Quick Read Snacks

Shoegazers are back ยุคคืนชีพของเหล่านักจ้องเกือก

Shoegaze (N. แนวดนตรีที่เป็นแขนงย่อยจาก alternative rock มีต้นกำเนิดในสหราชอาณาจักร เป็นที่เฟื่องฟูในยุคปลาย 80s ถึงต้น 90s หรือรู้จักกันในชื่ออื่น เช่น shoegazing, shoegazer, จ้องเกือก) ส่วนใครที่อยากรู้ว่าลักษณะหรือรูปแบบดนตรีของเพลงแนวนี้เป็นอย่างไร ตามไปอ่านเนื้อหาโดยละเอียดได้ใน เห็ดรับเชิญ 

จากที่เกริ่นมาข้างบน หลายคนอาจจะคิดว่าเพลงพวกนี้ตายไปแล้วรึเปล่า ขอบอกเลยว่าโน่ว ! เราไม่ได้จะร่ายประวัติศาสตร์ดนตรี แต่กำลังจะพูดถึงตำนานบทใหม่ ! เอาจริงว่าแม้พวกเขาจะหมดความนิยมไปในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่เมื่อสองสามปีก่อนหลาย ๆ วงก็ฟื้นคืนชีพในวาระครบรอบ 20 ปีของวง พร้อมเดินสายโชว์ ออกเพลงใหม่ หรือกระทั่งปล่อยอัลบั้มใหม่มาให้แฟน ๆ สายหูพร่าได้ฟินน้ำตานองหน้าด้วยความปีติกันเป็นแถบ ๆ แถมมีภาพยนตร์สารคดีอย่าง ‘Beautiful Noise’ ที่รวมหน้าพี่ ๆ ศาสดาทั้งหลายออกมาให้เราได้ดูกันจนหายคิดถึง

สำหรับคนที่ยังไม่เก็ตว่าเพลงแนวนี้เป็นยังไง เพื่อให้เข้าใจง่ายที่สุดในขั้นต้น เราว่าการฟังนี่แหละคือตัวอย่างชั้นยอด มาทำความรู้จักพวกเขาและไล่ฟังเพลงเบสิกและเพลงใหม่จากวงพื้นฐานที่เด็กสายนี้ทุกคนต้องรู้จัก

slowdive.jpg

Slowdive

นี่เป็นวงแรก ๆ ที่ทำให้เราได้รู้จักดนตรีแนวนี้เลยแหละ พวกเขาคือหนึ่งในวงที่คืนชีพจากเมืองเรดดิ้ง ด้วยเมโลดี้ป๊อปสวยงามแต่ดนตรีกราดเกรี้ยวแตกพร่า

เพลงที่ควรฟังในเบื้องต้นเราขอแนะนำเพลงนี้เลย ตามด้วย When The Sun Hits และ Alison

ช่วงที่พวกเขาและเธอพักวงนี้ไปก็มีไซด์โปรเจ็กต์ต่าง ๆ ออกมา ทั้ง  Mojave 3 ที่ทำเป็นเพลงโฟล์กที่เราได้เห็นสมาชิกดั้งเดิมบางคนในลุคที่แปลกตากับเพลงเด่น ๆ อย่าง Love Songs On The Radio หรือ Rachel เองก็ไปทำอัลบั้มเดี่ยวในแนวทางใกล้ ๆ กันอย่างเพลง Coastline

การกลับมาเล่นสดอย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมาทั้งยุโรปและเอเชีย บ่องตงว่านี่ไปดูสดมาที่สิงคโปร์ ยิ่งเพลง Golden Hair แม้จะไม่ใช่งานออริจินัลของวง (เดิมเป็นงานของ Syd Barrett) แต่ถูกนำมาถ่ายทอดได้ขลังจากเสียงของ Rachel Goswell จนขนลุกน้ำตาไหล (จริง ๆ) มาแล้ว แต่อีกเพลงที่เราโปรดมาก ๆ และควรจะฟังอย่างยิ่งเลยคือ 40 Days

ส่วนเพลงใหม่ของวงยังไม่มีให้ฟังกันนะ แต่มีโปรเจกต์ล่าสุดที่ Rachel ไปแจมกับสมาชิกวง post rock รุ่นใหญ่อย่าง Stuart Braithwaite จาก Mogwai และ Justin Lockey จาก Editors นั่นคือ Minor Victories นั่นเอง

My Bloody Valentine

อีกวงที่เรียกว่าเป็นพ่อ (และแม่) อีกคนของสายนี้จริง ๆ เพราะเสด็จพ่อ Kevin Shields ที่มีเอกลักษณ์การมิกซ์เอฟเฟกต์กีตาร์ได้โดดเด่นซับซ้อนเป็นลายเซ็นที่รับอิทธิพลมาจาก post punk ของวงนี้เขาล่ะ หรือ Blinda Butcher นักร้องนำสาวที่เป็นตำนานจนวง dream pop รุ่นใหม่อย่าง The Bilinda Butcherต้องยกไปตั้งชื่อวง เอาเป็นว่าแฟนเพลงช่วงแรกได้รู้จักกับพวกเขาจากเพลงนี้ และ Sometimes

ส่วนเพลงที่เรารักม้ากมาก ขอยกให้เพลงหวาน ๆ อย่าง The Moon Song

และก็เป็นวงที่กลับมาอย่างเต็มภาคภูมิด้วย m b v อัลบั้มเต็มปกสีน้ำเงินม่วงสุดขลังพร้อมเพลงใหม่อัดแน่น 9 เพลง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขายังวัยรุ่นไม่เปลี่ยน เพลงที่ควรฟังในชุดนี้อย่างยิ่งคือ Wonder 2และ Only Tomorrow

 

บางช่วงบางเวลาที่ Debbie Googe มือเบสของวงก็แวบไปเล่นให้ Primal Scream จนตอนนี้เธอกลับมาพร้อมการเป็นสมาชิกของ Thurston Moore กับอัลบั้มล่าสุด The Best Day ที่เคยมาแสดงสดที่บ้านเราเมื่อไม่กี่ปีก่อน

Ride

 

อีกวงโคตรบิดาจากอ็อกซฟอร์ดที่เพลงจะมีความมาโช หนักแน่น แมน ๆ คุยกัน กว่าสองวงเบื้องต้น แม้ทิศทางของดนตรีในช่วงแรกกับช่วงหลังจะมีความแตกต่างกัน เพราะสมาชิกวงเริ่มหันเหความสนใจจากดนตรี shoegaze จ๋า ๆ มาทางร็อกหนัก ๆ แต่พวกเขาก็ยังสร้างผลงานออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันแยกทางเพราะความเห็นทางรสนิยมดนตรีไม่ตรงกัน อย่างเพลงนี้นี่กลิ่น psychedelic มาเต็มเลยจ้า

ปลายปี 2014 ทุกคนพากันตื่นเต้นกับช่วงแรกที่มีข่าวลือว่าพวกเขาจะกลับมา จากการขึ้นป้ายยักษ์บนตึกในบาร์เซโลน่า เหมือนเป็นสัญญาณว่าพวกเขาจะปรากฏตัวที่งาน Primavera ปี 2015 อย่างแน่นอน

ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อยเพราะได้ไปโชว์ที่นั้นจริง ๆ รวมถึงการเดินสายทัวร์ในประเทศต่าง ๆ อย่างใกล้บ้านเราก็มีงาน Neon Lights สิงคโปร์ และ Clockenflap ฮ่องกงในปีที่ผ่านมา รวมถึงการแสดงของพวกเขาก็เล่นเต็มที่อย่างกับยังหนุ่มยังแน่นกันอยู่ แถมช่วงหลังก็ไปทัวร์กับวงน้อง ๆ อย่าง DIIV ด้วยนะ มาฟังเพลงที่ทำให้ทุกคนรู้จักพวกเขากัน

 

Lush

จะไม่พูดถึงวงนี้ไปเลยไม่ได้ เพราะเอาเข้าจริงท่ามกลางยุคสมัยนั้นที่มีแต่เพลงแดนซ์หรือพังก์พวกเขานับว่าเป็นวงแรก ๆ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นวง shoegaze เลยล่ะ และความโดดเด่นของวงนี้นอกจากแนวเพลงก็คงเป็นสมาชิกชาย 2 หญิง 2 (คนนึงผมดำ คนนึงผมแดงแปร๊ด) ที่เป็นภาพติดตาของนักฟังสายนี้

เพลงเด็ด ๆ ของพวกเขาที่ต้องฟัง

แล้วตอนนี้ก็มีเพลงใหม่ เพิ่งปล่อยมาเมื่อต้นปีนี้เอง

 

Jesus and mary chain

 

ปิดท้ายด้วยวงตำนานปลายยุค 80s จากสก็อตแลนด์ ต้นตำรับ shoegaze และ noise pop ที่แท้จริง กับเพลงที่ถูกนำไปใช้ในซาวด์แทร็คหนังอินดี้หลากหลายเรื่อง Sofia Coppola ก็หนึ่งคนแล้วแหละที่ชอบงานของวงนี้ หลายคนคงได้ฟังเพลงนี้มาก่อนแล้วจากหนังเรื่อง ‘Lost In Translation’ ที่สำคัญคือวงนี้เป็นแรงบันดาลใจให้วงรุ่นหลัง ๆ ได้ทำเพลงแนวนี้ออกมากันแบบนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

วงอื่น ๆ ที่ต้องฟัง Cocteau Twins, Chapterhouse, Aireal, Stella Luna, Pale Saints, Drop Nineteens ส่วนวงรุ่นใหม่ ๆ หน่อยขอเชิญชิม Ringo Deathstarr, The Pains of Being Pure at Heart, Pity Sex, Pinkshinyultrablast และ Cheatahs

 

นี่คงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า เพลง shoegaze ไม่มีวันตายจริง ๆ เพราะผ่านมาหลายสิบปีก็ยังมีคนหยิบจับงานเก่า ๆ มาฟังหรือพัฒนา ได้รับอิทธิพลจนกลายเป็นงานชิ้นใหม่ ๆ กันอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย และจบจากตรงนี้แล้ว ยังมีเรื่องราวด้านอื่น ๆ ของดนตรีแนว shoegazer ให้ได้อ่านอีกมากมายใน Fungjaizine ตลอดทั้งเดือนนี้

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้