Make Music, Not War เอาอาวุธมาทำเครื่องดนตรีให้หมดในนิทรรศการ Disarm

  • Writer: Peerapong Kaewthae
  • Art Director: Jiratchaya Pattarathumrong

แม้โลกจะพัฒนามาไกลมากแล้วจากยุคล่าอาณานิคม แต่โลกก็ยังไม่เคยห่างจากคำว่าสงคราม ความรุนแรงจากการใช้ปืนมีให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าปืนกระบอกหนึ่งต้องใช้เหล็กเท่าไหร่ในการทำ คงจะดีถ้าเหล็กเหล่านั้นถูกนำไปสร้างสรรค์เป็นสิ่งของในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เป็นมิตรกว่าปืนอย่างเครื่องดนตรี Disarm คือนิทรรศการที่นำอาวุธสงครามมาทำเป็นเครื่องดนตรี โดยทั้งหมดได้มาจากอาวุธที่กองทัพเม็กซิโกรวบรวมไว้เตรียมนำไปทำลาย ศิลปินจึงนำมาสร้างสรรค์เป็นเครื่องดนตรีจำนวน 8 ชิ้นจากการรวมมือกันระหว่างนักดนตรีอาชีพและ Cocolab สตูดิโอชื่อดังในเม็กซิโกที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อหรือทดลองงาน installation art ไว้มากมาย โดยใช้โปรแกรมเข้ามาออกแบบเครื่องดนตรีจากปืนทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นช็อตกัน ปืนพก หรือปืนไรเฟิล เพื่อสร้างให้มันกลายเป็นอุปกรณ์ที่ไม่สามารถทำร้ายร่างกายใครได้อีก แต่ยังสามารถดำรงเจตนารมณ์ของมันไว้ได้ทั้งหมด คือทวงคืนสันติภาพให้กับผู้ครอบครอง ยิ่งตอนนี้มันสามารถส่งคลื่นเสียงหลายระดับไปได้ไกลกว่าเดิมอีกด้วย Pedro Reyes ต้องการจัดนิทรรศการนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนรู้ถึงปัญหาการค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ โดยเฉพาะสงครามยาเสพติดที่เข้มข้นในเม็กซิโกที่เจ้าหน้าที่รัฐเลือกใช้ความรุนแรงในการปราบปรามทุกหย่อมหญ้า จนตามมาด้วยระดับอาชญากรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ มีผู้เสียชีวิตนับแสนและสูญหายอีกหลายหมื่นจำนวนผู้สูญเสียเทียบเท่าสงครามกลางเมืองในหลายประเทศรอบ ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะสิ้นเสียงปืนแล้วไม่เคยมีความสงบที่แท้จริงอยู่หลังจากนั้นเลย ซึ่ง Reyes ก็เคยจัดนิทรรศการในแนวนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในชื่อ ‘Imagine’ ที่นำอาวุธสงครามกว่าหกพันกระบอกมาหลอมให้กลายเป็นเครื่องดนตรีนับพัน ซึ่งต่อยอดมาจากงาน ‘Palas por Pistolas’ ของเขาเองที่นำอาวุธจำนวน 1,527 ชิ้น มาหลอมเป็นพลั่วเพื่อใช้ปลูกต้นไม้ 1,527 ต้น เพื่อส่งสาส์นถึงความรุนแรงจากการใช้ปืนในประเทศรวมไปถึงเหตุการณ์กราดยิงในสหรัฐอเมริกา พร้อมชักชวนให้ทุกคนหันมาทบทวนกฎหมายควบคุมการพกอาวุธปืนในที่สาธารณะอีกด้วย หนึ่งในไฮไลต์ของนิทรรศการนี้คือการโชว์อะคูสติกอิมโพรไวส์ด้วยเครื่องดนตรีเหล่านี้ผ่านศิลปินแจ๊สทั้งสามอย่าง Stu Hunter, Carl Dewhurst และ Simon Barker ในชื่อ ‘When … Continued