Interview_softpine

Interview

Soft Pine เล่าเรื่องราวความเป็นตัวเองที่สุดผ่าน 10 เพลง ในอัลบั้มใหม่ ‘Another Half’ 

เปิดม่านค้นเรื่องราวในอัลบั้ม Another Half ที่เต็มไปด้วยความหวัง, ความรัก, เรื่องตลกร้าย และดนตรีที่มาพร้อมซาวด์ดีไซน์ที่สดใหม่กว่าเดิมทั้ง 10 เพลงในอัลบั้มนี้ วอร์มหูกับ Soft Pine ก่อนมาเจอกันปลายปีนี้ที่ Maho Rasop 2023

Soft Pine

เอ็กซ์ (ร้องนำ, กีตาร์)

ไวกิ้ง (กีตาร์, คอรัส, คีย์บอร์ด)

บูม (กลอง) 

แอม (เบส)

 

ย้อนไปที่ Brainwreck หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มนี้ไป เป็นอย่างไรบ้าง

X: เอิ่ม ก็ตอบตามความจริงเลยก็ ไม่เท่าอัลบั้มแรกครับ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นครับ 

FJZ: แต่พอไปเล่นสดมีคนโยก มีคนร้องตามกันบ้างไหม

X: มีครับ ๆ ไปเล่นสดส่วนมาก คนที่มาดูเป็นคนที่เขาฟังเพลงเราเรื่อย ๆ อยู่แล้ว รู้จัก Soft Pine แทบทุกเพลง แต่ว่าก็จะมีแฟนเพลงที่มาดูคอนเสิร์ตอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เขาจะรู้จักเฉพาะเพลงฮิตซึ่งผมก็ดีใจที่เขามาอยู่ดี 

X: เหมือนผมรู้สึกว่าอัลบั้ม Brainwreck จะไม่มีเพลงฮิตเหมือนอัลบั้มแรกเท่าไรครับ 

 

Brainwreck พา Soft Pine เดินทางไปที่ไหน และพบเจอกับอะไรมาบ้าง

X: ซึ่งในอัลบั้มนี้มันก็จะออกบ่น ๆ หน่อย ไม่ได้แบบมีเรื่องที่จับต้องได้เท่าอัลบั้มแรกเท่าไร แต่โดยรวมก็โอเคครับ แล้วเราก็ได้ไปเล่นที่เชียงใหม่ ได้จัดงานเปิดอัลบั้ม แล้วก็หลังจากนั้นก็ได้ไปเล่นที่ต่างประเทศครั้งแรกเลย 

FJZ: ไปประเทศไหนกันมาบ้างครับ

X: มีที่ประเทศญี่ปุ่นที่เดียวครับ แต่ไป 3 เมืองเลยครับ มีโตเกียว ไปเล่นไลฟ์เฮาส์ชื่อ ฟีเวอร์ ที่เมืองนาฮะ อยู่ที่เกาะโอกินาว่า แล้วก็เมืองโคสะ กับงาน Festival Music Lane OKINAWA ครับ 

FJZ: พอเราเอาผลงานไปเล่นที่ต่างประเทศอะไรแบบนี้ ชาวญี่ปุ่นเขามีการตอบรับกันยังไงบ้าง

บูม: เขาก็มีโยกกันนะครับ แต่ว่าเขาจะมีนิ่ง ๆ กันด้วย เป็นตามสไตล์คนญี่ปุ่นกันเลย เขายืนดูกันแบบตั้งใจมาดูเรากันจริง ๆ แบบว่ามีมารยาทมาก ๆ ไม่ส่งเสียงใด ๆ 

ไวกิ้ง: ไม่มีใครถ่ายคลิปเลย แทบไม่เห็นมีใครหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลย 

บูม: แต่เขาก็จอยกันนะครับ เขาก็ยืนดูเงียบ ๆ แอบโยก ๆ กันบ้าง

X: คือมีความ culture shock อยู่ครับ เพราะปกติเวลาเล่นจบเพลง มันต้องเฮอะไรแบบนี้ แต่เขาคือเงียบกริบกันไปเลย

บูม: แล้วเขาเป็นแบบนี้กันทุกวงเลยครับ ดูวงอื่นก็นิ่ง ๆ เงียบ ๆ เหมือนกัน 

X: พอพูดอะไรไปก็ แฮะ ๆ เหอะ ๆ เบา ๆ กัน

X: แต่พอเราเล่นจบโชว์อะไรงี้ครับ เขาก็จะมีขออังกอร์แบบว่าปรบมือเป็นจังหวะพร้อมกันเลย พวกเราก็งงว่าอันนี้คืออะไร one more song ใช่หรือเปล่า

X: เราก็โอเค เล่นให้อีก แล้วพอเราเล่นจบลงเวทีมาก็มีคนเดินเข้ามาพูดคุยว่าฟัง Soft Pine มานานมาก รอมานานไม่คิดว่าจะมาเล่น และดีใจที่ได้ดูอะไรแบบนี้ครับ ก็สรุปว่า เอ้อเขาก็สนุกนี่หว่า 

 

Another Half

X: มันเป็นเหมือนแบบว่าเราใช้ชีวิตมาถึงตรงนี้ใช่ไหมครับ เราก็เหมือนกับได้รู้ตัวว่าเรามีอะไรแล้วบ้าง แล้วเราขาดอะไรไปบ้าง อย่างเช่นในเพลง I Thought I Could Be Alone ก็พูดเกี่ยวกับว่าเมื่อก่อนเราคิดว่าเราอยู่คนเดียวได้ไม่มีปัญหา ไม่ได้เหงาไม่ได้เศร้าอะไร แต่ว่าพอเรามีอีกคนหนึ่งมาอยู่ด้วยกันมันก็ดีกว่า เรา realized ได้ว่า ก็เคยคิดว่าอยู่คนเดียวได้ แต่จริง ๆ พออยู่กับอีกคนหนึ่งมันดีกว่าเยอะเลยครับ ซึ่งมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เป็นหัวข้อใน Another Half ครับ ที่ยกตัวอย่างมา

FJZ: และในเนื้อเพลง I Thought I Could Be Alone ก็เหมือนจะพูดว่า “มันน่าจะดีนะ ถ้าเราได้ฝันร่วมกัน และมีตอนจบของฝันเหมือนกัน” อะไรแบบนี้ใช่ไหม

X:  ใช่ครับ จริง ๆ ก็อยากเปิดให้คนฟังได้ตีความให้มันรีเลทกับประสบการณ์ของแต่ละคนได้ด้วยครับ คือมันอาจจะเป็น สิ่งของ, สัตว์เลี้ยง, เพื่อน, งานอดิเรก หรือเป็นตัวเราครึ่งหนึ่ง แล้วมีอีกครึ่งหนึ่งที่มาเติมเต็มเรามากขึ้นครับ เลยมาเป็นชื่อของอัลบั้มนี้ Another Half 

จะว่า Another Half เป็นภาคต่อจากอัลบั้ม Brainwreck ไหม มันก็ไม่เชิงครับ เพราะ Soft Pine จะเป็นวงที่หยิบเรื่องที่เจอมาจริง ๆ เมื่อเวลาหนึ่งของชีวิตมาเขียนเพลงครับ ก็พอต่อจาก Brainwreck ชีวิตเราก็สนุกขึ้น ไม่ได้ล็อกดาวน์อะไรแล้ว ออกไปเจอเพื่อนออกไปเล่นดนตรี มันก็เลยสนุกขึ้นครับ คิดอะไรไปในทางบวกมากขึ้น มันจึงทำให้เนื้อเพลงในอัลบั้มนี้เป็นไปในทางที่บวกมากขึ้น ก็เป็นการต่อเนื่องกับ Brainwreck ประมาณนี้ครับ

FJZ: หรืออีกอย่างเรามองว่าชีวิตตัวเองเริ่มใกล้ ๆ เข้ามาในช่วงอายุ 30 แล้วไหม

X: จริง ๆ ก็ยังไม่ใกล้ 30 หรอกครับ (ขำ) แต่ก็มองแบบนั้นได้เหมือนกัน

FJZ: แล้วได้มองไว้หรือยัง ว่าอีกครึ่งทางหรืออีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมันจะเป็นยังไง 

X: อืม ไม่ได้คิดไว้ขนาดนั้นครับ 

FJZ: เพราะเราเห็นเหมือนตอนแรกว่า Another Half เป็นเหมือนการบันทึกการเดินทางอีกครึ่งหนึ่ง ที่ยังไม่เคยถูกถ่ายทอด แล้วที่มันถูกถ่ายทอดไปแล้วนี่คืออัลบั้มก่อน ๆ ของ Soft Pine ใช่ไหมครับ 

X: ใช่ครับ ก็เหมือนกับ 3 ชุดแรก มันก็เป็นแบบเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ขอแบบทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง อะไรแบบนี้ครับ จะเป็นอีกครึ่งหนึ่งไหมไม่รู้ แต่อาจจะเยอะกว่าเดิมก็ได้ฮะต่อจากนี้

ไวกิ้ง: หรือจะอยู่กับปัจจุบันก็ได้

FJZ: แล้วสำหรับ Soft Pine เอง อัลบั้มนี้แตกต่างจากงานชุดก่อน ๆ ยังไงบ้าง

ไวกิ้ง: หลัก ๆ ก็มีเรื่องการอัดเสียงครับ เราจะทำให้ซาวด์มันสดใหม่ขึ้น เสียงชัดขึ้น ไม่ได้ lo-fi เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราอยากให้ได้ยินทุกเครื่องชัดแบบที่ความรู้สึกถูกแทนด้วยเสียงจริง ๆ 

X: เหมือนว่าก่อนทำอัลบั้มนี้เราคุยกันก่อนครับ ซึ่งมันเหมือนเป็นการคุยว่า เฮ้ย พอเรากลับมาจากญี่ปุ่น เราก็มีไฟอยากจะทำเพลงต่อเลย อยากปล่อยผลงานกันต่อแล้ว พอปล่อย Brainwreck ไป มันก็หมดแล้ว ทีนี้พอก่อนที่จะทำอัลบั้มนี้ เราก็คุยกันว่าจะทำเพลงประมาณไหน เอเนอร์จี้ตอนนี้เป็นยังไง ซึ่งเราก็คุยกันแล้วมันเห็นภาพเดียวกัน เคมีตรงกันค่อนข้างมากเลยครับ 

แล้วก็ตั้งใจอยากจะทำออกมาให้เป็นอัลบั้มที่ทุกเพลงไปทางเดียวกัน เป็นเรื่องเดียวกัน เราก็เลยตั้งกรอบเวลาแล้วก็ทำให้เสร็จภายในช่วงเวลานี้เลยดีไหม เพราะว่าถ้าเกิดทำนานเกินไปไอเดียตอนแรกกับตอนท้ายมันอาจจะเปลี่ยนไปได้

ซึ่งพอเราคุยกันแล้วเห็นภาพเดียวกันตั้งแต่แรกมันก็ออกมาแบบลื่นไหลเลยครับ แล้วพวกเรื่องวิธีการอัดหรือพวกชิ้นส่วนอื่น ๆ ต่าง ๆ ในเพลง มันก็เป็นไปตามภาพในหัวที่เราคิดเอาไว้มากกว่าครับ 

FJZ: เมื่อสักครู่ที่เล่าว่า พอพยายามทำให้เสียงของแต่ละเครื่องให้มันชัดขึ้นมา จากเมื่อก่อนที่ทำแบบ lo-fi มันเหมือนเราตื่นมาจากสภาวะ Brainwreck หรือเปล่า

X: มองอย่างนั้นก็ได้ครับ มันฟีลเหมือนกับเราแต่งเพลงมา เรามีเดโม่ออกมา เรามีอะไรที่อยากจะสื่อออกมา แล้ววิธีการอัดเสียงมันก็ต้องเปลี่ยนไปเพื่อตอบโจทย์ในหัวเรา ตอบโจทย์เพลงที่เราทำไว้เดโม่ครับ แล้วถ้าเดโม่ออกมาแบบนี้ แล้วเรายังใช้วิธีอัดแบบเดิม มันก็อาจจะไม่เข้ากับอัลบั้มนี้ครับ 

FJZ: งั้นแสดงว่าทุก ๆ เพลง ทุก ๆ อัลบั้มที่ Soft Pine ทำกันมา มันเริ่มจากความคิดในหัวก่อน แล้วเราอยากยึดไอเดียตรงนั้นเอาไว้ใช้ทั้งอัลบั้มเลยใช่ไหม

X: ใช่ครับ โดยเฉพาะอัลบั้ม Another Half เลย 

FJZ: ระยะเวลาของการทำงานในอัลบั้มนี้ มันไวมาก ๆ Soft Pine ใช้เวลาทำทั้ง 10 เพลงนี้ไปนานเท่าไรครับ เพราะเมื่อกันยายนปีที่แล้วก็เพิ่งปล่อยอัลบั้มไป เรียกได้ว่าปีละอัลบั้มได้เลย มันไวมาก ๆ 

X: ใช่ครับมันไวจริงครับ ไวสุดเลย ปกติทำกันแบบเป็นปี 2 ปี Another Half นี่ประมาณ 4 เดือนครับ 

FJZ: 4 เดือนนี่คือทั้ง 10 เพลง

X: ใช่ครับ 

FJZ: อยากรู้ว่าทั้งใน 10 เพลง มีเพลงไหนที่ไอเดียมันมาเร็วแล้วคิดเนื้อ คิดดนตรีเสร็จเร็วที่สุด ทำได้ไวที่สุดครับ 

X: มันก็มีทั้งไวแล้วก็ทั้งนานครับ สำหรับเพลงที่เสร็จไวก็จะมี Popshit กับ Baby Gotta Go อันนี้คือแบบไวจริงอะ

ไวกิ้ง: ไวมาก!

FJZ: ประมาณกี่วันได้ครับ

X: ไม่ถึงวันครับ

FJZ: ฮะ! ไม่ถึงวัน

X: ใช่ครับ อย่าง Popshit ไวกิ้งส่งเดโม่มา ก็ทำประมาณคืนนึงปะ  

ไวกิ้ง: ใช่ ๆ ประมาณคืนหนึ่ง ไม่นานด้วยครับ 

X: แป๊บเดียว แล้วดึก ๆ กิ้งเริ่มทำเพลง Popshit เสร็จเดโม่ก็ส่งมาให้ผม ผมก็ เฮ้ย! มันได้นะ แล้วผมก็อัดร้องให้ฟังเลยทันที มันก็เสร็จเลยครับ

ไวกิ้ง: จำได้ว่าตอนนั้นวิดีโอคอลกันอยู่ด้วย แล้วเราก็นั่งแต่งร้องกันตรงนั้นเลยแป๊บเดียว ประมาณ 15 นาที 

X: ใช่ครับ แล้วอย่าง Baby Gotta Go ผมก็ให้ริฟฟ์เบสที่อยู่ในเพลงให้ไวกิ้งไป แบบเสร็จทั้งเพลงเลย มีแค่ไลน์เบสอย่างเดียว ไวกิ้งก็ส่งมาให้อีกทีเป็นเดโม่เลย ผมก็ฟังแล้วรู้สึกว่ามันได้ ก็มาอัดร้องเลยเดี๋ยวนั้น พอวันต่อมาก็ไปอัดร้องกันที่บ้านพี่พัดเลย

FJZ: คือไวนะ

X: ใช่ครับ พอเพลงที่ไว มันก็ไวแบบนี้เลย

FJZ: แล้วมีเพลงไหนที่มันใช้เวลาไปนานที่สุดไหม

X: เพลงที่นานสุดก็ I Thought I Could Be Alone ครับ มันนานตรงที่เนื้อร้องเลยครับ นานแค่การแต่งร้องเลยเพลงนี้ เพราะว่าถ้าเกิดลองตัดร้องออกไปเพลงมันค่อนข้างโล่งและสเปซเยอะมากเลย เราต้องครีเอทเมโลดี้กับพวกลูกเล่นที่อยู่ในการร้องให้มันอยู่ในเพลงได้จนเราพอใจ ซึ่งใช้เวลาพอสมควรครับ เรื่องเมโลดี้นี่ก็นานแหละ แล้วพวกคำที่เราใช้ด้วยมันก็นาน

FJZ: แนวคิดการทำเพลงของ Soft Pine เริ่มมาจากเนื้อก่อน หรือดนตรีมาก่อนกันครับ 

X: เอิ่ม… อัลบั้มนี้เป็นดนตรีมาก่อนหมดเลยครับ แต่มันก็มีความพยายามที่แต่งเนื้อมาก่อน แต่ว่าไม่เสร็จครับ มันไม่ได้ใช้ (หัวเราะ) ใช่ปะกิ้ง มันมีอยู่เนอะ 

ไวกิ้ง: เหมือนเราชอบทำภาคดนตรีให้เห็นชัดก่อนว่ามู้ดเพลงมันประมาณไหน แล้วเราจะได้รู้ว่าเราจะเขียนเนื้อเพลงประมาณไหนเข้าไปด้วยครับ

Track by Track

Another Half 

ไวกิ้ง: เพลงนี้เราก็อยากทำให้มันเป็นธีมสำหรับภาพรวมของอัลบั้มนี้ เมโลดี้ที่มันติดหูที่มันเป็นลิคที่จะโผล่ในเพลงอัลบั้มนี้บ่อย ๆ ครับ เหมือนว่าเซ็ตโทน เซ็ตมู้ดให้มันก่อน

X: เพลงนี้เหมือนเกริ่นนำให้กับอีก 9 เพลงที่เหลือครับ ทั้งไลน์เบส และกรูฟของกลอง ทุกอย่างในเพลงแรกเป็น elements หลักที่เราจะเอาไปกระจายอยู่ในแต่ละแทร็กของอัลบั้ม แล้วก็เนื้อร้องยังไม่มีอะไรมาก “Don’t wanna be alone again” 

 

I Thought I Could Be Alone

X: เพลงนี้ก็เป็นเพลงรักเลย อย่างที่ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องที่เราตระหนักได้ว่าการที่อยู่กับอีกคนหนึ่งหรืออยู่กับแฟนแล้วมันสบายใจมีความสุขกว่า ทำให้เราคิดได้ว่าเราเองเคยคิดว่าอยู่คนเดียวได้ แต่พออยู่กับเธอมันดีกว่าเยอะ มันไม่ได้เป็นเพลงเหงา หรือเพลงเศร้าเลย (หัวเราะ) แต่ค่อนข้างไปทางรัก (หัวเราะ)

 

Another Coast Ride

X: อันนี้อยากให้เป็นเพลงสนุก ๆ ซิ่ง ๆ บ้างครับ ส่วนเนื้อหาก็จะพูดถึงโมเมนต์ที่เรากำลังเอ็นจอยอะไรบางอย่างอยู่กับเพื่อน ๆ หรือคนรักก็ได้ แล้วก็เหมือนว่ามันควรพอได้แล้ว มันดึกแล้วควรจะหมดวันได้แล้ว แต่เรายังอยากที่จะไปต่อ แบบยังไม่พอยังไม่สุด

FJZ: แล้วไลน์เบสเพลงนี้คือซิ่ง ๆ เลย ถ้าเล่นสดน่าจะได้โยกมัน ๆ อยู่นะครับ 

X: ใช่ครับคือตอนแรกเราปล่อย I Thought I Could Be Alone กับ Another Coast Ride ก่อน แล้วเราก็ไปเล่นที่ POW! Fest ตอนนั้นเรายังปล่อยไปแค่ 2 เพลงนี้ แล้วเราเอาเพลงนี้ไปเล่นเอเนอร์จี้มันก็เปลี่ยนไปเลย สนุกขึ้นเลยครับ! 

 

Afternoon Shroom

X: เพลงนี้เกิดจากการแจมกันในห้องอัดเลยครับ (หัวเราะ) เหมือนผมดีดเบสขึ้นมาแล้วบูมก็ตีกรูฟกลองที่อยู่ในเพลงนี้ขึ้นมาแล้วก็อัดกันเก็บไว้เอามาให้กิ้งอัดกีตาร์ต่อ แล้วผมก็ใส่เนื้อเข้าไปมันก็เสร็จเร็วอยู่เหมือนกัน เพลงมันพูดเกี่ยวกับ เหมือนเราก็อยู่กับแฟนคนนี้มาประมาณนึงแล้ว แต่ว่าพอเรายังใช้เวลาร่วมกันอยู่ เราก็รู้สึกเหมือนวันแรก ๆ ที่เจอกัน เหมือนมันยังสดใหม่อยู่ตลอด

FJZ: เป็นเพลงน่ารักอีกแล้วนะเพลงนี้ (หัวเราะ)

X: ก็นิดนึงครับ เนื้อเพลงก็พยายามหาคำที่ไม่จั๊กจี้เกินไป เพราะว่าปกติไม่ค่อยเล่าเรื่องอะไรแบบนี้เท่าไร แต่ตอนนี้ก็กล้าเล่ามากขึ้น


Skinky

X: เพลงนี้ต้องให้ไวกิ้งเล่าเลยครับ 

ไวกิ้ง: เนื้อหาของ Skinky ก็เป็นเพลงรักเหมือนกัน ผมชอบประดิษฐ์คำเล่น ๆ เพลงนี้พูดถึงเวลาอธิบายความรู้สึกบางอย่าง เวลาเราอยู่กับคนรักแล้วเรามีความสุขร่วมกัน สมองเลยรู้สึกแบบ ‘Skinky’ ครับ มันจั๊กจี้ในหัว ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน (หัวเราะ) มันก็เขิน ๆ จั๊กจี้ ๆ แต่ก็มีความสุข แล้วมันก็ส่งกับเพลงที่มันมีความเต้น ๆ ขี้เล่น สนุก ๆ ครับ 

FJZ: มันเหมือนแบบว่าฟีลที่เราเหมือนชอบใครสักคนอยู่ไหม แล้วเรามีโอกาสไปเต้นหรือไปทำความรู้จักกับผู้หญิงคนนั้น แล้วในใจเรามันรู้สึก Skinky ขึ้นมา ถูกต้องไหม? (หัวเราะ)

X: มันเป็นคำที่คิดเองอะ (หัวเราะ)

ไวกิ้ง: ผมชอบนึกถึงคำว่าจั๊กจี้อะ เหมือนผมนึกถึงคำที่มาใช้แทนไม่ออกเท่าไร ก็เลยมัน Skinky ว่ะ 

FJZ: ทำไมถึงหยิบเพลงนี้มาเป็น focus track

X: เพราะมันสนุกครับ แล้วแทนภาพรวมของอัลบั้มได้ชัดประมาณหนึ่ง 

FJZ: แล้วโดยรวม ภาพรวมของอัลบั้มนี้มันจะดูแบบมีความรักซ่อนอยู่ในการเดินทางของ Soft Pine ใช่ไหม

X: ใช่ครับ เรารู้สึกว่าเพลง Skinky ดนตรีมันค่อนข้างเก่าประมาณหนึ่ง พวกแบบริฟฟ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในเพลง ก็เลยอยากให้เพลงนี้เป็น lead single ครับ

 

XTC of Yesterday

FJZ: XTC คืออะไรก่อนนะครับ 

X: อธิบายไม่ได้อะครับ มันคือความสนุกของเมื่อวานอะไรแบบนี้ ก็มันเป็นเหมือนแบบไอเดียคอนเซปต์ของการ pretend ว่าเราไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ เพื่อที่จะได้ไม่รับรู้ถึงปัญหาไม่ต้องฟังใครบ่น มันเป็นอารมณ์ตลกร้ายนิดหนึ่งครับ ไม่ได้เป็นเพลงที่เศร้าหรือเครียดอะไร เพลงนี้มันพูดว่า “no one complain everything change” ทุก ๆ อย่างบนโลกมันเปลี่ยนไปตลอดเวลา แล้วทีนี้มันก็จะได้ไม่ต้องฟังใครบ่นเกี่ยวกับอะไรที่มันเปลี่ยนไปเพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตลอดอยู่แล้วครับ ก็อยากสื่อออกมาเหมือนกับว่าเราทำเป็นเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ เราก็ไม่ต้องมารับรู้อะไรพวกนี้ได้ไหม 

FJZ: สุดท้ายแล้วเพลงก็จะสรุปได้ว่าเราจะไม่คิดถึงเรื่องที่ผิดพลาดไม่ว่าจะวันไหน ๆ เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตลอดเวลาใช่ไหมครับ

X: ใช่ครับผม ผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตลอดเวลาครับ 


Higher State of Mind

X: เพลงนี้จะเป็นแบบ background music ประมาณหนึ่งครับ คือไม่ได้เป็นเพลงเล่าเรื่องอะไรขนาดนั้นครับ มันพูดถึงโมเมนต์ที่เราตระหนักรู้ได้เลยว่าเรา… ยังไงดีวะกิ้ง ช่วยอธิบายหน่อย (หัวเราะ)

ไวกิ้ง: เอิ่มม อ่าาาา 

X: เหมือนที่เราตระหนักรู้บางเรื่องอะครับ มันต้องใช้เวลานั่งคิดแล้วดนตรีเพลงนี้มันเป็น background music เพื่อประกอบซีนนั้นเลย 

ไวกิ้ง: มันให้ฟีลเหมือนครุ่นคิดนิดหนึ่ง 

FJZ: มันเหมือนเนื้อเพลงเลยใช่ไหมที่บอกว่า “ค่อย ๆ รู้สึกถึงชีวิต” อะไรประมาณนี้

X: ใช่ครับ ๆ เหมือนครึ่งแรกของเพลงมันก็จะเป็น harmony ที่ค่อย ๆ บิลด​์ tension ขึ้นมา เหมือนคิดอยู่ในหัวไปเรื่อย ๆ แล้วพอครึ่งหลังมันก็ปล่อยพวกคอร์ด major ออกมาเลย สว่าง ๆ ให้ฟีลเราตระหนักรู้แล้วครับ

FJZ: มันเหมาะกับเอาไว้ฟังตอนทำสมาธิเลยนะ 

X: ใช่ครับ แต่เพลงนี้ตอนแรกเดโม่มันไม่เหมือนในเพลงเลยครับ บูมอาจจะเสริมตรงนี้ได้ เพราะเป็นเรื่องตลกประมาณหนึ่ง (หัวเราะ)

บูม: กลองเพลง High State of Mind รู้สึกเพลงนี้เป็นเพลงที่ไอกิ้งมันทำเดโม่มาหรือไอเอ็กซ์นะ?

X: ใช่ ๆ ไอกิ้งทำ 

บูม: ก็คือตอนแรกที่ฟังก็ว้าวอยู่ครับ น่าจะเป็นเหมือน ๆ ทั่ว ๆ ไปที่พอมือกีตาร์มันเขียนไลน์กลองมันจะประหลาดหู มันจะค่อนข้างตียากมาก ๆ ครับ ผมเลยเปลี่ยนนิดเปลี่ยนหน่อยครับ 

X: คือมันตีไม่ได้เลยอะ 

บูม: ใช่ ๆ ซึ่งอาจจะต้องมีมือเพิ่มมาอีกมือหนึ่งเลย

X: คือแบบแทบจะตีหัวกิ้งแทนแล้วตอนซ้อม (หัวเราะ)

บูม: ตอนแรกคิดว่าเพลงนี้จะต้องเป็นเพลงที่หินแน่นอนตอนอัด แต่ตอนสุดท้ายฟังเดโม่ไปเรื่อย ๆ ฟีลมันก็มาและมันไปกับเพลงได้เรื่อย ๆ ครับ จนเหมือนเราแบบว่าเราชินมือไปเลยว่าอารมณ์เพลงมันตีสวิงประมาณนี้ครับ

FJZ: อารมณ์ภาพรวมของเพลงนี้มันจะเป็นแนวแจ๊ซมาเลยใช่ไหมครับ

บูม: ใช่ครับมันก็จะมาแบบเบา ๆ ไรงี้ 

FJZ: แต่พอช่วงท้ายของเพลงก็มาโหดอยู่เหมือนกันนะ ใส่แฉใส่อะไรเยอะมาก คิดว่ามือน่าจะพันกันไปแล้ว (หัวเราะ)

บูม: ใช่ครับมือพันกันไปเลย ตอนแรกน่าจะพันมากกว่านี้อีก (ทุกคนหัวเราะ)

X: เดี๋ยวไว้ส่งเดโม่ให้ฟังครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตีได้ (หัวเราะ)
FJZ: ตอนแรกที่เขียนเดโม่ขึ้นมา คือเขียนมาจากใน DAW ใช่ไหมครับ

X, ไวกิ้ง: ใช่ครับ 

FJZ: แต่พอเอามาตีจริงไม่น่าจะมีมือที่ 3 ที่มาช่วยตีได้ (หัวเราะ)

X: ใช่ครับเป็นไปไม่ได้ (ไวกิ้งหัวเราะ)

ไวกิ้ง: ตอนนั้นคิดอะไรออกก็จิ้ม ๆ เข้าไปก่อน

FJZ: เรามาทางแจ๊ซแหละ ตามฟีล ๆ อิมโพรไวส์กันเข้าไปตามความตระหนักรู้ของเพลงนี้กัน 


Baby Gotta Go

X: จริง ๆ เพลงนี้มันเริ่มมาจากผมเอาไลน์เบสของเพลง Afternoon Shroom มาเล่นกลับหลังครับ

FJZ: ฮะ? 

X: แล้วกิ้งก็ขึ้นเดโม่ต่อจากนั้น แล้วผมก็ใส่เนื้อเพลงเกี่ยวกับโมเมนต์ที่เวลามันใกล้จะหมดแล้วไม่อยากให้มันหมดครับ เป็นฟีลอ้อน ๆ นิดนึง

FJZ: เป็นฟีลอ้อน ๆ คนรักไหม แบบว่าอยากอยู่กับเธออีก

X: ใช่ ๆ ประมาณนั้นเลยครับ ไม่อยากแยกจากกัน

FJZ: แล้วที่ว่าไลน์เบสเอามาเล่นกลับหลังคือทำใน DAW หรือหยิบเบสจริง ๆ เอามาเล่นเองเลยครับ 

X: ก็หยิบมาดีดเลยครับ 

FJZ: เดี๋ยวนะ! คือจำโน้ตได้เหมือนกันตั้งแต่เพลงนู้น

X: ใช่ครับ รู้สึกว่าไลน์เบสที่ใส่ใน Afternoon Shroom มันเท่ดี แบบมันเล่นริฟฟ์เดิมที่มันเล่นซ้ำเดิมไปทุกท่อน แต่ว่ามันสามารถใส่คอร์ดระหว่างท่อนได้ไปเรื่อย ๆ เลยรู้สึกว่าโน้ตนี้มันเข้ากับอัลบั้มนี้ครับ เลยอยากจะแต่งเพลงที่มันอยู่ในโทนเดียวกันก็เลยเอาโน้ตชุดนี้มาเล่นกลับหลังไปเลย 

FJZ: แล้วตอนที่คิดไลน์เบสเพลงนี้ เราได้ทำเป็น score ไว้หรือเปล่า

X: ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ก็แค่หยิบเบสมาเล่นเลยก็อัดให้ไวกิ้งไปทำต่อ

FJZ: แล้วพาร์ตของพวกกลองหรือกีตาร์เป็นยังไงบ้าง 

X: ผมว่ามันเก๋า ๆ หน่อย

ไวกิ้ง: รู้สึกว่าไลน์เบสมันก็ค่อนข้างเท่ประมาณหนึ่งแล้ว ผมเลยไม่อยากเสริมเครื่องอื่นเข้าไปให้มันเยอะมาก ผมก็เลยทำให้ kick กลองมันตามกับเบสให้มันยกจังหวะสุดท้ายตามกันครับ

X: เพลงนี้มีท่อนฮุคที่แบบรู้สึกว่าเป็นคอร์ดจากชุด major 13th มากที่สุด มีกลิ่นอยู่ประมาณหนึ่งครับ 

FJZ: รู้สึกเหมือนกันเลยว่ามันเหมือนอัลบั้มก่อน ๆ ของ Soft Pine 

X: ไม่รู้กิ้งตั้งใจหรือเปล่าไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) 


Popshit

FJZ: มาจนถึงกันที่เพลงนี้ที่บอกว่าเสร็จเร็วที่สุด 

X: ใช่ครับ สองเพลงนี้เสร็จเร็ว 

FJZ: แล้ว Popshit เนื้อหาและเรื่องราวเป็นยังไงบ้างครับ

X: Popshit คอนเซปต์มันประมาณว่า ปกติคนเราต้อง concern ถึงอนาคตให้มากใช่ไหมครับ เช่น ทำงานเก็บตังให้อนาคตสบายแต่อันนี้มันเป็นแบบฟีลตลกร้ายอีกแล้ว “แล้วถ้าเราไม่ทำล่ะ ถ้าเราทำแค่เพื่อวันนี้เลยได้ไหม” แค่นั้นเลยครับ 

FJZ: เหมือนในเพลงนี้ก็บอกว่าไม่ได้อยากมีชีวิตเพื่ออยู่นานขนาดนั้น ไม่อยากนึกถึงภายหลังด้วยใช่หรือเปล่า

X: ใช่ ๆ เราก็ไม่ได้ชี้นำว่าทำแบบนี้ถูกครับ แต่มันผิดเหรอที่เราไม่สนใจอะไรแบบนี้ครับ 

FJZ: เป็นฟีลแบบปลง ๆ หรือเปล่าตอนคิดเนื้อเพลงนี้ออกมา 

X: มันเป็นฟีลแบบตลกร้ายมากกว่าปลงครับ กวน ๆ หน่อย 

 

Another Half (Reprise)

X: อันนี้ก็… กิ้งเล่าไป (หัวเราะ)

ไวกิ้ง: ก็เป็นเพลงปิดเลยครับ ปิดม่าน เราก็เอาริฟฟ์อันนั้นมาทำใหม่อีกรอบ

FJZ: มันย้อนเหมือนอันนั้นไหม

ไวกิ้ง: ไม่เชิงย้อนครับ มันเหมือนเปลี่ยนวิธีการเล่นนิดหนึ่ง ส่วนดนตรีมันจะเปลี่ยนนิดหนึ่ง มันจะนุ่มขึ้นเพื่อที่จะเข้าเพลงแรก

X: มันเหมือนทำ score หนังปะ ที่เราเหมือนมีธีมหลักของหนักก่อน แล้วเราเอามาทำเป็นเนื้อเรื่อง แบบมีฉากต่าง ๆ แล้วอันนี้ก็เป็นฉากปิดครับ

ไวกิ้ง: จบแบบนุ่ม ๆ จบแบบฝันดีเข้านอนได้แล้ว

FJZ: แล้วอยากรู้ว่าเมื่อชื่อเพลงมันเหมือนกัน พอเวลาเราซ้อมนี่ลิสต์ไว้ยังไงครับ เคยมีบ้างไหมที่เล่นผิด เราจะเล่นปิดแต่เราดันไปเล่นเปิดแทน

X: ไม่มีครับ เราจะสื่อสารกันง่าย ๆ เลยว่าเพลงเปิด-เพลงปิดแค่นั้นง่าย ๆ 

FJZ: เราจะคุยกันสั้น ๆ ครับ อย่างเช่นเล่นเบบี้ ก็คือ Baby Gotta Go ไรงี้

X: อีกอย่างเรายังไม่ได้เล่นด้วยครับ reprise อันนี้ 

ไวกิ้ง: เดี๋ยวรู้กันตอนเล่นจริง 

X: อาจจะผิดก็ได้นะ (หัวเราะ)

Another Half Vs Brainwreck

X: ถ้าเป็นเดโม่ก็ยังเป็นอัด track ส่งกันไปกันมาอยู่ครับ แต่รอบนี้เราไปอัดทุกเครื่องดนตรีกันที่เดิมครับ มีภาพในหัวที่จะมันให้ hi fine ขึ้น ให้ชัดขึ้น เพื่อที่จะขับเอเนอร์จี้ที่เราอยากได้ให้มากที่สุด แค่เราเปลี่ยนวิธีการมากกว่า อย่างบูมก็จูนสแนร์เลือกวิธีตีที่ละเอียดขึ้นมาก ๆ ครับ

บูม: ใช่ครับ

FJZ: แล้ว Soft Pine ยังทำกับพี่บอพัด Folk9 เหมือนเดิมใช่มั้ยครับ

บูม:  คือพี่บอพัด คือมันไม่ได้ว่าพอเราจะทำแล้วเราไปคุยกับเขาเป็นโปรเจกต์ ๆ ไป แต่เราสนิทกันคุยกันตลอดครับ พูดคุยกันมาเสมอ ฟีลโตมาด้วยกันตั้งแต่แรกเลย เหมือนตอนที่คุยกันว่าพอจะทำอัลบั้มนี้ เขาก็มีไอเดีย มีความคิดเห็นด้วยกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอถึงช่วงที่เราลงมืออัดมันก็ไปทางเดียวกันเลย เขาก็เห็นภาพเดียวกันกับเราเหมือนเขาอยู่ด้วยกันในทุกกระบวนการอยู่แล้วครับ 

X: คือพี่บอพัดเป็นเหมือนกึ่ง ๆ Co-produce ของพวกเราเลย แล้วก็เป็น mixing engineer กับ Master engineer เลยครับ

บูม: เป็นทุกอย่างครับ 

FJZ: คือเป็นส่วนหนึ่งของ Soft Pine เลยก็ว่าได้

X: ใช่ครับ ๆ  

FJZ: มาพูดถึงเรื่องของปกอัลบั้มบ้าง มีคอนเซปต์มีไอเดียมาจากไหน และใครเป็นศิลปินที่ทำผลงานชิ้นนี้ออกมา

X: ก็เป็นพีซครับคนเดิมที่ทำทุกปกอยู่แล้ว แต่ว่าไอเดียของปกอัลบั้มนี้มันก็มาจากคอนเซปต์ของอัลบั้มนี้แหละครับ การมีหลายความรู้สึก หลายเรื่องราวมาเติมเต็มให้มันฟูลฟีลมากขึ้น มันก็เป็นหลาย ๆ สีค่อย ๆ ไหลมารวมกันเป็นภาพเดียวกันครับ คอนเซปต์รวม ๆ ก็ประมาณนี้สำหรับอาร์ตเวิร์ก

X: มู้ดของการไหลของสีก็เหมือนความรู้สึกพวกเราประมาณหนึ่งด้วย 

FJZ: แล้วโทนสีที่ใช้ก็เน้นถึงความสนุก การชวนโยกประมาณหนึ่งด้วย

X: ใช่ครับมันดูสนุกขึ้น ดู positive ขึ้นครับ

FJZ: แถมยังมีโทนสีมืด ๆ ที่มันแสดงถึงความตลกร้ายที่ซ่อนอยู่ด้วย

X: ใช่ครับ ๆ มันมีความประหลาดอยู่แล้วครับในเพลงของพวกเรา

FJZ: เร็ว ๆ นี้มีแพลนที่จะจัดงานเปิดอัลบั้มนี้อีกหรือเปล่า

X: ยังไม่ได้แพลนไว้เลยครับ อาจจะไม่มี ก็อาจจะเป็นงานเล่นทั่ว ๆ ไป ถ้ามีงานก็จะเล่นเพลงใหม่เป็นส่วนใหญ่ครับ เร็ว ๆ นี้ก็จะมีสินค้าของ Another Half มาด้วยครับ มีแผ่นเสียงแน่ ๆ รอบนี้ แล้วก็มีเสื้อด้วยครับ

FJZ: ถ้าให้เดาน่าจะเป็นลายปกอัลบั้มไหม

X: ไม่ใช่ครับ เป็นรูปกราฟิกที่เป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มนี้ครับ เป็นรูปวาดงานกราฟิกที่อาจจะมาจากเพลงสักเพลง หรือภาพรวมในอัลบั้มนี้ครับ

FJZ: ท้ายปีนี้เตรียมพลังไประเบิดที่ Maho Rasop 2023 กันหรือยัง

X: เตรียมครับ ตอนนี้เดี๋ยวจะเริ่มซ้อมกันแล้วครับ 

FJZ: ใส่สุดใส่เต็มกันเลยไหม

X: แน่นอนครับ มันก็เป็น goal ของพวกเราในปีนี้เลยก็ว่าได้ เราก็เตรียมโชว์ที่สุดที่สุดให้มันเป็นระดับ festival สำหรับงานนี้เลยครับ 

FJZ: คิดว่าจะขนเพลงในอัลบั้มไหนไปเล่นบ้าง 

X: ก็ถ้าใครอ่านบทความนี้อยู่ ก็มาเสนอกันได้ครับ 

FJZ: ถ้ามีคนมาขอเพลงเก่า ๆ เพลงไทยเพลงเดียวอย่าง ขอนอนต่อ อะไรงี้ล่ะ

X: ปกติถ้ามีคนมาขอเพลงที่เราไม่ค่อยได้เล่น เราก็จะหยิบไปเล่นนะครับ แบบขนาดเพลงในอัลบั้ม random day, yeah เราก็หยิบไปเล่นนะครับ เมื่อมีคนขอ

บูม: เอา new song ปะกิ้ง

ไวกิ้ง: (หัวเราะ)

ทิ้งท้ายและฝากผลงาน

บูม: ฝากไลน์กลอง ลูกส่งสุดเท่ด้วยครับผม ลูกส่งแบบใหม่ที่บั้มก่อน ๆ มันจะไม่ได้ซับซ้อนเท่านี้ครับ 

X: สไตล์มือกลองสุด ๆ 

ไวกิ้ง: ฝากไลน์กีตาร์สุดซิ่ง เสียง fuzz โซโล่สุดแสบหูด้วยครับ รอบนี้เราจัดเต็มมาก แล้วก็ฝากฟังเพลงกันด้วยครับ รู้สึกประทับใจกับอัลบั้มนี้มาก ๆ อยากให้ฟังกันจริง ๆ มันดี! 

X: เรารู้สึกว่าอัลบั้มนี้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดของ Soft Pine ครับ ค่อนข้างใหม่ไปจากแต่ก่อนพอสมควร ถ้าใครฟังแล้วคิดยังไงก็บอกกันได้ครับ อยากรู้ครับ (หัวเราะ)

มุมมองถึงวงการดนตรีนอกกระแสปัจจุบัน จาก Soft Pine และเพลงใหม่ล่าสุดจากพวกเขา

Facebook Comments

Next:


Donratcharat

นัท มีหมาน่ารักสองตัวชื่อหมูตุ๋นกับหมูปิ้ง กาแฟดำยังจำเป็นต่อชีวิต และยกให้กาแฟใส่นมเป็นรางวัล