Band, inspired by, technology, Queen, Foals, เทคโนโลยี

Quick Read Snacks

จาก Queen ถึง Foals รวมวงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยี

  • Writer: Malaivee Swangpol

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีคือสิ่งจำเป็นในชีวิตของเรา เพราะตั้งแต่ตื่นนอน อาบน้ำ แปรงฟัน เราก็ต้องพึ่งพาเจ้าเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้เราสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยหลาย ๆ อย่างก็ได้ส่งแรงบันดาลในให้กับหลาย ๆ คน วงดนตรีก็เช่นกัน เริ่มตั้งแต่ชื่อก็มีวงที่ได้แรงบันดาลใจจากโลกอินเทอร์เน็ตหลายวงอย่าง Alt-J (ซึ่งชื่อของพวกเขามาจากการกดปุ่ม alt-j ในคอมพิวเตอร์ตระกูลแมค แล้วจะได้รูป ∆), .gif, The Internet, Big Data และอีกมากมาย ซึ่งวันนี้เราขอรวบรวมเทคโนโลยีที่แทรกในเพลงตามยุคต่าง ๆ ไล่ตั้งแต่ยุค 80s จนถึงปัจจุบัน มาดูกันว่าเหล่านักดนตรีบันทึกเรื่องของเทคโนโลยีแต่ละชิ้นไว้อย่างไรบ้าง

The Buggles – Video Killed the Radio Star (1980)

ขอเริ่มต้นยุคเทคโนโลยีในบทความนี้ที่ปี 1980 ด้วยเรื่องราวของมิวสิกวิดิโอซึ่งเปลี่ยนโฉมวงการดนตรีไปตลอดกาล ความนิยมของการทำ mv เริ่มในปี 1974 แต่มาบูมจริง ๆ ในปี 1981 เมื่อ MTV สหรัฐอเมริกาเปิดตัวช่องป็นครั้งแรกด้วยเพลงนี้ ซึ่งเรื่องราวก็เป็นไปตามชื่อ เพราะวิทยุก็ค่อย ๆ ลดความสำคัญไปเรื่อย ๆ จริง ๆ เพลงนี้พูดถึงวิทยุตั้งแต่แบบใส่ถ่านเป็นที่นิยม ก่อน ‘ภาพ’ จะมาถึงและทำลายวิทยุลง ไปจนถึงยุคที่การได้ยินเสียงจิงเกิ้ลวิทยุกลายเป็นเรื่องโบราณ และทุกคนรู้จักแต่ vcr ซึ่งใน mv เพลงนี้เรื่องราวเริ่มในยุค 70s มีเด็กกำลังนั่งฟังวิทยุ ก่อนจะระเบิดวิทยุแล้วข้ามยุคไปสู่ยุคอนาคตตามสูตรที่คนยุค 80s จินตนาการถึง ที่ทุกคนใส่ชุดสูทสีเงินและทุกอย่างเป็นสีขาว อีกเรื่องที่พีคก็คือ อัลบั้มของวง The Buggles ก็ชื่อ The Age of Plastic ซึ่งพลาสติกจะเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกสบายให้กับคนยุคต่อมา แต่ก็ทำลายโลกด้วยเช่นเดียวกันจากการใช้มันมากเกินไป

Kraftwerk – Computer Love (1981)

ซิงเกิ้ลจากอัลบั้ม Computer World ของวงอิเล็กทรอนิกจากเยอรมัน เพลงนี้พูดถึงความเหงาในยุคเทคโนโลยีที่คนอยากมีคู่แต่ไม่สามารถทำได้จนต้องพึ่งเทคโนโลยี ที่พีคคือ เพลงนี้เกิดขึ้นก่อนยุคจีบกันออนไลน์,​ โปรแกรมแชต, Tinder ​เป็น 20-30 ปี เสียงร้องโอดครวญ ‘I call this number/ For a data date/ I don’t know what to do/ I need a rendezvous’ โดยสำหรับใครที่คุ้น ๆ ทำนองเพลง ไม่ต้องแปลกใจ เพราะ Coldplay ขอเอาทำนองไปใช้ในเพลง Talk นั่นเองจ้า นอกจากเพลงนี้ ในอัลบั้มนี้ยังมีเพลงชื่อ Pocket Calculator ที่ร้องว่า ‘I am adding/And subtracting/I’m controlling/And composing’ เสมือนเหมือนตัวเองเป็นคอมพิวเตอร์ และในอัลบั้มก็ยังมีการพูดถึงเทคโนโลยี hand-held (สิ่งที่ใช้มือถือได้) ก่อนจะถึงยุคโทรศัพท์มือถือครองโลกซะอีก

Queen – Radio Ga Ga (1984)

ถ้า Video Killed The Radio Star เป็นเพลงขุดหลุมฝังวิทยุ Radio Ga Ga ก็เหมือนเป็นเพลงที่ตบบ่าเจ้าวิทยุแล้วบอกว่า ยังมีคนรักแกอยู่นะ (Someone still loves you!) เพลงนี้สะท้อนความเป็นจริงว่า ในยุค mv ทำให้เราแทบไม่ได้ใช้หูของเราตั้งใจฟังเพลงจริง ๆ เท่าไหร่เลย (นี่ก็ยังคงจริงในทุกวันนี้) ในท่อน ‘We watch the shows — we watch the stars/ On videos for hours and hours/ We hardly need to use our ears/ How music changes through the years’ Roger Taylor มือกลองของวงผู้แต่งเพลงนี้ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “mv เหมือนจะสำคัญมากกว่าเพลงแล้ว” ซึ่งความเสียดสีของมันคือมิวสิกวิดิโอเพลงนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง MTV Awards สาขา Best Art Direction ในปี 1984 โดยใน mv นี้ก็มีฉากที่วงนั่งในรถบินได้ (ซึ่งถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็นจริง) และการนำทุกคนให้ปรบมือพร้อมกัน คล้าย ๆ จะพูดถึงการชวนเชื่อล้างสมองผู้คน

Radiohead – OK Computer (album) (1997)

ข้ามมาถึงปี 1997 ที่คอมพิวเตอร์เริ่มมีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น อย่างเหตุการณ์ Y2K ที่ทำให้คนแตกตื่นกันไปทั่วโลกก็คือตัวอย่างที่ชัดว่าเทคโนโลยีสำคัญขนาดไหน ตั้งแต่เรื่องฝากเงินเข้าธนาคารไปยันเทคโนโลยีการบิน ซึ่งในอัลบั้มนี้คือการวาดภาพศตวรรษที่ 21 ได้ชัดเจนมาก ๆ ทั้งเรื่องบริโภคนิยม,​ โลกาภิวัฒน์, ความรู้สึกแปลกแยกจากสังคม, ความโดดเดี่ยวทางสังคม และการเมืองที่ห่วยแตก โดยมีหลายเพลงในอัลบั้มนี้ใช้คอมพิวเตอร์ Macintosh อย่างเพลง Airbag ที่ทำแซมป์กลองในคอม, Fitter Happier ที่ใช้เสียงพูดจากโปรแกรม SimpleText ที่สร้างเสียงคนสังเคราะห์ นอกจากนี้ มีเพลงอย่าง No Surprises ที่พูดเรื่องขยะ สภาพอากาศที่แย่ ซึ่ง mv เพลงก็ยังมีการสื่อถึงสภาพที่หายใจไม่ออก และตัวอักษรวิ่งบวกกับแสงไฟด้านหลังก็ดู futuristic มาก ๆ ซึ่งที่มาของชื่ออัลบั้มนี้ มาจากประโยค ‘Okay, computer, I want full manual control now.’ จากละครวิทยุไซไฟเรื่อง The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy (ที่เป็นแรงบันดาลให้กับเพลง Paranoid Android ด้วย) Thom Yorke ก็ให้คำอธิบายกับชื่อนี้ไว้ว่า “มันคือการพูดถึงอนาคต เมื่อวันหนึ่งเราจะยอมรับเทคโนโลยี และในขณะเดียวกันก็กลัวมัน ชื่อของมันเหมือนการยืนอยู่ในห้องที่มีคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำงานรายล้อมไปหมด แล้วก็ยังมีเสียงอันน่ากลัวของมันก็ดังตลอดเวลา” ซึ่งก่อนจะชื่อ OK Computer อัลบั้มนี้เคยมีชื่อเล่นว่า Ones and Zeroes (หมายถึงตัวเลข 0 1 ในระบบ binary) และ Your Home May Be at Risk If You Do Not Keep Up Payments ซึ่งก็ฟังดูมาทางเทคโนโลยีทั้งคู่

M.I.A. – Internet Connection (2010)

M.I.A. ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากตอนที่อินเทอร์เน็ตใช้ไม่ได้ แล้วเธอต้องโทรหาบริษัท Verizon ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตอยู่ 3 ชั่วโมง ซึ่งทำให้เธอได้ไอเดียเพลงนี้ จนต้องท้ายเธอได้ขอให้พนักงานร่วมร้องท่อนฮุคให้เธอ โดยเพลงนี้สะท้อนชีวิตมนุษย์ยุคดิจิตอลมาก ๆ กับทั้งความหงุดหงิดที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้,​ ชีวิตที่ผูกพันกับโลกออนไลน์อย่างการหาคู่รัก และความใจลอยที่เกิดขึ้นเมื่อเราใช้มันมากเกินไป จนท่อนสุดท้ายเธอได้ร้องว่า ‘I’m gettin’ off the computer/ I’m going to do something’ ที่เธอบอกให้พักจากโลกออนไลน์กันบ้างนะทุกโคนนน ซิงเกิ้ลนี้ปล่อยพร้อมกับเวอร์ชันรีมิกซ์ 4 เวอร์ชั่นโดย Flux Pavilion, Buraka Som Sistema, Huoratron, Tony Senghore 

Damon Albarn – Everyday Robots (album) (2014)

อัลบั้มแรกจาก Damon Albarn แห่ง Blur และ Gorillaz ซึ่งเพลง Everyday Robots ที่ชื่อเดียวกับอัลบั้ม เป็นเพลงที่สะท้อนชีวิตมนุษย์ผู้เอาแต่จิ้มโทรศัพท์,​ ฟังเพลง และติดอยู่ในโลกส่วนตัว ก่อนจะค่อย ๆ สูญสลายตัวตนไปเรื่อย ๆ เขาได้ไอเดียนี้ตอนกำลังรถติดอยู่บนถนน ซึ่ง Albarn เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาชอบที่จะร้องเพลงเกี่ยวกับโลกอนาคตที่เขาจินตนาการขึ้น อย่างเพลง The Universal ของ Blur ที่เขาพูดถึงดาวเทียม ซึ่งถึงทุกวันนี้มันก็ยังเป็นจริง และคงจะเป็นจริงไปอีกนาน บางครั้งมันก็ทำให้เขากลัวด้วย ยิ่งท่อน ‘Lookin’ like standing stones/ Out there on our own’ คือทำให้เห็นภาพชัดมาก ๆ ส่วนอีกเพลงในอัลบั้มอย่าง Lonely Press Play ที่พูดเรื่องการใช้ดนตรีมาเยียวยาความเหงา mv ก็ยังได้ถ่ายด้วย iPad ของ Albarn เอง /ในส่วนของความย้อนแย้งนี้….

Neon Trees – Love In the 21st Century (2014)

ซิงเกิ้ลจากอัลบั้ม Pop Psychology เพลงนี้พูดถึงความรักในยุคสมัยใหม่ที่มาไวไปไว จากเนื้อ ‘I guess it’s love/ In the 21st century/ It’s tough/ Broken heart technology/ Your kisses taste so sweet/ But then you click delete’ ยุคที่การพบเจอกันในโลกออนไลน์ก็ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ยุคที่คำว่าเลิกกันเถอะ เป็นเพียงแค่ลมปาก เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งในเนื้อเพลงก็ย้ำว่า ผมไม่เชื่อคำที่คุณพูดหรอก ตลอดเพลง ยิ่งท่อน ‘I check my four different accounts just to end up mad’ ก็เหมือนพวกเรา ๆ ในยุคนี้ที่มีตัวตนหลากหลายในโลกออนไลน์​ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถจัดการชีวิตจริง ๆ ได้อยู่ดี อีกเพลงที่เล่าเรื่องความรักยุคดิจิทัลในอัลบั้มคือ Text Me In The Morning ที่พูดเรื่องปาร์ตี้สุดเหวี่ยงที่ต้องเลิกก่อนเวลาอันควร ทำให้ต้องแยกจากคนที่กิ๊ก ๆ กันอยู่ จนต้องบอกว่า เอาเป็นว่าเธอ ‘So text me in the morning/ Tell me you still love me’ อีกเรื่องราวความรัก puppy love ใส ๆ เหมือนยุคก่อน ก่อนจะหยอดมุมน่ารัก ๆ ‘When all the other boys just want your sex/ I just want your texts/ In the morning’

The 1975 – The Man Who Married a Robot/ Love Theme (2018)

A Brief Inquiry Into Online Relationships คือหนึ่งในอัลบั้มที่บันทึกยุค 2018 ไว้ กับการเติบโตของ The 1975 กับการเล่าเรื่องความรักในยุคออนไลน์ เพลงอื่น ๆ ที่ออกมาก็มีการพูดถึงยุคปัจจุบัน,​ existentialism, coming 0f age, การใช้ยาเสพติด,​ ปัญหาความรุนแรงในสหรัฐอเมริกา และอีกมากมาย ซึ่ง The Man Who Married a Robot/ Love Theme เป็นเพลงที่ทั้งแซะและทั้งเล่าเรื่องความรักในโลกออนไลน์ ด้วยการใช้เสียงพูดที่คล้ายเสียงสังเคราะห์มาพูดในเพลง เล่าเรื่องคนที่โดดเดี่ยวมาก ๆ แต่เขาก็ไม่เหงาเพราะเขามีอินเทอร์เน็ตเป็นเพื่อน ทำทุกอย่างด้วยกันรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์​ จนวันหนึ่งเขาก็ก็ถามว่าอินเทอร์เน็ตรักเขาไหม แล้วอินเทอร์เน็ตก็บอกว่ารัก ทำให้ทั้งสองใกล้กันมากขึ้น จนชายคนนั้นก็ตายลง เพราะคนเราไม่สามารถใช้ชีวิตด้วยการกินขนมปังอย่างเดียวได้ ตอนจบของเพลง เสียงเล่าว่า ‘And then he died in his lonely house, on the lonely street/ in that lonely part of the world/ You can go on his Facebook’ เหมือนจะบอกว่า สุดท้ายแล้วเราก็แค่จุดเล็ก ๆ ในอินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้มีใครสนใจเท่าไหร่นัก

Foals – Everything Not Saved Will Be Lost (album) (2019)

หลังจากปล่อยทีเซอร์แรกมาให้เราได้ตื่นเต้นกัน เพลงแรกจากอัลบั้มใหม่ของ Foals อย่าง Exits ก็ออกมาแล้ว โดยเนื้อเพลงและ mv ก็ได้พูดถึงเนื้อหาของการหาทางออกจากที่ปิดตายใต้ดิน ซึ่งไม่สามารถออกไปได้ เพราะอากาศแย่มาก ๆ สื่อถึงสภาวะโลกร้อน (ซึ่งมันก็เกิดจากการบริโภคของพวกเราที่มากเกินไปนี่แหละ) ทำให้ทุกคนได้แต่หลบในที่กำบัง แต่ไม่สามารถออกมาได้ ‘I wish I could’ve come up/ I could’ve shouted out loud/ But they got exits covered/ All the exits underground/ I wish I could figure it out/ But the world’s upside down’ ซึ่งวงก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงอัลบั้มนี้ว่าจะสื่อถึงเหตุการณ์หลังวันสิ้นโลก การพยายามจะหลบหนีจากฝันร้ายแห่งยุคมิลเลนเนียล แต่ก็ไม่สามารถหนีไปได้อีกแล้ว ทุกคนต้องอยู่ในฝันร้ายนี้ไปด้วยกัน ซึ่งเราก็ต้องมารอดูว่าอีก 9 เพลงที่เหลือจะสื่อถึงยุคเทคโนโลยีอย่างไรอีกบ้าง ขอเดาตรงนี้ว่าน่าจะมีอีกอย่างน้อย 1-2 เพลงแน่นอน

 

นอกจากที่ยกตัวอย่างไปด้านบน ยังมีเพลงอีกจำนวนมากที่พูดเรื่องไลฟ์สไตล์คนยุคปัจจุบันที่ติดอยู่กับเทคโนโลยี ลองดูตามลิสต์สั้น ๆ ที่เราลิสต์ไว้ได้

  • Talking Heads [Nothing But] Flowers
  • The Strokes – The Modern Age
  • Daft Punk – Technologic
  • Arcade Fire – Deep Blue
  • Childish Gambino – Because The Internet (album) 
  • St. Vincent – Digital Witness
  • The Rentals  Elon Musk Is Making Me Sad
  • Telex Telexs – ENOUGH FOR LONELINESS AND INTERNET TODAY 

ดูเพิ่มเติม ได้ที่ >The Best Songs About Technology<

อ้างอิง
10 Essential Songs About Technology
The 7 Best Songs About New Technology
10 Songs About Gadgets And Tech
Foals tell us about their two new albums ‘Everything Not Saved Will Be Lost’
M.I.A. Teams With Blaqstarr, Verizon Workers for Summer Disc
Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่