Quick Read ตาดูหูฟัง

บันทึกหลังดู Once : A New Musical เมื่อเขาและเธอมาเจอกันอีกครั้งที่ Broadway

  • Story and photos by Montipa Virojpan

4 มิถุนายน 2013

ประมาณสองปีก่อนหน้านี้มีการประกาศว่าจะนำภาพยนตร์เรื่อง Once ผลงานกำกับของ John Carney มาทำเป็นละคร Broadway จำได้ว่าดีใจและอยากดูมาก แต่ขณะเดียวกันก็แอบตุ้ม ต่อม ว่ามันจะออกมาเป็นไปไหน มันจะทำได้ถึงเหมือนในหนังมั้ย เพราะขณะนั้นเราเองก็ไม่ใช่คนที่อินกับละครเวทีหรือมิวสิคัลเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ดี ตอนที่รู้ตัวว่าจะได้ไป Work & Travel ที่อเมริกา ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะถูกส่งไปทำงานที่รัฐไหน ก็คิดไปก่อนแล้วว่าจะต้องมานิวยอร์กเพื่อดูบรอดเวย์ให้ได้สักครั้ง และจะมีความสุขที่สุดถ้าละครเรื่องแรกที่จะได้ดูในชีวิตคือเรื่องนี้ 

ก่อนที่จะเดินทางก็ได้ติดตามข่าวสารอยู่ห่าง จนพบว่าภาพยนตร์ฉบับละครเพลงเรื่องนี้ได้รับรางวัล Tony Awards (คล้าย ออสการ์ของละครเวที) ถึง 8 สาขา ซึ่งในรางวัลนั้นมีทั้งสาขา Best Musical และ Best Book (มิวสิคัลยอดเยี่ยมและบทละครยอดเยี่ยม) ก็ไม่น่ากังวลใจเท่าไหร่แล้ว บวกกับรายชื่อทีมงานที่ยกทั้งพระเอกนางเอกของเรื่องอย่าง Glen Hansard กับ Markéta Irglová มาทำเพลงประกอบให้ด้วยก็หายห่วงไปอีกเปลาะ ก็แหม บัตรแพง จะดูทั้งทีก็ต้องชั่งใจดี นาน ดูทีแล้วถ้าผิดหวังก็จะเสียดายเงินไปหน่อย

ในที่สุด หลังจากตกระกำลำบากใน Gatlinburg, Tennessee มาได้สามเดือนก็สามารถเก็บหอมรอมริบจนได้เงินก้อน เด็กบ้านนอกที่เปี่ยมด้วยอเมริกันดรีมนั่ง Megabus (ผู้ให้บริการรถโดยสาร คล้าย สมบัติทัวร์ นครชัยแอร์ แต่ที่อเมริกาจะเป็นเจ้านี้กับ Greyhound) ออกจากเมือง Knoxville เข้า NYC ระหกระเหินเดินถนนลงรถไฟใต้ดินอย่างทรหดอดทนค่ะ ดิฉันต้องแบกกระเป๋าสามสิบกว่าโล (ในนั้นมีของตัวเองยี่สิบ ที่เหลือคือของที่คนอื่นฝากหิ้ว หึ) ขึ้นลงบันไดรถไฟใต้ดิน เพราะอีสถานีร้อยกว่าปีของมันไม่มีลิฟต์!!! ดีมีนิวยอร์กเกอร์ใจบุญมาช่วย คงเห็นเอเชียนตัวเล็ก ง่อย แบกกระเป๋าใบใหญ่กว่าตัวเองแล้ววงวาร

967232_10200583147474395_241138881_o

พอถึงที่พักใน Woodhaven, Queens ก็นั่งรถไฟกลับเข้าไปแมนฮัตตัน เดินหาโรงละคร Bernard B. Jacobs Theatre ซึ่งเป็นที่จัดแสดงเรื่องนี้ ทีแรกว่าจะไปซื้อ TKTS ตรง Time Square แต่โง่ หาไม่เจอ มาเจอตอนซื้อตั๋วไปแล้วไม่งั้นจะได้ลด 30% ซึ่งตั๋วที่ได้มาก็เป็น top price สนนราคา $129.50 ลอง convert เป็นบาทดู น้ำตาจะไหล แต่ช่างมัน มาทั้งทีเอาให้คุ้ม ไหน ก็ไม่ได้ดูกันบ่อย แต่ก็ไม่ค่อยชอบระบบการซื้อตั๋วที่นี่ คือแม้จะมาซื้อหน้าโรงเราไม่สามารถเลือกที่นั่งได้เองเลย อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกให้นั่งตรงไหน ถามว่า online booking ไม่มีหรอ มีค่ะ แต่การซื้อผ่านเว็บ Telecharge ก็ยังโดนสุ่มที่นั่ง แม้มันพยายามเลือกที่นั่งที่ดีที่สุดให้เราแล้ว กว่าจะได้ถูกใจก็กดสุ่มกันไปจนมือหงิก เลยว่ามาซื้อที่ box office คงไม่ต่างกันและอาจจะได้ราคาถูกกว่า (แล้วเอาเข้าจริงก็ถูกกว่า) สรุปคือได้แถว L โซน orchestra ซึ่งเป็นโซนกลางค่อนไปข้างหน้าของฮอลล์ เป็นจุดที่ดีที่สุดเลยแหละ แต่ถ้าคนนั่งหน้าเราตัวสูงกว่านี่คือจบค่ะ สโลปมันไม่ชันมากและฉันเตี้ยนั่นเอง พอได้ตั๋วแล้วก็พอมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนเริ่มการแสดง เราก็ได้ทีไปเดินเล่นแถว Bryant Park เสียหน่อย

Once

หลังจากเดินหลงจนเกือบกลับมาดูละครไม่ทัน ประตูเปิด 6.35 pm อิฉันมาถึง 6.45 pm อย่างหวุดหวิด ยืนต่อแถวเข้าคิวหน้าโรงให้เขาพาไปนั่ง คนเยอะมาก แน่นทุกรอบจริง เจอเด็กไทยกลุ่มนึงด้วย คาดว่าน่าจะมา W&T เหมือนกันแต่ไม่ได้ทักทายเพราะต่างคนต่างก็วุ่นวายเข้าไปนั่งที่ตัวเอง ช่วงก่อนเริ่มแสดง ที่ปกติบ้านเราจะเปิดเพลงธีมละคร ไม่ก็มีนักดนตรีมาเล่นให้ฟังสด แต่เรื่องนี้เขาเด็ดตรงที่นักแสดงอองซอมเบิลทั้งหลายก็เป็นนักดนตรีด้วย เขาก็ให้นักแสดงออกมาร้องเพลงเล่นดนตรีกันไป จนกระทั่งคนดูเข้ามานั่งจนเกือบเต็ม ละครเพลงเรื่องนี้จึงมีความสดและโดดเด่นกว่าเรื่องอื่น

อันนี้ให้ลองดูว่า cast เขามากความสามารถจริง ๆ เป็น session พิเศษให้คนดูขึ้นไปแจมกับอองซอมได้ แล้วดูเขาร้องเล่นสด ๆ กันตรงนั้นแหละ

สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า Once เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร นี่คือมิวสิคัลที่เล่าเรื่องของนักดนตรีสองคนในเมืองดับลิน ไอร์แลนด์ คนนึงเป็นหนุ่มนักดนตรีเปิดหมวกที่หัวใจบอกช้ำมาจากรักครั้งเก่า เล่นดนตรีหาเลี้ยงชีพไปวัน  ที่หัวมุมถนน อีกคนคือสาวเช็กที่ย้ายมาอยู่ที่นี่พร้อมครอบครัวอย่างอัตคัด จนวันหนึ่งเธอได้เดินผ่านมาเจอเขาเล่นดนตรีอยู่ตรงที่ประจำและทั้งคู่ก็รู้จักกันตั้งแต่วันนั้น แม้จะเริ่มจากการเอาเครื่องดูดฝุ่นมาให้เขาซ่อมก็ตาม

พอถึงเวลาเล่นก็นำเข้าเรื่องได้อย่างกลมกลืน ไทม์ไลน์เหมือนในหนัง แต่จะมีตัวละครบางตัวหรือเนื้อเรื่องบางตอนที่เพิ่มเข้ามาเพื่อให้เป็นมิวสิคัลมากขึ้น (ก็เข้าใจได้ ขืนให้เล่นแบบในหนัง เงียบ นิ่ง น้อย ใช้สายตาสื่อสารกันราวกับส่งกระแสจิตก็คงจะไม่ได้ วิธีนั้นมันจะไม่ค่อยอิมแพคคนดูที่นั่งอยู่ห่างนักแสดงพอสมควร พอคนดูไม่ได้โฟกัสแล้วเดี๋ยวจะหลับกันพอดี) พูดถึงความสร้างสรรค์และการจัดการใช้สอยสิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์แล้ว เรื่องนี้ให้ใจไปเลย ฉากไม่ต้องมีเยอะ คนไม่ต้องเยอะ เสื้อผ้าไม่ต้องเปลี่ยน พร็อพก็ให้อองซอมเนี่ยแหละเป็นคนย้ายเอง การย้ายของเขาก็ไม่ธรรมดา พวกนี้ต้องมีทักษะการเคลื่อนไหวพอตัว รวม แล้วคือมืออาชีพมาก เวิร์กช็อปกันเป็นเดือน ร้อง เล่น เต้นไม่พอ ต้องเล่นดนตรีได้ด้วย พอทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากคนคนเดียวก็รู้สึกได้จริง ว่ามันมีพลัง ทว่าพลังมันยังอบอวลกันอยู่แต่บนเวที เราไม่ค่อยได้รับพลังที่ควรจะพุ่งมาจากเวทีอย่างที่ควรจะเป็น เอาจริง ละครเรื่องนี้มันก็มินิมอลตั้งแต่โปรดักชันแล้ว หรือละครไทยโปรดักชันเล็ก มันเล่นกันใหญ่วะ? ซึ่งนั่นมันทำให้เรารู้สึกถึงพลังจากนักแสดง อาจจะเกี่ยวกับระบบเสียงที่ใช้ พวกนี้ใช้โอเวอร์เฮด ขณะที่บ้านเราใช้โปรเจต์เสียงเอามันเลยต่างกันตรงนี้ แต่ช่วงมิวสิคัลนี่เสียงเป๊ะจริง ขนลุก น้ำตาไหล กราบโปรดักชันจริง

นักแสดงเซ็ตนี้ไม่ใช่ original cast ก็แอบผิดหวังเบา เพราะเซ็ตนั้นดูอบอุ่น เป็นผู้ใหญ่ น่าจะสื่อสารบางอย่างออกมาได้กินใจ ส่วนเซ็ตนี้ดูเด็กกว่า สดใสกว่า การแสดงทุกคนทำได้ดี ไม่น่าผิดหวัง ทั้งนักแสดงหลัก นักแสดงามทบ เพลงเพราะมาก ถึงมากที่สุด เป็นการเอา original soundtrack มา re-arrange ได้ลงตัว อันนี้น่าจะเป็น cast ชุดที่เราได้ดู

ในมิวสิคัลจะได้เห็นความบ้าน แบบไอริชที่ไม่ค่อยลงลึกในหนังซึ่งโฟกัสแค่ตัวละครสองตัว แถมอันนี้ใส่ภาษาเช็กรัว เข้าไปด้วย จากหนังอุ่น เนิบ ซาบซึ้ง กลายเป็นมิวสิคัลตลกโปกฮา ใส เขิน นางเอกดูปัญญาอ่อนไปเลย ส่วนพระเอกดูลัลล้าขึ้นมาทันที ถ้าจำกันได้ในหนังพระเอกจะทื่อ ดิบ ส่วนนางเอกจะอุ่น หงิม อย่างไรก็ตาม สำเนียงประดิษฐ์ของนักแสดงที่พยายามจะให้เป็นเช็ก ฟังดูแล้วอย่างกับพวกรัสเซียมากกว่า มันเยอะไป แต่สำเนียงพระเอกนี่หลงรักค่ะ เพราะนางเป็นบริติชอิมพอร์ตตรงมาเลย เพลิดเพลินจำเริญใจมากจริง  แม้จะมีข้อติอันน่าขัดใจซะเยอะ แต่พอเพลงที่คุ้นเคยถูกบรรเลง มันก็ช่วยผสานภาพเก่ากับภาพใหม่ ถ้าเราไม่เคยดูหนังเราจะบอกว่ามิวสิคัลเรื่องนี้ธรรมดาด้วยพลอต และการยัดเยียดบางประการที่ทำให้น่างีบหลับไปบ้าง

อันนี้เป็นฉากที่เราชอบที่สุดในเรื่อง เพลง Gold ตอนพระเอกนางเอกมาเจอกัน ขนลุกรัว ๆๆๆๆ ?นี่เป็นเวอร์ชัน original cast Steve Kazee กับ Cristin Milioti

 ทีแรกเราคาดหวังจะได้ฟังบทพูดที่เป็นเพลง แบบที่มิวสิคัลส่วนใหญ่ร้องไปพูดไปใช้เล่าเรื่องนั่นแหละ แต่อันนี้เหมือนเป็น jukebox musical ที่เอาเพลงในหนังมาใส่ทั้งดุ้น อันที่แล้วจริงในหนัง ตัวเพลงมันก็เล่าความรู้สึกของตัวละคร สถานการณ์นั้น ในระดับนึงแล้ว แค่พอมันเป็น alternative folk เราเลยไม่ชินเวลาที่มันมาอยู่ในมิวสิคัล ตัวผู้กำกับมิวสิคัล John Tiffany เองคงอยากให้เพลงดั้งเดิมยังคงอยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะนั่นต่างหากคือหัวใจของ Once แต่สิ่งที่ทำให้เสน่ห์ของเรื่องลดลงไปคือมุขเยอะไปหน่อย แต่ก็ทำไงได้ commercial musical มันก็ต้องทำให้ขายได้ประมาณนึง (บัตรแพงโว้ย /ยังเจ็บใจอยู่) ถ้าเป็น art house ไปเลยคงมีคนหลับ แต่เอาจริงตอนดูก็ร้องไห้ทั้งเรื่องเลยนะ ก็ไม่ได้เศร้าซึ้งอะไรไปกว่าในหนัง แต่เป็นเพราะเพลงและความทรงจำที่ดีต่อหนังต้นฉบับจริงที่ช่วยเติมเต็มความฟิน แบบ โอ๊ย Falling Slowly ขึ้นมาน้ำตาไหล โอ๊ยฉากนี้เจ็บปวด โอ๊ยเพลง Lies โอ๊ยนี่กูได้ดูบรอดเวย์แล้วจริง หรอ โอ๊ยไปเรื่อยวอทโซเอเวอร์ ตอนละครจบก็ standing ovation กันไป ในนั้นคงมีทั้งแฟนมิวสิคัล แฟนหนังสือ แฟนหนัง พอเดินออกมาเห็นซับน้ำตาประทับใจกันหลายคนเลยทีเดียว ตอนละครจบมีนักแสดงมาแจกลายเซ็นกันด้วย เราได้ของน้อง Jillian ที่เล่นเป็นลูกนางเอก น้องงงงง

979970_10200583151114486_136499284_o

964087_10200583150874480_843016708_o

สรุป ไม่เสียดายตังหรอก แค่ผิดหวังนิด หน่อย พอเป็นประสบการณ์ครั้งแรกก็ฟินไง ถ้ามาอีกก็จะตามเก็บดูเรื่องอื่น (แต่คงไม่ใช่เร็ว นี้ ไม่มีเงินแล้วจ้า ขอบคุณที่ชีวิตนี้ได้ไป W&T ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสจริง ) นี่ก็ว่าจะไปหาหนังสือมาอ่าน ถ้าติ่งก็ต้องเอาให้ครบทุกแบบ จะได้รู้ว่าถูกจริตกับอะไร ไม่ถูกกับอะไร แค่ตอนนี้รู้แล้วว่าชอบอะไรที่เป็นหนังสือที่สุด รองมาก็หนัง ไม่ค่อยสนิทกับละครเวที แต่ก็จะพยายามเสพเพื่อทางเลือกอื่นที่ดีกว่า เพราะบางทีก็มีละครที่ทำออกมาได้ดีกว่าหนังกับหนังสืออยู่เหมือนกัน

บ่นมายาวขนาดนี้ อย่างไรก็ดี ฝันเป็นจริงแล้วค่ะ!

อะ มีคลิปของ Tony Awards เขาทำน้ำจิ้มมาให้ด้วย ไปดูกันได้

อ่านบทความอื่น ที่เกี่ยวกับหนังเรื่อง Once ได้ ที่นี่
รวมหนัง Musical ร่วมสมัย กับเพลงที่ใคร ๆ ก็ร้องตามได้
‘Once’ Upon a Time นิยายรักในชีวิตจริงของ Glen Hansard กับ Markéta Irglová ที่สวยงามยิ่งกว่าในหนัง

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้