Quick Read ตาดูหูฟัง

บทเพลงจากโลกแสนเหงาของหญิงสาวผู้แปลกแยกในหนังของ Sofia Coppola

  • Writer: Montipa Virojpan

หลังจากที่ The Beguiled ภาพยนตร์พีเรียดแสนสวยงามของผู้กำกับหญิงลายเซ็นชัด Sofia Coppola ได้ออกฉายไปเมื่อปลายปีที่แล้ว หลายคนที่เพิ่งรู้จักกับเธอจากเรื่องนี้อาจเริ่มอยากหาหนังเก่า ของเธอมาดูเผื่อจะรู้จักเธอมากขึ้น และจะได้พบว่า โซเฟียคือหนึ่งในผู้กำกับที่ทำหนังถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของผู้หญิงได้เข้มข้นทั้งเนื้อหาและสัญญะ รวมถึงเธอเป็นคนฟังเพลงที่น่าสนใจที่สุดคนนึงเลย

ก่อนที่ โซเฟีย คอปโปล่า จะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้กำกับแบบทุกวันนี้ ก่อนหน้านี้เธอเป็นที่รู้จักในฐานะลูกสาวของผู้กำกับชื่อดัง Francis Ford Coppola เจ้าของผลงานอมตะเรื่อง The Godfather ทั้งสามภาค และตัวเธอเองก็ไปปรากฏตัวในหนังภาคสุดท้าย ซึ่งโดนประโคมจากสื่อต่าง นานา ว่าได้เล่นเพราะเส้นผู้กำกับบ้าง เล่นแข็งทื่อบ้าง ซึ่งภายหลังเธอก็ถอยห่างจากการเป็นนักแสดงที่เธอไม่เคยคิดอยากเป็นและหันสู่เส้นทางการเป็นผู้กำกับ

Bed, Bath, and Beyond คือหนังสั้นเรื่องแรกของเธอที่เกิดขึ้นมาในปี 1996 โดยมีผู้กำกับร่วมอีกสองคน (ส่วนตากล้องในตอนนั้นก็คือ Spike Jonez ผู้กำกับดังผู้สร้างโลกของคนเหงาใน Her อดีตสามีของเธอ) น่าเสียดายที่เราหาหนังเรื่องนั้นดูไม่ได้ จนสองปีต่อมาเราก็ได้ทำความรู้จักกับเธอจริง ผ่านหนังสั้นอีกเรื่องที่ชื่อว่า

Lick the Star – Heidi Cakes

เคตที่เพิ่งกลับมาเรียนได้หลังจากที่พักรักษาตัวเพราะขาหัก เธอพบกับความเปลี่ยนแปลงมากมายในโรงเรียน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการที่ทุกคนตื่นตะลึงในความโดดเด่นของโคลอี้สาวฮอตเกรด 7 (ประมาณ .1) เคตสังเกตเห็นรอยสักเล็ก รูปดาวที่ข้อเท้าของแก๊งสาวพวกนี้ ด้วยความสงสัยเธอจึงถามและได้ล่วงรู้ว่าโคลอี้และแก๊งเพื่อนมีแผนจะวางยาในอาหารกลางวันของเด็กผู้ชายในชั้นเรียน เพราะอินจัดกับหนังสือโกธิคเรื่อง ‘Flowers in the Attic’ หนังเรื่องนี้สะท้อนสังคมอันโดดเดี่ยวแปลกแยกของเด็กสาวแรกรุ่นที่ต้องการการยอมรับ

นอกจากบรรยากาศความเหงาของหญิงสาวที่ต่อมาได้กลายมาเป็นลายเซ็นในหนังอีกหลายเรื่องของโซเฟียแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมาก ไม่แพ้กันเห็นจะเป็นแฟชันพังก์ โกธิค ของแม่สาวโคลอี้ และเพลงเท่ จากปลายยุค 80s และ 90s ทั้ง Tipp City เพลงในตอนเปิดของเรื่องจาก The Amps หรือ Top 40, Bouwerie Boy และ Eat Cake ของ Free Kitten ซึ่งล้วนแต่เป็นวงพังก์สาวซ่าทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าพลัง girl power ของเธอรุนแรงตั้งแต่งานยุคแรก เลย และเพลงที่เราอยากให้ลองฟังกันคือเพลงสุดท้ายที่ปรากฏในเรื่องนั่นคือ Heidi Cakes เพลงน่ารัก คล้ายธีมซองในเกมกด ของ Land of the Loops แจงเกิ้ลป๊อป แบ็กกี้ อิเล็กทรอนิก้า จากบรูคลิน นิวยอร์ก

หรือดูหนังเต็ม ๆ ได้ที่นี่จ้า

The Virgin Suicide – Alone Again (Naturally)

Feature film หรือหนังยาวเรื่องแรกของโซเฟีย ที่เหมือนเป็นการแจ้งเกิด Kirsten Dunst จากบทบาทหนึ่งในห้าพี่น้องหญิงล้วนตระกูล Lisbon ที่ดูลึกลับและน่าหลงใหล บ้านนี้ก็เป็นบ้านที่เข้มงวดแบบสุด แทบจะไม่ให้เด็กผู้หญิงกลุ่มนี้ได้เห็นเดือนเห็นตะวันสังสรรค์กับโลกภายนอก ยิ่งกับการที่น้องสาวคนเล็กฆ่าตัวตายยิ่งทำให้ความตึงเครียดในบ้านก่อตัวขึ้นเรื่อย เด็กหนุ่มที่สัญจรผ่านบ้านหลังนี้ไปมาก็เกิดความสนใจเด็กสาวสี่คน ก็อยากจะทำความรู้จักและทำให้พวกเธอคลายทุกข์ได้บ้าง

หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวหมกมุ่นของวัยรุ่นที่ฮอร์โมนกำลังพุ่งพล่าน แต่ถูกฉาบด้วยสีพาสเทลของความฟุ้งฝันและจินตนาการเลยดูซอฟต์ใสโรแมนติก คนที่เคยดูเรื่องนี้มาแล้วอาจจะชอบเพลง Playground Love จากวงฝรั่งเศส Air ที่ถ่ายทอดบรรยากาศหนังได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สำหรับเราต้องขอยกให้ Alone Again (Naturally) ของ Gilbert O’Sullivan เพลงจังหวะน่ารักฟังสบายแต่เนื้อหาเปลี่ยวเหงาที่สุดที่เคยได้ยินมาเพลงนึง ซึ่งฉากที่เพลงนี้โผล่ในหนังเป็นฉากที่อบอุ่นมาก เหมือนเด็ก กำลังปลอบโยนกันเอง เปิดเพลงเหงาสลับกับเพลงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแห่งยุค 70s ผ่านทางโทรศัพท์คอมโบกันไปรัว ตั้งแต่ Todd RundgrenHello, It’s Me, Bee GeesRun To Me และ So Far Away ของ Carol King สุดยอดความหัวใจสลายของวัยแรกรุ่นเลย

Lost in Translation – Just Like Honey

ระหว่างดูเรื่องนี้มีอยู่บ่อยครั้งที่ถึงกับต้องอุทานดัง ในใจว่า DAMN! ใครให้หนังเรื่องไหนเหงากว่านี้อีกไหม!!! เรื่องนี้ถูกเล่าผ่านตัวละครสองคน คือ Charlotte (Scarlett Johanson) กับบทหญิงสาวที่เดินทางมาโตเกียวกับคู่รักที่นับวันเธอยิ่งรู้สึกถึงความห่างเหินจากเขาเข้าไปทุกที กับ Bob Harris (Bill Murray) นักแสดงผู้โด่งดังที่มาถ่ายโฆษณาซันโตรี่วิสกี้ที่นี่ ซึ่งเขาเองก็มีปัญหา midlife crisis อยู่เหมือนกัน เมื่อคนเคว้ง สองคนมาเจอกันที่บาร์ในโรงแรม มิตรภาพของคนที่เข้าใจหัวอกซึ่งกันและกันที่สุด เวลานี้ในเมืองอันเต็มไปด้วยแสงไฟแต่ใคร ก็ไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเราก็เริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อย

ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้สร้างมาจากส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของโซเฟียกับอดีตสามีผู้กำกับ สไปค์ โจนซ์ ที่เล่าถึงความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาที่กัดกินในจิตใจ จากการที่เธอไม่ค่อยได้รับการเอาใจใส่จากอีกฝ่ายเท่าไหร่ และท้ายที่สุดเราก็มาเจอเฉลยอีสเตอร์เอ้กฟองเบ้อเริ่มในหนังเรื่อง Her ที่สไปค์เขียนจดหมายเปิดผนึกลงไปในบทเพื่อตอบกลับเธอกลับไปในฉากหนึ่งของหนัง (อันนี้จริงเท็จก็ลองไปวิเคราะห์กันต่อเองนะ)

สำหรับเพลงแล้ว นอกจากงานเด่น ติดหูจากวง Air (อีกแล้ว) อย่าง Alone in Tokyo ที่ดูจะบรรยายสรรพคุณความเหงาได้เย็นเยือกจับขั้วหัวใจและได้กลิ่นอายดนตรีท้องถิ่นญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ก็ยังมีสารพัดเพลงชูเกซที่คอยขับความรู้สึกสับสนของตัวละครในเรื่อง ผลงานจากเสด็จพ่อ Kevin Sheild มือกีตาร์แห่งวง My Bloody Valentine ซึ่งก็มีเพลง Sometimes อยู่ในเรื่อง และยังมีเพลง Too Young ของ Phoenix เป็นเพลงประกอบ ซึ่งต่อมา Thomas Mars นักร้องนำของวงก็กลายมาเป็นสามีของโซเฟียนั่นเองล่ะจ้า แต่สำหรับเราก็มีเพลงที่ถูกจริตและตอบโจทย์กับหนังได้สุด นั่นคือ Just Like Honey ของ The Jesus and Mary Chain วงชูเกซยุคบุกเบิกปลายปี 80s นั่นเอง การที่เพลงนี้ปรากฏในฉากจบเป็นอะไรที่พอเหมาะพอดีและเรียกน้ำตาจากเราไปได้หลายแหมะ มีคนถกเถียงกันในประเด็นนี้อยู่มากว่าประโยคที่บ็อบพูดกับชาร์ล็อตโดยที่คนดูไม่ได้ยินด้วยนั้นคืออะไร

Marie Antoinette – What Ever Happened?

เป็นหนังที่เราอยากเอากลับมาดูใหม่อีกหลาย ทีเพราะความสวยงามสบายตาตลอดทั้งเรื่อง (ดูไปก็ต้องเอ่ยปากเบา ว่า Kirsten Dunst สวยจัง ?) โซเฟียตีความประวัติศาสตร์ในช่วงรัชสมัยของ Marie Antoinette ราชินีแห่งพระราชวังแวซายร์ผู้ฟุ้งเฟ้อจนสุดท้ายต้องจบชีวิตด้วยกิโยติน ให้กลายเป็นหนังเคลือบลูกกวาดอันแสนเพลิดเพลินชวนฝัน เลือกจะโฟกัสกับความอู้ฟู่หรูหราในสังคมชนชั้นสูงมากกว่าจะเล่าถึงความยากแค้นของชาวบ้านนอกวังที่กำลังจะปฏิวัติราชวงศ์ แน่นอนว่าพวกคนในวังไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวว่าจุดจบของพวกเขากำลังคืบคลานเข้ามา และยังคงใช้ชีวิตในโลกสีพาสเทลของพวกเขาต่อไป แต่ใจความหลัก ของเรื่องน่าจะเป็นการนำเสนอความเหงาของหญิงสาวผู้แปลกแยกมากกว่า เธอต้องทิ้งความเป็นผู้หญิงธรรมดามารับตำแหน่งที่หนักอึ้ง เสื้อผ้าอาภรณ์และความสะดวกสบายไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขมากขึ้นเลยเพราะหัวใจของเธอช่างแห้งเหี่ยวขาดคนเข้าใจ

ความเท่ของเรื่องนี้คือไม่ได้เป็นการอิงประวัติศาสตร์เป๊ะ (ซึ่งนั่นทำให้นักวิจารณ์รุมทึ้งกันอย่างเมามัน) แต่การผนวกวัฒนธรรมป๊อปร่วมสมัยอย่างการแอบใส่รองเท้าคอนเวิร์สไว้ในฉาก และสร้างคลังเพลงร็อก new wave, post punk, dream pop สุดเท่ที่ใช้บรรเลงไปตลอดเรื่องแทนการใช้บทพูดหรือเล่าอารมณ์ความรู้สึกในฉากนั้น และแน่นอน เพลงพวกนี้ทำให้เราตามหาฟังทันทีหลังดูจบ มีทั้งงานของ Siouxsie and the Banshees, Bow Wow Wow, Gang of Four, New Order, The Cure, The Radio Dept., Aphex Twin และอีกมากมาย ไปหาฟังกันได้ Spotify มี ส่วนเพลงที่อยากนำเสนอคือเพลงจากฉากนี้ ตอนที่มารีขอตัวจากการพบปะพระญาติอันแสนน่าเบื่อแล้ววิ่งกลับมานอนที่ห้องของเธอ เพลง What Ever Happened? ของ The Strokes ที่ถึงแม้เพลงนี้จะเป็นเพลงอกหัก แต่ในบริบทนี้ก็ให้ความรู้สึกถึงการอยากหนีออกไปจากจุดที่เป็นอยู่แบบสุด

Somewhere – I’ll Try Anything Once

โซเฟียเขยิบมาเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อลูกบ้าง แต่ก็ไม่ใช่พ่อลูกทั่วไปเมื่อนี่คือเรื่องราวของ Johnny Marco ดาราชื่อดังขวัญใจมหาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมหรู Chateau Marmont ในฮอลลิวู้ด แล้ววันนึง Cleo ลูกสาววัย 11 ขวบของเขา (รับบทโดย Elle Fanning) กับอดีตภรรยาก็มาปรากฏตัวแบบที่เขาก็ไม่ทันคาดคิด ในช่วงที่ชีวิตเคว้งคว้างว่างเปล่า เขาก็จะได้เรียนรู้ถึงอีกช่วงจังหวะของชีวิตในการเติบโตและแสดงความรับผิดชอบในฐานะพ่อ แล้วเราก็จะได้ดูว่าการมาถึงของคลีโอ้จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปทางไหน จะทำหน้าที่ได้ดีพอไหม หรือสรุปแล้วจะเลือกทางไหน

สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้เป็นอีกความ heartbreaking ของครอบครัวที่เปลี่ยวดายและสวยงาม การแสดงของ แอล แฟนนิ่ง ในวัยนั้นก็น่าจับตามองไม่แพ้พี่สาวของเธอ Dakota Fanning ที่เคยโด่งดังมาก่อนหน้า และนี่น่าจะเป็นหนังเรื่องแรก ที่น้องได้แจ้งเกิดด้วย

และแน่นอน เรื่องนี้อุดมไปด้วยเพลงประกอบจากวงร็อกระดับตำนาน ทั้ง Foo Fighters, T.Rex, Kiss, Julian Casablancas แห่ง The Strokes แถมยังมี Cool จาก Gwen Stefani ที่แม้ไม่ได้สื่อความหมายอะไรในเรื่องแต่ชั้นรักเพลงนี้เลยอยากพูดถึง ฮ่า และมี Phoenix ซึ่งนอกจากจะใช้เพลง Love Like A Sunset ในนี้แล้วยังรับหน้าที่เขียน score ให้ด้วย ส่วนเพลงที่เราจะนำเสนอเห็นจะไม่พ้น I’ll Try Anything Once ที่เป็นเหมือน alternate version ของ You Only Live Once ที่ทุกคนจำกันได้อย่างขึ้นใจในฉากน่ารัก ๆ ฉากน้ี

The Bling Ring – Crown On the Ground

หนังสุดแซ่บที่ได้เค้าโครงจากเรื่องจริง จากกรณีที่เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งตั้งใจไปบุกบ้านของดาราดังใน Beverly Hills ในวันที่พวกเขาไม่อยู่ โดยเช็กเอาจากในเน็ตพวกตารางงานหรืออะไรก็ว่าไป มีทั้ง Lindsey Lohan, Audrina Patridge, Paris Hilton, Megan Fox, Orlando Bloom (ซึ่งเป็นผู้เสียหายในเรื่องจริง!) ก็ไปค้นข้าวของ ยักยอกทรัพย์ แล้วพอได้เงินมาก็ไปช็อปแหลก อัพลงโซเชียล อวดรวยกันเก๋ จนเป็นที่ฮือฮาในเน็ตอยู่ช่วงนึงเลย แต่เมื่อกล้องวงจรปิดจากบ้านของหนึ่งในผู้เสียหายถูกนำออกมาเผยแพร่ก็ทำให้ตำรวจตามจับวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้ในที่สุด

เป็นหนังที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ก็แค่วัยรุ่นใจแตกงัดบ้านดารา แต่เอาจริงมันก็สะท้อนอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการให้ค่าแบบผิด ของสิ่งต่าง ในยุคสมัยนี้ ซึ่งโยงไปถึงความต้องการมีตัวตนในสังคมของเด็กกลุ่มหนึ่ง ฉันรู้ว่าถ้าขโมยยังไงก็โดนจับ แล้วคนก็จะเห็นฉันในข่าวเพราะว่าฉันไปบุกบ้านคนดัง ซึ่งฉันก็จะดังเพราะมีชื่ออยู่ข้าง กับคนดังพวกนั้นบนหน้าหนังสือพิมพ์! ถ้าได้ดูตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นพฤติกรรมและการมองโลกของเด็กแต่ละคนที่ส่อแววต้นเหตุของปัญหา อีกอย่างการได้ดู Emma Watson พลิกบทบาทจากแม่มดน้อยสุดเนิร์ดใน Harry Potter เป็นเด็กแซ่บอยากรวยสวยเด่นกับแก๊งเพื่อน ในเรื่องนี้ก็เพลินดีเหมือนกัน

ส่วนเรื่องเพลงนี่ ใครเป็นแฟนฮิปฮอป r&b อิเล็กทรอนิก คงจะแฮปปี้อยู่ไม่น้อย ให้ฟีลเด็ก west coast ขับคาดิแล็กเปิดประทุนเลียบหาดตอนพระอาทิตย์ตกสุด ทั้ง Azealia Banks, M.I.A, Kanye West, Frank Ocean, Aviici, deadmau5 และแน่นอน งานจาก Phoenix (ต้องมี ไม่มีไม่ได้ ถถถ) แต่ที่เหวอจริง คือการมีอยู่ของเพลงจากวง krautrock จากเยอรมนีอย่าง Can ที่ชื่อ Halleluwah และ Locomotion ของ Plastikman การเลือกเพลงมาอยู่ในหนังของเธอนี่มันร้ายกาจจริง ส่วนเพลงที่เราขอเสนอขอยกให้เพลงจากต้นเรื่องของ Sleigh Bells กับเสียงกีตาร์แสบแก้วหูและเบสแตก นั้นยังดังก้องอยู่ ใน Crown on the Ground โคตรเผ็ด โคตรสนุก

ว่าแล้วก็อยากกลับไปย้อนดูทุกเรื่องใหม่อีกรอบเลย เพราะการได้เขียนถึงหนังของ Sofia Coppola จนจบนี่ก็เหมือนได้เรียนรู้ตัวเองมาพอสมควรเหมือนกันว่าหนังของเธอมีผลกับชีวิตของเรายังไง และพูดแทนความรู้สึกในช่วงวัยรุ่นของเราไว้ว่าอะไรบ้าง

ตามไปฟังเพลย์ลิสต์อื่น ๆ ของ Sofia Coppola ได้ ที่นี่ นะ เธอเจ๋งจริง

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้