในการใช้ชีวิตของคนเรามันเยอะมากเกินกว่าจะสามารถไร้กังวลจนไปแบ่งให้ศิลปะได้ ความเป็นอยู่สำคัญมากจริง ๆ ถ้าทำได้ศิลปะก็จะเติบโตได้ด้วยตัวมันเองแน่นอน อาจไม่ต้องเริ่มที่ศิลปะก่อนด้วยซ้ำ แก้ที่รากก่อนน่าจะมีผลดีตามมามากกว่าเรื่องนี้จริง ๆ

คอนเสิร์ตใหญ่ปีนี้

จริง ๆ เรื่องคอนเสิร์ตก็คือ ปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 5 ปีของ Varis ตั้งแต่ปล่อยเพลง N. ไป เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจัดคอนเสิร์ตสักครั้ง ซึ่งมันก็น่าจะพอดีกันกับช่วงที่ปล่อยอัลบั้มใหม่ เรากำลังคิดกันอยู่ว่าเราจะทำอะไร จะเล่นแบบไหนที่เราจะรู้สึกว่ามันไม่ขาด เรารู้ว่าเรามีเพลงเท่าไหน และมันจะมีมากกว่านี้เพราะกำลังจะมีอัลบั้ม เราต้องเลือกไหม หรือเราจะเล่นให้หมดเลยก็ยังตัดสินใจ คือถ้าเล่นทั้งหมดก็เหนื่อยแหละ แต่ไม่เหนื่อยขนาดนั้น สำคัญคือการแลกเปลี่ยนพลังงานกับคนดูแล้วเรารู้สึกว่าเราวิ่งต่อได้ เราเลยจะดีใจทุกครั้งที่เราได้เห็นคนดูร้องเพลง เต้น โยกไปกับเรา มองลงไปก็มีแรงแล้วเรื่องจริงนะ ถ้าสมมติเราจัดคอนเสิร์ตแล้วทำให้มันเป็นไวบ์แบบนั้นได้เราจะเล่นกี่ชั่วโมงก็ได้ แล้วค่อยไปเป็นลมนอนกลางเวทีกลางเพลงสักเพลงหนึ่ง (ขำ) 

หลัง ๆ เราพยายามไม่อยากซีเรียสเกิน เลยทำให้เรารู้สึกว่าในพาร์ตอื่น ๆ สิ่งที่คนน่าจะรู้สึกได้จากเราคือความเป็นเพื่อน เราไม่อยากให้สิ่งที่ออกไปมันทำให้คนคิดว่าเราตึง ถ้ามันจะตึงได้ก็คือโคตรเท่เลยว่ะมันถึงตึงเท่านั้น เราอยากให้เขารู้สึกว่าเพลงที่เขาฟังมันเป็นเพื่อนเขาได้ มันไม่ใช่อะไรไกลตัว เรื่องต่าง ๆ ที่เราเล่ามันเป็นเรื่องที่ดาร์กในใจก็จริง แต่เราก็จะคิดตลอดว่า “เอ้ย ไม่เป็นไรนะ ผมพูดให้” (FJZ: หล่อเลยอะ!)

ทิ้งท้ายและฝากผลงาน

ตอนนี้ Varis คือศิลปินอิสระครับที่พยายามทำสิ่งที่ตัวเองชอบจริง ๆ ออกมา และหวังว่าสิ่งที่เราชอบจริง ๆ จะพูดแทนใจคนที่ฟังได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เรามีความสุขกับงานที่เราทำมากตอนนี้และเราอยากแชร์ความสุขนั้นกับทุกคน ฝากเพลงใหม่ down down down ด้วยครับ สามารถทำทรงเท่แล้วก็โยกคอไก่ได้เหมือนกัน มาเจอกันเวลาเล่นสดได้มันจะเป็นอีกฟีลหนึ่งแน่นอน ปีนี้จะมีอัลบั้มใหม่ปล่อยมา ฝากติดตามกันด้วยนะครับ ส่วนในฐานะโปรดิวเซอร์ก็มีผลงานของวงอื่น ๆ อีกที่เราตั้งใจคราฟต์ร่วมกันกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ศิลปินทุก ๆ คน เพราะเราเชื่อในงานที่เราทำกันอย่างจริง ๆ รวมถึง Varis ด้วย อยากให้เปิดใจรับฟังกันดูครับ!

ตลอดชั่วโมงของการพูดคุยกับ Varis ในรอบ 2 ปีกว่า ๆ ทำให้เรารับรู้ได้เลยว่าเวลาของ Varis เดินเร็วมาก ๆ เขาเติบโตอย่างมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ได้เจอตัวเอง ได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่อยากทำและอยากให้เกิดขึ้นจริง แน่นอนว่าความสามารถของเขาไม่มีขีดจำกัด อัลบั้มที่กำลังจะปล่อยในปีนี้จะต้องเป็นอะไรที่สนุกเกินคาดเดาได้แน่นอน อยากให้ทุกคนได้ลองฟัง down down down สักครั้ง แล้วคุณจะรู้จัก Varis ในฉบับที่อัพเดตที่สุด ณ เวลานี้ ติดตามข่าวสารอื่น ๆ จาก Varis ได้ที่ Facebook, Instagram, YouTube และ ฟังใจ

 

อ่านต่อที่นี่: คุยกับ Varis ถึงเรื่องราวของความพอดี ที่ควร ‘โทษตัวเองให้เป็น’

Facebook Comments

Next:


Donratcharat

นัท มีหมาน่ารักสองตัวชื่อหมูตุ๋นกับหมูปิ้ง กาแฟดำยังจำเป็นต่อชีวิต และยกให้กาแฟใส่นมเป็นรางวัล